Saturday, 7 June 2025
การเมือง

พรรคร่วมรัฐบาล มีมติ ส่ง 'แพทองธาร' เข้ารับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 'แพทองธาร' ประกาศ 'ประเทศไทยต้องไปต่อ' พร้อมเดินหน้านำพาประชาชนหลุดพ้นวิกฤตเศรษฐกิจ

เมื่อวันที่ (15 สิงหาคม 2567) นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย และ สส.สระแก้ว กล่าวว่า นับตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของประเทศไทย สิ้นสุดลงวานนี้ (14 สิงหาคม 2567) พวกเราทุกคนในนามของพรรคเพื่อไทย พรรคร่วมรัฐบาล วันนี้มีจุดยืนเดียวกัน โดยหลังจากในการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยในวันนี้ ได้มีมติเสนอชื่อนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เข้าเสนอชื่อเป็นบุคคลที่สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 เพื่อเสนอต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ตามที่นายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ออกหนังสือนัดประชุมสภาเป็นพิเศษ พรรคเพื่อไทยจะเป็นผู้เสนอชื่อ และพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค ให้ความเห็นชอบนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นบุคคลที่สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 กล่าวขอบคุณกรรมการบริหารพรรค และสมาชิกพรรคเพื่อไทย ที่ให้ความไว้วางใจ เสนอชื่อให้เป็นบุคคลที่สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ขอขอบคุณพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคสำหรับการสนับสนุนนี้ แน่นอนว่าจะทำงานอย่างเต็มความสามารถ และขอให้รอดูผลการลงมติในวันพรุ่งนี้อย่างเป็นทางการ

ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราทุกคนชื่นชมในการทำงานของอดีตนายกฯเศรษฐา ทวีสิน เสียดายที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างที่เราไม่ได้คาดฝันเอาไว้ นายเศรษฐา เป็นผู้ใหญ่ที่เคารพรักนับถือมาตั้งแต่ก่อนเป็นนายกรัฐมนตรี มีความมุ่งมั่นตั้งใจทำงาน แม้เสียดายโอกาสนี้ แต่ประเทศต้องไปต่อ  พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตัังรัฐบาล วันนี้เรามีความพร้อม  ดิฉันมั่นใจในพรรคเพื่อไทย มั่นใจในพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค ที่จะช่วยกันนำพาประเทศของเราให้หลุดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจ  เรามารวมตัวกันในวันนี้เพื่อให้พี่น้องประชาชนเห็นว่าเรามีความตั้งใจ มีความมุ่งมั่น มีความพร้อมเพรียงกัน ในการผลักดันประเทศให้ไปต่อ ขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างมากที่มาร่วมกัน รวมกัน ตกลงกัน ทำเพื่อประเทศชาติร่วมกันต่อไป 

นางสาวแพทองธาร ตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่าได้มีการปรึกษาครอบครัวหรือไม่  นางสาวแพทองธารระบุว่า ทุกเรื่องปรึกษาครอบครัวอยู่แล้ว เรามาถึงจุดที่ทำให้ประเทศชาติไปต่อ เรายินดีและตั้งใจ เราได้พูดคุยกันและเคารพการตัดสินใจเสมอ พร้อมกับปรึกษา ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่เป็นบิดา เป็นผู้มีประสบการณ์ และยังเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีมาก่อนด้วย  

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะปรึกษากับ ดร.ทักษิณ ใกล้ชิดมากขึ้นหรือไม่ นางสาวแพทองธารระบุว่า “ไม่ค่ะ เท่าเดิม เพราะใกล้มากอยู่แล้ว”

ผู้สื่อข่าวถามว่าได้มีการพูดคุยหารือกับนายเศรษฐา หรือไม่ นางสาวแพทองธาร ตอบว่า คุณเศรษฐา เป็นคนสนับสนุนให้ดิฉันได้รับการเสนอชื่อ ส่วนตัวมีความเคารพคุณเศรษฐาอยู่แล้ว พูดคุยกันตั้งแต่เมื่อวาน และท่านให้การสนับสนุนเรื่องนี้มาก ท่านเป็นคนที่มีแพชชันเยอะมากๆ อยากผลักดันนโยบายให้สำเร็จ มีเอเนอจี้เต็มร้อย มุ่งมั่นในการทำงานมาก ๆ ดิฉันหวังว่าจะผลักดันนโยบายต่างๆของพรรคเพื่อไทย ของพรรคร่วมรัฐบาลให้สำเร็จ

ผู้สื่อข่าวถามว่า นอกจากมติของกรรมการบริหารพรรคและสมาชิกพรรคที่เสนอชื่อนางสาวแพทองธารเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว คุณแพทองธาร เป็นคนเสนอทำงานต่อจากนายเศรษฐาใช่หรือไม่ นางสาวแพทองธารตอบว่า “ใช่ค่ะ” 

'ทักษิณ' เทกโอเวอร์เบ็ดเสร็จ 'การเมืองไทย' 'ป้อม' หลุด!! พรรคร่วมหมอบ!! ปชป.รอเสียบ

ยุค ‘ทักษิณ ชินวัตร’ เป็นนายกรัฐมนตรี มีวลีหนึ่งที่นักการเมืองเจ้าของฉายา 'มีดโกนอาบน้ำผึ้ง'...ชวน หลีกภัย กล่าวเตือนทักษิณคือ...ระวังไม่มีแผ่นดินจะอยู่ หากมียังมีพฤติการณ์ที่กำลังทำ...

เป็นการตอบโต้ 'ทักษิณ' ที่กล่าวหาชวนและพรรคประชาธิปัตย์ว่า หากเล่นเกมการเมืองกันมากเกินไป ระวังจะไม่มีการเมืองให้เล่น...

‘ชวน หลีกภัย’ เป็นนักการเมืองอาวุโสที่จำแม่นกึ่ง ๆ ผูกใจเจ็บ หากรู้สึกสิ่งนั้นไม่เป็นธรรม ไม่ถูกต้อง...เมื่อทักษิณไปปราศรัยหาเสียงที่นครสวรรค์ว่า รัฐบาลจะพัฒนาจังหวัดที่ประชาชนเลือกพรรคเราก่อน...'ชวน' กับ 'คณะ' หยิบมาขยายผล จนกลายเป็นประเด็นที่สังคมการเมืองพูดกันยันปัจจุบัน เป็นภาพลบติดตัวพรรคเพื่อไทย...

