Sunday, 8 June 2025
การเมือง

แฉ!! ยุทธวิธีปั่นกระแส - ใส่ร้ายทางการเมือง มักใช้คำสั้นๆ - ซ้ำๆ มากกว่าอธิบายความยาวๆ

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ใช้งานบัญชีติ๊กต็อกชื่อ 'พี่ลุงแมนไทยแลนด์แดนสวรรค์' (@plm89thailand) ได้เผยแพร่วิดีโอพร้อมระบุแคปชันว่า “เพราะคำใส่ร้าย มันสั้นกว่าคำอธิบายเสมอ”

ทั้งนี้ได้อธิบายความเพิ่มเติมว่า “เรามารู้ทันยุทธวิธีในการใช้โซเชียลปั่นกระแส เขาใช้วิธีใส่ร้ายป้ายสี วิธีใส่ร้ายป้ายสีหรือด้อยค่าด้วยถ้อยคําซ้ำ ๆ เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะการใส่ร้าย มันสั้นกว่าคําอธิบายเสมอ เช่น เขาจะใส่ร้ายได้ประโยคซ้ำ ๆ เดิม ๆ ซ้ำ ๆ เดิม ๆ”

ผู้ใช้งานบัญชีติ๊กต็อกรายนี้ อธิบายต่อว่า “พวกเราสังเกตนะ คำซ้ำๆ เดิม ๆ คําใส่ร้ายสั้น ๆ อย่างเช่นว่า “ประยุทธ์ตรวจสอบไม่ได้” แค่นี้นะ ย้ำคำว่า “ตรวจสอบไม่ได้ ตรวจสอบไม่ได้” แต่เวลาอธิบายมันยาวกว่า คนจะไม่ฟัง ดังนั้น พี่น้องเวลาเสพข่าว ถ้าเห็นคนที่ใช้แค่ถ้อยคําสั้น ๆ เดิม ๆ ซ้ำ ๆ วนไปวนมา แล้วก็ไม่แสดงตัวตน อย่าไปสนใจ อย่าไปหลงเชื่อ เพราะเขาจะสะกดจิต เขาจะใช้คําซ้ำ ๆ ๆ สะกดจิต เพราะว่าเขารู้ว่าพี่น้องทํางานทําการ ไม่ค่อยมีเวลาดูการเมืองเยอะ ดังนั้นเขาจะใช้คําซ้ำ ๆ แค่นั้น

เพราะคําอธิบาย มันยาวกว่าคําใส่ร้ายเสมอ”

หลอกต้มคนตาย หลอกใช้คนเป็น ความสามารถอันโดดเด่นของพรรคล้มเจ้า

ถ้าเราจะจำกันได้ สมัยที่กลุ่มแก๊ง 'ทะลุวัง' ยังฮอต ๆ มีข่าวออกตามหน้าสื่อถึงพฤติกรรมการกัดเซาะ ดูหมิ่น เหยียดหยามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไม่เกรงกลัว หนึ่งในแบ็กอัปที่คอยสนับสนุนเด็กหัวรุนแรงกลุ่มนี้อย่างเขิน ๆ ก็คือพรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่มีเป้าหมาย 'ล้มล้างสถาบัน' โดยหวังจะให้ระบบการปกครองแบบเก่าที่หล่อหลอมจนสร้าง 'แผ่นดินชาติ' มาจนสำเร็จ หายไปจากความทรงจำอันงดงามของคนไทย 

พรรคการเมืองพรรคนี้ โปรโมตตนเองว่าเป็น 'คนรุ่นใหม่' เข้ามาเพื่อจะกำจัด 'นักการเมืองน้ำเน่า' ที่ชอบพูดโกหก กลับไปกลับมารายวัน อย่างที่เรา ๆ ท่าน ๆ ทราบกันดี 

แต่ก็หาได้เป็นเช่นนั้นไม่?

นอกจากวาทกรรมปลิ้นปล้อน กลิ้งกลอก ที่ฉายโชว์ให้สังคมเห็นผ่านเรื่องราวโง่ ๆ รายวัน คุณสมบัติที่ทั้ง 'บาปและเลว' อย่างโดดเด่นที่คนไทยไร้อคติรู้กันดีก็คือการเดินหน้า 'ล้างสมอง' และ 'หลอกใช้เด็ก' ให้กระทำการหมิ่นเหม่ต่อมาตรา 112 เพื่อจะสั่นสะเทือนไปถึงสถาบันที่ตนเองเกลียดชัง ไม่ว่าจะเป็นการวางเพลิงพระบรมฉายาลักษณ์ ชุมนุมสามนิ้วในที่สาธารณะด้วยการพูดให้ร้ายสถาบัน ก่อกวนขบวนเสด็จ ขีดเขียนกำแพงวัดพระแก้ว และอื่น ๆ อีกมากมายที่ไม่เคยเกิดขึ้นในยุคสมัยใดมาก่อน 

ทันทีที่เด็ก ๆ โดนคดี 112 ถูกจับเข้าตะราง ก็ฉวยใช้ภาพ 'เด็กติดคุก' ว่าถูกมาตรา 112 ทำร้ายให้เด็กต้องเสียประวัติ แต่ไม่เคย 'ห้ามปราม' เวลาที่เด็กทำเลวกับสังคมเลยสักครั้งเดียว 

เมื่อศาลปล่อยตัวชั่วคราว ให้โอกาส 'เด็กเดน' ออกมาเรียนหนังสือ แต่ 'เด็กสามนิ้ว' เหล่านี้ก็เลือกจะทำผิดซ้ำ ๆ ในแบบเดิมอีก จนศาลต้องมีคำสั่งให้ 'ขังยาว' กันหลายคน เมื่อ 'เด็กชังสถาบัน' ต้องจมอยู่ในคุก พรรคการเมืองพรรคนี้ก็ยังด่ากระบวนการยุติธรรมไทยว่า 'ทำร้ายเด็ก' และโทษมาตรา 112 ที่เป็นปัญหาทำให้เด็กเหล่านี้ต้องหมดอนาคต 

ไม่กี่วันที่ผ่านมา หญิงสาววัยเกินเด็กคนหนึ่งอยู่ในกลุ่มแก๊ง 'ทะลุวัง' ได้เสียชีวิตขณะติดคุก พรรคการเมืองที่กระหายการหลอกใช้มนุษย์เป็นเครื่องมือ ก็ยังไม่ละเว้นคนที่ตายไปแล้ว ยังอ้างว่าเพราะ 112 จึงทำให้มีคนตาย 

เฮ้อ!! คนเราถ้าจิตใจไม่ชั่วถึงขนาดตั้งใจไปหมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้ายสถาบัน รับประกันว่าไม่มีทางเฉียดใกล้ 

