Wednesday, 18 June 2025
WORLD

‘ไทย-จีน’ เตรียมเปิดฉากซ้อมรบร่วมทางอากาศ ‘Falcon Strike 2024’ หวังเพิ่มพูนทักษะต่อสู้ พร้อมกระชับแลกเปลี่ยนความร่วมมือเชิงปฏิบัติ

(14 ส.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงกลาโหมของจีนประกาศว่า จีนและไทยจะจัดการซ้อมรบร่วมทางอากาศ ‘ฟอลคอน สไตรค์ 2024’ (Falcon Strike-2024) ในเดือนสิงหาคมนี้ โดยการซ้อมรบเป็นไปตามแผนความร่วมมือประจำปีระหว่างกองทัพของทั้งสองประเทศ

ทั้งนี้ กระทรวงฯ ระบุว่า การซ้อมรบจะจัดขึ้นที่ฐานทัพอากาศของไทย และจีนจะจัดส่งเครื่องบินหลายประเภทและกองกำลังพิเศษเข้าร่วมการซ้อมรบ โดยเป้าหมายของการซ้อมรบร่วมครั้งนี้คือเพิ่มพูนทักษะการต่อสู้ของกองกำลังที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกระชับการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือเชิงปฏิบัติ

‘ไต้หวัน’ แต่งตั้ง 'หลิน ยู่ถิง' เป็น 'ทูตด้านการต่อต้านการบูลลี่แห่งชาติ' หลังผ่านความขมขื่นเรื่องเพศ สู่เจ้าของเหรียญทองมวยสากลหญิง

ไต้หวันต้อนรับยิ่งใหญ่ นักกีฬาทีมชาติที่กลับจากการแข่งขันปารีส โอลิมปิก 2024 ซึ่งหนึ่งในนักกีฬาที่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนไต้หวันมากที่สุด คือ หลิน ยู่ถิง นักกีฬามวยสากลหญิง ในรุ่น 57 กิโลกรัม ที่สามารถคว้าเหรียญทองมวยสากลให้กับไต้หวันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ จนชาวไต้หวัน ต่างขั้นยกฉายาให้เธอว่าเป็น 'ลูกสาวของชาวไต้หวัน'

แต่กว่าที่ หลิน ยู่ถิง ก้าวมาถึงจุดนี้ เธอต้องผ่านความขมขื่นจากการถูกบูลลี่ ด้วยข้อความหยามเหยียด เกลียดชัง บนโลกออนไลน์มากมาย 

เช่นเดียวกับ อิมาน เคลิฟ นักชกหญิงจากแอลจีเรีย ในประเด็นความคลุมเครือเรื่องเพศสภาพ ที่ทำให้ทั้งคู่ไม่ผ่านการรับรองจากสมาคมมวยสากล (IBA) ให้เข้าแข่งขันในประเภทมวยสากลหญิง แต่ทว่า ทั้ง หลิน ยู่ถิง และ อิมาน เคลิฟ กลับผ่านเกณฑ์การพิจารณาจากคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ให้สามารถแข่งขันในงานโอลิมปิกได้

เรื่องนี้จึงกลายเป็นประเด็นถกเถียงอย่างร้อนแรง ถึงสิทธิ และความเท่าเทียมในการแข่งขันกีฬา ในกรณีความผิดปกติที่เกิดจากโครโมโซมเพศ ส่งผลให้เพศสภาพไม่ชัดเจน อันเป็นผลให้พวกเธอ ถูกโจมตีโดยชาวเน็ตจากทั่วโลก ที่มองว่าพวกเธอไม่ใช่ผู้หญิงแท้ และไม่เห็นด้วยที่ทั้งคู่จะได้ขึ้นชกกับนักมวยที่มีเพศสภาพเป็นหญิงชัดเจน 

แต่ในขณะเดียวกัน นักมวยทั้งคู่ก็ได้รับแรงสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากเพื่อนร่วมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวไต้หวันที่พร้อมออกมาปกป้อง หลิน ยู่ถิง ในฐานะ 'ลูกสาวของชาวไต้หวัน' อีกทั้ง ไล่ ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน สั่งให้ทีมกฎหมายเตรียมดำเนินคดีเอาผิดกับชาวเน็ตที่ออกมาบูลลี่ลูกสาวแห่งชาติของชาวไต้หวัน 

และล่าสุด หลิน ยู่ถิง ได้รับการแต่งตั้งจากหน่วยงานด้านกีฬาให้เป็น 'ทูตด้านการต่อต้านการบูลลี่แห่งชาติ' และยังได้ตำแหน่งทางวิชาการเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ในภาควิชาพลศึกษาของมหาวิทยาลัยวัฒนธรรมจีน โดยเธอจะได้สอนวิชาการชกมวยสากล และ ทักษะทางกีฬา ตั้งแต่ภาคเรียนฤดูใบไม้ร่วงที่จะถึงนี้เป็นต้นไป 

ประเด็นเรื่องความคลุมเครือทางเพศสภาพของ หลิน ยู่ถิง ทำให้เธอถูกเพิกถอนเหรียญรางวัลในการแข่งขันชิงแชมป์มวยโลก ที่จัดโดย IBA ที่ยังแสดงความเห็นขัดแย้งกับ IOC เรื่องสิทธิในการเข้าแข่งขันของเธอ อันเป็นเหตุให้หน่วยงานด้านกีฬาของไต้หวันกำลังพิจารณาฟ้องร้องเอาผิดทางกฎหมายกับ IBA  

ด้าน นายกรัฐมนตรี โช จุงไต เรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการมอบเหรียญเกียรติยศ พร้อมเงินอัดฉีดอีก 9 แสนเหรียญไต้หวันย้อนหลังให้ แม้ หลิน ยู่ถิงจะถูกริบเหรียญจากการแข่งขันชิงแชมป์โลกก็ตาม 

แต่ทั้งนี้ หลิน ยู่ถิง ไม่ต้องการดำเนินคดีกับฝ่ายใดทั้งสิ้น และบอกว่าการได้รับเหรียญทองโอลิมปิกเป็นเครื่องพิสูจน์ตัวตนของเธอแล้ว และเธอยินดีรับตำแหน่งทูตต่อต้านการบูลลี่ และ ทำหน้าที่สอนกีฬาเพื่อส่งเสริมนักกีฬารุ่นใหม่ของไต้หวันต่อไป

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

'นายกฯ ญี่ปุ่น' เตรียมลงจากตำแหน่งผู้นำพรรครัฐบาล เดือน ก.ย.นี้ ท่ามกลางเรื่องอื้อฉาวต่างๆ และความขัดแย้งทางการเมือง

(14 ส.ค. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ ของญี่ปุ่น จะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรครัฐบาลในเดือนกันยายน 2567 นี้ ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่ง 3 ปี ที่เขาดำรงตำแหน่งในช่วงผลักดันให้เพิ่มค่าจ้างและเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหม

ที่ผ่านมาเสียงสนับสนุนคิชิดะลดลงอย่างมาก ท่ามกลางเรื่องอื้อฉาวต่าง ๆ และท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง

คิชิดะจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) อีกต่อไป สื่อท้องถิ่น รวมถึงสถานีวิทยุและโทรทัศน์สาธารณะ NHK รายงานโดยอ้างคำพูดของเจ้าหน้าที่บริหารระดับสูง

การตัดสินใจลาออกของเขาจะกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคที่จะมาแทนที่เขา และขยายไปเป็นผู้นำเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก

ผู้สืบทอดตำแหน่งของเขาจะต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น ท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มมากขึ้น และอาจเป็นไปได้ที่โดนัลด์ ทรัมป์จะกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปีหน้า

สลด!! ‘พ่อปาเลสไตน์’ สูญเสียทั้งครอบครัว จากการโจมตีของอิสราเอล หลังตนรีบออกจากบ้าน เพื่อไปขอใบสูติบัตรให้ ‘ลูกน้อยฝาแฝดวัย 4 วัน’

(14 ส.ค.67) โมฮัมเหม็ด อาบู อัล คัมซาน (Mohammed Abu al Qumsan) ต้องหัวใจสลายที่ต้องเสียทั้งครอบครัวไปอย่างไม่ตั้งตัวในวันอังคาร (13 ส.ค.) หลังบ้านพักฉุกเฉินที่เขาและลูกฝาแฝดชายหญิงวัยแค่ 4 วัน กำลังน่ารัก รวมภรรยาและย่าอาศัยอยู่นั้น โดนทหารอิสราเอลโจมตีทางอากาศ

