Tuesday, 10 June 2025
จีน

‘จีน’ เผย ‘การค้าส่านซี-กลุ่มประเทศ BRI’ ดีด!! โต 4 เท่าใน 10 ปี มีมูลค่ากว่า 5.6 แสนล้านบาท

(12 ต.ค.66) สำนักข่าวซินหัว เผยรายงานจากสำนักงานสารสนเทศประจำรัฐบาลมณฑลส่านซีทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ที่ระบุว่า การค้าระหว่างส่านซีกับกลุ่มหุ้นส่วนตามแผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) เพิ่มขึ้น 4 เท่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

รายงานระบุว่า ปริมาณการค้าระหว่างส่านซีและกลุ่มประเทศตามแผนริเริ่มฯ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 18.4 ต่อปี โดยการนำเข้าและส่งออกของส่านซีกับกลุ่มประเทศดังกล่าวพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ที่ราว 1.13 แสนล้านหยวน (ราว 5.64 แสนล้านบาท) ในปี 2022 เพิ่มขึ้นร้อยละ 41 เมื่อเทียบปีต่อปี

ทั้งนี้ การลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของส่านซีในกลุ่มหุ้นส่วนตามแผนริเริ่มฯ ระหว่างปี 2013-2022 มีตัวเลขรวมอยู่ที่ 1.24 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.53 หมื่นล้านบาท) และมูลค่าการซื้อขายทางธุรกิจของโครงการตามสัญญาที่เสร็จสมบูรณ์ในกลุ่มประเทศดังกล่าวอยู่ที่ 1.36 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.95 แสนล้านบาท)

อนึ่ง ปีนี้ตรงกับวาระครบรอบ 10 ปี การเปิดบริการรถไฟสินค้าจีน-ยุโรป (ซีอัน) ซึ่งปัจจุบันมีการเดินรถมากกว่า 20,000 เที่ยวแล้ว ครอบคลุม 45 ประเทศและภูมิภาคในยูเรเซีย และให้บริการแก่ผู้ประกอบการมากกว่า 16,500 ราย

สำนักงานฯ ระบุว่ามีการเดินรถไฟสินค้าข้างต้นเพื่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนในปี 2022 จำนวน 198 เที่ยว ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 60.9 เมื่อเทียบปีต่อปี

‘ท่าเรือชินโจว’ กับเส้นทางการเติบโตตลอด 30 ปี จาก ‘หมู่บ้านประมง’ สู่ ‘ท่าเรืออัจฉริยะ’ ของจีน

(13 ต.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว, ชินโจว เผยแพร่เรื่องราวความเป็นมาของ ‘ท่าเรือชินโจว’ โดยระบุว่า ย้อนกลับไปเมื่อปี 1992 ท่าเรือชินโจวในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีน ยังเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ก่อนจะได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อระดับนานาชาติที่ทันสมัย ตามแนวระเบียงการค้าทางบก-ทางทะเลระหว่างประเทศแห่งใหม่ ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา

มีการสร้างลานตู้คอนเทนเนอร์อัตโนมัติสำหรับบริการขนส่งทางราง-ทางทะเลขึ้นที่นี่ ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมค่อยๆ ก่อกำเนิดและเจริญรุ่งเรืองขึ้น ณ เขตการค้าเสรีนำร่องของท่าเรือแห่งนี้

ปัจจุบัน ท่าเรือชินโจวให้บริการรถไฟตู้คอนเทนเนอร์ทุกวัน และเชื่อมต่อกับรถไฟบรรทุกสินค้าจีน-ยุโรปหลายสาย ท่าเรือชินโจวเปิดเส้นทางขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ทั้งในและต่างประเทศมากกว่า 60 เส้นทาง ครอบคลุม 61 เมืองในจีน โดยขนส่งสินค้าแล้วมากกว่า 940 ชนิด สู่ท่าเรือ 393 แห่งใน 119 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก

‘รัฐบาล’ ขอบคุณ ‘นทท.จีน’ ที่เชื่อมั่น ยืนยันมาไทยเกือบ 6 แสนคน หลังเกิดเหตุกราดยิง สัญญาจะคุมเข้มดูแลความปลอดภัยเต็มที่