จึงมีแต่โจรเท่านั้นที่ดิ้นจะแก้กฎหมายเพื่อให้ง่ายในการล้มล้างการปกครอง ^^

'เพจรอยตุ๊' อินฟลูการเมืองชื่อดังถูกปิด แฟนคลับลุ้น อุทธรณ์คืนกลับมาโดยเร็ว

(13 มิ.ย.67) เพจเฟซบุ๊กของนายนพดล พรหมภาสิต แกนนำศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิด bully ทางสังคมออนไลน์ (ศชอ.) หนึ่งในเครือข่ายกลุ่ม ศปปส. ซึ่งเป็นกลุ่มปกป้องสถาบันกษัตริย์ ในชื่อ 'Nopadol Prompasit' ถูกปิด

เบื้องต้นได้มีการยื่นอุทธรณ์แล้ว ส่วนสาเหตุของการถูกปิดนั้น คาดเดาว่า อาจมีความเชื่อมโยงกับการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่ดุเดือดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับการวิจารณ์กลุ่มที่มุ่งร้ายต่อสถาบันฯ ซึ่งอินฟลูฯ หรือเพจที่มีอุดมการณ์แนวนี้ มักจะถูก Facebook จับตา เพราะมีผู้ถูกพาดพิงไปรุม Report บ่อย ๆ

วัดปรอท 18 มิ.ย. การเมืองเดือดทะลุ 112 'ก้าวไกลร่อแร่-ทักษิณจนมุม-เศรษฐา 50/50'

(15 มิ.ย. 67) ไม่ได้เป็นโลกาวินาศอะไรที่ไหนหรอก!! แต่เป็นวันที่จะบอกถึงทิศทาง (การเมือง) ประเทศไทยได้ในระดับพอสมควร...

'เล็ก เลียบด่วน' ขอเลาะเลียบล้วงลึกบ้างไม่ลึกบ้างมาเล่าสู่กันฟัง พอเป็นสังเขป ถึงทิศทาง 4 คดีในวันอังคารที่ 18 มิ.ย.ดังต่อไปนี้...

1) คดีเลือกสมาชิกวุฒิสภา - ศาลรัฐธรรมนูญจะลงมติวินิจฉัยว่า มาตรา 36,40,41 และ 42 ว่าด้วยการแนะนำตัว และการเลือกสว.3ระดับ (อำเภอ-จังหวัด-ประเทศ) ที่ระบุว่า “โดยจะลงคะแนนเลือกตนเองด้วยก็ได้” ขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 107 ที่ว่าด้วยการเลือก-การได้มาซึ่งสว.หรือไม่  เพราะผู้ร้องเห็นว่าการเขียนว่า “โดยจะลงคะแนนเลือกตนเองก็ได้” น่าจะเป็นการเปิดทางให้มีการสมยอมหรือฮั้วกัน...

เมื่อนั่งทางในประสานทางนอกแล้ว...ความน่าจะเป็นไป ดูเหมือนทุกอย่างไปต่อได้...แต่ต้องขอบอกว่าสุดท้ายแล้วการเลือกสว.จะไปต่อถึงจุดหมายปลายทางได้แบบฟ้าจรดทราย แฮปปี้ เอ็นดิ้งหรือไม่นั้น...ยังบ่แน่ดอกนาย เพราะเนื้อในมันเละตุ้มเป๊ะ...

2) คดียุบพรรคก้าวไกล - มีการเม้าท์มอยกันไม่น้อยว่า พรรคก้าวไกลอาจชนะฟาวล์รอดยุบพรรค เพราะ กกต.บกพร่องข้ามขั้นตอนการสอบสวน ดังที่พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จัดชุดใหญ่เมื่อ 9 มิ.ย. งานนี้ต้องขอบอกว่า น่าจะเป็นการประเมินและสำคัญผิด การที่ศาลรธน. ขอให้กกต.ส่งพยานข้อมูลเพิ่มเติมไปเมื่อ 12 มิ.ย.นั้น ก็เพื่อความสมบูรณ์ตามวิธีพิจารณาคดี...

ต้องย้ำเหมือนที่ท่าน กกต. 'ปกรณ์ มหรรณพ' ย้ำนั่นล่ะว่า การร้องยุบก้าวไกลหนนี้เป็นไปตามมาตรา 92 ของพรป.การเมืองคือ 'กรรมการ' กกต.ร้องเอง ไม่ใช่ตามมาตรา 93 ที่ 'นายทะเบียน' (เลขาธิการกกต.) พบเห็นต้องไปสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานนำเสนอกรรมการกกต.

รายการนี้พรรคก้าวไกลก็จะรู้ชะตาตัวเองว่าไปไม่รอด...แต่ที่กำลังต่อสู้อยู่นั้นเป็นยุทธวิธี 'โลกล้อมประเทศ' เอาสังคมกดดัน กกต.ตามสูตรเดิมๆ แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ความจริง..!!

3) คดีนายกฯ เศรษฐา - วันที่ 18 มิ.ย.ก็จะมีการพิจารณา และกำหนดรายละเอียดการไต่สวน...จากนั้นคาดว่าเดือนส.ค. ก็จะมีคำตอบว่า...เศรษฐา ทวีสิน กระทำผิด/ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง จนสิ้นคุณสมบัติรัฐมนตรีเป็นการเฉพาะตัวหรือไม่...มีเวลาที่จะเจาะลึกกันต่อ...วันนี้ตรวจสอบอาการไข้แล้วโอกาสรอด/ไม่รอด..50/50 ครับ..

4) คดีทักษิณ ชินวัตร – กรณีข้อหาความผิดม.112 คดีนี้ล่าสุดเมื่อ 4 มิ.ย.ทีมทนายทักษิณขอความเป็นธรรมครั้งที่สอง หลังอัยการสูงสุด(อสส.)สั่งฟ้องเมื่อ 29 พ.ค.และนัดวันที่ 18 มิ.ย.นำตัวส่งฟ้องศาล ทางรอดทักษิณที่จะไม่ต้องไปศาลมีสองทางคือ อสส.ยอมทบทวนคดี หรือทักษิณป่วยจริง ๆ แล้วขอเลื่อน...

ถ้าให้ฟันธงอสส. (อำนาจ เจตน์เจริญรักษ์) คงไม่ทบทวนคำสั่งฟ้อง...และทักษิณที่กำลังจ้อแจ้วเดินสายจีบบ้านใหญ่อยู่ในยามนี้ ก็ไม่น่าจะป่วยฉุกเฉินหรือหนีกลับดูไบ...น่าจะไปศาลและคงได้รับประกันตัว ต่อสู้คดี รอ อภินิหารทางกฎหมาย รอยุคเปลี่ยนแผ่นดินที่สำนักอัยการสูงสุดในเดือนต.ค...ในอดีตคดีธรรมะชโยคดีอยู่ในศาลยังมีการถอนออกมาแล้ว...