แต่เมื่อ ชวน นำเรื่องนี้มาพูดย้ำซ้ำเชิงเตือนสติรัฐบาลเศรษฐากลางสภาเมื่อ 4 มิ.ย.2567 ก็มีมือดีส่งโน้ตให้นายกฯ เศรษฐา สวนกลับนายหัวชวนแบบแสบสันว่า...ให้หามุกใหม่มาเล่นดีกว่า ไม่อย่างนั้นจะไม่มีพื้นที่ในสภา...

ชวน หลีกภัย เป็น สส.17 สมัย กำลังชั่งใจว่าจะลงสมัคร สส.สมัยต่อไปหรือไม่ แต่ที่ชวนชั่งใจและตัดสินใจแล้ววันนี้คือ...ไม่เห็นด้วยกับการเข้าร่วมรัฐบาลอุ๊งอิ๊งที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ เหตุผลหลักคือ ไม่อยากทรยศชาวบ้าน...นัยว่าในอดีตมวลมหาประชาธิปัตย์เคยต่อสู้กับระบอบทักษิณ เป็นคู่แข่งกันมาก่อน การจะร่วมรัฐบาลในลักษณะการเป็น 'พรรคอะไหล่' ถือว่าไร้ศักดิ์ศรี

ปัจจุบันประชาธิปัตย์มี 25 สส. เป็น สส.บัญชีรายชื่อ 3 คน / สส.เขต 22 คน จาก 25 คน...มี 4 คน คือชวน, บัญญัติ บรรทัดฐาน, จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ และสรรเพชร บุญญามณี ที่อยู่ฝั่งไม่เห็นด้วย...อีกฝั่ง 21 เสียง นำโดยหัวหน้าพรรค เฉลิมชัย ศรีอ่อน รอเสียบมาตั้งแต่ไก่โห่...และฝันเป็นจริงเมื่อ 'ทักษิณ' ผ่าพรรค พปชร.เป็นสองซีก...สลัดปีก 'ลุงป้อม' ออก เปิดทางให้ประชาธิปัตย์เสียบ!!

นอกจากแฟนนานุแฟนพรรคแม่พระธรณีจำนวนไม่น้อยที่อาจเข่าทรุดแล้ว คนที่กระอักเลือดมากที่สุดก็น่าจะเป็น...นายหัวชวน...ขณะที่คนที่หัวเราะร่าน่าจะเป็นทักษิณ เพราะหมากตานี้หากจะพินิจพิจารณาให้ดี...นี่คือ 'การฆ่าประชาธิปัตย์' ที่คลาสสิกและเลือดเย็นที่สุดวิธีหนึ่ง...

วันก่อนโน้น...6 สส.พรรคไทยสร้างไทย ที่มีคุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นแม่ทัพและอยู่ซีกฝ่ายค้าน พลิกกลับ 360 องศา ทั้ง 6 เสียง ยกมือโหวตหนุนอุ๊งอิ๊งเป็นนายกฯ ทำให้คุณหญิงหน่อยกระอักมาคนหนึ่งแล้ว...วันนี้ถึงคิว ปชป.

ถ้าไม่พลิกนาทีสุดท้ายการเข้าร่วมรัฐบาลรอบนี้ ปชป.คงได้ 2 เก้าอี้เสนาบดี / 1 รมว. / 1 รมช. ซึ่งอาจจะช่วยชุบชีวิตได้ในบางมิติ นำตำแหน่งไปสร้างผลงานให้พอได้หาเสียง แต่ก็ต้องแลกกับรายจ่ายที่เป็นต้นทุนสำคัญคือ...คะแนนนิยม-ความศรัทธา ที่หายไป...

นักสังเกตการณ์กล่าวว่า 2 เก้าอี้ รมต. อาจจะพอเยียวยาทำให้ประชาธิปัตย์รักษาฐานบ้านใหญ่ เอาไว้ได้ในบางพื้นที่ แต่ภาพรวมหลายพื้นที่คะแนนนิยมอาจจะสูญพันธุ์ รวมทั้งภาคใต้เอง แม้ 'เดชอิศม์ ขาวทอง' สส.สงขลา/เลขาธิการพรรค อาจจะได้เป็นรมต. แต่ก็คงไม่พอเพียงที่จะแผ่บารมีไปลบล้างกระแสพรรคส้มที่กำลังรุกคืบ และภูมิใจไทยที่ยังสยายปีกคุมภาคใต้...

ไม่ต้องพูดใน สนาม กทม. ที่ยังไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ ว่าจะฟื้นคืน...น่าเห็นใจ 'ดร.เอ้-สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์' ที่กำลังเดินสายหาสมาชิกเป็นยิ่งนัก!!

'สื่ออาวุโส' สแกนทิศทางการเมืองไทยจากนี้ ใต้ 17 ความเป็นไปได้จากแรงกระแสธารข่าว

(29 ส.ค. 67) เถกิง สมทรัพย์ สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

เขียนตามที่เห็นข่าว...ผมไม่มีข้อมูลอินไซด์อะไรเลยนะครับ…ไม่ต้องอ่านก็ได้

1. ใครบางคน น่าจะกำลังทำให้พรรคเพื่อไทยรวบรวมเสียงจากพรรคอื่น ๆ มาให้มากที่สุดเพื่อเป็นพรรคใหญ่ที่สุดในรัฐสภา

2. พรรคพลังประชารัฐแม้จะออกไปทั้งพรรค แต่สส.ร่วม ๆ 30 คนน่าจะรอเวลา U-TURN มาร่วมมือกับเพื่อไทย...ถึงขั้นมาร่วมพรรคกันในอนาคต

3. พรรครวมไทยสร้างชาติผนึกกับเพื่อไทยแน่น

4. พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคขนาดเล็กอื่น ๆ น่าจะร่วมเดินทางไปด้วยกันกับเพื่อไทยอีกนาน