(14 ต.ค.66) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า รัฐบาลขอบคุณความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนที่มีต่อประเทศไทย ซึ่งจากการสำรวจพบว่า ตัวเลขนักท่องเที่ยวยังคงยืนยันเที่ยวบินและที่พักถึง 5.9 แสนคน รัฐบาลให้สัญญาจะดำเนินมาตรการ ดูแลความปลอดภัย แก่นักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ โดยตัวเลขจากการท่าอากาศยานไทยแสดงว่านักท่องเที่ยวจีนที่จองการเดินทางเข้ามาในประเทศไทย 6.5 แสนคน ก่อนเกิดเหตุการณ์ที่สยามพารากอน ยังคงยืนยันที่พัก และเที่ยวบินมาที่ไทยถึง 5.9 แสนคน ลดน้อยลงเพียง 9.2% ซึ่งถือว่าเป็นความเบี่ยงเบนที่อยู่ในเกณฑ์ปกติ จึงสะท้อนได้ว่านักท่องเที่ยวจีนยังคงมีความเชื่อมั่นที่จะมาเที่ยวเมืองไทยเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า เมื่อเทียบกับภาวะปกติที่ตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวจริงจะแตกต่างจากจำนวนที่จองเข้ามาล่วงหน้าราวๆ +-15% ดังนั้นจึงถือได้ว่า ความแตกต่างของตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาเที่ยวไทยก่อนและหลังเหตุการณ์ที่สยามพารากอนมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ในเกณฑ์ปกติ สะท้อนให้เห็นว่านักท่องเที่ยวจีนยังคงมีความเชื่อมั่นในประเทศไทย และยืนยันที่จะเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยเช่นเดิม

“รัฐบาลไทยขอขอบคุณนักท่องเที่ยวจีนที่เข้าใจประเทศไทย และเชื่อมั่นในรัฐบาลไทย โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้สั่งการกำชับการทำงานให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามมาตรการที่ยกมาตรฐานขึ้นอย่างดีที่สุด เพื่อดูแลนักท่องเที่ยว รวมทั้งเพื่อดูแลพี่น้องคนไทยทุกคน” นายชัย กล่าว

‘จีน’ สุดล้ำ!! เปิดตัว ‘รถบัสท่องเที่ยวไร้คนขับ’ สายแรกในนครอู่ฮั่น เดินทางสะดวกสบาย แถมจ่ายค่าโดยสารเพียงแค่ 5 สตางค์เท่านั้น!!

เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, อู่ฮั่น ได้รายงานข่าว การเปิดให้บริการสำหรับ ‘รถบัสท่องเที่ยวไร้คนขับ’ สายแรกของนครอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ยทางตอนกลางของจีน

โดยรถบัสสายนี้วิ่งให้บริการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีอู่ฮั่น มีระยะทางรวม 24 กิโลเมตร ปัจจุบันมีรถมินิบัสไร้คนขับวิ่งให้บริการรวม 7 คัน แต่ละคันสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 10 คน แถมค่าโดยสารยังสนนราคาเพียง 1 เฟิน หรือ 0.01 หยวนเท่านั้น (ราว 5 สตางค์)

ไทยหน้าบาน!! จีนเลือกอุปกรณ์นักวิทย์ฯ ไทย ติดยาน 'ฉางเอ๋อ 7' ลุยสำรวจดวงจันทร์ปี 69

(16 ต.ค. 66) คณะกรรมการวิทยาศาสตร์ฝ่ายจีนในโครงการฉางเอ๋อ 7 ได้คัดเลือก ‘อุปกรณ์สำรวจสภาพอวกาศระหว่างโลกและดวงจันทร์ ตรวจวัดรังสีคอสมิก และติดตามผลกระทบที่มีต่อโลก’ (Sino-Thai Sensor Package for Space Weather Global Monitoring) เป็น 1 ใน 7 อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ที่จะติดตั้งไปกับอวกาศยานฉางเอ๋อ 7

