Wednesday, 18 June 2025
WORLD

‘มาเลเซีย’ ระดมกำลัง ค้นหาร่างนทท.ชาวอินเดีย หลังตกหลุมลึก 8 เมตรกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์

กลายเป็นงานใหญ่ระดับชาติไปเสียแล้ว สำหรับภารกิจค้นหาร่างนักท่องเที่ยวหญิงชาวอินเดียวัย 48 ปี ที่เคราะห์ร้ายตกลงไปในหลุมยุบที่มีความลึก 8 เมตร ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ ในช่วงเช้าของวันที่ 23 สิงหาคม 67 ที่ผ่านมา ขณะที่เธอเดินไปทำบุญที่วัด แต่ผ่านไปแล้วถึง 5 วันจนถึงวันนี้ ก็ยังหาไม่พบ

จากงานที่คาดว่าน่าจะค้นหาร่างของหญิงอินเดียได้ในเวลาไม่นาน กลับยากมากกว่าที่คิดมาก โดย ซูลิซมี สุไลมาน รองผู้บัญชาการตำรวจเขตดังวางี ของกรุงกัวลาลัมเปอร์ กล่าวว่า อุปสรรคใหญ่ในการค้นหาเกิดจากกระแสน้ำใต้ดินที่ไหลเชี่ยวรุนแรงบริเวณรอบท่อระบายน้ำ จากฝนที่ตกหนักก่อนหน้านี้ 

และยังมีเศษซากคอนกรีต และหินต่าง ๆ กีดขวางช่องทางใต้ดิน ที่การใช้เครื่องพ่นน้ำแรงดันสูงเพื่อทำลายเศษซากต่าง ๆ ก็ยังไม่เพียงพอ ต้องนำเทคนิคการระเบิดและสลายวัตถุมาปรับใช้ด้วย 

ทางหน่วยกู้ภัยประสานงานให้รัฐบาลกรุงกัวลาลัมเปอร์จัดกระสอบทรายมาเพิ่มอีก 100 กระสอบ มาตั้งกำแพงปิดทางน้ำไหลใต้ดินเพื่อลดอุปสรรคในการค้นหา และได้ตรวจสอบโรงงานบำบัดน้ำเสียอินดาห์ ที่บันไต ดาลัม ที่เป็นปลายทางของระบบท่อระบายน้ำใต้ดินในกรุงกัวลาลัมเปอร์ 

เมื่อสื่อมาเลยเซียสอบถามว่า จะมีการขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศในภารกิจการค้นหาครั้งนี้ด้วยหรือไม่ ซูลิซมี อธิบายว่า เบื้องต้นทางการมาเลเซียได้ระดมกำลังผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายหน่วยงานของประเทศเข้าร่วมการค้นหาอย่างเต็มที่แล้ว และหวังว่าจะสัมฤทธิ์ผลในไม่ช้านี้ 

โดยได้มีการจัดตั้งกองกำลังพิเศษซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จากกรมแร่ธาตุและธรณีวิทยาและกรมโยธาธิการ เพื่อศึกษาสภาพดินและธรณีวิทยาในพื้นที่ เกณฑ์กำลังตำรวจเพิ่มเพื่อกันประชาชนออกจากพื้นที่ และกั้นเขตขยายพื้นที่ค้นหาเพิ่ม

ด้านนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิมแห่งมาเลเซีย ได้ออกมาแสดงความเสียใจต่อครอบครัวนักท่องเที่ยวอินเดียเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และสั่งการให้ดูแลคนในครอบครัวของ นาง วิจายาลักษมี ที่บางส่วนเดินทางมาจากอินเดียเพื่อมานั่งรอ เฝ้าติดตามภารกิจอย่างใกล้ชิด โดยขยายวีซ่าให้อีก 1 เดือน พร้อมที่พัก อาหาร และบริการด้านการให้คำปรึกษา และยืนยันว่า มาเลเซียจะมุ่งมั่นค้นหาร่างของนาง วิจายาลักษมี อย่างเต็มกำลัง 

ส่วนกรณีหลุมยุบขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นกลางเมืองหลวง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ออกแถลงข่าวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า ยังไม่สามารถระบุสาเหตุได้ ต้องรอรายงานฉบับสมบูรณ์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งคาดว่าจะสรุปได้หลังจากปฏิบัติการเสร็จสิ้น

แต่รัฐบาลมีแผนในการป้องกันไม่ให้หลุมยุบเกิดขึ้นซ้ำ โดยเตรียมที่จะทำแผนที่เชิงธรณีวิทยาใหม่ จากข้อมูลที่รวบรวมจากกรมแร่ธาตุและธรณีวิทยา เพื่อให้แน่ใจว่าพื้นที่ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ และเขตใกล้เคียงยังคงเป็นพื้นที่ปลอดภัย

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ชาวกรุงกัวลาลัมเปอร์เคยมีประเด็นถกเถียงอย่างร้อนแรงในโลกโซเชียลมาก่อนตั้งแต่ปี 2558 ว่ามีหลุมยุบซ่อนเร้นอยู่ในกรุงกัวลาลัมเปอร์เป็นจำนวนมาก ที่พร้อมยุบตัวได้ทุกเมื่อ และเคยวิจารณ์ว่ากรุงกัวลาลัมเปอร์เป็นเมืองที่ไม่ปลอดภัยที่สุดในมาเลเซีย 

โดยครั้งนั้น นายกเทศมนตรีของกัวลาลัมเปอร์ได้ออกมาโต้แย้งข้อกล่าวหาของชาวเน็ต และรับประกันว่า กัวลาลัมเปอร์เป็นเมืองที่ปลอดภัยสำหรับการดำเนินชีวิตประจำวัน 

อดีตเซลล์แมน Lenovo ฟ้องบริษัทฯ 50 ล้านบาท โทษฐานไล่เขาออก เพราะแอบฉี่ในล็อบบี้โรงแรมหรู

‘ริชาร์ด เบคเกอร์’ อดีตพนักงานขายวัย 66 ปีของบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลยักษ์ใหญ่ Lenovo ไม่คิด ไม่ฝันว่าในชีวิตเขาต้องมาทำเรื่องขายหน้าจนต้องถูกไล่ออกจากงาน ที่มีสาเหตุมาจากอาการป่วยเรื้อรังของตัวเอง 

เหตุเกิดขึ้น ราว ๆ เดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ ที่ Westin Hotel โรงแรมหรูในย่าน Time Square ของมหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในขณะที่ริชาร์ด เบคเกอร์ อยู่ระหว่างการประชุมนัดพบลูกค้า แต่ก็ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ที่ทำให้เขาต้องเดินเข้า-ออก เพื่อทำธุระในห้องน้ำไม่ต่ำกว่า 5 รอบ จนเดินไม่ไหว จึงแอบมาหลบฉี่ในมุมอับ ที่โถงทางเดินในบริเวณล็อบบี้ของโรงแรมนั้นเอง 

แต่ก็ไม่พ้นสายตาของคนในบริษัท ที่ทนเห็นพฤติกรรมไม่ไหว จึงได้แจ้งเรื่องถึงฝ่ายบุคคล อันเป็นเหตุที่ทำให้เบคเกอร์ถูกไล่ออกจากงาน จากการที่แอบปัสสาวะในล็อบบี้โรงแรม

อย่างไรก็ตาม ริชาร์ด เบคเกอร์ เห็นว่าเป็นการไล่ออกจากงานที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งมั่นใจว่าเกิดจากความอาฆาต เคียดแค้นภายในองค์กร เขาจึงตัดสินใจจ้างทนายฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก Lenovo เป็นเงินสูงถึง 1.5 ล้านเหรียญ (ประมาณ 50 ล้านบาท) ต่อศาลฎีกาในนิวยอร์ก เมื่อ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา จากกรณีการเลิกจ้างพนักงานอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในความผิดฐานเลือกปฏิบัติโดยพิจารณาจากความพิการทางร่างกาย ซึ่งละเมิดกฎหมายสิทธิมนุษยชนของรัฐนิวยอร์ก