ด้านสกายนิวส์ของอังกฤษรายงานเมื่อวันอังคาร (13 ส.ค.) ว่า ไอซาล (Aysal) ทารกฝาแฝดหญิงผู้พี่และอาเซอร์ (Aser) ฝาแฝดน้องชายที่เพิ่งลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรกเมื่อสุดสัปดาห์ แต่กลับต้องเคราะห์ร้ายมีชีวิตอยู่เพียงแค่ 4 วัน เมื่อพ่อปาเลสไตน์ที่กำลังตื่นเต้น ‘โมฮัมเหม็ด อาบู อัล คัมซาน’ (Mohammed Abu al Qumsan) รีบเดินทางออกจากบ้านในเดอีร์ อัล บาลาห์ (Deir al Balah) ตอนกลางของเขตฉนวนกาซา

แต่เมื่อเขาเดินทางกลับมาในเช้าวันอังคาร (13 ส.ค.) พร้อมกับใบสูติบัตรของลูกฝาแฝดแรกคลอดกลับพบว่าทั้งครอบครัวถูกสังหารจากการโจมตีทางอากาศของกองทัพอิสราเอล

อ้างอิงจากสื่อท้องถิ่นพบว่า ทั้งครอบครัวแต่เดิมอาศัยอยู่ทางเหนือของกาซา แต่ทว่าต้องอพยพลงมาอาศัยชั่วคราวที่ทางใต้ลงไป

โดยภาพที่เห็นและเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดียผ่านวิดีโอคลิปแสดงให้เห็นชายคนหนึ่งกำลังร้องไห้อย่างเงียบ ๆ และในมือถือใบสูติบัตรจำนวน 2 ใบ และอัล คัมซานนั้นร้องไห้หนักมากขึ้นและดูเหมือนจะเป็นหมดสติด้วยความเสียใจขณะที่ชาย 2 คนประคองเขาไว้

เป็นภาพไม่ต่างจากเมื่อครั้งพ่อชาวยิวไอริช ทอม แฮนด์ (Tom HandX) ที่เคยให้สัมภาษณ์อย่างสุดสะเทือนใจเมื่อไม่กี่วันหลังฮามาสบุกข้ามแดนเข้าไปโจมตีสังหารในหมู่บ้านของเขาในอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ปี 2023 ว่า เป็นการดีที่ได้รู้ว่าลูกสาว เอมิลี วัย 8 ขวบเสียชีวิตและไม่ได้ถูกลักพาตัวไป แต่ในเวลาต่อมาแฮนด์ซึ่งโชคดีมากกว่าพ่อปาเลสไตน์หลายคนเพราะเขาได้ตัวลูกสาว เอมิลี กลับคืนมาอย่างปลอดภัยและเด็กจากสื่อ i24NEWS English รายงานเมื่อวันที่ 5 ก.พ. ต้นปี สามารถเริ่มกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ

สกายนิวส์รายงานว่า ภรรยาของเขา จูมานา อราฟา ซึ่งเป็นเภสัชกรได้ให้กำเนิดโดยการผ่าคลอดก่อนที่จะประกาศข่าวดีว่าเป็นฝาแฝดผ่านทางเฟซบุ๊ก

ในวันอังคาร (13 ส.ค.) คุณพ่อปาเลสไตน์มือใหม่รีบเดินทางไปขอใบสูติบัตรที่สำนักงานรัฐบาลท้องถิ่น แต่ในระหว่างที่เขาอยู่ที่นั่นพบว่าเพื่อนบ้านได้โทรศัพท์แจ้งว่า บ้านพักฉุกเฉินที่อาศัยถูกโจมตีด้วยระเบิด

“ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไร” และกล่าวว่า “ผมได้รับการบอกว่ามีการยิงและมาโดนที่บ้านพักอาศัย”

คู่สามีภรรยาทำตามคำสั่งอพยพในช่วงสัปดาห์แรก ๆ ของสงคราม และได้เข้ามาอาศัยที่ตอนกลางของเขตฉนวนกาซาตามคำสั่งของกองทัพอิสราเอล เอพีชี้

กระทรวงสาธารณสุขกาซารายงานตัวเลขผู้เสียชีวิตล่าสุดมีไม่ต่ำกว่า 39,929 คน และบาดเจ็บอีก 92,240 คน

ขณะเดียวกันในวันจันทร์ (12 ส.ค.) กลุ่มติดอาวุธฮามาสแถลงยืนยันว่า ตัวประกันชายชาวอิสราเอลที่ถูกจับไว้ในกาซาโดนผู้คุมของเขายิงเสียชีวิตพร้อมกับมีตัวประกันหญิงอีก 2 คนได้รับบาดเจ็บสาหัสในอีกเหตุการณ์

โฆษกกองกำลังฮามาสประกาศการตั้งคณะกรรมการสอบสวน

'องค์กรไม่แสวงหากำไรในสหรัฐฯ’ แจ้งเตือน 'ไทย' เตรียมรับมือด่วน หลังพบเรือขนขยะพิษจากแอลเบเนียกว่า 100 ตู้กำลังจะถึงแหลมฉบัง

(13 ส.ค.67) Spacebar รายงานว่า ‘Basel Action Network’ องค์กรไม่แสวงหากำไรในสหรัฐฯ ที่ติดตามการส่งออกของเสียที่เป็นพิษ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยแจ้งเตือนมาเลเซียถึงการขนส่งขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ผิดกฎหมาย และได้แจ้งประเทศไทยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ตู้คอนเทนเนอร์ดังกล่าวที่ทางองค์กรเชื่อว่าเต็มไปด้วยฝุ่นเตาเผาไฟฟ้าที่อาจเป็นอันตรายกำลังมุ่งหน้าสู่ประเทศไทย ณ ท่าเรือแหลมฉบัง

นอกจากนี้ ยังพบว่าเรือลำหนึ่งที่บรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ไม่ปรากฏบนบริการติดตามตำแหน่งทางทะเลอีกต่อไป จากนั้นเรือก็จอดเมื่อเข้าใกล้เมืองเคปทาวน์เมื่อปลายเดือนที่แล้ว หลังจากที่ ‘Basel Action Networ’ ระบุว่าได้แจ้งเตือนเจ้าหน้าที่แอฟริกาใต้เกี่ยวกับการขนส่งดังกล่าว 

เจ้าหน้าที่ไทยได้รับแจ้งว่าตู้คอนเทนเนอร์ถูกบรรทุกขึ้นเรือที่แอลเบเนียเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม และกำลังดำเนินการร่วมกับหน่วยงานในแอลเบเนียและสิงคโปร์เพื่อระงับการขนส่งดังกล่าว ซึ่งเรือจะเข้าเทียบท่าในช่วงปลายเดือนนี้ 

กรมโรงงานอุตสาหกรรมของไทย ซึ่งมีหน้าที่ดูแลการจัดการขยะระหว่างประเทศระบุในอีเมลว่า “หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องไม่ได้รับแจ้งและไม่ได้ให้ความยินยอมสำหรับการขนส่งเหล่านี้ ขณะนี้เรากำลังประสานงานและติดตามเพื่อป้องกันการขนส่งที่ผิดกฎหมายเหล่านี้” 

สำหรับประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องเผชิญกับขยะล้นประเทศที่มาจากประเทศพัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นขยะพลาสติกสกปรก ขยะอุตสาหกรรมและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งอาจมีสารพิษเจือปนอยู่ด้วย  

โดยตามอนุสัญญาบาเซลของสหประชาชาติ (Basel Convention) ข้อตกลงระดับโลกที่ลงนามโดยหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งประเทศต่าง ๆ จำเป็นต้องยินยอมให้ประเทศพัฒนาแล้วส่งขยะมาทิ้งในประเทศของตัวเอง 

อย่างไรก็ตาม จากรายงานของ ‘Basel Action Network’ ได้ระบุว่า ตู้คอนเทนเนอร์ดังกล่าวอยู่บนเรือแคมป์ตัน และแคนเดอร์ของบริษัท A/S AP Moller-Maersk โดยทางบริษัทยืนยันว่าเรือบรรทุกสินค้า 2 ลำของบริษัทกำลังบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ที่มาจากแอลเบเนีย ซึ่งบริษัทเดินเรืออีกแห่งหนึ่งจองไว้ 

“ไม่มีตู้คอนเทนเนอร์ใดที่ถูกระบุว่ามีขยะอันตราย มิฉะนั้นแล้ว Maersk (เมิร์สก์) ก็คงปฏิเสธที่จะขนส่งตู้คอนเทนเนอร์เหล่านี้ เนื่องจากมีการคาดเดาเกี่ยวกับตู้คอนเทนเนอร์เหล่านี้ บริษัท Maersk จึงจะส่งมอบตู้คอนเทนเนอร์ดังกล่าวให้กับบริษัทเดินเรือที่จองและรับผิดชอบต่อตู้คอนเทนเนอร์ดังกล่าว” ซัมเมอร์ ชี โฆษกหญิง ระบุในอีเมล 