เครื่องมือดังกล่าวมีน้ำหนัก 3 กิโลกรัม ติดตั้งเซ็นเซอร์แม่เหล็กซึ่งจะพุ่งเป้าลงไปยังดวงจันทร์เพื่อตรวจสอบสนามแม่เหล็ก และส่งการแจ้งเตือนเหตุการณ์สภาพอากาศในอวกาศ เช่น พายุสุริยะ ไปยังโลก ในขณะที่เครื่องตรวจจับอีกชิ้นหนึ่งที่จะตรวจวัดรังสีคอสมิกพลังงานต่ำในช่วงพลังงานที่ไม่เคยมีการตรวจสอบอย่างต่อเนื่องมาก่อน

รายงานระบุว่า อุปกรณ์ดังกล่าวได้รับการพัฒนาร่วมกัน นำโดยสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) และมหาวิทยาลัยมหิดลภายใต้กรอบความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการสำรวจอวกาศเชิงลึก ภายใต้โครงการสถานีวิจัยดวงจันทร์นานาชาติ (International Lunar Research Station)

ปัจจุบัน ทีมวิจัยของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยมหิดลกำลังทำงานร่วมกับศูนย์วิทยาศาสตร์อวกาศแห่งชาติในกรุงปักกิ่งเพื่อปรับแต่งการออกแบบเชิงวิศวกรรมโดยละเอียด

ตามแผนโครงการสำรวจดวงจันทร์ระยะที่ 4 ยานอวกาศฉางเอ๋อ-7 จะทำการสำรวจภูมิประเทศขั้วใต้ของดวงจันทร์ รวมทั้งองค์ประกอบของทางกายภาพ และสภาพแวดล้อมในอวกาศ ตั้งเป้าเปิดตัวในปี 2569 เพื่อปูทางสำหรับการก่อสร้างสถานีวิจัยดวงจันทร์นานาชาติ (ILRS) ซึ่งเป็นฐานที่จีนและพันธมิตรระหว่างประเทศจะสร้างบนดวงจันทร์เพื่อการสำรวจทางวิทยาศาสตร์และการใช้ทรัพยากรในช่วงปี 2573

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 2566 สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ และศูนย์ปฏิบัติการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการสำรวจอวกาศเชิงลึก (Deep Space Exploration Laboratory : DSEL) องค์การบริหารอวกาศแห่งชาติจีน (China National Space Adminnistration: CNSA) ได้ร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการสำรวจอวกาศเชิงลึก ภายใต้โครงการสถานีวิจัยดวงจันทร์นานาชาติ เพื่อร่วมกันออกแบบและพัฒนาระบบอุปกรณ์ปฏิบัติภารกิจอวกาศ ดาวเทียมวิจัยวิทยาศาสตร์ และอุปกรณ์วิทยาศาสตร์สนับสนุนอื่น ๆ รวมถึงแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ และทักษะเชิงวิจัย ด้านดาราศาสตร์ฟิสิกส์ และวิศวกรรมดาราศาสตร์เชิงลึก ครอบคลุมถึงการสำรวจอวกาศ สภาพอวกาศ วิทยาศาสตร์ข้อมูล และการพัฒนาเทคโนโลยีและวิศวกรรมขั้นสูง

‘จีน’ เร่งพัฒนาระบบ ‘สิทธิบัตร’ รองรับอุสาหกรรมดิจิทัล หลังขึ้นแท่นผู้ส่งออกสินค้าสร้างสรรค์ เป็นที่ยอมรับในเวทีโลก

เมื่อวานนี้ (15 ต.ค. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันเสาร์ (14 ต.ค.) สำนักบริหารทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติจีน รายงานว่าการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลของจีนได้รับแรงสนับสนุนจากการเติบโตของสิทธิบัตรในอุตสาหกรรมดิจิทัล

เซินฉางอวี่ หัวหน้าสำนักบริหารฯ เผยว่าจำนวนการออกสิทธิบัตรการประดิษฐ์ในกลุ่มธุรกิจหลักของเศรษฐกิจดิจิทัลของจีนเติบโตด้วยอัตราเฉลี่ยร้อยละ 18 ต่อปีในช่วงปี 2016-2022

ขณะเดียวกันจำนวนสิทธิบัตรการประดิษฐ์ทั้งหมดในภาคธุรกิจเหล่านี้สูงแตะ 1.6 ล้านฉบับ เมื่อนับถึงสิ้นปี 2022 ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 38 ของปริมาณสิทธิบัตรภายในประเทศ