นาย เบคเกอร์ ได้กล่าวถึงอาการป่วยด้วยโรคกระเพาะปัสสาวะของเขา เรื้อรังมาตั้งแต่ปี 2016 แล้ว ซึ่งตอนนี้กำลังรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านระบบทางเดินปัสสาวะ โดยทั้งผู้จัดการ และเพื่อนร่วมงานในบริษัทต่างก็ทราบถึงอาการป่วยของเขามาโดยตลอด

นอกจากนี้ เขายังได้ระบุตัวตนในเอกสารของศาลว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมการขายคอมพิวเตอร์ และตั้งแต่ Lenovo ได้จ้างเขาในปี 2022 เขาก็ประสบความสำเร็จอย่างดีในหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมายในตำแหน่งผู้บริหารฝ่ายขายต่างประเทศ ที่ให้เขาได้รับรางวัลจากบริษัทมากมาย รวมถึงทริปไปคอสตาริกาด้วย 

และอ้างว่าผลงานของเขามีส่วนที่ทำให้ธุรกิจเติบโตถึง 200% จากการทุ่มเททำงานหนักให้กับบริษัท ทำให้อาการป่วยเขากำเริบ จนต้องแอบปล่อยฉี่ในบริเวณโถงทางเดินใกล้ล็อบบี้ ที่เขาเห็นว่าเป็นที่ลับตา ไม่น่ามีคนเห็น 

แต่สุดท้าย คนที่เห็นเต็ม ๆ คือรองประธานบริษัท Lenovo ที่เข้าร่วมประชุมลูกค้าในวันนั้นด้วย เขาจึงแจ้งเรื่องถึงแผนกบุคคล และพิจารณาเลิกจ้างนาย เบคเกอร์ หลังจากนั้นเพียง 4 วัน และจนกระทั่งวันนี้ เขายังหางานใหม่ไม่ได้เลย 

ทนายของนาย เบคเกอร์ กล่าวว่า ทางบริษัทปฏิบัติต่อลูกความของเขาอย่างไร้ความเห็นอกเห็นใจใด ๆ และไม่ให้โอกาสเขาได้อธิบายเรื่องราวกับฝ่ายบุคคลด้วยซ้ำ แม้การกระทำของเขาอาจจะดูน่ารังเกียจ แต่ไม่ใช่พฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อสังคม แต่บริษัทกลับละเมิดสิทธิ์ โดยการเลือกปฏิบัติต่อพนักงานที่มีความบกพร่องทางร่างกาย จึงเรียกร้องเงินชดเชยจาก Lenovo ถึง 1.5 ล้านเหรียญ

ด้านบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ Lenovo ไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นในกรณีดังกล่าว แต่ทางโรงแรม Westin ได้ออกมาปฏิเสธว่า โรงแรมในสาขา Time Square ที่เกิดเรื่องนั้น ไม่มีพื้นที่ที่เรียกว่า ‘โถงทางเดิน ที่เป็นที่รโหฐาน’

จะมีก็แต่เพียงส่วนล็อบบี้ ที่เป็นพื้นที่สาธารณะ บริเวณชั้น 1 และ Concierge ที่ชั้น 2 และมีเสาคู่ขนาดใหญ่ไว้หลบมุมเท่านั้น และยืนยันว่าทางโรงแรมก็มีห้องน้ำให้บริการที่ล็อบบี้ 

เปิดวลีล่าสุดของฝ่ายฟอกขาวต่างด้าวพม่า เพื่อสร้างความชอบธรรมให้อยู่ต่อ ทั้งที่นานวันคนกลุ่มนี้ มีแต่ทวีการกระทำที่ผิดกฎหมาย กระทบเจ้าของประเทศ

- กองทัพพม่าจ้างอินฟลูไทยสร้างความเกลียดชังเพื่อส่งคนพม่ากลับไปเป็นทหาร?
- แรงงานพม่าสร้างชาติไทย?

เชื่อไหมคะว่าครั้งแรกที่ เอย่า ได้ยินประโยคและคำเหล่านี้ก็เฉย ๆ แต่พอผ่านไปสักพักก็เริ่มมีเสียงอื้ออึงกับคำ ๆ เดิมนี้ที่หนาหูมากขึ้น จนต้องขอใช้พื้นที่ในฐานะสื่อมาชี้แจงทำความเข้าใจกันสักหน่อย

ตอนนี้มี 2 ประโยคในหมู่พวกคนพม่าที่เป็นคนใช้แรงงานพูดกันแทบจะเรียกว่าออกมาจากบล็อกแม่พิมพ์เดียวกันเลยก็ได้

ประโยคแรกที่หนาหูตามโซเชียลคือ 'แรงงานพม่า - สร้างชาติไทย' คือ คนไทยเราต้องการแรงงานจริงไหม คำตอบคือ จริงค่ะ แต่เราไม่เคยระบุนะว่า เราต้องการแรงงานพม่า เราต้องการแรงงานประเทศไหนก็ได้ที่ ขยัน อดทน ไม่ขี้เกียจและไม่สร้างปัญหา ดังนั้นควรทำความเข้าใจก่อนนะ

ส่วนอีกประโยคหนึ่งที่มาไม่นานนี้แต่เริ่มหนาหูมากขึ้นคือ มีการกล่าวอ้างว่า 'กองทัพเมียนมาจ้างเพจไทยที่สนับสนุนกองทัพสร้างความเกลียดชังระหว่างคนไทยกับคนพม่าในไทย เพื่อหวังส่งคนพม่ากลับไปเป็นทหารในเมียนมา'  

ข้อนี้ เอย่า ขอเป็นคนอธิบายให้ทราบกันดีกว่านะคะ

1. ถ้าเพจหลายเพจถูกจัดตั้งหรือจัดจ้างมาจริง จะมี Key Word มาให้คะ เพื่อให้เพจที่รับงานมาพยายามโปรโมต Key Word นี้ จนเป็นคนที่เสพเอาไปพูดต่อ 

ไม่ต้องคำว่าอะไรเลย แค่คำว่า 'พม่าสร้างชาติ' เนี่ย เป็นตัวอย่างที่ดีเลย โดยการนี้เชื่อว่ามีกลุ่มบางกลุ่มหนุนหลัง เพราะลำพังแรงงานพม่าไม่มาคิดเรื่องพวกนี้หรอกค่ะ จากที่เราอยู่กับเขามาหลายสิบปี เรารู้ว่าคนเหล่านี้คิดอะไร

2. ตามที่เพจหลายเพจเริ่มออกมาส่งเสียง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพม่าเข้าเมืองผิดกฎหมายก็ดี พม่าทำอาชีพสงวนก็ดี พม่าออกไปชุมนุมในที่สาธารณะโดยไม่ได้ขออนุญาตทางการก็ดี หรือล่าสุดเรื่องหนุ่มพม่าบางบอน แม้หลายเพจจะพยายามออกมาแก้ต่าง แต่ถามว่า ถ้าเขาไม่ผิดจะมามอบตัวกับตำรวจทำไมคะ ก็เหมือนกับคนพม่าที่ฆ่าชาวต่างชาติที่พัทยาแล้วหนีไปมอบตัวกับ ตม. ขอให้ส่งกลับนั่นแหละ ไม่ต่างกัน  

เอาเป็นว่าทั้งหมดทั้งมวล มาจากการทำผิดกฎหมายในประเทศไทยทั้งนั้น พอโดนเขาแฉ โดนส่งกลับ อินฟลูฯ สายคุณก็รีบงับสร้างความชอบว่าเป็นเหยื่อ ถูกกระทำ เอาใหม่นะคะ!! คนที่ถูกกระทำคือ คนไทยและคนบริสุทธิ์ที่อยู่ในประเทศไทยค่ะ 

3. เรื่องเอาไปเป็นทหาร เรื่องนี้ เอย่า ไม่ทราบว่าจริงไหมนะ แต่เอย่ามีข้อมูลจากที่ไปคุยกับเพื่อนที่เป็นทหารมา เขาบอกว่า คนเป็นทหารไม่ได้เป็นกันง่าย ๆ นะ ถ้าไม่มีใจ ให้ปืน ให้อาวุธไป คนพวกนี้ก็เอาไปให้ศัตรูหมด 

จากจุดนี้ถามว่าระหว่างคนกับปืนในพม่าอะไรมีค่ามากกว่ากัน? 