ส่วนกระแสข่าวกรณีถุงขนมภาค 2 ที่จะจ่ายผ่านเครือข่ายสแตนลีย์ โฮ เจ้าพ่อคาสิโน ฮ่องกงผู้ล่วงลับนั้น ก็ว่ากันไป ข่าวว่าตอนนี้กำลังสอบกันนัวว่าจริงหรือไม่ เพราะฝ่ายแฉบอกว่ารู้วันเดินทางไปกลับฮ่องกงของอธิบดีฝ่ายตุลาการบางคน...(ไป 24 กลับ 27 พ.ค.)...ก็สอบกันไป..

ครับ ขออนุญาตมองโลกสวยสักวัน...18 มิ.ย.ไม่โลกาวินาศ...กระบวนการยุติธรรมไทยที่ถูกใครบางคนปู้ยี่ปู้ยำมาร่วมปี ยังพอจะเป็นที่พึ่งที่พาได้...!!

‘วัน อยู่บำรุง’ ฉะ ‘สนธิ’ อย่าโม้เยอะ หลังลั่นในรายการเคยให้ 500 ล้านบาท ‘เฉลิม อยู่บำรุง’

(31 ก.ค. 67) นายวัน อยู่บำรุง สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า "ด้วยความเคารพ คุณลุงสนธิ ลิ้มทองกุล คุยทุกเรื่องกับสนธิ #อย่าโม้เยอะ"

ทั้งนี้โพสต์ของนายวัน สืบเนื่องจากนายสนธิ พูดในรายการ สนธิเล่าเรื่อง ทำนองว่า "ช่วงที่ผมมีเงินมาก เฉลิมอยากขยายพรรค มาขอเงินผม ผมหาเงินสด ๆ ให้เกือบ 500 ล้านบาท

ให้ตายเลยไปถามเฉลิมได้ถ้าผมโกหกให้ผมฉิบหาย และถ้าเฉลิมพูดไม่จริงขอให้เฉลิมตายวันรุ่งขึ้นเลย พอถึงวันเลือกตั้งนึกว่าเฉลิมจะได้สส. อย่างน้อยสัก 5-6 คน ปรากฏว่าเหลือหนึ่งคนเหมือนเดิม..."

‘พรรคล้มสถาบัน’ เด็กเช็ดรองเท้าตะวันตก ดึงโลกมา ‘ปกป้องความผิด’ ของตัวเอง

ปากร้องตะโกนโหยหาแต่ ‘ความเท่าเทียม-เสมอภาค’ แต่พฤติกรรมแต่ละดอกที่แสดงออกให้โลกเห็นกลับย้อนแย้ง กลิ้งกลอก อยากมีอยากได้แต่สิ่งที่ตนเองพึงพอใจ หาใช่ตามกฎหมายกำหนดไม่

เลว และอยากได้ในสิ่งที่ ‘เหนือคนอื่น’ ทำผิดแต่ไม่อยากโดนตัดสินว่าผิด ความชั่วช้าจึงไม่ต่างจาก ‘นักโทษนุ่งผ้าถุงชั้น 14’ ที่ยอมให้คนประณามหยามหมิ่น ทำผิดกับชาติอย่างสาหัส แต่เลือกที่จะหลบเร้นนอนนอกคุก เรียกใช้เหล่าข้าราชการที่ ‘นับถือเงิน’ มากกว่า ‘ความชอบธรรม’ คอยปกป้องคุมกันรอถึงวันสิ้นสุดคดี

คนการเมืองแบบนี้น่ะหรือที่เรียกว่า ‘คนน่านับถือ’ หรือ ‘น่าไว้วางใจ’ ควรคู่กับการยกประเทศชาติให้บริหาร สามัญสำนึกอันต่ำเตี้ยเรี่ยดินเช่นนี้หรือ ที่สมควรจะมาเป็นนักการเมืองที่ดีงามของประเทศชาติให้ผู้คนยกย่อง มองยังไงก็มองไม่เห็นแสงแห่งความชอบธรรม เกรงประเทศจะสิ้นชื่อไม่เหลือซากต่างหากถ้าปล่อย ‘คนพฤติกรรมเน่า’ เช่นนี้เป็นใหญ่เป็นโตขึ้นมาในบ้านเมืองเรา

พฤติกรรมกัดเซาะ จาบจ้วง ดูหมิ่น แถมยังทำทุกวิถีทางในการสนับสนุน ‘กลุ่มเด็กไร้อนาคต’ ให้กระทำผิด 112 เพื่อกระทบชิ่งไปถึงเบื้องสูง ทุกการกระทำตลอดหลายปีเปลือยให้เห็นล่อนจ้อนถึง ‘เจตนาร้าย’ ที่มีต่อสถาบันการปกครองไทย เมื่อจะถูกศาลตัดสินให้ตนเองอาจจะสิ้นชื่อ ก็ร้องไห้ เดินหน้าฟ้องสังคมไทย ตีโพยตีพายไปเป่าหูถึงสังคมโลกที่มี ‘หัวใจชั่ว’ เฉกเช่นตัวเอง ให้เข้ามาช่วยสาระแนสร้างกระแสให้ศาลไม่กล้าลงโทษรุนแรง

ทำผิด แต่กลับกลัวโทษจากความผิด

ทำผิด แต่กลับบอกว่าถ้าศาลลงโทษรุนแรง ศาลนั่นแหละที่ทำผิด หากศาลกล้าตัดสินรุนแรงสังคมไทยก็จะปั่นป่วน ต่างชาติจะมองประเทศไทยล้าหลัง มีตำหนิ และไม่น่าเชื่อถือ

โอ้ว! พฤติกรรมราวเด็กทำส้มที่แกะเปลือกออกแล้วกำลังจับใส่ปากตกลงบนพื้นดิน ดื้อด้านชี้จะเอาส้มลูกใหม่ให้ได้ ร้องไห้งอแง เดินสายฟ้องคนโน้นทีคนนี้ที หาคนช่วยไม่เลือกบ้านเลือกเมืองประสา ‘เด็กโง่ไร้น้ำยา’ ไปวัน ๆ อย่าเป็นเลยนักการเมือง มันจะทำให้ชาติดูน่าอดสูกว่าเก่า

มาเป็น ‘เด็กเช็ดรองเท้า’ ให้ตะวันตกดีกว่า สมฉายา ‘ขี้ข้าฝรั่ง’ ดี

‘เกาหลีใต้’ วุ่น!! คนในชาติคลั่งการเมืองหนัก สะเทือนลามเรื่องความรัก หลังผลโพล ชี้!! 58.2% ไม่อยากอินเลิฟกับคนเห็นต่างทางการเมือง