5. พรรคประชาชน…น่าจะอยู่ในสภาพอัมพฤกษ์ไปจนกว่าจะชัดเจนเรื่อง 44 สส. (และข่าวเรื่องมีการติดต่อขอตัวย้ายพรรคนั้นยังเชื่อว่าจะจริง ดังนั้นนี่จะเป็นอีกหนึ่งกำลังของรัฐบาลเพื่อไทย)

6. รัฐบาลเพื่อไทยน่าจะจัดหาจำนวน สส. มาไว้ข้างตัวเองเกือบ ๆ 400 เสียงเพื่อความมั่นคงในช่วงนี้ และเพื่อลงสนามเลือกตั้งคราวหน้า

7. พรรคเพื่อไทยกับพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน ต้องสร้างผลงานให้ดีเป็นที่ประจักษ์ต่อประชาชน และทำงานการเมืองเพื่อเป็นพรรคเสียงข้างมากอีกสมัย  ด้วยการเอาชนะพรรคประชาชนให้ได้อย่างเด็ดขาด…มันเป็นไฟท์บังคับที่ต้องทำเพราะกติกาการเมืองไทยเป็นแบบนี้

8. พรรคประชาชน จะผ่านการเมืองช่วงนี้ไปถึงไหน…ต้องรอชมบทบาทในสภาฯ ในฐานะฝ่ายค้าน และในฐานะพรรคที่มาแรงที่สุดในปัจจุบัน

9. พลเอกประวิตร ยังสู้ไม่ถอย ยังเคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมืองกับเพื่อไทย โดยที่การเป็นคนมีอำนาจมาก จึงทำให้เพื่อไทยไม่วางใจ เพราะโดนสอยมาหลายครั้งแล้ว

10. คุณชวน หลีกภัย น่าจะอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป…เพราะกลุ่มนำของพรรคในปัจจุบันคงจะหาทาง 'ขับ' ท่านออกจากพรรคยาก เพราะคุณชวนไม่ได้ทำอะไร 'ผิดข้อบังคับพรรค' และถ้าจะขับท่านออก ก็ต้องใช้มติของกรรมการบริหารกับสส.ในสภา ที่จะต้องใช้เสียงถึง 3 ใน 4 ซึ่งยากมาก

11. แต่คุณชวน หลีกภัย ไม่เหมือนพลเอกประวิตร...ถึงแม้คุณชวนจะไม่เห็นด้วยกับการเข้าร่วมรัฐบาล แต่คุณชวนไม่เคลื่อนไหวล้มรัฐบาลเพื่อไทยหรือไม่สร้างปัญหาให้กับเสถียรภาพของรัฐบาล…คุณชวนมุ่งที่จะสร้างเครดิตให้กับพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น

12.ในข้อบังคับพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า ถ้าจะมีการควบรวมพรรคกับใคร ต้องใช้ชื่อ 'พรรคประชาธิปัตย์' เท่านั้น...อันนี้น่าคิดว่า ถ้ากลุ่มผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ในปัจจุบันวางมือจากพรรคในคราวหน้า ไม่เอาพรรคไปรวมกับใครหรือรวมแล้วยังใช้ชื่อ ประชาธิปัตย์ เหมือนเดิม...โอกาสที่สมาชิกพรรคที่มีแนวคิดเหมือนเดิมก็จะมีโอกาสมาฟื้นฟูพรรคตามแนวทางเดิม

13. และคงจะไม่มีใครบริหารพรรคประชาธิปัตย์ให้ถูกยื่นยุบพรรคอีก หรือถ้าใครจะไปทำ ก็เห็นได้ชัดว่าคุณชวนก็พูด ๆ เหมือนจะวางแนวทางอะไรบางอย่างไว้แล้วว่าถ้ามีวิกฤตินี้มาจะทำยังไง

14. คุณชวน น่าจะยังอยู่กับประชาธิปัตย์ต่อไป และทำงานในฐานะสมาชิกสภาฯ ต่อไป...แต่น่าจะมีบทบาทให้ข้อคิดกับสังคมมากขึ้น สร้างความหวังให้กับคนที่เคยสนับสนุนประชาธิปัตย์ให้มาร่วมกับกอบกู้พรรค  

15. แม้จะมีคนห่วงท่านว่าท่านอายุมากแล้ว แต่คำพูดของคนอายุจะใกล้ 90 สามารถปลุกพลังผู้คนได้มากกว่าคนอายุน้อย ๆ ที่ไม่คิดจะสู้

16. กำลังกายอ่อนลง กำลังทางการเมืองอ่อนลง แต่คำพูดที่ยึดมั่นในหลักการกลับทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ

17. คุณชวน ต้องอยู่ในสภาฯ เพื่อมีพื้นที่ทำงานทางความคิดต่อไป

แม่นบ่

เปิดเหตุผล!! ทำไมเลือกตั้งท้องถิ่น 'ส้ม' มักปราชัย สวนทางเลือกตั้งใหญ่ เพราะท้องถิ่นต้องวัดกันตัวต่อตัว ส่วนเวทีใหญ่พรรคอื่นตัดแต้มกันเอง

(9 ก.ย. 67) นายนิธิพัฒน์ พันธุ์ธุมจินดา นักธุรกิจ ฟาร์มปลาสวยงาม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Nitipat Bhandhumachinda’ ระบุว่า...

มีเพื่อนถามผมว่าทำไม พรรคสีส้มถึงชนะการเลือกตั้งใหญ่ แต่เลือกตั้งย่อย ๆ ที่ไหน ก็มักจะไม่ชนะ

ผมก็เล่าให้ฟังว่า สมัยผมเรียนที่เกาหลีนั้น มีการเลือกตั้งผู้นำประเทศครั้งหนึ่ง ซึ่งเบอร์ ๑ นั้น เป็นผู้สืบทอดอำนาจจากผู้นำคนเก่าที่ใครต่อใครก็ไม่ชอบหน้า

เรียกว่างานนี้ดูยังไง ๆ ฝ่ายค้านที่มีตัวหลัก ๆ สองคนนั้น ส่งคนไหนมาแข่งก็ชนะแบเบอร์แน่ ๆ

แต่ก็ไม่รู้ฝ่ายค้านสองคนนั้นเอาความมั่นใจมาจากไหน ที่ดันแย่งกันลงแข่งทั้งคู่ เป็นผู้สมัคร เบอร์ ๒ กับเบอร์ ๓ โดยต่างก็มั่นใจว่าตนจะได้ชัยชนะแน่นอน