ข้อนี้ เอย่า ขอยกคำกล่าวพี่ทหารกะเหรี่ยงคนหนึ่งให้ฟังว่า ในกะเหรี่ยงนี่ ชีวิตคนมีค่าถูกกว่ากระสุนปืน ดังนั้นจึงมีคลิปหลุดออกมาอย่างเช่น PDF ที่หนีออกจากค่ายถูกฆ่าปาดคอ เพราะกระสุนปืนมันแพงกว่าชีวิตของ PDF พวกนี้ไงละคะ  

ฉะนั้น เอย่า คิดว่าในสถานการณ์แบบนี้ ไม่มีใครเอาคนที่ไม่มีใจจะไปรบ ไปเป็นทหารหรอกค่ะ ไหนจะเปลืองค่าฝึก ค่าข้าว และสุดท้ายอาวุธที่เอาให้ไปรบก็จะไปอยู่ในมือศัตรูได้อย่างง่ายดายด้วยเช่นกัน 

4. สภาพการณ์ในเมียนมาปัจจุบันนี้ ไม่ได้มีเงินถุงเงินไทย ถ้าใครเสพข่าวฝั่งเมียนมาจะรู้ว่าสภาพการณ์ในเมียนมา ณ วันนี้เริ่มเหมือน Failure State คือ ขาดแคลนเงินคงคลังภาครัฐ 

ถามว่าถ้าผู้นำอย่าง มินอ่องหล่าย จะจ่ายค่า IO ให้อินฟลูฯ ไทยจริง ต้องจ่ายกันเท่าไร เอาเป็นว่าเท่าที่แอดรู้คือ IO ของอดีตพรรคการเมืองที่เพิ่งถูกยุบพรรคไป มีเงินเข้ามานับล้านบาทต่อเดือน คิดว่ารัฐบาลเมียนมามีปัญญาจ่ายไหม ถ้าเขาจะทำเรื่องนี้จริง เขาทำไปตั้งแต่เขายึดอำนาจแล้ว ไม่รอมาทำจนมีวลีว่าจ้างอินฟลูฯ ไทยให้ฝั่งไทยจับพวกพม่าที่หลบหนีเข้าเมืองส่งกลับพม่าหรอก

5. สุดท้ายการเข้าเมืองผิดกฎหมาย มันเป็นความผิดระหว่างประเทศอยู่แล้ว การที่ทางการไทยจับคนเข้าเมืองผิดกฎหมายและผลักดันกลับประเทศนั้นไม่ได้ทำแค่ฝั่งพม่าอย่างเดียว ลาว, กัมพูชา รวมถึงประเทศอื่น ๆ ก็ทำ มันคือหน้าที่ของตำรวจไทย รวมถึงการที่ต่างด้าวทำผิดกฎหมายไทย และคำว่าต่างด้าวก็ไม่ใช่แค่ พม่า, ลาว หรือ กัมพูชา แต่รวมถึงทุกชาติที่ไม่ใช่คนไทย

การที่อินฟลูฯ สายต่อต้านกองทัพเมียนมาที่อยู่ดี ๆ ก็ออกมาสร้างวาทกรรมนี้ ถามว่าพวกคุณนับสิบเพจคิดออกพร้อม ๆ กันได้เลยเหรอ ขนาดอินฟลูฯ สายสนับสนุน เขายังไม่ได้ออกมาโจมตีประเด็นเดียวพร้อม ๆ กันเลย 

เอาที่ เอย่า ดูเหมือนแต่ละเพจ แต่ละคน ก็จะมีประเด็นแตกต่างกันไป ซึ่งแตกต่างจากฝ่ายต่อต้านที่ออกมารับลูกประเด็นเดียวกัน แบบนี้ใครควรถูกเรียกว่า IO ดีคะ

สุดท้ายก็คงต้องฝากทางการไทยในการสอดส่องดูแลนะคะ ว่าสุดท้ายรัฐบาลจะแคร์อะไรระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มเปราะบาง หรือคนส่วนใหญ่ในประเทศไทยที่จะได้รับผลกระทบจากคนเหล่านี้ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

‘ซีอีโอผู้ก่อตั้ง Telegram’ ถูกจับกุม ในสนามบินบูร์เกต์ ประเทศฝรั่งเศส คาดสาเหตุมาจาก แอปดังกล่าว ที่เป็นแหล่งส่งข้อความ ‘กิจกรรมผิดกฎหมาย’

(25 ส.ค. 67) พาเวล ดูโรฟ (Pavel Durov) มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย-ฝรั่งเศส ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของแอปส่งข้อความชื่อดังเทเลแกรม (Telegram) ถูกจับกุมที่สนามบินบูร์เกต์ (Bourget) นอกกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อเย็นวันเสาร์ที่ผ่านมา ตามรายงานของสถานีโทรทัศน์ TF1 TV และ BFM TV โดยอ้างแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อ

โดยในรายงานระบุว่าพาเวล ดูโรฟ (Pavel Durov) ได้เดินทางมาจากอาเซอร์ไบจาน และกำลังเดินทางออกจากฝรั่งเศสด้วยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว ก่อนถูกจับกุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งคาดว่ามาจากข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการส่งข้อความของเหล่าอาชญากรบนแอปพลิเคชันเทเลแกรม (Telegram) ซึ่งขาดการตรวจสอบและกำลังกลายเป็นแหล่งส่งข้อความและกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย

แอปพลิเคชันเทเลแกรม (Telegram) แอปพลิเคชันสำหรับส่งข้อความโต้ตอบแบบทันที (Instant Messaging) มีความโดดเด่นในเรื่องความเร็วของการส่งข้อความ ความปลอดภัย และฟีเจอร์ที่หลากหลายทำให้ Telegram ตอบโจทย์การใช้งานที่ครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสารส่วนตัว การทำงานกลุ่ม หรือแม้แต่การสร้างชุมชนออนไลน์ขนาดใหญ่ผู้ติดตามจำนวนมาก ในปี 2017 บริษัทได้ตัดสินใจย้ายสำนักงานไปยังดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หลังปฏิเสธปฏิบัติการตามข้อเรียกร้องรัฐบาลรัสเซียให้ปิดกลุ่มสื่อสารของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียวีเค (VK) ซึ่งมีพาเวล ดูโรฟ (Pavel Durov) เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง

ปัจจุบันคาดว่าแอปพลิเคชันเทเลแกรม (Telegram) มีผู้ใช้เกือบหนึ่งพันล้านคน และได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้ใช้งานประเทศยูเครน และรัสเซีย รวมไปถึงในกลุ่มประเทศที่เคยเป็นอดีตสหภาพโซเวียต นอกจากนี้ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียหลักรองจาก Facebook, YouTube, WhatsApp, Instagram, TikTok และ Wechat โดยในขณะนี้ยังไม่มีแถลงการณ์ใด ๆ ออกมาจากผู้ให้บริการแอปพลิเคชันเทเลแกรม (Telegram)

ก่อนหน้านี้ในช่วงสงครามความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนในปี 2022 แอปพลิเคชันเทเลแกรม (Telegram) ได้กลายเป็นแหล่งเผยแพร่ข้อมูลเนื้อหาเกี่ยวกับสงครามจำนวนมากโดยไม่ได้ผ่านการตรวจสอบข้อมูล ซึ่งข้อมูลบางอย่างมีเนื้อหาที่รุนแรงและทำให้เข้าใจผิดเกิดขึ้นกับประเทศคู่สงครามทั้งสองฝ่าย นักวิเคราะห์บางคนเรียกแอปพลิเคชันเทเลแกรม (Telegram) ว่า ‘สนามรบเสมือนจริง’ สำหรับทำสงครามโดยเฉพาะระหว่างประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของประเทศยูเครนและรัฐบาลประเทศรัสเซีย

อย่างไรก็ตาม สำหรับการใช้งานแอปพลิเคชันเทเลแกรม (Telegram) ในประเทศรัสเซีย ถือเป็นแหล่งรวมข้อมูลสำคัญสำหรับชาวรัสเซียที่รับข้อมูลเกี่ยวกับสงครามรัสเซียและยูเครนได้อย่างอิสระโดยไม่มีการควบคุมจากเจ้าหน้าที่รัฐบาล ซึ่งมีมาตรการที่เข้มงวดในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารในระหว่างช่วงสงคราม

'ตลกดัง' เตือนผู้คน!! อย่าเชื่อคำ 'นักร้อง-นักแสดง' แสดงความเห็นทางการเมือง พวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกแห่งความเป็นจริง โดยเฉพาะเรื่องกิจการบ้านเมือง

(24 ส.ค. 67) จากเฟซบุ๊ก 'Sompob Pordi' ของ นายสมภพ พอดี นิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความสะท้อนมุมมองนักแสดงตลกท่านหนึ่งต่อบรรดาศิลปิน ดารา นักร้อง ที่ชอบออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในเวทีสาธารณะบ่อยๆ ดังนี้...