ถึงกระนั้น ‘Basel Action Network’ ซึ่งร่วมกับกลุ่มสิ่งแวดล้อม ‘มูลนิธิบูรณะนิเวศ’ (EARTH) ก็ได้แจ้งเตือนประเทศต่าง ๆ มากมาย เมื่อทราบว่าฝุ่นจากเตาเผาไฟฟ้ามากกว่า 800 ตัน ถูกบรรทุกลงบนเรือในแอลเบเนีย จากนั้นจึงส่งต่อไปยังเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ของบริษัท Maersk ในเมืองทรีเอสต์ ประเทศอิตาลี โดยข้อมูลการขนส่งทางออนไลน์แสดงให้เห็นว่า เรือของบริษัทเมดิเตอร์เรเนียน ชิปปิ้ง (MSC) ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขนส่งครั้งนี้ด้วย โดยมีประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทาง 

ทั้งนี้ ฝุ่นจากเตาเผาที่ต้องได้รับการบำบัดเป็นขยะอันตรายที่มักมาจากการรีไซเคิลเศษเหล็ก และมีออกไซด์โลหะที่เป็นพิษ เช่น แคดเมียมและโครเมียม ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม 

ตามข้อมูลบนเว็บไซต์ติดตามตู้คอนเทนเนอร์ของ MSC ระบุอีกว่า “ตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุต จำนวน 40 ตู้ถูกโหลดขึ้นเรือ ‘Contship Vow’ เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ที่ท่าเรือดูร์เรสของแอลเบเนีย จากนั้นตู้คอนเทนเนอร์เหล่านี้จะถูกส่งต่อไปยังเรือแคมป์ตันของบริษัท Maersk ที่เมืองทรีเอสต์ ในอีกไม่กี่วันต่อมา และจะถูกส่งต่ออีกครั้งบนเรือ MSC ที่สิงคโปร์ในวันที่ 18 สิงหาคม” 

โดยเรือบรรทุกดังกล่าวมีกำหนดเดินทางถึงท่าเรือแหลมฉบังของไทยในวันที่ 20 สิงหาคมนี้ ในขณะเดียวกัน การขนส่งตู้คอนเทนเนอร์จำนวนประมาณ 60 ตู้ ซึ่งเดิมบรรจุอยู่บนเรือ MSC จากแอลเบเนีย ก็กำลังมุ่งหน้าสู่สิงคโปร์บนเรือแคนเดอร์ของบริษัท Maersk ด้วยเช่นกัน 

ทว่า เรือแคมป์ตัน ได้ปิดการส่งสัญญาณตำแหน่งเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม โดยบริษัท Maersk กล่าวว่า “เรือลำนี้ไม่มีกำหนดแวะจอดที่แอฟริกาใต้ และไม่ใช่เรื่องแปลกที่เรือจะปิดการส่งสัญญาณตำแหน่งด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย” ปัจจุบันเรือลำนี้อยู่ในมหาสมุทรอินเดีย เพื่อมุ่งหน้าไปยังสิงคโปร์  

ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่าเรือแคมป์ตันจะจอดที่สิงคโปร์ในวันที่ 14 สิงหาคม ส่วนเรือแคนเดอร์จะเดินทางถึงสิงคโปร์ในวันที่ 22 สิงหาคม ก่อนที่ตู้คอนเทนเนอร์ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเต็มไปด้วยฝุ่นเตาเผาจะมุ่งหน้าไปยังประเทศไทย 

“ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก เนื่องจากสิงคโปร์และไทยจะต้องดำเนินการเพื่อหยุดยั้งเรือเหล่านี้...แอลเบเนียควรนำตู้คอนเทนเนอร์กลับคืน เพื่อให้แน่ใจว่าขยะจะไม่ถูกส่งออกอีกครั้งไปยังจุดหมายปลายทางอื่นๆ” จิม พักเก็ตต์ ผู้อำนวยการบริหารของ ‘Basel Action Network’ กล่าว 

'อดีตนายกฯ บังกลาเทศ' แฉ!! ถูก US ปลุกระดมโค่นอำนาจ แก้แค้นไม่ยอมให้ตั้งฐานทัพ หากยอมแต่แรกอำนาจไม่หลุด

(13 ส.ค. 67) อดีตนายกรัฐมนตรีหญิง ชัยค์ ฮาสินา แห่งบังกลาเทศ ซึ่งถูกบีบให้ลาออกและหลบหนีออกนอกประเทศ ท่ามกลางการประท้วงใหญ่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กล่าวหาสหรัฐฯ ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการขับไล่เธอพ้นจากอำนาจ

ระหว่างให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์อีโคโนมิกไทม์ส ที่เผยแพร่เมื่อวันอาทิตย์ (11 ส.ค.) ฮาสินา บ่งชี้ว่าเธออาจยังคงอยู่ในอำนาจต่อไป หากว่าเธอยินยอมอ้าแขนรับให้กองทัพสหรัฐฯ เข้ามาตั้งฐานทัพในบังกลาเทศ

"ฉันลาออกแล้ว เพื่อที่ว่าฉันจะไม่ได้เห็นขบวนแห่ศพผู้เสียชีวิต พวกเขาต้องการก้าวเข้าสู่อำนาจด้วยศพของพวกนักศึกษา แต่ฉันไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น ฉันลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี" ฮาสินากล่าว "ฉันอาจยังคงอยู่ในอำนาจ หากว่าฉันยอมสละอธิปไตยของเกาะเซนต์มาร์ติน และเปิดทางให้อเมริกามีอิทธิพลเหนืออ่าวเบงกอล ฉันขอวิงวอนผู้คนในแผ่นดินของฉัน กรุณาอย่าถูกบิดเบือนด้วยพวกหัวรุนแรง"

ฮาสินา อ้างถึงเกาะผืดหินปะการังของบังกลาเทศ ในทางตะวันออกเฉียงเหนือของอ่าวเบงกอล ที่กล่าวอ้างว่าวอชิงตันพยายามยึดครองมัน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่บังกลาเทศหลายคนกล่าวอ้างในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ว่าอเมริกาขอเช่าเกาะแห่งนี้ในหลายโอกาส แต่ถูกปฏิเสธ ขณะที่ ฮาสินา บอกว่า ‘พวกชายผิวขาว’ คำที่เธอใช้เรียกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เคยมาขอเข้าพบเธอก่อนศึกเลือกตั้งก่อนหน้านี้ และขอให้เธอสนับสนุนโครงการก่อสร้างฐานทัพอากาศบนเกาะเซนต์มาร์ติน

นักการเมืองหญิงวัย 76 ปี ซึ่งครองอำนาจมานานกว่า 15 ปี หลบหนีไปยังอินเดีย ประเทศเพื่อนบ้าน หลังลาออกจากตำแหน่งในวันที่ 5 สิงหาคม อย่างไรก็ตาม เธอประกาศว่าจะเดินทางกลับกรุงธากาเร็ว ๆ นี้ "ด้วยพระคุณแห่งผู้ทรงฤทธานุภาพ พระอัลเลาะห์"

การพ้นจากตำแหน่งของฮาสินา มีขึ้นหลังจากเกิดการประท้วงทั่วประเทศที่นำโดยนักศีกษาต่อเนื่องยาวนานหลายสัปดาห์ เกี่ยวกับระบบโควตางานของรัฐบาล ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเอื้ออำนวยต่อคนที่เกี่ยวข้องกับพรรครัฐบาล การประชุมเริ่มต้นอย่างสันติ แต่จากนั้นได้ลุกลามกลายเป็นสถานการณ์ความรุนแรงอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 400 คน และถูกจัมกุมประมาณ 11,000 คน

ไม่นานหลังจาก ฮาสินา ลาออก ทางพลเอกวาเกอร์-อุซ-ซามัน ประธานคณะเสนาธิการร่วมของบังกลาเทศ แถลงว่าเขาจะตั้งรัฐบาลรักษาการ โดยที่ มูฮัมหมัด ยูนูส เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ผู้ริเริ่มและพัฒนาแนวคิดการให้กู้เงินแก่คนจนโดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ได้สาบานตนเข้ารับตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาลรักษาการ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม

‘WHO’ เล็งประกาศ ‘ฝีดาษลิง’ เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข หลังระบาดหนักในทวีปแอฟริกา ชี้!! 14 ส.ค.นี้ ได้ข้อสรุปแน่ชัด

(13 ส.ค.67) จากเพจเฟซบุ๊ก ‘Salika’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