ผลก็ออกมาอย่างที่ผมคาดเอาไว้ คือคะแนนเบอร์ ๒ กับเบอร์ ๓ นั้น ถ้าเอามารวมกันก็ชนะเบอร์ ๑ แบบไม่ต้องลุ้น

แต่ผลสรุปแล้ว เบอร์ ๑ ได้เป็นผู้นำประเทศ เพราะคะแนนแยกของทั้งเบอร์ ๒ และเบอร์ ๓ ที่ดันแข่งกันเองนั้น สู้คะแนนที่ไม่ต้องแข่งกับใครของเบอร์ ๑ ไม่ได้ทั้งคู่

การเลือกตั้งใหญ่ครั้งที่ผ่านมาของประเทศเรานั้น ขณะที่พรรคการเมืองทั้งหลาย ยังเล่นการเมืองแบบเดิม ๆ ส่งผู้แข่งขันไปแย่งคะแนนกันเหมือนเดิม ๆ และ เห็นหน้าก็รู้ว่า คงไม่มีเกมการเมืองใหม่ ๆ อะไรให้เล่นเลยนั้น

พรรคสีส้มเขามีฐานเสียงหลักของเขาที่อยากลองพรรคการเมืองใหม่ที่ไม่เหมือนการเมืองเดิม ๆ ไม่เคยต้องแย่งกับใคร และก็ไม่ได้มีพรรคไหนลงไปเเข่งขันแย่งฐานเสียงดังกล่าวนั้นตรง ๆ เลย

นั้นก็คือเหตุผลหลัก ๆ ที่ พรรคสีส้มได้คะแนนมากกกว่าพรรคการเมืองอื่น ๆ ที่ มัวแต่ตัดคะแนนกันเอง จนไปไม่เป็นกันสักพรรค

ส่วนในการแข่งขันการเมืองย่อยไม่ว่าจะเลือกตั้งซ่อม เลือกตั้ง อบจ. อะไรต่อมิอะไรนั้น

พรรคส้มมักเจอคู่แข่งแบบตัวต่อตัว ซึ่งคะแนนของส้มนั้น จริง ๆ ก็ไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ เมื่อไม่มีการตัดคะแนนกันให้วุ่นวาย

พรรคส้มก็มักจะปราชัยด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้

ผมไม่ได้เชี่ยวทางการเมืองขนาดจะสอนใครว่า  พรรคการเมืองควรจะรวมพลังกันในการเลือกตั้งใหญ่ หรือ ควรจะมีพรรคการเมืองใหม่มาเบียดแย่งคะแนนจากฐานเสียงของพรรคส้ม

แต่ถ้าถามว่า ทำไม พรรคน้อยใหญ่ไม่ชนะพรรคส้มในการเลือกตั้งใหญ่คราวที่แล้ว

ก็จะหาเหตุผลได้ประมาณนี้นะครับ

'ดร.เสรี' ชี้ชัด!! แทบทุกพื้นที่คนไม่เอาพรรคส้มมีมากกว่าคนที่เอาพรรคส้ม สะท้อนสูตรการเมือง 1 ต่อ 1 ล้มพรรคส้มได้ แต่ถ้าเสียงแตก ‘ส้มจะชนะ’

(16 ก.ย. 67) ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสารโพสต์เฟซบุ๊ก ถึงผลการเลือกตั้งซ่อมสส.เขต 1 จังหวัดพิษณุโลกว่า…

เห็นชัดกันแล้วยังว่าถ้าหากพรรคส้มสู้กับฝ่ายตรงกันข้าม จะเป็นพรรคไหนก็แล้วแต่ พรรคส้มจะแพ้ในทุกพื้นที่

แต่หากพรรคต่าง ๆ ที่สู้กับส้มลงมาแข่งทุกพรรค แล้วแย่งคะแนนกันจนเสียงแตก พรรคส้มก็จะชนะ ทั้ง ๆ ที่พรรคตรงกันข้ามกับส้ม เอาคะแนนมารวมกันจะมากกว่าส้ม

แสดงว่าแทบทุกพื้นที่คนไม่เอาพรรคส้มมีมากกว่าคนที่เอาพรรคส้ม แต่คนกลุ่มนี้มีพรรคให้เลือกหลายพรรคที่แย่งคะแนนกัน

ตัวเลขก็ชัดขนาดนี้แล้วว่าสู้แบบ 1 ต่อ 1 ส้มแพ้ แต่ถ้าสู้แบบ 1 ต่อหลายพรรคที่แย่งคะแนนกัน ส้มจะชนะ

เรื่องง่าย ๆ แค่นี้ มองคณิตศาสตร์การเมืองกันไม่ออกหรือไร เมื่อไรจะถอดบทเรียนกันออกมาสักที สู้กันแบบนี้ ระวังส้มจะครองเมือง

หรือมันเป็นเรื่องศักดิ์ศรีที่พรรคต่าง ๆ ที่สู้กับส้มยอมกันไม่ได้ ถ้ายังคิดแบบนี้ เลือกตั้งคราวหน้าส้มมาแน่ ลองคิดอ่านกันหน่อยนะ จะสู้กับส้มย้งไง

คนที่ลงสมัครจะเข้ามาหาหัวหน้าพรรคแล้วบอกตัวเองมีฐานเสียงดีกันทั้งนั้น แล้วหัวหน้าพรรคก็เชื่อ หวังว่าจะชนะก็ส่งลงแข่งขัน

และต้องยอมรับว่าทุกคนที่บอกว่าตัวเองฐานเสียงดี มันก็ดีจริง ๆ แต่เมื่อฐานเสียงดีกันหลายคน คะแนนมันก็เลยแตก

สุดท้ายก็ต้องแพ้ส้มที่เสียงไม่แตก เมื่อเป็นเช่นนี้จะเปลี่ยนแนวทางสู้กันอย่างไร ถึงจะหยุดชัยชนะส้มให้ได้

รวมพรรคกันได้ไหม? ถอยให้กันได้ไหม? รู้ว่าลงไปก็สู้ไม่ได้ ลงไปก็ตัดคะแนนกันเปล่า ๆ ไม่ส่งในบางพื้นที่ได้ไหม