ริคกี้ เจอร์เวส (Ricky Dene Gervais) นักแสดงตลกชื่อดัง ได้กล่าวในงานแจกรางวัลลูกโลกทองคำ ปี 2020 ที่ตนเองเป็นพิธีกรว่า...

"ถ้าคืนนี้ยูได้รางวัล ก็ไม่ต้องทะลึ่งแสดงความเห็นทางการเมืองอะไรบนเวทีนี้นะ ยูไม่มีคุณสมบัติใดๆ ที่จะสอนใครในเรื่องอะไรซักกะอย่าง ยู (เป็นแค่นักแสดง) ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับโลกแห่งความเป็นจริงเลย พวกยูส่วนมากเนี่ยเรียนน้อยกว่า เกรต้า ธันเบิร์ก ซะอีก"

แปลว่า ดารา นักร้อง ตัวตลก นักแสดงพูดอะไรก็อย่าไปฟัง อย่าไปเชื่อ โดยเฉพาะเรื่องกิจการบ้านเมืองที่พวกมันไม่มีความรู้อะไร เพราะส่วนใหญ่โง่กว่าเด็กที่ไม่ยอมเรียนหนังสืออีก

รู้จัก ‘ROSOBORONEXPORT’ บริษัทส่งออก-นำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่เพียงผู้เดียวแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย

‘อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ’ เป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้อย่างมากมายให้แก่ประเทศซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ โดย 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2019-2023) ข้อมูลจาก STOCKHOLM INTERNATIONAL PEACE RESEARCH INSTITUTE (SIPRI) ระบุว่า ประเทศที่ส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์มากที่สุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดถึง 41.7% รองลงมาคือ ฝรั่งเศส มีส่วนแบ่งตลาด 10.9% และตามมาเป็นอันดับ 3 ได้แก่ สหพันธรัฐรัสเซีย ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาด 10.5% น้อยกว่าฝรั่งเศสเล็กน้อย ด้วยเหตุสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนจึงทำให้รัสเซียถูกมาตรการลงโทษ (Sanctions) ต่าง ๆ นานา ส่งผลให้ปริมาณการส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ของรัสเซียลดลง

สำหรับสหพันธรัฐรัสเซียแล้ว มีบริษัทที่ส่งออก/นำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์แต่เพียงผู้เดียว คือ ‘ROSOBORONEXPORT’ ซึ่งเดิมก่อตั้งขึ้นเป็น ROSOBORONEXPORT Federal State Unitary Enterprise (FSUE) ในปี 2000 โดยรัฐกฤษฎีกาของประธานาธิบดีแห่งรัสเซียและมีหน้าที่ในการดำเนินนโยบายของรัฐในด้านความร่วมมือทางเทคนิคการทหารระหว่างรัสเซียและต่างประเทศ ในปี 2007 บริษัทได้รับการจดทะเบียนเป็น ROSOBORONEXPORT Open (OJSC) บริษัทมหาชนจำกัด ต่อมาในปี 2011 Rostekhnologii (ปัจจุบันคือ Rostec) อันเป็นวิสาหกิจหลักของรัฐที่มีลักษณะเป็นบริษัท Holding ได้เข้าซื้อหุ้นของ ROSOBORONEXPORT OJSC 100% 

‘ROSOBORONEXPORT’ เป็นหน่วยงานสืบทอดกิจการอาวุธยุทโธปกรณ์ของอดีตสหภาพโซเวียต หรือสหพันธรัฐรัสเซียในปัจจุบัน เป็นหน่วยงานกลางของรัฐที่ดูแลรับผิดชอบในด้านเทคโนโลยีทางการทหารได้รับการก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1953 เมื่อมีการก่อตั้งแผนกวิศวกรรมทั่วไปภายในกระทรวงการค้าภายในและต่างประเทศของสหภาพโซเวียตตามการตัดสินใจของรัฐบาลโซเวียตในขณะนั้น ด้วยการขยายตัวของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ จึงมีการจัดตั้งหน่วยงานส่งออกเฉพาะทางใหม่ ๆ ขึ้นหลายแห่ง 

ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 สหภาพโซเวียตมีบริษัทตัวกลางของรัฐ 2 แห่ง ได้แก่ Rosvooruzhenie และ Promexport และเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2000 บริษัทที่เป็นของรัฐทั้งสองแห่งก็ได้ควบรวมกิจการกันโดยรัฐกฤษฎีกาที่ 1834 ของประธานาธิบดีรัสเซีย โดยจัดตั้ง ‘ROSOBORONEXPORT Unitary’ ขึ้นเพื่อเป็นหน่วยงานกลางของรัฐเพียงแห่งเดียวสำหรับการส่งออกและนำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์ของรัสเซีย

19 มกราคม ค.ศ. 2007 Vladimir Putin ประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย ได้ลงนามในรัฐกฤษฎีกากำหนดให้บริษัท ROSOBORONEXPORT รับผิดชอบการส่งออกอาวุธทั้งหมด ทำให้สถานะอย่างเป็นทางการของ ROSOBORONEXPORT คือบริษัทส่งออกและนำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์แต่เพียงผู้เดียวของสหพันธรัฐรัสเซีย ถือเป็นผู้ประกอบการชั้นนำในตลาดอาวุธระหว่างประเทศ ด้วยสถานะตัวแทนของรัฐทำให้บริษัทมีโอกาสพิเศษในการขยายและเสริมสร้างความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันในระยะยาวกับพันธมิตรต่างประเทศ ปัจจุบัน ลูกค้ารายใหญ่ซึ่งเป็นลูกค้าชั้นนำของ ROSOBORONEXPORT ได้แก่ จีน อินเดีย อัลจีเรีย ซีเรีย เวียดนาม เวเนซุเอลา และอิรัก ฯลฯ

เมื่อ ROSOBORONEXPORT เป็นบริษัทส่งออกและนำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์แต่เพียงผู้เดียวของสหพันธรัฐรัสเซีย จึงทำให้บริษัทผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ของสหพันธรัฐรัสเซียไม่ต้องจัดการด้านการตลาดต่างประเทศด้วยตัวเอง ซ้ำตลาดในประเทศเองก็มีเฉพาะหน่วยงานด้านความมั่นคงของสหพันธรัฐรัสเซียเท่านั้น ทั้งยังไม่ต้องวุ่นวายเรื่องใบอนุญาตส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์เหมือนเช่นประเทศตะวันตกอื่น ๆ เช่น สหรัฐอเมริกาต้องขออนุญาตกระทรวงต่างประเทศ และอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ระบุไว้ในรายการกำหนดต้องขออนุญาตจำหน่ายต่อรัฐสภาสหรัฐฯ ตัวอย่างเช่น การขายเครื่องบินรบ แม้ว่าบริษัทผู้ผลิตต้องการที่จะขายเครื่องบินรบมากเพียงใดก็ตาม แต่คำสั่งซื้อต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาสหรัฐฯ ก่อน จึงจะดำเนินการต่อไปจนแล้วเสร็จได้ ทั้งนี้ไทยเรามีหน่วยงานที่มีภารกิจใกล้เคียงในลักษณะนี้คือ สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) แต่ สทป. ยังคงทำหน้าที่ในทางวิชาการคือ การศึกษา วิจัย และพัฒนา อาวุธยุทโธปกรณ์ มากกว่าการทำตลาดต่างประเทศเช่นเดียวกับ ROSOBORONEXPORT