ดร.ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผอ.องค์การอนามัยโลก หรือ ดับเบิลยูเอชโอ (ฮู) ทวีตข้อความในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า การประชุมคณะกรรมการฉุกเฉิน ในวันพุธที่ 14 ส.ค. 2567 จะมีการพิจารณาถึงสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสฝีดาษลิง หรือ เอ็มพ็อกซ์ (Mpox : Monkey Pox) ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างหนักในทวีปแอฟริกา หลังพบผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก

ซึ่งจากสถานการณ์แพร่ระบาดข้างต้น อาจส่งผลให้ที่ประชุมประกาศให้การแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิงดังกล่าว เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขที่สำคัญระดับโลก เพื่อวางแผนรับมือ รวมถึงการแนะนำเพื่อทางป้องกันและลดการแพร่ระบาดของโรค

“การประชุมคณะกรรมการฉุกเฉินเกี่ยวกับการระบาดของโรคฝีดาษลิงในวันพุธที่ 14 ส.ค. คณะกรรมการจะให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การระบาดว่า ถือเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขที่ก่อให้เกิดความกังวลในระดับนานาชาติหรือไม่ และหากเป็นเช่นนั้น คณะกรรมการจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการป้องกันและลดการแพร่กระจายของโรค รวมถึงดำเนินการรับมือด้านสาธารณสุขระดับโลก” ดร.กีบรีเยซุส ทวีต

สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิงในทวีปแอฟริกา ช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.2567) พบผู้ป่วยติดเชื้อมากกว่า 14,000 รายในพื้นที่ 10 รัฐของสหภาพแอฟริกา ซึ่งในจำนวนดังกล่าว ผู้ป่วยติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจำนวน 2,750 ราย และมีผู้ป่วยเสียชีวิต 450 ราย เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนหน้าถึงร้อยละ 160

Army-2024 งานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์สุดยิ่งใหญ่ของสหพันธรัฐรัสเซีย ใต้นัย!! เสริมสร้างความสัมพันธ์ที่มีอยู่ พร้อมสร้างความสัมพันธ์ใหม่ๆ

(13 ส.ค. 67) Army-2024 เป็นงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ระดับนานาชาติของสหพันธรัฐรัสเซียซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 10 และจัดขึ้นและได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากกระทรวงกลาโหมแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย และผสมผสานนิทรรศการและการสาธิตความสามารถของอุปกรณ์ทางทหารเข้ากับโปรแกรมการประชุมที่ครอบคลุมและการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันของผู้เข้าชมจากต่างประเทศซึ่งประกอบด้วยผู้แสดงสินค้า คณะผู้แทน และผู้เยี่ยมชมจากต่างประเทศ

ผลงานของ Army-2024 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าในช่วงเก้าปีที่ผ่านมา งานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์นี้ได้กลายเป็นหนึ่งในนิทรรศการอาวุธยุทโธปกรณ์ชั้นนำของโลก ซึ่งเป็นเวทีที่มีอำนาจในการหารือเกี่ยวกับแนวคิดและการพัฒนาที่สร้างสรรค์สำหรับกองกำลังติดอาวุธ

ผู้ดำเนินการอย่างเป็นทางการของ งานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ซึ่งได้รับการมอบหมายจากกระทรวงกลาโหมของสหพันธรัฐรัสเซียคือ International Congresses and Exhibitions (MKB) โดย Army-2024 เป็นงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ระดับ จัดโดยกระทรวงกลาโหมของสหพันธรัฐรัสเซีย และได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นงานนิทรรศการที่สำคัญในรัสเซียในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง อาวุธยุทโธปกรณ์ อุปกรณ์ทางทหารสำหรับกองกำลังติดอาวุธและหน่วยงานด้านความปลอดภัย

โปรแกรมสาธิตกลางแจ้งจัดขึ้นเพื่อนำเสนอระบบอาวุธและอุปกรณ์ในสนามยิงปืนพิเศษพร้อมคำบรรยายสดและวิดีโอที่ฉายบนจอขนาดใหญ่ ซึ่งรับประกันความสำเร็จของการนำเสนอครั้งนี้ การนำเสนอเหล่านี้ได้รับการชื่นชมอย่างมากจากรัฐมนตรีกลาโหม คณะผู้แทนระดับมืออาชีพ และสื่อมวลชนเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัสเซียเยี่ยมชมบูธของผู้แสดงสินค้า รวมทั้งรัฐมนตรีกลาโหมของรัสเซีย คณะผู้แทนทหารและธุรกิจจากต่างประเทศเยี่ยมชมบูธของผู้แสดงสินค้า

Army-2024 เป็นงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์เป็นเวทีพิเศษในการสาธิตความสำเร็จที่ดีที่สุดในด้านการทหาร โดยมีการนำเสนอหน่วยอาวุธอัจฉริยะที่ทันสมัยและก้าวหน้า อุปกรณ์และเทคโนโลยีทางการทหาร โครงการก่อสร้างและบำรุงรักษา ตลอดจนโอกาสอันยอดเยี่ยมสำหรับบริษัทและองค์กรต่าง ๆ ในการสาธิตผลิตภัณฑ์เพื่อบูรณาการเพิ่มเติมในการร่วมมือกันภายในกลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ

คำปราศรัยในการเปิดงาน Army-2024 ของประธานาธิบดี Vladimir Putin แห่งสหพันธรัฐรัสเซีย 

“เพื่อน ๆ งานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ Army 2024 นำเสนอโปรแกรมที่แน่นขนัดและมีรายละเอียดมาก โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมาย ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญทางการทหาร ข้าพเจ้าไม่สงสัยเลยว่างานนี้จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่มีอยู่และสร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆ โดยการลงนามในสัญญาที่เป็นประโยชน์ร่วมกันกับกระทรวงกลาโหมของรัสเซียและบริษัทในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ อีกทั้งงานนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความร่วมมือของเรากับประเทศที่ใกล้ชิดและเป็นมิตรของเราในประเด็นความมั่นคงและในแง่ของการปกป้องผลประโยชน์ของชาติ ข้าพเจ้าขออวยพรให้ผู้เข้าร่วมในงาน Army-2024 จงประสบความสำเร็จและโชคดี"

‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’ ชี้!! โลกตกอยู่ในอันตราย หลัง ‘ปูติน’ โต้ ‘ยูเครน’ เหตุโดนทหารบุกแคว้นคูสค์ จนต้องอพยพประชาชนเกือบแสนคน

(13 ส.ค. 67) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง โลกตกอยู่ในอันตราย มีรายละเอียดดังนี้

“เมื่อวานนี้ ปูตินแถลงหลังจากการประชุมฝ่ายความมั่นคง เพื่อประเมินสถานการณ์ที่ยูเครนส่งทหารบุกเข้าไปในแคว้นคูสค์ของ 10 กิโลเมตร รัสเซียต้องอพยพคนออกจากพื้นที่สู้รบเกือบแสนคน เพื่อลดการสูญเสีย ถูกกระตุกหนวดเสือ

ก่อนหน้านี้ รัสเซียได้เผยแพร่ภาพหอหล่อเย็นของ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในเมืองซาโปโรซี Zaporozhye ที่ได้รับความเสียหายไฟไหม้จากการโจมตีของฝ่ายยูเครน หากจัดการไม่ได้อาจเกิดโศกนาฏกรรมแบบ เชอโนบิล

ปูตินประกาศ ว่า

1.ยกเลิกการเจรจาเพื่อแสวงหาสันติภาพทั้งหมด
2.นาโตต้องการทำสงครามโลกครั้งที่สามกับรัสเซีย
3.ให้ทำลายยูเครนด้วยทหารและอาวุธ

รอติดตามว่า รัสเซียจะตอบโต้หนักหน่วงเพียงใด และการสู้รบจะลุกลามขยายตัวเพียงใด”

‘ทรัมป์’ กล่าวหา ‘แฮร์ริส’ ใช้ AI ตกแต่งภาพ สร้างฝูงชน รอรับที่สนามบินมิชิแกน ทีมงานรองประธานาธิบดี ตอบโต้ทันที ชี้!! เป็นภาพจริง มีผู้คนมารอต้อนรับนับหมื่น

(12 ส.ค. 67) นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024 แห่งพรรครีพับลิกัน กล่าวหานางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ และเป็นผู้สมัครฯ จากพรรคเดโมแครตว่า ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ ตกแต่งภาพผู้คนเป็นจำนวนมากมารอต้อนรับเธอที่ท่าอากาศยานดีทรอยต์เมโทรโพลิแทน ในเมืองโรมิวลุส รัฐมิชิแกน เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา

โดยอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวว่า นางแฮร์ริสโกงภาพที่ปรากฏ เพราะไม่มีใครอยู่ ซึ่งเธอใช้เอไอทำภาพดังกล่าวขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม ทางทีมงานของรองประธานาธิบดีแฮร์ริส ออกมาตอบโต้ พร้อมทั้งยืนยันว่า ภาพที่ผู้คนเป็นจำนวนมากมารอต้อนรับรองประธานาธิบดีแฮร์ริสที่ท่าอากาศยานดังกล่าวนั้น เป็นภาพจริง ซึ่งในขณะนั้นมีผู้คนจำนวนราว 15,000 คนมารอต้อนรับ รองประธานาธิบดีแฮร์ริส และว่าในการปราศรัยหาเสียงในแต่ละที่ ก็มีผู้คนมาฟังปราศรัยนับหมื่นคนเป็นประจำเช่นกัน

‘สื่อเวียดนาม’ ปรี๊ดแตก!! หลังผลงาน ‘นักกีฬาโอลิมปิก’ ล้มเหลว ชี้!! ไม่ได้ด้อยกว่าชาติใด เตรียมจัดทัพใหม่ ลุ้นต่อไป โอลิมปิกที่อเมริกา

(12 ส.ค. 67) VN Express สื่อเวียดนามสรุปผลการแข่งขันกีฬาปารีส โอลิมปิก 2024 ที่ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม ที่ผ่านมา ยอมรับว่าผลงานของทีมชาติเวียดนาม ‘ล้มเหลว’ ไม่ได้เหรียญรางวัลติดมือกลับบ้านแม้แต่เหรียญเดียวติดต่อกันเป็นสมัยที่ 2 ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนต่างมีพัฒนาด้านกีฬาที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 

เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 30 ปี ที่เวียดนามไม่ได้เหรียญรางวัลโอลิมปิกถึง 2 สมัยติดต่อกัน นับตั้งแต่งานโอลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียว และล่าสุดที่โอลิมปิก 2024 ที่กรุงปารีส โดยกีฬาที่เป็นความหวังที่สุดคือ ยกน้ำหนักชายรุ่น 61 กก. แต่ทว่า ทรินห์ วัน วินห์ ล้มเหลวในการยกทั้ง 3 ครั้ง ตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย 

จากผลงานของ ทรินห์ วัน วินห์ นอกจากจะดับความหวังของชาวเวียดนามในการลุ้นเหรียญแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นถึงความไม่พร้อมของเวียดนามในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในปีล่าสุดนี้ ที่ทำให้ทีมนักกีฬาเวียดนามไม่ประสบความสำเร็จในการคว้าเหรียญรางวัลกลับบ้านได้

ซึ่งสวนทางกับผลงานในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ 2023 ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ที่ผ่านมา ที่ทีมนักกีฬาเวียดนามประสบความสำเร็จอย่างมาก สามารถคว้าเหรียญทองได้ถึง 136 เหรียญ ครองตำแหน่งเจ้าเหรียญทองอาเซียนไปได้ และยังทิ้งห่างไทย ที่ได้เหรียญทองมาเป็นที่ 2 ถึง 28 เหรียญ

โดยเวียดนาม จัดเป็น 1 ใน 6 ชาติที่มีความโดดเด่นด้านกีฬาที่สุดในย่านอาเซียน อันได้แก่ เวียดนาม, ไทย, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และ สิงคโปร์ 

แต่ความสำเร็จในกีฬาระดับ ซีเกมส์ ไม่ได้การันตีผลลัพธ์ระดับ เอเชียน เกมส์ หรือ โอลิมปิกสำหรับเวียดนาม เมื่อดูจากผลงานการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ที่เมืองหังโจว ประเทศจีน เมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา เวียดนามจบที่อันดัน 21 จากตารางเหรียญ และเป็นอันดับที่ 6 ในกลุ่มชาติอาเซียน ได้ไป 3 เหรียญทอง ในขณะที่ไทยได้ไป 12 เหรียญทอง เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มอาเซียน

และในการแข่งขันปารีส โอลิมปิก 2024 เวียดนามก็ยังไม่สามารถเอาชนะกลุ่มประเทศคู่แข่งด้านกีฬาของอาเซียนได้  โดย ชาติอาเซียนสร้างผลงานคว้าเหรียญโอลิมปิกได้ถึง 15 เหรียญ และเป็นเหรียญทองถึง 5 เหรียญ  

ซึ่งม้ามืดของปีนี้ ต้องยกให้ คาร์ลอส  ยูโล นักยิมนาสติกของฟิลิปปินส์ ที่ทำได้ถึง 2 เหรียญทอง ส่วน  อินโดนีเซีย ได้ไป 2 เหรียญทองเช่นกัน จาก วิดิค ลีโอนาโด ในกีฬาปีนเขา และ ริซกิ จูเนียนสยา จากกีฬายกน้ำหนักชายรุ่น 73 กิโลกรัม ในขณะที่ไทย แม้จะเพียงได้ 1 เหรียญทองจากกีฬาเทควันโด โดย น้อง เทนนิส พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ แต่ทีมนักกีฬาของไทยก็สามารถคว้าเหรียญโอลิมปิกได้ถึง 6 เหรียญ มากที่สุดในกลุ่มชาติอาเซียน

เวียดนามเข้าร่วมกีฬาโอลิมปิกครั้งแรกในปี 1988 แต่สามารถคว้าเหรียญเงินได้เป็นครั้งแรกในงานโอลิมปิก 2000 ที่เมืองซิดนีย์ ออสเตรเลีย  โดย ตรัน ฮิว งาน จากกีฬาเทควันโดหญิง หลังจากนั้นก็มีนักกีฬาเวียดนามเข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง ฮวง ซวน วินห์ สามารถคว้าเหรียญทองแรกให้เวียดนามได้สำเร็จ จากกีฬาปืนอัดลม 10 เมตร ในงานโอลิมปิก ปี 2016 ที่ริโด เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล  

แต่ถึงแม้เวียดนามจะพยายามผลักดันศักยภาพของนักกีฬาให้สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งในย่านอาเซียนได้อย่างทัดเทียม แต่สื่อเวียดนามยอมรับว่า เพื่อนบ้านในอาเซียนต่างมีพัฒนาการในด้านกีฬาที่ก้าวกระโดดอย่างมาก จนสามารถบรรลุเป้าหมายเหรียญรางวัลในสนามแข่งขันระดับโลกได้มากกว่าเวียดนาม

อีกทั้งสรีระ รูปร่างของนักกีฬาของอาเซียน เป็นหนึ่งในข้อเสียเปรียบ ที่ทำให้ชาติอาเซียนจำเป็นต้องมุ่งเน้นประเภทกีฬาที่กำหนดน้ำหนักในการแข่งขัน อาทิ ยกน้ำหนัก มวยสากล หรือ เทควันโด 

แต่เมื่อมีการบรรจุกีฬาเอ็กซ์ตรีม เข้าไปอยู่ในงานโอลิมปิกมากขึ้น ได้เปิดโอกาสให้นักกีฬาหน้าใหม่จากอาเซียน สามารถทะลุเข้าถึงรอบแข่งไฟนอล  อาทิ น้อง ‘เอสที’ วารีรยา สุขเกษม นักกีฬาไทย วัย 12 ปี ที่อายุน้อยที่สุดในการแข่งขันกีฬาสเก็ตบอร์ตในปารีส โอลิมปิก  หรือความสำเร็จของ  วิดิค ลีโอนาโด ที่คว้าเหรียญทองกีฬาปีนเขาให้กับอินโดนีเซียเป็นครั้งแรก ถือเป็นกลยุทธในการส่งเสริมนักกีฬารุ่นใหม่ที่ได้ผลตอบแทนอย่างน่าภูมิใจ 

สื่อเวียดนามย้ำว่า นักกีฬาเวียดนาม ไม่ได้ด้อยกว่าชาติใดๆ ในอาเซียน เพียงแต่ต้องกลับมาเรียนรู้ ทบทวนใหม่ ว่าการส่งเสริมทีมชาติของเวียดนามพลาดที่ตรงไหน ก่อนจัดทัพใหม่อีกคร้้ง ในงานโอลิมปิกครั้งต่อไปที่นคร ลอส แอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 2028 

'ดร.อธิป' โชว์สถิติศักยภาพ ‘เชื้อเอเชีย’ ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่า ‘มะกันชน’ อิงผลลัพธ์ 'อเมริกันเชื้อสายเอเชีย' ฉลาดกว่า-รายได้ดีกว่า จนถูกแบน

(11 ส.ค. 67) ‘ดร.อธิป อัศวานันท์’ ผู้บริหารของบริษัท ทรูคอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) รองประธานกิจการไอซีทีหอการไทย นักเขียนชื่อดัง และอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยชั้นนำ ได้โพสต์คลิปเกี่ยวกับ 'การเลือกปฏิบัติเชิงลบ หรือมาตรการลดโอกาส กีดกัน ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย' โดยได้ระบุว่า ...