ได้แต่คิด แต่สิ่งที่คิดได้ คงไม่เกิดขึ้นอย่างที่คิด คงต้องทำใจยอมรับชัยชนะของส้ม เพราะพรรคที่สู้กับส้มทุกพรรคต่างมีศักดิ์ศรี

หัวหน้าพรรคทุกพรรคต่างก็อยากเป็นนายกรัฐมนตรียังยอมกันไม่ได้ เลยต้องตกที่นั่งผู้แพ้ไปด้วยกัน เศร้าจัง

เจาะ Model สามองค์กรคล้ายแชร์ลูกโซ่ ? ใช้การตลาดนำ แต่ตั้งอยู่บนความว่างเปล่า

(25 ต.ค. 67) กระแสข่าวในช่วงที่ผ่านมาคงไม่มีใครสามารถหลบความมาแรงของข่าว บอส...บอส ของ The iCon Group ได้พ้น 

เพราะอานิสงส์จากคดีนี้แทรกไปในทุกวงการไม่ว่าจะเป็น วงการบันเทิง วงการการเมือง วงการสีกากี หรือแม้กระทั่งวงการสงฆ์

หัวใจของกลเกมจาก The iCon Group ไม่ใช่เรื่องที่ลึกล้ำอะไรมากนัก เพราะธุรกิจของกลุ่มนี้ล้วนทำมาหากินบน ‘อคติ 4’ อันประกอบด้วย ‘รัก โลภ โกรธ หลง’ ที่เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์

ถ้าพูดตามตำรา MBA แล้วต้องบอกว่าธุรกิจนี้สามารถจี้ไปยัง Pain Point ของลูกค้าได้อย่างตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นกระตุ้นความโลภ ให้ทุกคนอยากรวยไปด้วยกัน โดยใช้เทคนิคทางการตลาดต่าง ๆ หว่านล้อม

แต่สุดท้าย พอถึงเวลาอันสมควร สิ่งที่กลวงเปล่าขององค์กรก็ปรากฏตัวขึ้น บนความเสียหายมหาศาล ที่เพิ่งเห็นข่าวสารผ่านตาว่ามีผู้เสียหายไม่น้อยกว่า 8,000 คน

ดูละครแล้วย้อนดูตัว 

การตลาดนำโดยจี้ไปที่ Pain Point ในสังคมไทย สังคมโลก ‘The iCon’ เป็นแค่หนึ่งในผู้ที่ฉกฉวยเอาเทคนิคนี้มาใช้เท่านั้น 

ในวงการการเมือง พรรคสีส้ม ๆ บางพรรคก็ได้ใช้การตลาดนำ จี้ไปที่ความต้องการของผู้คน เช่น บำนาญผู้สูงอายุ 3,000 บาทต่อเดือน, รวมถึง ‘นโยบายทุ่มเงิน’ ภายใต้ชุดที่ถูกเรียกว่า ‘รัฐสวัสดิการ’ 

เพราะจากสถานการณ์ปัจจุบัน 10,000 บาทของเพื่อไทย กว่าจะสามารถทำได้ก็ต้องออกแรงเข็นกันจนเลือดตาแทบกระเด็น 

หากใช้มุมมองแบบ Bird Eyes View กว้างออกไปสุดลูกหูลูกตา ประเทศพี่ใหญ่ที่ตั้งอยู่บนทวีปอเมริกาก็คงไม่ต่างกัน 

ไม่ว่าจะเป็นภาพลวงตาที่ชื่อว่า ‘ประชาธิปไตย’ หรือ ‘สิทธิมนุษยชน’ ที่ส่งออกไปยังหลายประเทศ โดยมีบางประเทศถึงระดับ ‘รัฐล้มเหลว’ จนสุดท้ายแหล่งทรัพยากรถูกแทรกแซงโดยบริษัทต่างชาติที่ปฏิบัติการภายใต้หน้ากากทุนนิยม ไม่ใช่พวกเดียวกับ ประชาธิปไตย 

หรือแม้กระทั่งเงินดอลลาร์ที่ตนเองใช้อำนาจและบารมีบีบคั้น จนไม่ต้องผูกกับอะไรนอกจาก ‘พันธบัตร’ ที่ออกโดยรัฐบาลสหรัฐฯ

ทำให้ทุก ๆ ปีต้องมีการออกพันธบัตรใหม่เพื่อใช้หนี้พันธบัตรเก่าอยู่ไม่รู้จบ และจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามอัตราดอกเบี้ย 

ละครเรื่อง The iCon ยังไม่จบ ละครในวงการการเมืองไทย และการเมืองโลกก็ยังไม่จบเช่นกัน

โปรดติดตามโดยใจระทึกพลัน 

คุณจะเป็นคนแบบไหนก็ได้ แต่ขอให้ชัดเจน อย่าเป็น 'มนุษย์ย้อนแย้ง' เพราะมันน่ารังเกียจสิ้นดี

ตั้งแต่มีพรรคส้มเกิดขึ้นมาในสังคมไทย คำว่า 'มนุษย์ย้อนแย้ง' ก็กลับมาฮิตติดปาก คนทั่วไปมักจะใช้คำนี้เรียกขานกลุ่มคนที่ 'นิยมส้ม' เพราะจะมีพฤติกรรมที่ 'ขัดแย้งในตัวเอง' ให้เห็นเป็นประจำ แต่กลับไม่รู้สึกถึงความเขินอายสังคมแม้แต่น้อย เช่น…

เคยแต่งชุดดำร้องไห้จะเป็นจะตายร่วมกับคนไทยค่อนประเทศตอนปลายปี 2559 แต่กลับกาเลือกพรรคการเมืองที่มีสันดานจาบจ้วง กัดเซาะ ดูหมิ่น หยาบคาย และมีแนวคิดล้มล้างการปกครอง ถ้าเพราะไม่รู้ว่าพรรคที่ตนเองเลือกนั้นล้มเจ้า ก็ต้องถือว่าเป็นมนุษย์ที่เบาปัญญาสิ้นดี 

เป็นศิลปินนักร้องที่เกลียดชังสถาบัน แต่กลับทำมาหากินกับการร้องเพลงพระราชนิพนธ์ หรือรับงานที่มีกิจกรรมเกี่ยวข้องกับการเชิดชูสถาบัน ไม่สนว่าใครจะมองเป็นคนประเภท 'เกลียดตัวแต่ชอบแอบกินไข่' ถือเป็นพฤติกรรมย้อนแย้งที่ไร้ความละอายอย่างจริงแท้ 