‘ประเทศไทย’ ก็เป็นหนึ่งในลูกค้าที่สั่งซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากสหพันธรัฐรัสเซีย โดย ROSOBORONEXPORT หลายรายการ อาทิ กองทัพบก ซื้อเฮลิคอปเตอร์แบบ Mi-17V-5 เครื่องยิงจรวดต่อสู้อากาศยานแบบประทับบ่า 9K38 Igla อาวุธปืนเล็กยาวแบบ AK-104 (อาสาสมัครทหารพราน) กองทัพอากาศ ซื้อเครื่องบินแบบ Sukhoi Superjet ส่วนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซื้อเฮลิคอปเตอร์แบบ Ka-32 เป็นต้น 

อันที่จริงแล้วตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุคสงครามเย็น ไทยเราได้รับความช่วยเหลือทางทหารเป็นอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมหาศาลจากรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อให้เป็นหนึ่งในประเทศพันธมิตรต่อต้านสหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีน จนกระทั่งความพ่ายแพ้ของรัฐบาลต่าง ๆ ในประเทศเพื่อนบ้านของเรา ทำให้สหรัฐฯ ต้องถอนตัวออกจากภูมิภาคนี้ พร้อมกับตัดความช่วยเหลือทางทหารต่อประเทศไทย จนกระทั่งอาวุธยุทโธปกรณ์ตามความช่วยเหลือทางทหารจากรัฐบาลสหรัฐฯ หมดอายุสิ้นสภาพทหารใช้งาน กองทัพไทยจึงจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์จากประเทศต่าง ๆ 

ทั้งนี้สิ่งซึ่งกองทัพไทยจำเป็นต้องดำเนินการด้วยความเข้าใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ การบริหารความสมดุลอย่างเหมาะสมในการจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ จากสองฟากฝ่ายซึ่งแบ่งข้างอย่างชัดเจนในปัจจุบัน เพื่อให้ไทยมีดุลยภาพทางทหารที่เหมาะสมที่สุดตามบริบทที่สมควรจะเป็นต่อไป

ยอดขาย ‘BYD’ มาแรงแซง ‘Honda-Nissan’ ขยับสู่อันดับ 7 ของโลก วัดจากจำนวนที่ขายได้

(23 ส.ค. 67) เว็บไซต์นิกเกอิ เอเชียรายงานว่า ยอดขาย ‘บีวายดี’ (BYD) ของจีน แซงหน้า Honda Motor และ Nissan Motor จนกลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 7 ของโลกตามจำนวนรถยนต์ที่ขายได้ในไตรมาส 3 ขับเคลื่อนด้วยความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดของบริษัท ตามข้อมูลจากผู้ผลิตรถยนต์และบริษัทวิจัย MarkLines

สำหรับยอดขายรถยนต์ใหม่ของ BYD เพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็น 980,000 คันในไตรมาสนี้ แม้ว่าผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำส่วนใหญ่ รวมถึง Toyota Motor และ Volkswagen Group จะประสบภาวะยอดลดลงก็ตาม โดยยอดขายของ BYD ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากยอดขายต่างประเทศ ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณสามเท่าเมื่อเทียบกับปีก่อน เป็น 105,000 คัน

ทั้งนี้ BYD เคยอยู่อันดับที่ 10 ของโลกในช่วงไตรมาส 3 ของปีที่แล้ว ด้วยยอดขาย 700,000 คัน นับตั้งแต่นั้นมา BYD ได้แซงหน้า Nissan และ Suzuki Motor และเอาชนะ Honda ในฐานะรายไตรมาสเป็นครั้งแรกในไตรมาสล่าสุด

มีเพียงผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นรายเดียวที่ยังคงมียอดขายมากกว่า BYD คือ ‘Toyota’ ซึ่งนำอันดับโลกในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน ด้วยยอดขาย 2.63 ล้านคัน ขณะที่ ‘Big Three’ (General Motors, Stellantis, Ford Motor) ในสหรัฐก็ยังคงนำหน้า แต่ BYD กำลังไล่ตามรถ Ford Motor อย่างรวดเร็ว

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดของ BYD ได้รับความนิยมมากขึ้นในประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก ทำให้ยอดขายในเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับปีก่อน

ตรงกันข้าม ผู้เล่นชาวญี่ปุ่น ซึ่งมีความแข็งแกร่งในรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน กำลังมียอดขายตามหลัง โดยยอดขายของ Honda ในจีนลดลง 40% ในเดือนมิถุนายน ผู้ผลิตรถยนต์วางแผนลดกำลังการผลิตในประเทศลงประมาณ 30% แม้กระทั่งในไทยซึ่งบริษัทญี่ปุ่นครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 80% อีกทั้ง Susuki ก็กำลังยุติการผลิต ในขณะที่ Honda กำลังลดกำลังการผลิตลงครึ่งหนึ่ง

‘จีน’ ยักษ์ใหญ่ประเทศผลิตรถยนต์ ส่งออกรถยนต์ 2.79 ล้านคันในช่วงครึ่งแรกของเดือนมกราคม-มิถุนายน มากกว่าญี่ปุ่น 780,000 คัน โดย BYD ได้เปิดโรงงานประกอบรถยนต์ขนาดใหญ่แห่งแรกในต่างประเทศที่ไทย พร้อมแผนสร้างฮับเพิ่มเติมในฮังการีและบราซิล นอกจากนี้ยังกำลังพิจารณาการผลิตรถในเม็กซิโกด้วย

'เวียดนาม' เอาจริง!! รุกสร้างแบรนด์แข่งไทย ยกระดับ 'ทุเรียน' เป็นผลิตภัณฑ์ประจำชาติ

(23 ส.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สื่อเวียดนามอ้างอิงคำกล่าวของเล มินห์ ฮวน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทของเวียดนาม ระบุว่า เวียดนามควรผลักดันให้ทุเรียนขึ้นแท่นเป็นผลิตภัณฑ์ประจำชาติ ด้วยการกำหนดมาตรฐานคุณภาพและสร้างแบรนด์เพื่อแข่งขันกับผู้ส่งออกรายใหญ่ เช่น ไทย และมาเลเซีย

เล มินห์ ฮวนเผยว่า การผลักดันให้ทุเรียนเป็นผลิตภัณฑ์ประจำชาตินั้น จำเป็นต้องอาศัยนโยบายการเกษตรที่ครอบคลุมและต้องมีการให้ความรู้แก่เกษตรกรและภาคธุรกิจ สิ่งนี้มีความสำคัญเนื่องจากปัจจุบันเวียดนามตามหลังไทยและมาเลเซียในการส่งออกผลไม้ไปยังจีน ขณะที่การผลิตในเวียดนามยังกระจัดกระจายและมีขนาดเล็ก

สินค้าแต่ละชนิดจะต้องผ่านเกณฑ์หลายประการเพื่อให้มีคุณสมบัติเป็นผลิตภัณฑ์ประจำชาติ เช่น ขนาดการผลิต ขีดความสามารถการแข่งขันด้านการส่งออก การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี และศักยภาพในการครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา 

กลุ่มผู้เชี่ยวชาญท้องถิ่นคาดว่า การส่งออกทุเรียนของเวียดนามจะสูงถึง 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.2 แสนล้านบาท) ภายในสิ้นปีนี้ เมื่อพิจารณาจากเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยในปัจจุบัน

ทั้งนี้ เวียดนามทำรายได้จากการส่งออกทุเรียนอยู่ที่ราว 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.84 หมื่นล้านบาท) ระหว่างเดือนมกราคมถึงกรกฎาคม โดยจีนเป็นผู้นำเข้าทุเรียนเวียดนามรายใหญ่ที่สุด

‘สี จิ้นผิง’ ยกย่อง ‘ทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง’ สร้างสังคมนิยมอันมีอัตลักษณ์จีน พร้อมเดินหน้า-ต่อยอด ‘สร้างสันติ-ความเจริญรุ่งเรือง’ ร่วมกันของทุกฝ่าย