เมื่อวานนี้ (6 ส.ค. 67) นสพ.The Korea Herald ของเกาหลีใต้ รายงานข่าว 6 in 10 S. Koreans won't date across political lines: survey ระบุว่า เมื่อวันที่ 4 ส.ค. 2567 สถาบันสุขภาพและกิจการสังคมแห่งเกาหลี เผยแพร่ผลสำรวจกลุ่มตัวอย่างชาวเกาหลีใต้จำนวน 3,950 คน อายุระหว่าง 19 - 75 ปี ซึ่งดำเนินการเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา พบว่า กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 58.2 ไม่ต้องการสร้างความสัมพันธ์โรแมนติกกับบุคคลที่มีความเห็นทางการเมืองแตกต่างกัน

กลุ่มตัวอย่างกว่าร้อยละ 70 ยังคัดค้านการทำงานร่วมกับบุคคลที่มีความเชื่อทางการเมืองตรงข้ามกัน และร้อยละ 33 ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมงานสังสรรค์ทางสังคม กับคนที่มีมุมมองทางการเมืองตรงข้ามกัน และผลการสำรวจอื่น ๆ ยังแสดงให้เห็นว่า เกาหลีใต้กำลังประสบกับปัญหาประชาชนมีความแตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมืองอย่างมาก ซึ่งชี้ให้เห็นถึงรอยร้าวที่ลึกซึ้งขึ้นระหว่างกลุ่มเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยมในประเทศ

รายงานข่าว กล่าวต่อไปว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ร้อยละ 92.3 มองว่าความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวามีนัยสำคัญ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 87 ในปี 2561 โดยมีกลุ่มตัวอย่างเพียงร้อยละ 21 เท่านั้นที่ระบุว่าไว้วางใจรัฐสภา ส่วนความขัดแย้งอื่น ๆ ในสังคมเกาหลีใต้ที่ผู้ตอบแบบสอบถามระบุ ได้แก่ ระหว่างพนักงานประจำกับพนักงานชั่วคราว ร้อยละ 82.2 ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ร้อยละ 79.1 ระหว่างคนรวยกับคนจน ร้อยละ 78 และระหว่างบริษัทขนาดใหญ่กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) ร้อยละ 71.8

โดยรวมแล้ว กลุ่มตัวอย่างให้คะแนนความสามัคคีในสังคมโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 4.2 จากระดับ 10 ซึ่งลดลงจาก 4.31 ในปี 2565 และ 4.59 ในปี 2564 ในขณะเดียวกัน ระดับความขัดแย้งทางสังคมโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 2.93 จาก 4 เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 2.88 ในปี 2561 อย่างไรก็ตาม นอกจากความแตกต่างทางสังคมและการเมืองแล้ว ระดับความพึงพอใจในชีวิตของแต่ละบุคคลกลับเพิ่มขึ้น โดยระดับความสุขโดยเฉลี่ยในระดับ 10 อยู่ที่ 6.76 เมื่อปี 2566 เพิ่มขึ้น 0.43 จุดจาก 6.33 ในปี 2564 ในทางกลับกัน ระดับภาวะซึมเศร้าลดลงเหลือ 2.57 เมื่อปี 2566 จาก 2.92 ในปี 2564

‘เล็ก คาราบาว’ ลั่น!! สูงวัยแล้ว เพลาๆ เรื่องการเมือง ชี้!! ควรเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่แสดงฝีมือ-โชว์พลังบ้าง

(13 ส.ค. 67) ปรีชา ชนะภัย หรือ เล็ก คาราบาว โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Lek Carabao Solo’ ว่า เมื่อวานขณะอยู่บนเวทีพี่แอ๊ดพูดกับผู้ชมว่า “ผมแก่แล้ว ไม่อยากพูดเรื่องการเมืองแล้ว” แล้วแกก็หันมาทางผมพร้อมพูดว่า “เดี๋ยวโดนพี่เล็กว่า พี่เล็กเค้าห้ามไว้” อิอิ เป็นมุขน่ารักประจำในช่วงนี้น่ะครับ 

แต่จะว่าไปตามจริง เรื่องการเมืองนั้น พี่แอ๊ดทำมามากมายเหลือเกิน ไปดูภาพข่าวเก่า ๆ ดิ ทำแม้กระทั่งโกนหัวประท้วงก็เคยมาแล้ว

ในมุมของผม เห็นว่าพี่แอ๊ดยังทำอะไรเกี่ยวกับการเมืองและประเทศของเราได้อีกมากมาย เช่นเขียนหนังสือ เป็นต้น อีกอย่าง พวกเราสว.กันแล้ว ควรปล่อยให้ลูกหลานเค้าแสดงฝีมือแสดงพลังกันบ้าง

ทุกสิ่งอย่างคือบทพิสูจน์ พี่แอ๊ดเองก็พูดให้ได้ยินอยู่บ่อย ๆ ว่า เด็ก ๆ สมัยนี้เก่ง และมีแนวคิดที่น่าสนใจ แกว่าแกยังชอบฟังพวกเค้าเวลาอภิปรายกันเลย

มะม่วงไม่เด็ดก็ร่วงเองถ้ามันสุก ทุกอย่างคือบทพิสูจน์เมื่อมันพร้อม เคยมีพิธีกรหลายท่าน ถามผมถึงหัวข้อประมาณ เคยเป็นห่วงว่าวงเพื่อชีวิตจะหายไปไหม วงเพื่อชีวิตจะอ่อนแรงไหม หรืออะไรแนว ๆ นี้

คำตอบของผมคือ ไม่รู้สึกห่วงแม้แต่น้อย เพราะวงเพื่อชีวิตคือแนวสะท้อนภาพของชีวิตผู้คน ดังนั้นเมื่อพวกเราไปเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้กันแล้ว ลูก ๆ หลาน ๆ เค้าก็ต้องทำหน้าที่สะท้อนภาพสังคมในยุคของเค้ากันต่อได้ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เพียงแต่วงเพื่อชีวิตในอนาคตอาจใส่ชุดมนุษย์อวกาศขึ้นเวทีก็ได้ใครจะรู้เรื่องวันข้างหน้าล่ะ ว่าไหม อิอิ

เมื่อเวลาพี่แอ๊ดนิ่ง ๆ และปล่อยวาง แกดูน่าเคารพมาก ๆ เลย เพราะพี่แอ๊ดเป็นคนที่มากไปด้วยความสามารถ ประสบการณ์ก็เปี่ยมล้น แค่เขียนหนังสือ และให้คำปรึกษาลูก ๆ หลาน ๆ ก็ถือว่าสุด ๆ แล้วหละครับ

ด้วยความเป็นเพื่อน ก็ได้แค่มองๆ และประคับประคองชีวิตในยามที่ควรสงบร่มเย็นไม่อยากให้เพื่อนโดนทัวร์ลงโดยไม่จำเป็น

สำหรับผมก็เห็นเช่นพี่แอ๊ดว่า เด็ก ๆ สมัยนี้เค้ามีความรู้ความสามารถและวิสัยทัศน์ที่น่าสนใจไม่น้อยเลย เพียงแต่พวกเค้ายังต้องฝึกวิทยายุทธเพิ่มเติมอีกหน่อยถึงจะเทียบชั้นพวกผู้เฒ่าได้