สําหรับผู้ที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐอเมริกา ย่อมตระหนักดี ว่าประเทศนี้ไม่ได้ประกอบอยู่ด้วยเพียงแค่ชาวผิวขาวและชาวผิวดําเท่านั้น แต่ก็มีประชากรเชื้อสายเอเชียอยู่ถึง 6% ของประชากรทั้งหมด และสําหรับผู้ที่เคยศึกษาอยู่ในสหรัฐอเมริกาย่อมต้องรู้ดีว่า 'ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย' มักจะมีผลการเรียนที่ยอดเยี่ยมระดับสติปัญญาที่สูง และรายได้ที่ดีเยี่ยมเมื่อเปรียบเทียบกับชาวอเมริกันกลุ่มอื่นๆ ซึ่งรวมไปถึงชาวผิวขาวด้วย

ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เคยเติบโตในสหรัฐอเมริกา และได้เคยแข่งขันอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่กับชาวอเมริกัน จึงไม่เคยคิดเลยว่าชาวเอเชียนั้นจะด้อยกว่าชาวตะวันตก เนื่องจากในแง่ของการศึกษา ระดับสติปัญญา และรายได้ชาวเอเชียนั้น มีความโดดเด่นกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ดังนั้น การที่ประเทศตะวันตก มีความก้าวหน้าเหนือชาติตะวันออกในปัจจุบัน จึงดูเหมือนเป็นเพียงเรื่องราวของจังหวะและโอกาสทางประวัติศาสตร์ แต่ไม่ใช่เรื่องของความสามารถโดยธรรมชาติแต่อย่างใด 

ทั้งนี้ ดร.อธิป ได้เผยต่อว่า แต่ถึงกระนั้น ด้วยความสามารถอันโดดเด่นของชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย ก็กลายมาเป็นอุปสรรคต่อตัวพวกเขาเอง ในแง่ของการถูกกีดกันในการสมัครเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนําของสหรัฐอเมริกาด้วยเหมือนกัน

โดย มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา จะมีนโยบายหนึ่งที่เรียกว่า ‘Affirmative Action’ ซึ่งอาจแปลได้ว่า การเลือกปฏิบัติเชิงบวก หรือมาตรการส่งเสริมโอกาส โดยนโยบายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ที่ด้อยโอกาสทางสังคม ซึ่งในบริบทนี้หมายถึงชาวอเมริกันผิวดํา, ชาวอินเดียนแดงและชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ให้สามารถเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนําได้ง่ายกว่าคนผิวขาว

อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียกลับต้องเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า ‘Reverse Affirmative Action’ ซึ่งแปลได้ว่า การเลือกปฏิบัติเชิงลบ หรือมาตรการลดโอกาส ส่งผลกลุ่มที่กล่าวไปก่อนหน้ามีโอกาสน้อยลงในการเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนําเมื่อเทียบกับชาวผิวขาว เนื่องจากมองว่าพวกเขาเหล่านี้ มีผลการเรียนที่ดีกว่ามีระดับสติปัญญาที่สูงกว่าและมาจากครอบครัวที่มีรายได้สูงกว่าเมื่อเทียบกับชาวอเมริกันกลุ่มอื่นๆ ซึ่งรวมไปถึงคนผิวขาวด้วย

ตัวอย่าง...ลองจินตนาการถึงเด็กชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียคนหนึ่งที่ชื่อ ‘จอห์น’ เขาเป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยมได้เกรดเฉลี่ย 4.0 เป็นประธานชมรมคณิตศาสตร์ และก็ยังอุทิศตนเป็นอาสาสมัครในชุมชนทุกสุดสัปดาห์ ใครๆ ต่างก็คาดหวังว่าเขาจะได้เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยในฝันอย่างแน่นอน 

แต่เมื่อผลการคัดเลือกประกาศออกมา ‘จอห์น’ กลับถูกปฏิเสธจากมหาวิทยาลัยที่เขาใฝ่ฝัน ในขณะที่เพื่อนของเขา ซึ่งเป็นชาวผิวขาวและชาวผิวดําที่มีคุณสมบัติด้อยกว่าจอห์นในทุกด้านกลับได้รับการตอบรับให้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยนั้น

นี่คือความรู้สึก 'ชอกช้ำ' ที่ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียที่เติบโตในสหรัฐอเมริกาจะต้องเผชิญ!!

ทว่า เพื่อให้เข้าใจในสถานการณ์ได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น ดร.อธิป จึงเผยต่อว่า หากพิจารณาข้อมูลเชิงสถิติที่เกี่ยวข้องจากรายงานของศูนย์สถิติการศึกษาแห่งชาติของสหรัฐในปี 2019 จะพบว่า...

นักเรียนชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียมีคะแนนสอบ SAT ซึ่งเป็นคะแนนสอบที่สําคัญในการวัดผลก่อนเข้ามหาวิทยาลัยเฉลี่ยอยู่ที่ 1,223 คะแนน ขณะที่นักเรียนผิวขาวได้อยู่ที่ 1,114 ส่วนนักเรียนผิวดำได้อยู่ที่ 933 คะแนน 

>> ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างที่ชัดเจนระหว่างคะแนนสอบของนักเรียนเชื้อสายเอเชียกับกลุ่มอื่นๆ ในสหรัฐฯ 

นอกจากนี้ข้อมูลจากศูนย์วิจัยพิว หรือ Pew Research Center ได้แสดงให้เห็นว่า 54% ของชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียที่มีอายุ 25 ปี มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี ซึ่งสูงกว่าหากเปรียบเทียบกับชาวอเมริกันผิวขาวซึ่งอยู่ที่ 33%และ 19% กับชาวอเมริกันผิวดํา 

>> ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างมีนัยสําคัญในระดับการศึกษาระหว่างกลุ่มเชื้อสายต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา

ในด้านของรายได้ครอบครัวชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียมีรายได้มัธยฐานที่สูงที่สุดในบรรดากลุ่มเชื้อชาติต่างๆ ในสหรัฐฯ โดยอยู่ที่ประมาณ 85,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่ 61,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี และของชาวผิวขาวที่ 70,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี 

>> ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างมีนัยสําคัญของรายได้ระหว่างกลุ่มเชื้อสายต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา

ในแง่ของระดับสติปัญญาชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียมีค่าเฉลี่ยของไอคิวที่ 108 ในขณะที่ชาวผิวขาวมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 103 

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเหล่านี้กลับนํามาซึ่งความท้าทายที่ไม่คาดคิด แต่กลายเป็นปรากฏการณ์น่าคิด หลังนโยบายการเพิ่มความหลากหลายในสถาบันการศึกษา ส่งผลในด้านตรงกันข้ามกับชนกลุ่มน้อยบางกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ 'ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย' ซึ่งในกรณีนี้นักเรียนเชื้อสายเอเชียจำเป็นต้องมีคุณสมบัติที่สูงกว่าผู้สมัครจากกลุ่มอื่นๆ อย่างมีนัยสําคัญ เพื่อให้ได้รับการพิจารณาเข้าศึกษาในสถาบันชั้นนํา 

โดยผลกระทบของการเลือกปฏิบัติเชิงลบ หรือมาตรการลดโอกาสต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย มีหลายประการดังนี้...

1. อัตราการรับเข้าศึกษาที่ต่ำลง มหาวิทยาลัยชั้นนําหลายแห่งมีอัตราการรับนักศึกษาเชื้อสายเอเชียต่ำกว่าสัดส่วนของผู้สมัครอื่นอย่างมีนัยสําคัญ

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ กรณีการฟ้องร้องมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ในปี 2018 ด้วยข้อกล่าวหาว่ามีการเลือกปฏิบัติต่อผู้สมัครเชื้อสายเอเชีย โดยมีการอ้างว่าหากพิจารณาจากคุณสมบัติทางวิชาการอย่างเดียว สัดส่วนของนักศึกษาเชื้อสายเอเชียที่ถูกรับเข้าไปก็ควรจะสูงกว่านี้เป็นอย่างมาก ขณะที่อีกเคสมาจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันในปี 2009 พบว่านักเรียนเชื้อสายเอเชียจําเป็นที่ต้องมีคะแนน S ไอทีสูงกว่านักเรียนผิวขาวถึง 140 คะแนนและสูงกว่านักเรียนผิวดําถึง 450 คะแนน ถึงจะมีโอกาสได้รับการตอบรับ แน่นอนว่า แม้ว่าข้อมูลเหล่านี้จะไม่ใช่ปัจจุบัน แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมในกระบวนการรับสมัครที่ชัดเจน