(23 ส.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน กล่าวยกย่อง ‘คุณูปการอันโดดเด่น’ ของ ‘เติ้ง เสี่ยวผิง’ ผู้นำที่ล่วงลับ และเรียกร้องการเดินหน้าสังคมนิยมอันมีอัตลักษณ์จีนที่ริเริ่มโดยเติ้ง เสี่ยวผิง เนื่องในวาระครบรอบ 120 ปี วันคล้ายวันเกิดของเติ้งเสี่ยวผิง เมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา

สี จิ้นผิง เลขาธิการใหญ่คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน และประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง ซึ่งร่วมการประชุมเนื่องในวาระข้างต้น กล่าวว่าจีนต้องศึกษาและประยุกต์ใช้ทฤษฎีเติ้ง เสี่ยวผิง (Deng Xiaoping Theory) อย่างละเอียดต่อไป

เติ้ง เสี่ยวผิงสร้างคุณูปการโดดเด่นแก่พรรคฯ ประชาชน ประเทศ ชาติ และโลก ซึ่งความสำเร็จของเติ้ง เสี่ยวผิงถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์และจะเป็นแรงบันดาลใจแก่คนรุ่นใหม่อยู่เสมอ

เติ้ง เสี่ยวผิงเป็นแกนหลักของคณะผู้นำส่วนกลางรุ่นที่ 2 ของพรรคฯ หัวหน้าสถาปนิกของการปฏิรูปสังคมนิยม การเปิดกว้าง และการสร้างความทันสมัยของจีน และผู้บุกเบิกสังคมนิยมอันมีอัตลักษณ์จีน ขณะเดียวกันเติ้ง เสี่ยวผิงยังเป็นนักสากลนิยมที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งสร้างคุณูปการสำคัญแก่สันติภาพและการพัฒนาของโลก

"สหายเติ้ง เสี่ยวผิงได้ใช้ชีวิตที่น่ายกย่อง ต่อสู้ดิ้นรน และไม่ธรรมดา" สี จิ้นผิงกล่าว พร้อมเสริมว่าหลังจากการปฏิวัติวัฒนธรรม ซึ่งเป็นห้วงยามแห่งความวุ่นวายนานนับทศวรรษที่สิ้นสุดปี 1976 เติ้ง เสี่ยวผิงได้นำพรรคฯ และประชาชนบรรลุการเปลี่ยนผ่านครั้งประวัติศาสตร์ของจีน

เติ้ง เสี่ยวผิงผลักดันจีนบรรลุความก้าวหน้าใหม่ในการปรับใช้ลัทธิมาร์กซ์ให้เข้ากับบริบทของจีน บุกเบิกการสร้างความทันสมัยของสังคมนิยม และกำหนดวิถีทางอันถูกต้องสำหรับการรวมชาติอย่างสมบูรณ์ โดยความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ของเติ้ง เสี่ยวผิงมีความครอบคลุมและความแปลกใหม่ ซึ่งส่งผลลัพธ์อันลึกซึ้งและยั่งยืนต่อทั้งจีนและโลก

"เราจะจดจำความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่และเคารพแนวทางการปฏิวัติอันสง่างามของเขาตลอดไป" สี จิ้นผิงกล่าว พร้อมเสริมว่ามรดกทางปัญญาอันสลักสำคัญที่สุดจากเติ้ง เสี่ยวผิงคือทฤษฎีเติ้ง เสี่ยวผิง และเรียกร้องการศึกษาและประยุกต์ใช้ทฤษฎีดังกล่าวอย่างละเอียด เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในโลกความเป็นจริง

"วิธีการอันดีที่สุดในการเชิดชูเกียรติของเติ้ง เสี่ยวผิงคือเดินหน้ากิจการสังคมนิยมอันมีอัตลักษณ์จีนที่เขาริเริ่มไว้" สีจิ้นผิงกล่าว และเรียกร้องการปฏิรูปอย่างครอบคลุมลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อเสริมแรงและคุ้มครองการสร้างความทันสมัยของจีนอย่างต่อเนื่อง

สีจิ้นผิงกล่าวกระตุ้นการเร่งสร้างเศรษฐกิจอันทันสมัย การพึ่งพาตนเองเพิ่มขึ้นในภาควิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการพัฒนาวัฒนธรรมสังคมนิยมขั้นสูง รวมถึงพยายามบรรลุความก้าวหน้าที่โดดเด่นและมีแก่นสารยิ่งขึ้นในการส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันของทุกฝ่าย

สีจิ้นผิงกล่าวว่าการบรรลุการรวมชาติอย่างสมบูรณ์ของจีนเป็นความปรารถนาของเหมา เจ๋อตง เติ้ง เสี่ยวผิง และสมาชิกนักปฏิวัติรุ่นเก่าคนอื่น ๆ มาเนิ่นนานแล้ว พร้อมเรียกร้องความพยายามส่งเสริมการพัฒนาอย่างสันติของความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบไต้หวัน และการคัดค้าน ‘เอกราชไต้หวัน’ อย่างหนักแน่น เพื่อคุ้มครองอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของจีน

‘คนงานเหมือง’ ขุดพบ ‘เพชรดิบ’ หนัก 2,492 กะรัตในบอตสวานา ขึ้นแท่นใหญ่สุดอันดับ 2 ของโลก คาด!! ตีมูลค่าอยู่ที่ 1,381 ลบ.

(23 ส.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า คนงานเหมืองในประเทศบอตสวานา ขุดพบ ‘โคตรเพชร’ น้ำหนัก 2,492 กะรัต (เพชรดิบ) ที่เหมืองเพชรในเมืองคาโรเว ของบริษัท ‘ลูคารา ไดมอนด์’ (Lucara Diamond) ตั้งอยู่ห่างจากกรุงกาโบโรเน ไปทางเหนือราว 500 กม.

สำหรับบอตสวานาเป็นประเทศผู้ผลิตเพชรอันดับ 1 ของโลก โดยผลิตมากถึง 20% ของเพชรทั้งหมด โดยเพชรก้อนนี้ถือเป็นเพชรใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลก ที่เคยถูกขุดพบ รองจากเพชรคัลลินัน (Cullinan diamond) น้ำหนัก 3,106 กะรัต ซึ่งพบที่ประเทศแอฟริกาใต้ เมื่อปี 2448 และถูกตัดแบ่งเป็น 9 ส่วน และหลายเม็ดถูกประดับอยู่บนมงกุฎของกษัตริย์อังกฤษ

ทั้งนี้ เพชรก้อนนี้ยังเป็นเพชรขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยขุดพบในบอตสวานาด้วย โดยสถิติเดิมอยู่ที่ 1,758 กะรัต ขุดพบจากเหมืองแห่งเดียวกันนี้เมื่อปี 2562

ทางด้าน วิลเลียม แลมบ์ ประธานบริษัท ลูคารา ไดเมนด์ กล่าวว่า นี่เป็นหนึ่งในเพชรขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยถูกขุดพบ โดยเพรชก้อนนี้ถูกตรวจพบด้วยเทคโนโลยี เมก้า ไดมอนด์ รีคัฟเวอรี เอ็กซ์เรย์ ซึ่งเริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2560 เพื่อจำแนกเพชรมูลค่าสูง ป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายระหว่างการบดแร่

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีการให้รายละเอียดเกี่ยวกับคุณภาพ หรือมูลค่าของเพชรก้อนนี้

แต่ทางด้านหนังสือพิมพ์ ไฟแนนเชียล ไทม์ส ของสหราชอาณาจักร อ้างคำพูดของแหล่งข่าวใกล้ชิดกับบริษัท ลูคารา ว่า เพชรก้อนนี้มีมูลค่าโดยประเมินอยู่ที่ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1,381 ล้านบาท)

‘Neuralink’ ปลูกถ่ายชิปสมองให้มนุษย์สำเร็จเป็นรายที่ 2 ให้ผลลัพธ์ถึงขั้นผู้ป่วยออกแบบวัตถุ 3 มิติและเล่นเกมได้