เรื่องนี้ภรรยาผมสนใจเลยถามผมว่า “เด็ก ๆ เค้าเก่ง แล้วทำไมถึงยังเทียบชั้นกับพวกผู้เฒ่าไม่ได้ล่ะ“ หึ หึ อยากรู้เหรอ ”พวกผู้เฒ่าเค้าพิษเยอะ“ จ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!! จ๊ากยาวเลย

สวัสดียามเช้าที่เปียกแฉะ

'อัษฎางค์' มอง!! 'โพสต์พี่เล็ก' ไม่เอี่ยวการเมือง แต่เตือน 'พี่แอ๊ด' ให้หยุดพูดเรื่องการเมือง

(14 ส.ค. 67) อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า…

จากแอ๊ด เล็ก จนมาถึงเอ็ด

ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนเลยว่า เห็นข่าวนี้มาตั้งแต่แรก และไม่อยากมีดราม่าหรือมีส่วนร่วมในดราม่านี้เลย แต่มันเห็นข่าวหรือที่มีคนเอามาแชร์กันซ้ำ ๆ สุดท้ายก็อดใจไม่ได้ที่อยากจะพูดในมุมที่ตัวเองเห็นบ้าง

จากที่เห็นในข่าวหรือที่คนพูดกันสนั่นโซเชียลคือ พี่เล็กโพสต์ข้อความแสดงพฤติกรรมเหมือนพี่แอ๊ดที่เชียร์ก้าวไกลว่าโดนศาลรังแกตัดสินยุบพรรค แต่เท่าที่ผมอ่านจากโพสต์ของพี่เล็ก ซึ่งเป็นต้นเรื่องดรามานี้ ผมว่าไม่น่าจะใช่

ขอเริ่มต้นแบบนี้ ผมไม่รู้หรอกว่าพี่เล็กเชียร์ก้าวไกลหรือไม่ หรือพี่เล็กสนับสนุนการเมืองฝ่ายไหน เพราะยังไม่เคยเห็นพี่เล็กเชียร์ใครหรือด่าใคร แต่จากที่อ่านตามตัวหนังสือจากโพสต์ของพี่เล็ก ผมว่าประเด็นสำคัญเลยคือ “เรื่องที่พี่เล็กทั้งเตือน ทั้งห้าม ทั้งปราบให้พี่แอ๊ดหยุดพูดเรื่องการเมืองเสียที” ก็เท่านั้น

ประโยคนี้ที่พี่เล็กเล่าว่า… “เมื่อวานขณะอยู่บนเวทีพี่แอ๊ดพูดกับผู้ชมว่า "ผมแก่แล้ว ไม่อยากพูดเรื่องการเมืองแล้ว" แล้วแกก็หันมาทางผมพร้อมพูดว่า "เดี๋ยวโดนพี่เล็กว่า พี่เล็กเค้าห้ามไว้" 

ตรงนี้มันแสดงให้เห็นผ่านตัวหนังสือว่า “ไม่มีใครกล้าเตือนพี่แอ๊ด และพี่แอ๊ดไม่ฟังใคร แต่พี่แอ๊ดฟังพี่เล็ก และอาจจะมีพี่เล็กคนเดียวที่ทำได้” และทบทวนดูดี ๆ ไอ้คำพูดของพี่แอ๊ดที่ว่า "ผมแก่แล้ว ไม่อยากพูดเรื่องการเมืองแล้ว" ผมว่าเกิดการเตือนมาหลายครั้งแล้ว และทุกครั้งพี่แอ๊ดก็ทำซ้ำ แล้วหลังจากนั้นก็พูดซ้ำอีกว่า “ไม่เอาแล้ว ไม่พูดแล้ว” แต่เชื่อเถอะ แกไม่หยุดหรอก มันถึงเกิดเรื่องแบบนี้ซ้ำ ๆ ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว

บรรทัดต่อมาพี่เล็กเขียนต่อว่า… “ในมุมของผม เห็นว่าพี่แอ๊ดยังทำอะไรเกี่ยวกับการเมืองและประเทศของเราได้อีกมากมาย เช่นเขียนหนังสือเป็นต้น อีกอย่าง พวกเราสว.กันแล้ว ควรปล่อยให้ลูกหลานเค้าแสดงฝีมือแสดงพลังกันบ้าง“

ตรงนี้ อ่านดูดี ๆ ว่าพี่เล็กไม่ได้พูดถึงพรรคการเมืองหรือนักการเมือง ไม่ได้พูดว่า “ปล่อยให้ก้าวไกลได้แสดงฝีมือบ้าง“

ประโยคนี้… “พวกเราสว.กันแล้ว ควรปล่อยให้ลูกหลานเค้าแสดงฝีมือแสดงพลังกันบ้าง” ผมเข้าใจว่า พี่เล็กพูดถึงพวกเราประชาชนคนอื่น ๆ พูดว่า ปล่อยให้คนอื่นเค้าพูดเรื่องการเมืองกันไป วิจารณ์การเมืองกันไป เรา พี่แอ๊ด พี่เล็ก เป็น สว. เป็นผู้สูงวัยแล้ว หยุดเถอะแล้วปล่อยให้เด็ก ๆ เขาพูดกันไป ปล่อยให้เด็ก ๆ เค้าวิจารณ์การเมืองไป แต่พี่แอ๊ดควรหยุดพูดได้แล้ว” ไม่ใช่  “ปล่อยให้เด็ก ๆ (พรรคก้าวไกล) เขาแสดงฝีมือกันไป”

ส่วนตรงนี้…. “พี่แอ๊ดเองก็พูดให้ได้ยินอยู่บ่อย ๆ ว่า เด็ก ๆ สมัยนี้เก่ง และมีแนวคิดที่น่าสนใจ แกว่าแกยังชอบฟังพวกเค้าเวลาอภิปรายกันเลย” ตรงนี้ชัดเจนว่า พี่เล็กพูดให้เห็นภาพว่าพี่แอ๊ดเชียร์ก้าวไกล ชอบดูการอภิปรายของก้าวไกลในสภา

ส่วนตอนท้ายซึ่งเป็นเหมือนบทสรุปที่ว่า…“เมื่อเวลาพี่แอ๊ดนิ่ง ๆ และปล่อยวาง แกดูน่าเคารพมาก ๆ เลย”

ตรงนี้แปลว่า “พี่แอ๊ดอยู่นิ่ง ๆ นะดีแล้ว”

“มะม่วงไม่เด็ดก็ร่วงเองถ้ามันสุก” ผมไม่แน่ใจว่าพี่เล็กเปรียบเทียบมะม่วงกับอะไร แต่มันเป็นเรื่องจริงของมะม่วงสุก