2. มาตรฐานที่สูงขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม โดยนักเรียนชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียจะต้องมีคะแนนสอบและผลการเรียนที่สูงกว่าอย่างมีนัยสําคัญเพื่อที่จะได้รับการพิจารณาอย่างเท่าเทียมกับผู้สมัครในกลุ่มอื่นๆ แล้ว พวกเขายังอาจต้องมีกิจกรรมนอกหลักสูตรที่โดดเด่นมากขึ้น หรือมีคุณสมบัติพิเศษอื่นๆ เพื่อที่จะทําให้ใบสมัครของพวกเขามีความน่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก

ตัวอย่างเช่น นักเรียนชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย อาจจะต้องเป็นนักกีฬาที่มีทักษะระดับสูง หรือมีความสามารถทางดนตรีหรือศิลปะที่โดดเด่น หรือมีผลงานที่สะท้อนประสบการณ์ หรือมีการทํางานด้านอาสาสมัครที่น่าประทับใจนอกเหนือจากมีการมีผลการเรียนที่ยอดเยี่ยม เพื่อให้มีโอกาสได้รับการพิจารณาเทียบเท่ากับผู้สมัครจากกลุ่มอื่นที่แม้จะมีผลการเรียนต่ำกว่า

อย่างไรก็ตาม มีมุมมองที่น่าสนใจว่า หากปราศจากนโยบายการเลือกปฏิบัติเชิงลบหรือมาตรการลดโอกาสต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียเหล่านี้ มหาวิทยาลัยชั้นนําบางแห่ง ก็อาจจะมีแนวโน้มที่จะมีนักศึกษาเชื้อสายเอเชียเป็นส่วนใหญ่และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างของมหาลัยชั้นนําต่อไปนี้ ที่มีสัดส่วนของนักศึกษาชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียที่อยู่ในระดับสูงอย่างมีนัยสําคัญ...

- มหาวิทยาลัย Caltech มีสัดส่วนของนักศึกษาชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียอยู่ที่ 40 ถึง 45% 
- มหาวิทยาลัย UC Berkeley มีสัดส่วนของนักศึกษาชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียอยู่ที่ 35 ถึง 40% 
- มหาวิทยาลัย UCLA มีสัดส่วนของนักศึกษาชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียอยู่ที่ 30 ถึง 35% 
- มหาวิทยาลัย MIT มีสัดส่วนของนักศึกษาชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียอยู่ที่ 15 ถึง 30% 
- และมหาวิทยาลัย Standford มีสัดส่วนของนักศึกษาชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียอยู่ที่ 20 ถึง 25% 

อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็มีคนดังในสังคมไม่เห็นด้วยอยู่มาก ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ 'อีลอน มัสก์' ผู้ที่มีชื่อเสียงในวงการเทคโนโลยี โดยเขาได้แสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ การเลือกปฏิบัติเชิงลบ หรือมาตรการลดโอกาสหลายครั้งผ่านทวิตเตอร์ (X) บ่อยครั้ง

"เชื้อชาติและชาติพันธุ์ไม่ควรมีส่วนในการถูกนำมากำหนดในการรับเข้าเรียนหรือการจ้างงาน เราควรพิจารณาจากความสามารถเท่านั้น"

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 29 มิถุนายน 2023 ศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกา ได้มีคําตัดสินที่สําคัญเกี่ยวข้องกับการใช้เชื้อชาติเป็นปัจจัยในการรับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยต่างๆ ในสหรัฐฯ และมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศ จําเป็นต้องปรับเปลี่ยนนโยบายในการรับนักศึกษาให้สอดคล้องกับคําตัดสินนี้ คำตัดสินที่ไม่ควรกดขี่ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคําตัดสินของศาลสูงสุดเพิ่งมีขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 2023 ดังนั้นผลกระทบต่อนักเรียนเชื้อสายเอเชียในมหาวิทยาลัยชั้นนํา จึงยังปรากฏอยู่บ้างในขณะนี้

ท้ายที่สุด สิ่งที่ควรตระหนักและพิจารณาอย่างถ่องแท้ก็คือ เราไม่ควรจะสรุปหรือเชื่อว่าชาวเอเชียนั้น ด้อยกว่าชาวตะวันตกแต่อย่างใด เนื่องจากหลักฐานเชิงประจักษ์ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนจาก 'ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย' เหล่านี้ ว่า พวกเขามีผลการเรียนที่ยอดเยี่ยมมีระดับสติปัญญาที่สูงและมีรายได้ที่ดีมาก เมื่อเปรียบเทียบกับชาวอเมริกันเชื้อสายอื่น ๆ ซึ่งรวมไปถึงชาวผิวขาวด้วย 

มันยอดเยี่ยมจนกระทั่งนําไปสู่การเลือกปฏิบัติเชิงลบหรือมาตรการลดโอกาสต่อคนเชื้อสายเอเชีย ซึ่งได้ดําเนินอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ จนกระทั่งได้มาสิ้นสุดด้วยคําตัดสินของศาลสูงสุดเมื่อปีที่ผ่านมา

‘นายกฯ มาเลเซีย’ เผย Tesla พับแผนตั้งโรงงาน 'ไทย-มาเลเซีย-อินโดนีเซีย' เหตุ!! เพลี่ยงพล้ำ การแข่งขันอันดุเดือด ไม่สามารถแข่งขันสู้ รถอีวีจากจีนได้

(10 ส.ค.67) เว็บไซต์ ‘เดอะสเตรทไทม์ส’ ในสิงคโปร์รายงานอ้างการเปิดเผยของนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซียว่า ‘เทสลา อิงค์’ (Tesla) ได้ตัดสินใจที่จะยกเลิกแผนการสร้างโรงงานรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ในประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซียแล้ว เนื่องจากปัญหาการเพลี่ยงพล้ำของบริษัทและการแข่งขันที่ดุเดือดจากประเทศจีน

อันวาร์กล่าวว่า ซาฟรุล อาซิส รัฐมนตรีการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรมของมาเลเซีย ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ของเทสลามาโดยตรง

ซาฟรุลได้รับข้อมูลล่าสุดนี้มา ซึ่งเป็นเพราะเทสลากำลังเพลี่ยงพล้ำและไม่สามารถแข่งขันกับรถอีวีจากจีนได้

นี่คือรายงานโดยตรงที่เราได้รับ ไม่ใช่มาจากการรายงานข่าวของสื่อ อันวาร์กล่าวต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 9 ส.ค. ขณะตอบคำถามเกี่ยวกับกระแสข่าวว่าเทสลาได้พับแผนตั้งโรงงานใน 3 ประเทศอาเซียน เพื่อหันไปโฟกัสเรื่องการทำสถานีชาร์จ  

อย่างไรก็ตาม อันวาร์กล่าวว่าแผนที่จะลงทุนในมาเลเซียนั้นยังเป็นแค่ไอเดียในช่วงแรกเริ่มเท่านั้น ในขณะที่ปัจจุบันเทสลามีเพียงการตั้งสำนักงานขายและโชว์รูมในประเทศไทยและมาเลเซีย  

ทั้งนี้เมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา สำนักนายกรัฐมนตรีของไทยได้เปิดเผยว่า เทสลากำลังอยู่ระหว่างการเจรจาพูดคุยกับรัฐบาลไทยเพื่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์อีวีขึ้นในประเทศ โดยรัฐบาลไทยได้เพิ่มข้อเสนอให้เทสลาเกี่ยวกับการใช้พลังงานสีเขียว 100% ในโรงงาน

ทางด้านซาฟรุล อาซิส กล่าวว่าทางกระทรวงไม่เคยประกาศอย่างเป็นทางการว่าเทสลาจะมาเปิดโรงงานในประเทศมาเลเซีย และเทสลาเองก็ไม่เคยประกาศแผนว่าจะตั้งโรงงานที่นี่เช่นกัน 

ส่วนรายงานล่าสุดที่เทสลาพับไอเดียการลงทุนตั้งโรงงานผลิตในอาเซียนนั้น ซาฟรุลกล่าวว่า ไม่ได้มาจากแถลงการณ์อย่างเป็นทางการของเทสลา แต่มาจากแหล่งข่าวไม่เปิดเผยชื่อที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้

‘อิมาน เคลิฟ’ นักชกชาวแอลจีเรีย เอาชนะ ‘หยาง หลิว’ จากจีน คว้าเหรียญทอง มวยหญิงโอลิมปิก 2024 รุ่น 66 กก.