(22 ส.ค.67) สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า ‘นิวรัลลิงก์’ (Neuralink) บริษัทสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยีประสาท ของ ‘อีลอน มัสก์’ (Elon Musk) ประกาศว่า การผ่าตัดปลูกถ่าย ‘ชิปฝังสมองครั้งที่สอง’ ให้กับมนุษย์เป็นไปด้วยดี และผู้ป่วยสามารถออกแบบวัตถุ 3 มิติ และเล่นเกมวิดีโออย่าง Counter-Strike 2 ได้

ยิ่งไปกว่านั้น การผ่าตัดครั้งที่สองนี้ยังประสบความสำเร็จในการหลีกเลี่ยงปัญหาที่เคยเกิดขึ้นกับผู้ทดลองคนแรก อย่าง ‘โนแลนด์ อาร์เบา’ ซึ่งเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ไม่คาดคิดอย่าง เมื่อเส้นใยบางส่วนของอุปกรณ์ที่ต้องเชื่อมกับเนื้อสมองได้หลุดออก

“เพื่อลดความเสี่ยงของเส้นใยอุปกรณ์หลุดจากเนื้อสมองของผู้ป่วยคนที่สอง เราได้นำมาตรการหลายอย่างมาใช้ เช่น การลดการเคลื่อนไหวของสมองระหว่างการผ่าตัด และการลดช่องว่างระหว่างอุปกรณ์ปลูกถ่ายกับผิวสมอง” บริษัทกล่าวในบล็อกโพสต์

นอกจากนี้ ในกรณีของอาร์เบา Neuralink ได้ปรับปรุงซอฟต์แวร์หลังการผ่าตัด ซึ่งช่วยลดปัญหาที่เกิดขึ้น

ทางบริษัทยังกล่าวอีกว่า ตอนนี้กำลังพัฒนาฟังก์ชันใหม่สำหรับอุปกรณ์เชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ชื่อ Link ซึ่งปัจจุบันช่วยให้ผู้ป่วยควบคุมเคอร์เซอร์บนหน้าจอและอุปกรณ์ดิจิทัลได้ทีละคลิก ในอนาคต พร้อมทั้งระบุด้วยว่า Link จะสามารถถอดรหัสความตั้งใจในการเคลื่อนไหวหลายอย่างพร้อมกัน และจดจำความตั้งใจในการเขียนเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเขียนได้เร็วขึ้น

“ความสามารถเหล่านี้ จะไม่เพียงช่วยฟื้นฟูอิสระทางดิจิทัลสำหรับผู้ที่ไม่สามารถใช้แขนขาได้เท่านั้น แต่ยังช่วยฟื้นฟูความสามารถในการสื่อสารสำหรับผู้ที่ไม่สามารถพูดได้ เช่น ผู้ที่มีภาวะทางระบบประสาท” Neuralink เขียน 

ในปัจจุบัน อุปกรณ์ Link ถูกออกแบบมาสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเป็นอัมพฤกษ์หรืออัมพาตทั้งสี่ข้าง และผู้ที่มีภาวะอื่น ๆ ที่การเคลื่อนไหวถูกจำกัดอย่างรุนแรง โดย มัสก์ กล่าวว่า อุปกรณ์ปลูกถ่ายของ Neuralink อาจช่วยเพิ่มความสามารถของคนที่มีสุขภาพดีได้ในอนาคต เช่น ช่วยในการเรียกคืนความทรงจำ 

บล็อก Neuralink ระบุชื่อจริงของผู้ป่วยว่า ‘อเล็กซ์’ และระบุว่าเขาเป็นช่างเทคนิคยานยนต์ที่เคยประสบอุบัติเหตุบาดเจ็บไขสันหลัง เขาออกจากสถาบันระบบประสาท Barrow Neurological Institute ในเมืองฟินิกซ์ รัฐแอริโซนาในสหรัฐฯ เพียงหนึ่งวันหลังจากได้รับการผ่าตัด โดยอเล็กซ์สามารถใช้ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ช่วยออกแบบตัวยึดสำหรับเครื่องชาร์จ Neuralink แบบกำหนดเองได้แล้ว

มัสก์ หวังว่า จะสามารถปลูกถ่ายอุปกรณ์ให้กับผู้ป่วยเพิ่มเติมได้หลายคนภายในสิ้นปี โดยผู้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา Prime ของ Neuralink ซึ่งเป็นการทดลองอุปกรณ์ทางการแพทย์

'ซาอุฯ' เตรียมใช้เรือไฟฟ้าเหินน้ำ Candela ใน NEOM อีกหนึ่งแพลตฟอร์มด้านขนส่งที่ปล่อยคาร์บอนฯ เป็นศูนย์

(22 ส.ค.67) TNN Tech รายงานว่า ซาอุดีอาระเบีย เผยแผนการใช้เรือขนส่ง จากบริษัทผู้ผลิตเรือในสวีเดนอย่าง 'แคนเดลา' (Candela) ซึ่งพัฒนาเรือเฟอร์รี่โดยสารแบบไฮโดรฟอยล์ (Hidrofoil) พลังงานไฟฟ้ารุ่น พี-สิบสอง (P-12) ที่ได้ฉายาว่า 'เรือบินได้' เพื่อเตรียมรับส่งผู้โดยสารในเมืองอัจฉริยะ ภายใต้โครงการยักษ์ใหญ่ นีออม (NEOM)

โดยซาอุดีอาระเบีย ได้ซื้อเรือเฟอร์รี่ไฟฟ้า P-12 รุ่นใหม่ของบริษัทแคนเดลาจำนวน 8 ลำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเรือไฟฟ้าของแคนเดลาจะใช้ปีกใต้น้ำช่วยยกตัวเรือขึ้นจากผิวน้ำขณะแล่น เพื่อลดการลาก และช่วยให้เรือแล่นด้วยความเร็วสูงเหนือผิวน้ำ จนดูเผินๆ แล้วเหมือนกับว่า เรือกำลังบินได้ 

ตัวเรือออกแบบให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ราว 12-30 คน ขับเคลื่อนโดยมอเตอร์ขับเคลื่อนไฟฟ้า ซี-พอด (C-Pod) 2 ชุด และแบตเตอรี่ขนาด 63 กิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) จำนวน 4 ก้อน ทำความเร็วสูงสุด 30 นอต หรือราว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และแล่นได้ไกลสุดที่ระยะทาง 40 ไมล์ทะเล หรือราว 74 กิโลเมตร ที่ความเร็ว 25 นอต หรือ 46 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

สำหรับปีกใต้น้ำ เป็นปีกคาร์บอนไฟเบอร์ 3 ปีก ซึ่งควบคุมด้วยเซ็นเซอร์ ที่สามารถปรับมุมของปีก เพื่อให้แล่นได้อย่างราบรื่น โดยเคลมว่าสร้างแรงสั่นสะเทือนน้อย เมื่อเทียบกับการใช้งานเรือเฟอร์รี่โดยสารแบบเดิมๆ เหมาะสำหรับการล่องเรือชายฝั่ง โดยจะนำไปให้บริการทั่วชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศซาอุดีอาระเบีย

ทั้งนี้บริษัทผู้พัฒนาเรือแคนเดลา ระบุว่า เรือเฟอร์รี่ไฟฟ้า P-12 ได้รับการออกแบบมาเพื่อสร้างระบบขนส่งทางน้ำที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ อีกทั้งการใช้ปีกแบบไฮโดรฟอยล์ ที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ เพื่อยกเรือขึ้นจากน้ำโดยอัตโนมัติ ทำให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น และทำให้เรือสามารถเดินทางเร็วขึ้นและไกลขึ้น โดยสำหรับโครงการสั่งซื้อเรือดังกล่าว คาดว่าจะเริ่มส่งมอบได้ในปี 2025 และต้นปี 2026 นี้

‘ชาวอินโดฯ’ ประท้วง!! หลังรัฐบาลพลิกคำตัดสินศาล รธน. ส่อเจตนาเอื้อประโยชน์ต่อพรรครัฐบาลผสมของ ‘โจโกวี’