จีนได้เพิ่มความพยายามสร้างระบบสิทธิบัตรที่ดียิ่งขึ้น เพราะเป็นเครื่องมือช่วยส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล พร้อมกับยกระดับกฎเกณฑ์การตรวจสอบสิทธิบัตรเทคโนโลยีใหม่ เช่น อินเทอร์เน็ต คลังข้อมูลขนาดใหญ่ และปัญญาประดิษฐ์

ดาเรน ถัง ผู้อำนวยการองค์กรทรัพย์สินทางปัญญาโลก กล่าวว่าเศรษฐกิจดิจิทัลของจีนเป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยเศรษฐกิจของจีนได้เปลี่ยนผ่านสู่การเป็นหนึ่งในเครื่องจักรขับเคลื่อนนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีอันทรงพลังที่สุดของโลก

“จีนได้เติบโตเป็นผู้ส่งออกสินค้าสร้างสรรค์ (creative goods) จากประเทศกำลังพัฒนาในระดับชั้นนำ และทรัพย์สินทางปัญญามีส่วนสำคัญต่อการเติบโตนี้” ถังกล่าวเสริม

‘นายกฯ เศรษฐา’ เยือนจีน ชักชวน บ.เอกชนจีนลงทุนในไทย ปักหมุด 5 อุตฯ ยุทธศาสตร์ เน้น ‘พลังงานสะอาด รถยนต์ EV’

(17 ต.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานภารกิจของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ในการเข้าร่วมการประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum for International Coperration- BRF) ครั้งที่ 3 และการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 16 - 19 ตุลาคม ตามคำเชิญของนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของนายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน

เมื่อเวลา 09.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงปักกิ่งซึ่งเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชม.) Mr. Zhu Hexin, Chairman CITIC Group Corporation เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี โดย CITIC เป็นบริษัทใหญ่ของจีนที่ดำเนินธุรกิจ ทั้งในส่วนของการบริการทางการเงินแบบครบวงจร และใช้เทคโนโลยีระดับสูง กลุ่ม CITIC ได้รับการจัด อันดับอยู่ใน Fortune's Global 500 เป็นเวลา 15 ปีติดต่อกันนับตั้งแต่ปี 2552 และอยู่ในอันดับที่ 100 ในปี 2566 โดย CITIC สนใจลงทุนใน PPP Projects ขนาดใหญ่ของไทย มีความเชื่อมั่นที่จะเข้ามาลงทุนในไทยในหลากหลายธุรกิจ

โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอเชิญชวนให้ CITIC มาร่วมลงทุนในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ 5 อุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมกลุ่ม BCG หรือ Bio-Circular-Green Economy (โดยเฉพาะเกษตร อาหาร การแพทย์ และพลังงาน สะอาด) อุตสาหกรรมยานยนต์ (โดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้า) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (โดยเฉพาะต้นน้ำและ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ) อุตสาหกรรมดิจิทัลและสร้างสรรค์ และการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ ตลอดจนเชิญชวนให้มาตั้ง Regional Headquarter โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจใหม่

ขณะที่ฝ่ายบริษัทฯ ระบุว่ามีความประสงค์ขยายความร่วมมือกับไทยในอีกหลายด้าน บริษัทมีธุรกิจครอบคลุมและมีบริษัทในเครือจำนวนมาก และมีศักยภาพการแข่งขันระดับโลก รวมทั้ง ด้านพลังงานสะอาดที่ไทยสนใจ ไทยและ CITIC จะร่วมมือกันเพื่อต่อยอดและให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาล บริษัทต้องการขยายความร่วมมือและการลงทุนในไทย โดยเฉพาะสาขาที่ไทยสนใจ เช่น พลังงานสะอาด การพัฒนานิคมอุตสาหกรรม

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอชวนมาขยายธุรกิจด้านการเงินในไทย ซึ่ง CITIC มีธุรกิจเกี่ยวข้องการเงินอยู่ด้วยแล้ว เช่น บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ มีใบอนุญาตทางการเงินการธนาคารครบถ้วนและอยู่ในอันดับต้น ๆ ในจีน จึงมีศักยภาพที่จะลงทุนในไทยได้ จะได้หารือในขั้นตอนต่อไป โดยไทยส่งเสริมการผลิตรถยนต์ EV 