สรุปนะ พี่เล็กสนับสนุนการเมืองขั้วไหน ผมไม่รู้ และเอาจริง ๆ ลองทบทวนกันดูได้ว่า พี่แอ๊ดพูดหรือวิจารณ์การเมืองบนเวทีคอนเสิร์ตหรือหน้าเพจโซเชียลมีเดียบ่อย ๆ แล้วเหมือนคนแก่ในครอบครัวเรา ๆ ท่าน ๆ อีกหลาย ๆ คน ที่วันนี้พูดอย่าง วันหน้าทำอีกอย่าง แล้วมักทำอะไรย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ ทั้งที่คนรอบข้างทั้งห้าม ทั้งดุ ทั้งบ่น แต่ก็มีพฤติกรรมเหมือนเดิม

คราวก่อนพี่แอ๊ดด่าลุง พูดพาดพิงถึงเบื้องสูง แล้วผ่านไปอีกไม่กี่วันก็คิดได้หรือไม่ก็มีคนไปสะกิด แล้วแกก็ออกมาบริจาคเงิน 50 ล้านแก้เก้อ คืออยู่ดี ๆ ก็เสียเงินเพียงเพราะปากเสียเผลอไปพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด เหมือนคราวนี้ก็เจอกระแส แบนทุกอย่างที่มีชื่อ คาราบาว ตั้งแต่วงดนตรีคาราบาวยันเครื่องดื่มคาราบาวแดง คือ แกพูดความเห็นส่วนตัว แต่เพื่อนร่วมวง ร่วมธุรกิจ ซวยตามกันทั้งยวง

“แต่พี่เล็ก คือ คนที่ไม่วิจารณ์การเมือง ออกอากาศเลย”

พี่เล็กจะชอบขั้วการเมืองไหนผมไม่รู้ และผมว่าไม่สำคัญว่าแกจะเชียร์ใคร เราเลือกที่จะอยู่ในสังคมประชาธิปไตย เราต้องเคารพในความต่างนั้น

เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งซึ่งรักกันมากมาตั้งแต่เด็ก ๆ และเป็นคนดีมากด้วย แต่เขาชอบทักษิณ พอมีธนาธร เขาก็เปลี่ยนมาชอบธนาธร แต่ถามว่าความเป็นคนมีอัธยาศัย มีมิตรไมตรี ชอบช่วยเหลือผู้อื่นของเขาเปลี่ยนไปหรือไม่ คำตอบคือไม่เปลี่ยนไปเลย และผมกับเขาก็ยังรักกันฉันเพื่อนสนิทเหมือนเดิม แต่เราจะไม่คุยกันเรื่องการเมือง เพราะเราอยู่คนละขั้ว 

ถามว่า เราต้องเลิกคบกันมั้ย ผมว่า ตราบใดที่เราและเขาไม่คิดทำลาย ชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ เราก็ยังเป็นเพื่อนกันไป 

ทัศนคติทางการเมือง อาจไม่ได้เกิดจากการศึกษาหรือความฉลาดที่ต่างกันหรือใครมีมากกว่ากัน เขาไม่ฉลาดหรือโง่กว่าเรา แต่อาจเกิดจากความสามารถในการรับรู้ แยกแยะที่ต่างกัน

คนก๊วนเดียวกับพี่แอ๊ด ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือน้อง ๆ ของพี่แอ๊ด ไม่ได้แปลว่า เขาคิดหรือเห็นคล้อยตามพี่แอ๊ดไปหมด

ต่อให้เพื่อนหรือน้อง ๆ คิดเหมือนพี่แอ๊ด ชอบก้าวไกลเหมือนพี่แอ๊ด แต่ตราบใดที่เขาไม่เคยแสดงพฤติกรรมหรือมีคำพูดใด ๆ หลุดปากออกมาเหมือนพี่แอ๊ด ผมว่า ตราบนั้น เขาเหล่านั้น ย่อมไม่ควรได้รับผลกรรม ที่แปลว่า ผลจากการกระทำ เหมือนอย่างพี่แอ๊ด หรือได้รับผลกรรมตามการกระทำของพี่แอ๊ด กรรมที่ใครทำก็เป็นของคนนั้น

เพราะฉะนั้น อย่าไปเหมาว่า คนก๊วนเดียวกับพี่แอ๊ด จะปากเสียเหมือนพี่แอ๊ด (ขออนุญาตใช้คำตรง ๆ) ยี่ห้อ คาราบาว ไม่ว่าจะเป็นวงดนตรีหรือเครื่องหมายการค้าก็เช่นกัน เขาก็อาจจะไม่ได้อยากจะปากเสียจนจะพากันล่มจมตามกันไป

เพราะฉะนั้นผมว่า เราอยู่ในสังคมเสรีประชาธิปไตย เราควรเคารพต่อความต่างของกันและกัน และทุกคนก็ควรมีเสรีภาพที่ไม่ใช่การแห่ตามกัน คือ ใครอยากจะแบนพี่แอ๊ดก็แบนไป ส่วนใครโกรธจนอยากจะแบนทุกอย่างที่มีคำว่าคาราบาวก็ทำไป แต่ใครตั้งสติได้ก็แยกแยะกันหน่อยก็แล้วกัน 

สำหรับผมนะ สิ่งที่ผมเห็นจากตัวอักษรในโพสต์นี้ของพี่เล็กคือ “ไม่มีใครกล้าเตือนพี่แอ๊ด และพี่แอ๊ดไม่ฟังใคร แต่พี่แอ๊ดฟังพี่เล็ก และอาจจะมีพี่เล็กคนเดียวที่ทำได้”

และสิ่งที่พี่เล็กทำคือ เตือนพี่แอ๊ดว่า “เพื่อนรักมึงหยุดพูดเรื่องการเมืองเสียที เพราะปากของมึงจะพาเพื่อน ๆ และลูกน้องซวยกันทั้งยวง”

“ไม่ว่าเรื่องอะไรในสังคมจะผิดหรือถูก จะถูกใจหรือไม่ถูกใจ มึงแก่แล้ว มึงพูดมานานแล้ว ถึงคราวที่ต้องปล่อยให้เด็กเขาพูดแทนมึงได้แล้ว”

ผมแปลความจากตัวหนังสือและจากในใจของพี่เล็กได้แบบนี้

ผมเนี่ยคือแฟนตัวยงของคาราบาวตั้งแต่ยุคบุกเบิก ที่ไม่รู้ว่าจะพูดถึงพี่แอ๊ดยังไงดีเลย ได้แต่เหมือนเห็นภาพญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งในครอบครัวที่แก่ตัวแล้วหลุดโลกพูดให้ตายไปข้างหนึ่งก็พูดไม่รู้เรื่อง วันนี้พูด พรุ่งนี้คิดได้ รุ่งขึ้นกลับมาเหมือนเดิม ผมว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่แอ๊ด พี่เล็ก และอีกหลายพี่ที่เจอลูกบ้าเที่ยวสุดท้ายของแอ๊ดถึกควายทุยตัวจริง