เปิดร้านขายผลงานซีดี และแผ่นเสียงเพลงไทย แสดงออกตรง ๆ ว่าเกลียดสถาบัน และเชียร์พรรคการเมืองที่เดินหน้าล้มล้างการปกครอง แต่ภายในร้านกลับวางจำหน่ายผลงานอัลบั้มที่งานประพันธ์นั้นมาจาก 'ในหลวงรัชกาลที่ ๙' หรือติดรูปในหลวงไว้ข้างฝาร้านให้ผู้คนเข้าใจว่าตัวเองนั้นเป็นคนไทยอีกคนที่จงรักภักดีเหมือนคนส่วนใหญ่ เพื่อจะได้ขายของ ทั้ง ๆ ที่ส่วนลึกของหัวใจนั้นนิยมเกลือกกลั้วอยู่ในฝั่งคนชิงชังสถาบัน 

เป็นคนจัดงานคอนเสิร์ตที่แอบสนับสนุนกลุ่มคนล้มเจ้าตลอดเวลา และมักพูดถึงสถาบันไปในทางเสื่อมเสีย แต่กลับรับจ้างจัดงานที่ต้องใช้บทเพลงพระราชนิพนธ์ หรือจัดกิจกรรมที่เชิดชูสถาบันกษัตริย์ไทย เรียกว่าย้อนแย้งแบบสุด ๆ 

เป็นสื่อที่ปากบอกรักสถาบัน รักในหลวง แต่กลับเชิญแต่พวกล้มเจ้ามาออกในรายการ และปล่อยให้คนที่คิดร้ายพูดถึงสถาบันในทางที่ไม่จริงโดยไม่เคยทัดทาน หรือท้วงติง ถือเป็นคนสื่อที่ย้อนแย้ง และต้องถือว่าเป็นอันตรายต่อสังคมไทย

ใด ๆ ก็ตาม 'มนุษย์ย้อนแย้ง' มักเป็นคนที่ขาดอุดมการณ์อันแรงกล้าต่อสิ่งที่เชื่อ, คิด และทำ เป็นประเภท 'เงินมาผ้าหลุด' มีชีวิตมีลมหายใจแค่ทำมาหารับประทาน หรือรับจ้างไปวัน ๆ เป็นคนที่น่ารังเกียจ, ไม่จริงใจ และไร้ราคา

'ขัตติยา' สวน 'เท้ง' มีผลงานอะไร หลังหน.พรรคส้มตัดเกรดผลงานนายกอิ๊งค์ 'ไม่ผ่าน'

เมื่อวานนี้ (12 ธ.ค. 67) นางสาวขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านแอปพลิเคชัน X (เอ็กซ์) ถึงกรณีที่นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน วิจารณ์นโยบายของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หลังจากแถลงผลงานครบ 90 วัน ภายใต้แคมเปญ '2568 โอกาสไทย ทำได้จริง : 2025 Empowering Thais: A Real Possibility'

โดยว่า ผลงานไม่ผ่านเกณฑ์ พร้อมกล่าวว่า ทุกนโยบายที่นายกรัฐมนตรีแพทองธารประกาศในวันนี้คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 2568 ดังนั้น ในขณะที่ประชาชนมีความหวัง พรรคฝ่ายค้านบางพรรคควรหยุดสร้างวาทกรรมที่ไม่สร้างสรรค์บ้าง

นางสาวขัตติยากล่าวต่อว่า หากหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านชอบประเมินผลงานของผู้อื่น ขอแนะนำให้เริ่มจากการประเมินตัวเองก่อน ว่าผลงานของท่านในฐานะหัวหน้าพรรค 125 วันที่ผ่านมาเป็นอย่างไร คะแนนนิยมของพรรคเพิ่มขึ้นหรือลดลง? ท่านสามารถเริ่มต้นจากการถามสมาชิกภายในพรรคได้ว่า การทำงานของท่านผ่านเกณฑ์หรือไม่?

‘ถาวร เสนเนียม’ ร่อนแถลงการณ์ ถึงพี่น้องประชาชน เผย!! สาเหตุตัดสินใจ ไม่ลงสมัครชิงนายกฯอบจ.สงขลา

(14 ธ.ค. 67) นายถาวร เสนเนียม ร่อนแถลงการณ์ ถึงพี่น้องประชาชน ระบุว่า …

เรียนพี่น้องประชาชนที่สนใจติดตามการเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลาและสื่อมวลชนทุกท่านครับ

ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในช่วงหลายวันที่ผ่านมาจากหลายสื่อหลายกระแสด้วยกันว่า ผมกำลังจะได้รับการสนับสนุนจากพรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคภูมิใจไทยและได้รับแรงเชียร์จากน้อง ๆ ส.อบจ.สงขลา ในการเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลารอบหน้า ที่กำลังจะมาถึงในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 หลังจากนั้น ผมเองก็ได้รับโทรศัพท์และได้รับการติดต่อเพื่อขอเป็นรับแรงสนับสนุนจากน้อง ๆ ที่ยังดำรงตำแหน่ง ส.อบจ.สงขลา และที่จะเป็นผู้สมัคร ส.อบจ.สงขลา ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งสังกัดทีมรวมพลังร่วมสร้างสุขที่รวมตัวกันก่อนหน้านี้แล้ว

รวมถึงได้รับแรงสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนในเขตเลือกตั้งของผมและจากหลาย ๆ เขต ตลอดถึงญาติมิตร

พี่น้องเพื่อนฝูง เมื่อได้ทราบถึงกระแสข่าวต่างติดต่อเข้ามาเพื่อให้กำลังใจผม ประหนึ่งเสมือนผมได้ตอบตกลง