เมื่อวานนี้ (21 ส.ค.67) ชาวอินโดนีเซียจำนวนมากออกมารวมตัวกันประท้วงรัฐบาลที่พยายามพลิกคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีคำวินิจฉัยเปิดโอกาสให้คู่แข่งจากพรรคการเมืองเล็ก ๆ เข้ามาร่วมลงสมัครรับเลือกตั้งด้วยได้

เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากเมื่อวันที่ 21 ส.ค. ศาลรัฐธรรมนูญของอินโดนีเซียวินิจฉัยว่า พรรคการเมืองไม่จำเป็นต้องมีผู้แทนอย่างน้อย 20% ในสภานิติบัญญัติระดับภูมิภาคของตนจึงจะส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งในสนามที่ใหญ่ขึ้นได้

คำวินิจฉัยดังกล่าวหมายความว่า พรรคเล็กที่มีฐานเสียงไม่มากจะมีโอกาสในการแข่งขันทางการเมืองกับพรรคใหญ่ที่มีอิทธิพลได้

อย่างไรก็ตาม ไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังคำวินิจฉัยดังกล่าว รัฐสภากลับยื่นร่างกฎหมายผ่านญัตติฉุกเฉินเพื่อพลิกคำตัดสินดังกล่าว ซึ่งทำให้เกิดการประณามอย่างกว้างขวาง เพราะเกรงว่าจะเป็นวิกฤตการณ์ทางรัฐธรรมนูญ

ผู้ประท้วงรวมตัวกันนอกรัฐสภาในกรุงจาการ์ตา รวมถึงเมืองใหญ่ ๆ อื่น ๆ เช่น ปาดัง บันดุง และยอกยาการ์ตา คาดว่ากฎหมายฉบับเร่งด่วนที่จะพลิกคำตัดสินบางส่วนของศาลจะผ่านสภาในช่วงบ่ายของวันที่ 22 ส.ค.

กฎหมายดังกล่าวจะเอื้อประโยชน์ต่อพรรคการเมืองในรัฐบาลผสมของประธานาธิบดี โจโก วิโดโด หรือ ‘โจโกวี’ ที่กำลังจะลงจากตำแหน่ง รวมถึง ปราโบโว สุเบียนโต ว่าที่ประธานาธิบดีที่กำลังจะขึ้นตำแหน่งในเดือน ต.ค. นี้

ถ้าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถูกพลิก จะทำให้ อานีส บาสวีดัน อดีตผู้ว่าการกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซีย และเป็นผู้ที่มักวิจารณ์รัฐบาล จะไม่สามารถลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าการกรุงจาการ์ตาได้

รัฐบาลอินโดนีเซียยังพยายามหาทางยกเลิกการตัดสินใจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะคงอายุขั้นต่ำผู้สมัครรับเลือกตั้งไว้ที่ 30 ปี เพราะจะทำให้ กาเอซาง ปังงาเรพ ลูกชายวัย 29 ปีของวิโดโดลงเลือกตั้งระดับภูมิภาคในชวาตอนกลางไม่ได้

ผู้สังเกตการณ์กล่าวว่า การงัดอำนาจกันระหว่างศาลรัฐธรรมนูญของประเทศ กับรัฐสภาอินโดนีเซีย ซึ่งเต็มไปด้วยอิทธิพลของผู้สนับสนุนวิโดโด อาจก่อให้เกิดวิกฤตทางการเมือง

อย่างไรก็ตาม วิโดโดได้พยายามลดความสำคัญของข้อพิพาทนี้ลง โดยกล่าวว่า การแก้ไขคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่รัฐบาล ‘การตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ’

ผู้ประท้วงคนหนึ่งที่ชื่อ โจโก อันวาร์ กล่าวว่า ผู้นำของประเทศดูเหมือนจะตั้งใจที่จะรักษาอำนาจของตนเองเอาไว้ ‘ในที่สุด เราจะกลายเป็นเพียงกลุ่มวัตถุที่ไร้อำนาจ แม้ว่าเราจะเป็นผู้มอบอำนาจให้กับพวกเขาก็ตาม ... เราต้องออกมาเดินขบวนบนท้องถนน เราไม่มีทางเลือกอื่น’

ตีตี อังไกรนี นักวิเคราะห์การเลือกตั้งจากมหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย กล่าวว่า การที่รัฐสภาตัดสินใจเพิกถอนคำตัดสินของศาลถือเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ ‘นี่คือการขโมยรัฐธรรมนูญ’

'สเวน โกรัน อีริคส์สัน' กล่าวอำลาหลังใกล้ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต พร้อมขอบคุณทุกคนที่อยู่เคียงข้างมาตลอดทุกช่วงเวลา

(22 ส.ค. 67) สยามสปอร์ต รายงานว่า 'สเวน โกรัน อีริคส์สัน' ตำนานกุนซือชาวสวีดิช ส่งข้อความสุดท้ายเพื่อเป็นการสั่งลาทุก ๆ คน หลังเจ้าตัวป่วยหนักเป็นโรคมะเร็งตับอ่อนระยะสุดท้าย และมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน

อีริคส์สัน มีโอกาสได้กุมบังเหียนหลายสโมสรได้แก่ โกเตเบิร์ก, เบนฟิก้า, โรม่า, ฟิออเรนติน่า, ซามพ์โดเรีย, ลาซิโอ, แมนฯ ซิตี้ และ เลสเตอร์ รวมทั้งยังได้ทำหน้าที่ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษด้วย

หลังจากวางมือจากการกุมบังเหียน อีริคส์สัน ก็เงียบหายไปจากวงการลูกหนัง แต่เมื่อไม่นานมานี้เจ้าตัวตกเป็นข่าวใหญ่หลังออกมายอมรับว่าถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย และมีชีวิตอยู่ได้อีกนาน

ตำนานกุนซือวัย 76 ปี ซึ่งเพิ่งจะสานฝันให้เป็นจริงในการคุม ลิเวอร์พูล ทีมรักในเกมการกุศลพบ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เมื่อช่วงต้นปีนี้ เปิดใจผ่านสารคดีที่ชื่อว่า ‘Sven’ ทางช่อง Amazon Prime เพื่อเป็นการสั่งลาหลังรู้ตัวว่าใกล้ถึงเวลาที่จะจากโลกนี้ไป

"ผมหวังว่าพวกคุณจะจดจำผมในฐานะคนที่มองโลกในแง่ดีซึ่งพยายามทำทุกอย่างที่เขาสามารถทำได้ ไม่มีอะไรต้องเสียใจ ยิ้มเข้าไว้ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทั้งโค้ช, นักเตะ, แฟนบอล มันช่างน่าเหลือเชื่อ ดูแลตัวเองและดูแลชีวิตของคุณ ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ลาก่อน" อีริคส์สัน ระบุ

สำหรับสารคดี SVEN จะออกอากาศทาง Amazon Prime ในวันที่ 23 ส.ค. นี้

‘นายกฯ จีน’ ส่งสารยินดี 'อุ๊งอิ๊ง' รับตำแหน่งนายกฯ คนใหม่ ลั่น!! พร้อมทำงานสานต่อมิตรภาพดั้งเดิมที่มีอนาคตร่วมกัน

เมื่อวันที่ 19 ส.ค.67 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ‘หลี่เฉียง’ นายกรัฐมนตรีจีน ส่งสารแสดงความยินดีกับ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ สำหรับการเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทย

โดย หลี่เฉียง ระบุว่า จีนและไทยเป็นเพื่อนบ้านฉันมิตรที่ใกล้ชิดและประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน โดยตั้งแต่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อเกือบครึ่งศตวรรษก่อน ความสัมพันธ์จีน-ไทย ยังคงพัฒนาอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง ไม่ว่าภูมิทัศน์ระหว่างประเทศเกิดการเปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้ หลี่เฉียง เผยความพร้อมทำงานร่วมกับแพทองธาร เพื่อสานต่อมิตรภาพดั้งเดิม ‘จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน’ และผลักดันผลสำเร็จในการสร้างประชาคมจีน-ไทย ที่มีอนาคตร่วมกัน เพื่อนำพาผลประโยชน์มาสู่ประชาชนของทั้งสองประเทศยิ่งขึ้น ขณะปี 2025 จะตรงกับวาระครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนกับไทย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top