สรุปสุดท้าย ผมคิดว่า พี่เล็กไม่ได้โพสต์เรื่องการเมือง แต่เป็นเรื่องการบ้านในบ้านคาราบาว และสิ่งที่พี่เล็กทำคือ เตือนพี่แอ๊ดให้หยุดพูดเรื่องการเมือง ไม่ใช่โพสต์เชียร์การเมืองขั้วใดทั้งสิ้น ในโพสต์ของพี่เล็กที่มีคนตามไปด่าพี่แอ๊ดแล้วพี่เล็กจะโดดมาปกป้องเพื่อนผมก็ว่าไม่ผิดปกติอะไร เพราะฉะนั้นหยุดดราม่ากับพี่เล็กดีมั้ย

ใครจะนิยมการเมืองขั้วไหน ยังไงก็เป็นคนไทยด้วยกันทั้งนั้น

คนชั่วคือ นักการเมืองที่มันแหกตาประชาชน ส่วนประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองชั่ว อาจไม่ได้ชั่วตามนักการเมืองชั่ว ๆ เหล่านั้น

อะไรก็เกิดขึ้นได้ในโลกนี้
คนที่ร้องเพลงต่อต้านนายทุน ร่ำรวยจากบทเพลงงานจนกลายเป็นนายทุน
คนที่ร้องเพลงเพื่อแสดงจุดยืนว่าอยู่เคียงข้างประชาชน สุดท้ายกลับไปยืนเคียงข้างการเมือง
คนที่ร้องเพลงหรือแหกปากถึงประชาธิปไตย นิยมอะไรที่ตรงข้ามกับประชาธิปไตย

คาราบาวแปลว่า ควาย

แต่ใช่ว่าสมาชิกและแฟนเพลงทุกคนจะเป็นควาย 

แยกกันดี ๆ เราถึงจะเห็นว่าคนไหนคาราบาว หรือคนไหนควาย หรือคนไหนถึกควายทุย

เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค

'Mission To The Moon' เผย!! แบรนด์ใหญ่ในสหรัฐฯ เริ่มเลี่ยงเอี่ยว 'การเมือง' หวั่น!! พาแบรนด์ไปพัง พร้อมเลือกใช้ 'เหล่าอินฟลูฯ' ที่ไม่คลั่งการเมืองมากขึ้น

ไม่นานมานี้ Mission To The Moon ได้นำเสนอบทความที่สืบเนื่องจากแบรนด์ใหญ่ในสหรัฐฯ เริ่มปรับทิศทาง ไม่นิยมจ้างอินฟลูฯ ที่ตื่นรู้ทางการเมือง โดยมีสาระสำคัญ ระบุว่า...

ปัจจุบันนี้อาชีพ ‘อินฟลูเอนเซอร์’ ถือเป็นสายงานที่มาแรงและสร้างกำไรให้กับตัวคนทำ รวมถึงบริษัท และแบรนด์ผู้จ้างได้อย่างมากมายมหาศาล

ด้วยพลังของโซเชียลมีเดียที่ผนวกกับพลังของความคิดสร้างสรรค์ ทำให้คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพก็สามารถสร้างคอนเทนต์ พัฒนาทักษะการเล่าเรื่องและตัดต่อ รวมถึงค่อยๆ เก็บเกี่ยวความนิยมจนกลายมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์ได้ทั้งนั้น

ยิ่งไปกว่านั้นความนิยมในตัวของอินฟลูเอนเซอร์เองก็ยังสามารถต่อยอดมูลค่าได้อีกมากมาย เช่น ทำแบรนด์เป็นของตัวเอง เป็นต้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าคนที่มาสายอาชีพนี้จะประสบความสำเร็จกันถ้วนหน้าทุกคน

เพราะความผันผวนรอบทิศทางทำให้เกิดความไม่แน่นอนขึ้นในตลาดแรงงาน ยิ่งในอุตสาหกรรมอินฟลูเอนเซอร์ที่มีทั้งระดับเล็กไปจนถึงระดับใหญ่ ทั้งอินฟลูเอนเซอร์ที่ดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายโดยตรงของแบรนด์ได้ และอินฟลูเอนเซอร์ที่อาจเพิ่มโอกาสใหม่ๆ หรือกลุ่มลูกค้าใหม่ให้กับแบรนด์

แต่ก็ใช่ว่าอินฟลูเอนเซอร์ที่มีชื่อเสียง และมียอดผู้ติดตามสูงๆ จะได้รับโอกาสจากทุกแบรนด์ เพราะผู้จ้างเองก็ต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ของอินฟลูเอนเซอร์ ลักษณะของกลุ่มผู้ติดตาม รวมไปถึงประเด็นความอ่อนไหวอื่นๆ ที่อาจกระทบกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ด้วย และหนึ่งในประเด็นที่อาจเรียกได้ว่าอ่อนไหวจนถึงขั้นทำให้อินฟลูเอนเซอร์บางคนกลายเป็น ‘โปรไฟล์ที่มีความเสี่ยงสูง’ ต่อแบรนด์ก็คือเรื่องการเมืองนั่นเอง

>> เพราะ ‘การเมือง’ คือเรื่องอ่อนไหวในโลก Marketing
การทำการตลาดให้กับสินค้าและแบรนด์ผ่านอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer Marketing) มีอิทธิพลกับสร้างการรับรู้และกำไรให้กับแบรนด์สูงมากจริงๆ และแบรนด์ต่างๆ เองก็พร้อมที่จะลงทุนเม็ดเงินมหาศาลเพื่อทำการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ที่มีชื่อเสียง เช่น Walmart, Kraft Heinz หรือ Coca-Cola

โดยจากการรายงานของ CNBC มีการคาดการณ์ว่า Creator Economy หรือเศรษฐกิจจากการสร้างสรรค์คอนเทนต์ของเหล่าครีเอเตอร์จะมีมูลค่าถึง 528 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 และสิ่งที่เป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจรูปแบบนี้ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างผู้สร้างคอนเทนต์กับแบรนด์ หรือบริษัทที่ลงโฆษณา

โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่ความเห็นทางการเมืองมักประกอบสร้างขึ้นมาจากทฤษฎีสมคบคิด และอาจนำไปสู่ความรุนแรงได้ยิ่งต้องระมัดระวังในเรื่องของคอนเทนต์ที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองมากเป็นพิเศษ เพราะถ้าหากมีการคว่ำบาตรอินฟลูเอนเซอร์เกิดขึ้น คนที่จะโดนผลกระทบหนักที่สุดก็คือแบรนด์ที่เป็นผู้จ้างนั่นเอง

ยิ่งไปกว่านั้นการที่คอนเทนต์ของอินฟลูเอนเซอร์ที่แบรนด์จ้างไปอยู่ใกล้กับคอนเทนต์อื่นๆ ที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง ก็จะทำให้ส่งผลต่ออัลกอริทึม ยอดการเข้าถึง และอาจส่งผลกระทบไปถึงทัศนคติที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์อีกด้วย