"จึงขอเชิญบริษัทฯ เข้ามาลงทุนลักษณะ supply chain เช่น ล้อแม็กซ์ฯ ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยไทยสนับสนุนมาตรการและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนที่น่าสนใจด้วยมาตรการของ BOI และเพื่อการพัฒนาขอเสนอให้ตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อผลักดันการลงทุนในไทยให้เกิดผล" นายกรัฐมนตรีกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังหารือกับนาย Zhu Hexin, Chairman บริษัท CITIC แล้ว วันเดียวกันนี้นายกรัฐมนตรีจะหารือกับนาย Sun Yongcai, Chairman บริษัท CRRC Group ดำเนินธุรกิจด้านขนส่งทางราง

จากนั้นหารือกับนาย Xie Yonglin, Executive Director, President and Co-CEO บริษัท Ping An Group ดำเนินธุรกิจประกันภัย, หารือนาย Alain Lam, Vice President, CFO บริษัท Xiaomi ดำเนินธุรกิจด้านเทคโนโลยี อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

ต่อด้วยการหารือกับนาย Fan Jiang, CEO บริษัท Alibaba International Digital Commerce Group ดำเนินธุรกิจ e-commerce และ การหารือกับผู้บริหารบริษัท Norinco ดำเนินธุรกิจด้านยุทโธปกรณ์

ทั้งนี้กำหนดการที่น่าสนใจนอกจากพบภาคเอกชนของจีนแล้ว นายกรัฐมนตรีจะได้พบกับ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ในเวลา 17.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นสาธารณรัฐประชาชนจีน 

จีนอยู่ตรงไหน? ในความขัดแย้ง 'อิสราเอล-ปาเลสไตน์'

ปัจจุบัน 'จีน' ถือหนึ่งในผู้เล่นที่มีบทบาทสูงในเวทีโลกทั้งในมิติเศรษฐกิจและในมิติความมั่นคง เชื่อว่า จีนไม่ได้เลือกข้างที่จะสนับสนุนด้านใด ไม่ว่าจะเป็น อิสราเอล ปาเลสไตน์ และ/หรือ ฮามาส แต่จีนเลือกข้างการสนับสนุนการสร้างสันติภาพในภูมิภาคตะวันออกกลาง

ที่เป็นเช่นนี้ เพราะ ‘จีน’ ดำเนินนโยบายเช่นนี้มาแล้วอย่างต่อเนื่องยาวนาน อย่างน้อยก็ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

โดยจีนภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงก็เริ่มสร้างสัมพันธ์ทางการทูตที่ดีกับโลกมุสลิมผ่านประเด็นที่เปราะบางที่สุดในโลกมุสลิม ซึ่งก็คือ ประเด็นปาเลสไตน์ โดยเชิญทั้ง มาห์มูด อับบาส (Mahmoud Abbas) ประธานาธิบดีแห่งรัฐปาเลสไตน์ และ เบนจามิน เนทันยาฮู (Benjamin Netanyahu) นายกรัฐมนตรีอิสราเอลให้เดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการในช่วงเวลาเดียวกัน แม้จะเป็นคนละพื้นที่ก็ตาม (จีนเชิญ เนทันยาฮูไปยังมหานครเซี่ยงไฮ้ และเชิญอับบาสไปยังกรุงปักกิ่ง) 

จีนยังใช้ความเป็นเจ้าภาพในการนำเสนอแผนการสร้างสันติภาพระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ ใน ค.ศ.2013 (Four-Point Peace Proposal) ซึ่งมีข้อเสนอคือ...