ที่จะเป็นผู้สมัครลงชิงตำแหน่ง นายก อบจ.สงขลา รอบหน้าจริงแล้ว การตอบคำถามถึงกระแสข่าวข้างต้น ผมจึงต้องระมัดระวังถึงความรู้สึกดี ๆ ที่ทุกคนมอบให้ เพราะพี่น้องประชาชนในจังหวัดสงขลาต่างทราบดีว่าสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันเป็นอย่างไร ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นถึงระดับชาติ ประชาชนต่างคาดหวังที่จะมี ผู้นำท้องถิ่น สมาชิกรัฐสภาและรัฐมนตรีที่มีความซื่อสัตย์สุจริตมาบริหารพัฒนาแก้ปัญหา คิดและทำเพื่อประโยชน์ให้ประชาชน ไม่ผูกขาดการเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองด้วยอิทธิพลหรือทุนสีเทา

ดังนั้น ในการเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลาครั้งหน้า ประชาชนชาวสงขลาจึงต้องการที่จะเห็นการเมืองในรูปแบบที่ใสสะอาด ปราศจากการซื้อสิทธิ์ขายเสียง และปราศจากการใช้อิทธิพลหรือทุนสีเทามาเอารัดเอาเปรียบผู้สมัครที่สุจริต ผมเป็นคนหนึ่งที่ต่อต้านการทุจริต และต่อต้านการเลือกตั้งที่มีการใช้อิทธิพลหรือทุนสีเทามาตลอด และเป็นผู้ที่ไม่เกรงกลัวต่ออิทธิพลใด ในการตอบคำถามของผมจากกระแสข่าวข้างต้นไปบ้างแล้ว

บางคนมองว่า ทำไมผมไม่เสียสละมาเป็นผู้สมัครนายก อบจ.สงขลาครั้งหน้า ผมจึงขอใช้พื้นที่ตรงนี้ ชี้แจงที่มา

ของการตัดสินใจเข้ามาลงสนามการเมืองดังนี้

1.ในปี 2538 ผมมีอายุ 48 ปี และรับราชการเป็นอัยการจังหวัดกระบี่กับอัยการจังหวัดสงขลาต่อเนื่องมาหลายปี และประกอบอาชีพทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์หลายโครงการ และยังมีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพอัยการ เพราะอายุราชการที่เหลืออีก 12 ปี ผมย่อมสามารถไต่ต้าวเข้าสู้ตำแหน่งที่สูงขึ้นได้ แต่ด้วยในปี 2534 –2538 ประเทศไทยเกิดวิกฤติทางการเมืองหลายครั้ง สืบเนื่องจากปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน และการใช้อำนาจทางการเมืองโดยมิชอบ ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวพรรคประชาธิปัตย์ได้ยืนหยัดต่อสู้เคียงข้างพี่น้องประชาชน เพื่อต่อสู้กับวิกฤติเหล่านี้อย่างเหนื่อยยาก ผมเองซึ่งเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์มาตั้งแต่ปี 2511 จึงได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งอัยการจังหวัดสงขลา เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.หวังได้เข้าไปต่อสู้ในสภาร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ การลาออกจากราชการของผมครั้งนั้น ผมยอมรับความเสี่ยงที่จะตามมาในผลการเลือกตั้งในครั้งนั้น แต่พี่น้องประชาชนให้ความไว้วางใจเลือกผมเข้าไปทำหน้าที่ สส. และเลือกผมตลอดมา 7 สมัย โดยที่ผมไม่ต้องใช้อิทธิพลหรือใช้เงินซื้อเสียงเพื่อเอาเปรียบคู่ต่อสู้ทางการเมือง ผมเล่นการเมืองโดยวิถีสุจริตตลอดมาพี่น้องประชาชนในเขตเลือกตั้งย่อมทราบดี

2.ในระหว่างที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน ผมได้ทำหน้าที่อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีที่มีพฤติกรรมส่อทุจริต 5 คนทุกสมัยการประชุมสภาผู้แทนราษฎรคืออภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเหล่านี้
1.นายบรรหาร ศิลปะอาชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
2.นายสุรเกียรติ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น
3.นายวัน มู หะหมัด นอร์ มะทา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น
4.นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น
5.พลตำรวจโท ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น
และผมเคยเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่ดำเนินการเลือกตั้งไม่สุจริตและไม่เที่ยงธรรม เพื่อเอื้อประโยชน์ในการจัดการเลือกตั้งให้พรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นข่าวที่ทุกท่านทราบดีอยู่แล้ว

3. ในระหว่างที่ผมดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ผมได้ทำหน้าที่ฝ่ายบริหารพัฒนาแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน ตามนโยบายรัฐบาลมีผลงานตามที่ปรากฏ ผมได้ทำการกำกับบริหารจัดการดำเนินการหน่วยงานภายใต้ภารกิจทั้งหมดด้วยความสุจริต โดยไม่เคยถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือถูกร้องเรียนถึงพฤติกรรมทุจริตแต่อย่างใด

4.ด้วยประวัติทางการเมืองโดยสังเขปของผมดังกล่าวมา ประกอบกับประชาชนชาวจังหวัดสงขลาและน้องๆ ส.อบจ.สงขลาจำนวนหนึ่ง อยากให้ นายก อบจ.จังหวัดสงขลาคนต่อไป มาจากผู้มีประวัติทางการเมืองสุจริต มีประวัติการทำงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชัน จึงเป็นที่มาของกระแสข่าวว่า ผมได้รับแรงหนุนให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น นายก อบจ.ครั้งหน้า เพราะที่ผ่านมาประชาชนชาวสงขลาและ ส.อบจ.สงขลา ทุกคนทราบดีว่า นายก อบจ.สงขลา มีปัญหาถูกตรวจสอบเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันต่อเนื่องตลอดมา บางรายถึงขนาดขัดแย้งกันจนต้องมีการจ้างวานฆ่าฝ่ายผู้เห็นต่าง บางรายก็กำลังรับโทษอยู่ในเรือนจำจากกรณีทุจริตคอร์รัปชันบางรายก็กำลังต่อสู้คดีอยู่ในศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ

5.จากกระแสข่าวที่ผ่านมา ผมจึงขอขอบคุณทุกแรงเชียร์ขอบคุณทุกกำลังใจที่ประสงค์จะให้ผมลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น นายก อบจ.สงขลาในครั้งหน้า แต่ผมขอเรียนให้ทราบว่า ด้วยความตั้งใจในทางการเมืองของผมที่ต้องการเห็นการเมืองใสสะอาดปราศจากการทุจริตคอร์รัปชันนั้น หมายความรวมถึง การละเว้นการกระทำการที่อาจจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ราชการด้วย ซึ่งทุกท่านทราบดีว่า ช่วงวิกฤติทางการเมืองในปี2556 – 2557 ผมกับมวลมหาประชาชนทั่วประเทศ ได้ออกมาร่วมชุมนุมต่อต้านการออกกฎหมายล้างผิดคนโกงหรือกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับสุดซอย ออกมาต่อต้านรัฐบาลที่โกงชาติทำร้ายแผ่นดิน จนท้ายสุดผมต้องคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุก 5 ปี และถูกขังไว้โดยหมายของศาลในระหว่างการขอปล่อยตัวชั่วคราว ทำให้ผมต้องพ้นจากคุณสมบัติการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ พ้นจากสถานะความเป็น สส. และพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ต่อมา ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาลงโทษจำคุกผม 1 ปี และปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการยื่นฎีกาคำพิพากษาในศาลฎีกา

6.แม้ว่าผมจะมีคุณสมบัติการเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.สงขลา ตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 49 , มาตรา 50 และตาม พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 35/1 ก็ตาม แต่ผมเห็นว่า หากผมเป็นผู้สมัคร นายก อบจ.สงขลา ที่ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนชาวสงขลาต่อไปแต่ถ้า ระหว่างการดำรงตำแหน่ง นายก อบจ.สงขลาหากศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกในลักษณะเดียวกับศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ ความเสียหายย่อมเกิดกับทางราชการเพราะต้องจัดการเลือกตั้ง นายก อบจ.สงขลาใหม่อีกครั้ง สิ้นเปลืองงบประมาณของ อบจ.สงขลา ประมาณ เจ็ดสิบกว่าล้านบาท และทำให้พี่น้องประชาชนต้องเดือดร้อนออกมาใช้สิทธิกันใหม่ ประกอบกับทีมทนายความที่รับผิดชอบว่าความให้ผม มีความเห็นว่ามีแนวโน้มสูงที่ศาลฎีกาจะพิพากษาว่า ผมกระทำผิดและอาจจะถูกลงโทษตามที่อัยการฟ้องผมจึงตัดสินใจไม่สมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลาครับ

7.ดังนั้น การตัดสินใจของผมไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.สงขลาครั้งหน้าตามที่มีกระแสข่าวจึงไม่ได้เกิดจากความไม่เสียสละ ไม่ได้เกิดจากความกลัวที่จะแพ้การเลือกตั้ง ไม่ได้เกิดจากความกลัวหรือสมยอมให้กับการทุจริตคอร์รัปชันหรือทุนสีเทา ที่พี่น้องประชาชนหวาดระแวง แต่ผมมองถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาผมปฏิบัติตนในแนวทางนี้มาโดยตลอด จะเห็นได้ว่าในการเลือกตั้งใหญ่ที่ผ่านมา ผมสังกัดพรรคไทยภักดี ผมสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งได้ แต่ผมมีหลักคิดเช่นเดียวกันว่าหากประชาชนให้ความไว้วางใจแล้ว ต่อมาผมต้องถูกคำพิพากษาให้จำคุก ผมก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ในการเลือกตั้งครั้งนั้น ผมจึงตัดสินใจลงสมัคร สส. แบบบัญชีรายชื่อ เพราะหากพ้นจาก ตำแหน่งไปก็สามารถเลื่อนลำดับถัดไปขึ้นแทน โดยไม่ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ให้สิ้นเปลืองงบประมาณของทางราชการ

8.ในการเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลา ครั้งหน้า ผมหวังว่าประชาชนชาวจังหวัดสงขลาจะตื่นรู้ว่า ผู้สมัครรายใดตั้งใจจริงเพื่อพี่น้องประชาชนหรือ ผู้สมัครรายใดอาศัยอิทธิพลหรือทุนสีเทาในการเข้าสู่ตำแหน่ง สำหรับผมเองก็จะคอยให้กำลังใจและสนับสนุนผู้สมัครที่มีประวัติดี มีที่มาดี และมีความตั้งใจเข้ามาทำงานเพื่อรับใช้พี่น้องประชาชน และผมขอเสนอให้ผู้ที่กำลังจะสมัครนายก อบจ.สงขลาทุกคน ให้แข่งขันกันโดยสุจริตเที่ยงธรรมจัดทำนโยบายที่ดีมีประโยชน์มาเสนอให้ประชาชนได้รับทราบ และขอให้สู้กันในกติกาโดยชอบด้วยกฎหมายต่อไป

ผมขอขอบพระคุณพี่น้องประชาชนที่ให้การสนับสนุน

สส. ทรงศักดิ์ ส่งเสริมอุดมชัย อภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน

กราบเรียนท่านประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่เคารพกระผมนายทรงศักดิ์. ส่งเสริมอุดมชัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครสวรรค์ เขต 2 พรรคเพื่อไทยผมขอหารือในหลายๆเรื่องอาทิเช่น เช่นเรื่องที่ 1 กระผมได้ลงพื้นที่กับนายกองค์การบริหารส่วนตำบลนิคมเขาบ่อแก้วและคณะ ปรากฏว่าถนนสายบ้านโป่งสวรรค์ถึงบ้านสระทางสงฆ์และถนนสนามชัยถึงเขากะลา 

เนื่องจากถนนทั้งสองเส้นนี้ไม่มีงบประมาณในการมาซ่อมบำรุงรักษา พี่น้องประชาชนเดือดร้อนในการใช้มาเป็นเวลานานกว่า 10 ปีแล้ว เวลาฝนตกรถบรรทุกไม่สามารถบรรทุกพืชผลทางการเกษตรได้ เช่น อ้อย ข้าวโพด 

ทำให้ประชาชนเดือดร้อนมาเป็นเวลานาน จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยมาปรับปรุงดูแลแก้ไข เรื่องที่ 2 ผมได้รับการร้องเรียนจากนายกองค์การบริหารส่วนตำบลน้ำทรงเรื่องของการปรับปรุงของบางเดื่อและอาคารบังคับน้ำเพื่อให้พี่น้องประชาชนในบริเวณนั้น ได้ใช้น้ำในการอุปโภคบริโภคอย่างต่อเนื่องครับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top