ด้วยเหตุนี้แบรนด์จึงต้องมีการศึกษาภาพลักษณ์ของอินฟลูเอนเซอร์ในตลาดเป็นอย่างดี เพื่อพิจารณาถึงกำไร ผลประโยชน์ รวมไปถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเมื่อมีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ คริชนา สุบรามาเนียน (Krishna Subramanian) ผู้ก่อตั้ง Captiv8 บริษัทการตลาดกล่าวว่า แบรนด์ต้องการที่จะรู้ว่าพวกเขาต้องเผชิญความเสี่ยงอะไรบ้าง ถ้าพวกเขาจะจ้างอินฟลูเอนเซอร์สักคนเพื่อทำการตลาดให้กับสินค้า

โดยเครื่องมือ AI ของ Captiv8 จะแบ่งเกรดของอินฟลูเอนเซอร์หรือเน็ตไอดอลในสหรัฐฯ ออกเป็นระดับต่างๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจของแบรนด์ เช่น...

- เกรด A หมายถึง ‘โปรไฟล์ที่ปลอดภัย’ หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่ไม่นำเสนอคอนเทนต์ที่มีความอ่อนไหวทางสังคม
- เกรด C ที่หมายถึง ‘โปรไฟล์ที่ต้องระวัง’ หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่พูดถึงเรื่องการเมือง และประเด็นอ่อนไหวทางสังคมบ่อย ๆ
- รวบรวมและวิเคราะห์เนื้อหาที่เป็นประเด็น เช่น ประเด็นทางสังคมที่ละเอียดอ่อน ความตายและสงคราม คำพูดที่สร้างความเกลียดชังจากตัวครีเอเตอร์จากการรายงานข่าว

นอกจากนี้ก็ยังมีบริษัท Viral Nation ผู้ให้บริการทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียที่สร้างบริการ Advanced Brand Safety ในการช่วยวิเคราะห์คำสำคัญและตรวจจับคอนเทนต์ที่อาจเป็นประเด็นอ่อนไหว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อแบรนด์ในภายหลังได้

>> ตระหนักรู้ทางการเมืองอย่างไรไม่ให้กระทบกับ ‘ภาพลักษณ์’ ของเรา?
แม้ว่าประเทศที่เป็นประชาธิปไตยจะให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง แต่ในโลกธุรกิจกลับไม่เป็นเช่นนั้น ความคิดเห็นที่ของคนที่มีอุดมการณ์ขัดแย้งกันอาจทำให้เกิดอคติขึ้น ส่วนแบรนด์เองก็ถือว่ามีความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ใกล้ชิดกับอินฟลูเอนเซอร์ ทำให้หลายแบรนด์ไม่สามารถลอยตัวเหนือดรามาที่เกิดขึ้นได้

แต่การจะทิ้งอุดมการณ์ไปเลยก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก เพราะยังมีผู้บริโภคอีกจำนวนไม่น้อยที่ให้ความสำคัญกับจุดยืนของแบรนด์ และอินฟลูเอนเซอร์ที่แบรนด์จ้าง ถ้าเช่นนั้นแล้วเหล่าคอนเทนต์ครีเอเตอร์ทั้งหลายควรจะรับมือกับความต้องการของแบรนด์ และสถานการณ์การเมืองที่เพิกเฉยไม่ได้นี้อย่างไร?

>> แสดงออกอย่างมีมารยาท
ภาพลักษณ์และวิธีการสื่อสารของอินฟลูเอนเซอร์สำคัญอย่างมากในยุคนี้ โดยเฉพาะคนที่ใช้โซเชียลมีเดียทำมาหากินก็ต้องพึงระลึกไว้เสมอว่าทุกการโพสต์จะถูกเผยแพร่ และแชร์ต่ออยู่บนโลกออนไลน์ ดังนั้นความคิดและการแสดงออกของเราจะสร้างผลกระทบในอนาคตอย่างแน่นอน แต่จะเป็นผลดีหรือผลร้ายนั้นขึ้นอยู่กับวิธีการสื่อสารของเรา

>> เคารพในความเห็นที่ต่างกัน
อาชีพอินฟลูเอนเซอร์ทำให้เราได้พบเจอกับความคิดเห็นมากมาย ทั้งความเห็นที่คล้ายกับเราและความเห็นที่ต่างจากเรา ดังนั้นต้องเข้าใจว่าคนทุกคนสามารถมีมุมมอง ความคิดเห็นและอุดมการณ์ที่แตกต่างกันได้ แต่ต้องเคารพในเหตุผลของทุกฝ่าย และไม่สร้างความขัดแย้งด้วยคำพูดที่ก่อให้เกิดความเกลียดชัง

>> คำนึงถึงผลประโยชน์ของตัวเอง
ในกรณีที่ประเด็นความอ่อนไหวนั้นเป็นเรื่องที่เฉพาะกลุ่มมาก ๆ และไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเราโดยตรง คนที่ทำอาชีพคอนเทนต์ครีเอเตอร์ หรืออินฟลูเอนเซอร์อาจจะต้องไตร่ตรองถึงความคุ้มค่าอย่างถี่ถ้วน ว่าการแสดงความคิดเห็นออกไปนั้นจะส่งผลกระทบอย่างไรกับภาพลักษณ์และอาชีพของเรา แล้วจะได้อะไรกลับมาคุ้มกับที่เสียไปหรือไม่?

สุดท้ายนี้ แม้ว่าเรื่องบางเรื่องอาจกำลังกลายเป็นที่ถกเถียงกันอย่างน่าติดตาม แต่ในฐานะของผู้ประกอบอาชีพอินฟลูเอนเซอร์ หรือผู้สร้างคอนเทนต์ออนไลน์จำเป็นจะต้องคำนึงถึงทุกฝ่ายที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ผู้จ้าง ภาพลักษณ์ของตัวเราเอง และทัศนคติของโลกอินเทอร์เน็ต รวมไปถึงกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบกับประเด็นอ่อนไหวที่เกิดขึ้นด้วย

การคำนึงถึงทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบอย่างถี่ถ้วน จะช่วยให้เราระมัดระวังในการผลิตและเผยแพร่คอนเทนต์มากขึ้น มีการตรวจสอบที่รัดกุมมากขึ้น ซึ่งจุดนี้เองจะช่วยเสริมภาพลักษณ์ของอินฟลูเอนเซอร์ให้ดูน่าเชื่อถือได้ และถ้าหากเกิดสถานการณ์ไม่คาดคิดขึ้น อินฟลูเอนเซอร์ซึ่งเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ก็มีส่วนผิด และจำเป็นที่จะต้องแสดงการรับผิดชอบต่อแบรนด์ และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความผิดพลาดนั้นด้วยเช่นกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top