1) เรียกร้องให้มีการก่อตั้งรัฐปาเลสไตน์ที่มีอิสระเสรีภาพทุกประการอยู่ร่วมควบคู่ไปกับรัฐอิสราเอล โดยยึดแผนที่และเขตแดนตามที่ตกลงกันไว้ใน ค.ศ. 1967 (ซึ่งปัจจุบันฝ่ายอิสราเอลเข้าไปครอบครองดินแดนเกือบทั้งหมดของปาเลสไตน์) โดยให้เมืองหลวงของปาเลสไตน์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองเยรูซาเล็ม 

2) อิสราเอลยังมีสิทธิในการรักษาความมั่นคงของตนเอง แต่ต้องเริ่มต้นกระบวนการเจรจาสันติภาพเพื่อสันติสุขที่ยั่งยืนโดยมีประชาชนของทั้งสองรัฐเป็นที่ตั้ง 

3) เรียกร้องให้ฝ่ายอิสราเอลยุติการเข้าไปตั้งถิ่นฐาน การปิดล้อมและยึดครองพื้นที่ฉนวนกาซา และทั้ง 2 ฝ่ายต้องยุติการใช้ความรุนแรงต่อพลเรือน รวมทั้งต้องแสวงหาทางออกสำหรับนักโทษชาวปาเลสไตน์ร่วมกัน โดยเชื่อว่านี่คือเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการเริ่มต้นการเจรจาสันติภาพ และ 

4) เรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศเข้ามามีส่วนร่วมและให้การสนับสนุนเพื่อให้การเจรจาระหว่าง 2 ฝ่ายเกิดขึ้นได้อีกครั้ง รวมทั้งเรียกร้องให้นานาชาติให้ความช่วยเหลือแก่ชาวปาเลสไตน์เพิ่มขึ้น 

สิ่งนี้คือการแสดงความพยายามครั้งแรกของจีนที่จะเข้ามามีบทบาทในการไกล่เกลี่ยเพื่อกระบวนการสร้างความสมานฉันท์ท่ามกลางความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง และนั่นทำให้คะแนนนิยมและความชื่นชมจีนในกลุ่มประชาคมความร่วมมือสันนิบาตอาหรับ (Arab League) อันประกอบไปด้วยสมาชิก 22 ประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ได้แก่ แอลจีเรีย, บาห์เรน, คอโมโรส, จิบูตี, อียิปต์, อิรัก, จอร์แดน, คูเวต, เลบานอน, ลิเบีย, มอริเตเนีย, โมร็อกโก, โอมาน, ปาเลสไตน์, กาตาร์, ซาอุดิอาระเบีย, โซมาเลีย, ซูดาน, ซีเรีย, ตูนิเซีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเยเมน มีความนิยมต่อจีนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 

อีกทั้งจีนเองก็ยังดำเนินการผลักดันข้อเสนอสันติภาพนี้อย่างต่อเนื่อง 

โดยล่าสุดใน ค.ศ.2021 (ก่อนที่จะมีการปะทะกันครั้งล่าสุดในวันที่ 7 ตุลาคม 2023) หวัง อี้ (王毅 Wáng yì) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้นก็ยังคงเดินหน้าผลักดันข้อเสนอเพื่อสันติภาพ 4 ประการข้างต้น โดยจีนเรียกร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายหยุดปฏิบัติการทางทหารและหยุดการเป็นศัตรูกันโดยทันที และกล่าวว่า “อิสราเอลต้องใช้ความยับยั้งชั่งใจเป็นพิเศษ” รวมถึงเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และการดำเนินการแผนการสร้างสันติภาพ ค.ศ. 2013

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าการออกมาเรียกร้องของจีนใน ค.ศ. 2021 นี้ก็เป็นการตอบโต้แนวทางการขับเคลื่อนปัญหาตะวันออกกลางของสหรัฐฯ อย่างตรงไปตรงมา เพราะก่อนหน้านั้นสหรัฐฯ เพิ่งจะขัดขวางมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่เรียกร้องให้มีการหยุดยิงในพื้นที่ขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ รวมทั้งสหรัฐฯ ยังอนุมัติการขายอาวุธมูลค่า 735 ล้านดอลลาร์แก่อิสราเอล ท่ามกลางการโจมตีอย่างต่อเนื่องของอิสราเอลต่อ ศูนย์พักพิงพลเรือนในฉนวนกาซา 

การแสดงความจริงใจ และการผลักดันสันติภาพในดินแดนปาเลสไตน์อย่างต่อเนื่องของจีนถือเป็นการซื้อใจประชาคมโลกมุสลิมซึ่งรู้สึกเจ็บแค้นและชิงชังในท่าทีรุกรานของอิสราเอล รวมถึงแนวทางของโลกตะวันตกที่นำโดยสหรัฐฯ ที่มักจะใช้การสร้างความแตกแยกระหว่างรัฐต่าง ๆ ในโลกมุสลิมเพื่อเข้าไปครอบงำ และ/หรือครอบครองการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง

และนี่คือข้อความบางส่วนจาก บทที่ 19 พันธมิตรซุนกวน-เล่าปี่ แห่งศตวรรษที่ 21: พันธมิตรจีน โลกมุสลิม และเศรษฐกิจเกิดใหม่ จากหนังสือ Amidst the Geo-Political Conflicts #สมรภูมิพลิกอำนาจโลก โดย รองศาสตราจารย์ ดร.ปิติ ศรีแสงนาม และ รองศาสตราจารย์ ดร.จักรี ไชยพินิจ เผยแพร่โดย สำนักพิมพ์มติชน 

'หุ้นชิปเมกา' ว้าวุ่น!! มูลค่าหายวับ 2.7 ล้านล้านบาท  หลังแบนส่งออกชิปจีนเข้ม ด้าน 'Nvidia' ติดร่างแห

(18 ต.ค.66) เพจเฟซบุ๊ก 'เดือดทะลักจุดแตก' โพสต์ข้อความถึงกรณีหุ้นชิปสหรัฐฯ วูบ หลังแบนส่งออกชิปให้กับจีน ว่า...

ดูจากดัชนี PHLX Semiconductor Sector ของตลาดวอลล์ สตรีท สหรัฐอเมริกานะครับ วัดอุตสาหกรรมสารกึ่งตัวนำ หรือว่า 'ชิป' น่ะเอง ปรากฏว่าหุ้นดิ่งจนมูลค่าหายวับ 7.3 หมื่นล้านดอลลาร์

ทีแรกว่าจะไม่โพสต์แล้วนะครับ แบนแล้วแบนอีก แบนไม่รู้จบ ซึ่งก็แบนซ้ำๆ --- คนก็รู้ๆ อยู่แล้วว่าอเมริกา 'แบน' ห้ามส่งออกชิปขั้นสูงไปให้จีน

การแบนโน่นนิดนี่หน่อยเพิ่มขึ้นก็ไม่ได้มีอันใดน่าประหลาดใจ ... แต่เห็นข่าวนี้มันกระเพื่อมตลาดหุ้นพอควร ก็ต้องโพสต์ครับ!!!

เรื่องใหญ่ยังไง? เดิมก็ 'แบน' อยู่แล้วนะครับ ชิปขั้นสูงสำหรับ AI และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ เพื่อสกัดกั้นจีนมิให้ผงาดง้ำ

แต่ว่าตรงนี้ จะขยับเกณฑ์ความสูงลงมาหน่อย --- ว่าง่ายๆ ก็คือ ชิปขั้นไม่ต้องสูงมากก็ต้องโดนไปด้วย

วงกว้างขึ้นว่างั้น

แล้วก่อนนี้ บริษัท Nvidia ของอเมริกาเอง ที่โดน 'แบน' ชิปรุ่น A100 และ รุ่น H100 นั้น ก็ 'แก้ลำ' ด้วยการออกรุ่น A800 และรุ่น H800 ซึ่งรองๆ ลงมา ผ่านเกณฑ์ที่ส่งออกไปให้จีนได้ (แล้วก็ยังดีพอจะถูไถสำหรับทำ AI แม้จะลดหลั่นลงมา) ... ปรากฏว่าล่าสุด อเมริกาก็รวบรุ่นที่ว่านี้เข้าไปด้วย

เสร็จเลยครับ

สำหรับ หุ้น Nvidia Corp. ร่วงลงมากที่สุดระหว่างวันถึง 7.8% ขณะที่ ณ เวลา 10.26 ตามเวลาประเทศไทยหุ้นชิปดังกล่าวลดลง 4.68% หรือ 21.57 ดอลลาร์ ไปอยู่ที่ 439.38 ดอลลาร์

‘ตอลิบาน’ เข้าร่วมการประชุม ‘หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง’ ที่กรุงปักกิ่ง ตอกย้ำมิตรภาพ ‘จีน-อัฟกานิสถาน’ หนุนค้าขายกับนานาชาติ-ฟื้น ศก.

เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 66 ผู้แทนของรัฐบาลตอลิบานอัฟกานิสถาน คาดว่า จะเข้าร่วมการประชุมเวที ‘ความริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง เพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ’ (Belt and Road Forum for International Cooperation : BRF) ในกรุงปักกิ่ง ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์

บรรดาผู้เชี่ยวของจีนเชื่อว่า การมาปรากฏตัวของ ‘ตอลิบาน’ ในการประชุม ซึ่งเป็นเวทีระหว่างประเทศที่เปิดกว้างและครอบคลุมครั้งนี้ คือ ‘สิ่งตอกย้ำ’ ถึงความสัมพันธ์ที่กำลังเติบโตระหว่างจีนกับรัฐบาลอัฟกานิสถาน และตอกย้ำการสนับสนุนของจีน ในการนำพาประเทศที่ยับเยินจากสงครามมาเข้าร่วมในประชาคมโลก

ตามรายงานสำนักข่าวรอยเตอร์ ซึ่งอ้างโฆษกกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมของอัฟกานิสถานนั้น ‘นายฮาจี นูรุดดิน อาซีซี’ (Haji Nooruddin Azizi) รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม พร้อมคณะจะเดินทางเยือนกรุงปักกิ่งเพื่อเข้าร่วมการประชุมหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง โดยคาดว่า ผู้แทนรัฐบาลตอลิบานคณะนี้ ต้องการเชิญชวนให้นักลงทุนเข้ามายังอัฟกานิสถาน

โดยที่ผ่านมา รัฐบาลตอลิบานอัฟกานิสถานได้มีการหารือกับจีนอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับการทำเหมืองทองแดง และแผนการก่อสร้างถนนในภาคเหนือของอัฟกานิสถาน เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางขนส่งกับจีนโดยตรง

‘นายจู หย่งเปียว’ ผู้อำนวยการศูนย์อัฟกานิสถานศึกษาของมหาวิทยาลัยหลันโจว ระบุว่า การเข้าร่วมการประชุมของตอลิบานเท่ากับเป็น ‘สปอตไลต์’ ฉายส่องความพยายามของจีน ในการเปิดเวทีให้รัฐบาลตอลิบานอัฟกานิสถานได้มีโอกาสคบค้าสมาคมกับนานาชาติมากขึ้น และแสวงหาโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ตลอดจนชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน โดยทั้งรัฐบาลตอลิบานและรัฐบาลชุดก่อนของอัฟกานิสถาน ซึ่งชาติตะวันตกหนุนหลัง ต่างก็ชื่นชอบความริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative : BRI) เนื่องจากคาดหวังว่า จะดึงให้จีนมาลงทุนในโครงการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ในประเทศได้นั่นเอง

การประชุม BRF ครั้งที่ 3 กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-18 ต.ค. ในกรุงปักกิ่ง มีผู้แทนจากกว่า 130 ประเทศ และ 30 องค์กรระหว่างประเทศเข้าร่วม โดยคาดว่า BRF จะเป็นเวทีที่เน้นย้ำถึงความสำเร็จอันน่าทึ่งของการก่อสร้างเชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐานภายใต้ BRI

‘นายอิ้น กัง’ นักวิจัยสถาบันเอเชียตะวันตกและแอฟริกาศึกษาแห่งสถาบันสังคมศาสตร์จีน ระบุว่า บริษัทจีนบางรายกลับมาดำเนินโครงการในอัฟกานิสถานอีกครั้งตั้งแต่ปี 2565 เช่น การขุดเจาะน้ำมัน และคงจะดีมาก หากการประชุม BRF ครั้งนี้ มีความคืบหน้าในการหารือเกี่ยวกับการทำเหมืองแร่ทองแดงขนาดใหญ่ทางภาคตะวันออกของอัฟกานิสถาน และการกลับมาดำเนินความร่วมมือในโครงการอื่นๆ มากขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top