เมื่อวานนี้ (9 ส.ค.67) การแข่งขันมวยสากล รุ่น 66 กก. หญิง กีฬาโอลิมปิก 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส รอบชิงชนะเลิศ อิมาน เคลิฟ นักชกจากแอลจีเรีย เจอกับ หยาง หลิว จากจีน

ปรากฏว่า อิมาน เคลิฟ ชกได้เหนือกว่าเป็นฝ่ายชนะ หยาง หลิว ไป 5-0 คว้าเหรียญทอง โอลิมปิก 2024 ไปครอง ขณะที่เหรียญทองแดงเป็นของ จันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง จากไทย และเฉิน เนี่ยนฉิน จากไต้หวัน

สำหรับ อิมาน เคลิฟ ซึ่งมีประเด็นกรณีตรวจเพศ ที่กลายเป็นประเด็นร้อนที่พูดถึงอย่างกว้างขวางใน ‘โอลิมปิก ปารีส 2024’ หลัง แองเจลา คารินี นักชกหญิงชาวอิตาลี ขอถอนตัวจากการแข่งขันหลังขึ้นชกกับ อิมาน เคลิฟ ในเวลาเพียง 46 วินาที 

นอกจากนี้ อิมาน เคลิฟ ยังเป็น 1 ใน 2 นักมวย ที่เป็นตกเป็นประเด็นร่วมกับ หลิน ยู่ติง นักชกจากไต้หวัน เรื่องการตรวจเพศ

ตามส่องอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของรัสเซีย จากงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ ‘Army-2024’

สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน อันเนื่องมาจากความพยายามของยูเครนต้องการเป็นสมาชิกขององค์การ NATO ซึ่งรัสเซียถือว่าเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงต่อความมั่นคงของประเทศ และได้แจ้งเตือนยูเครนแล้วหลายครั้งหลายหน แต่ยูเครนเพิกเฉยและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเข้าเป็นสมาชิกขององค์การ NATO ให้ได้ ดังนั้นรัสเซียจึงเปิดฉากโจมตียูเครนเพื่อไม่ให้สิ่งที่รัสเซียเห็นว่าเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงต่อความมั่นคงของประเทศตนเกิดขึ้นได้

แม้ว่า รัสเซียจะมีกำลังทหารตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์มากมายชนิดที่ยูเครนไม่สามารถเทียบได้ แต่สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนได้กลายเป็นสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนซึ่งเป็นตัวแทนโดยพฤตินัยขององค์การ NATO (Proxy war) ไปแล้ว ด้วยยูเครนได้รับการสนับสนุนทางการเงิน ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ จากองค์การ NATO มากมาย ชนิดที่เรียกว่า อาวุธยุทโธปกรณ์ในคลังสำรองของหลาย ๆ ประเทศสมาชิก NATO แทบจะเกลี้ยงคลังเลยทีเดียว เช่นเดียวกับเงินสนับสนุนจนกระทั่ง Donald Trump ผู้สมัครชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถึงกับประกาศว่า เขาจะไม่สนับสนุนทางการเงินแก่ยูเครนต่อไป ถ้าหากเขาชนะการเลือกตั้ง

เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุสำคัญที่รัสเซียยังไม่สามารถพิชิตยูเครนได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่การที่รัสเซียยังคงปฏิบัติการรบในยูเครนต่อไปได้ทั้ง ๆ ที่ยูเครนได้รับการสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์และทรัพยากรต่าง ๆ จำนวนมหาศาลจากหลาย ๆ ชาติสมาชิก NATO ขณะที่รัสเซียเองก็ยังถูกคว่ำบาตรโดยสหรัฐฯ และพันธมิตร ด้วยเพราะรัสเซียมี ‘ศักย์สงคราม’ ที่มีความแข็งแกร่ง นับต่อเนื่องมาตั้งแต่ครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 

'ศักย์สงคราม' ได้แก่ขีดความสามารถที่จะผลิตกำลังรบเพิ่ม ผลิตอำนาจการรบเพิ่ม โดยองค์ประกอบของศักย์สงครามอาจแบ่งออกเป็น 4 องค์ประกอบ คือ 1) กำลังอำนาจทางเศรษฐกิจ 2) กำลังอำนาจทางการเมือง 3) ขวัญและกำลังใจเมื่อเกิดการสู้รบขึ้น และ 4) การสนับสนุนจากพันธมิตร 

นอกจากองค์ประกอบที่กล่าวมาแล้ว ยังรายละเอียดของเงื่อนไขปัจจัยดังนี้ (1) ขนาด ที่ตั้ง และลักษณะของประเทศ (2) จำนวน อายุ ลักษณะประชากร ขีดความสามารถทางแรงงานและขวัญของพลเมือง (3) จำนวนและชนิดของอาหารและวัตถุดิบ จำนวนสำรองของวัตถุดิบรวมทั้งขีดความสามารถที่จะนำเข้ามาทั้งยามสงบและยามสงคราม (4) ขีดความสามารถทางอุตสาหกรรม (5) ขีดความสามารถในด้าน Logistics (6) ทรัพยากรด้านวัตถุและกำลังคนในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ (7) คุณภาพของผู้นำและผู้บริหารของชาติรวมทั้งขีดความสามารถในการระดมสรรพกำลังด้วย 

ศักย์สงครามของรัสเซียนั้น นอกจากสงครามกับยูเครนแล้ว ยังบ่งบอกด้วยขีดความสามารถของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศอีกด้วย โดยรัสเซียเป็นผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่เป็นอันดับสามของโลก (รองจากสหรัฐฯ อันดับหนึ่ง และฝรั่งเศสอันดับสอง) คิดเป็น 11% ของยอดขายอาวุธทั่วโลกในปี 2019-23 (ฐานข้อมูลการขนย้ายอาวุธของ SIPRI มีนาคม 2024) โดยบริษัทผลิตและส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ของรัสเซียล้วนแล้วแต่เป็นรัฐวิสาหกิจ อาทิ Rosoboronexport, Almaz-Antey และ United Shipbuilding Corporation ซึ่งเป็นบริษัทหลักที่ถือครองส่วนแบ่งอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของรัสเซีย ซึ่งมีประเทศผู้นำเข้าอาวุธจากรัสเซียสามอันดับแรกคือ อินเดีย (34%) จีน (21%) และอียิปต์ (7.5%)

การส่งออกอาวุธของรัสเซียลดลง 53% ตั้งแต่ปี 2014-18 ถึงปี 2019-23 สาเหตุหลักของการลดลงอย่างรวดเร็วนี้คือสงครามที่ยังคงดำเนินอยู่ระหว่างรัสเซียกับยูเครน โดย Rosoboronexport (บริษัทลูกของ Rostec State Corporation) เป็นวิสาหกิจทำหน้าที่ตัวกลางที่ควบคุมโดยรัฐเพียงแห่งเดียวของรัสเซียในการส่งออกและนําเข้าผลิตภัณฑ์อาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหมด รวมทั้งเทคโนโลยีและการบริการ มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการดําเนินนโยบายระดับชาติของสหพันธรัฐรัสเซียในด้านความร่วมมือทางเทคนิคทางทหารกับต่างประเทศ สถานะอย่างเป็นทางการของผู้ส่งออกพิเศษที่ควบคุมโดยรัฐแต่เพียงผู้เดียวทําให้ Rosoboronexport มีโอกาสพิเศษในการขยายความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันในระยะยาวกับพันธมิตรระหว่างประเทศ ในการเสริมสร้างความเป็นผู้นําของรัสเซียในตลาดอาวุธของโลก

โดยกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่ง Rosoboronexport ให้การสนับสนุนเป็นการดําเนินโครงการขนาดใหญ่ที่มุ่งเป้าไปที่การปรับปรุงขีดความสามารถในการป้องกันของประเทศคู่ค้า และมีส่วนร่วมในการพัฒนาเชิงนวัตกรรมที่ครอบคลุมขององค์กรและหน่วยงานต่าง ๆ ของรัสเซีย การดําเนินงานของ Rosoboronexport อยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดย ประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย รัฐบาลแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย สำนักงานบริการความร่วมมือทางทหาร หน่วยงานเทคนิคของรัฐบาลกลาง Rostec State Corporation และดําเนินการตามกฎหมายระหว่างประเทศและบทบัญญัติของกฎบัตรสหประชาชาติ ข้อผูกพันระหว่างประเทศในด้านการควบคุมการส่งออกอาวุธที่สหพันธรัฐรัสเซียยอมรับ และจำหน่ายเฉพาะหน่วยงานป้องกันประเทศและการบังคับใช้กฎหมายอย่างถูกต้องและเป็นทางการของประเทศคู่ค้าเท่านั้นจึงจะสามารถเป็นผู้ซื้อปลายทางของอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ Rosoboronexport จัดจำหน่าย

ปี 2024 นี้ สหพันธรัฐรัสเซียได้จัดงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ ‘Army-2024’ ระหว่างวันที่ 12-14 สิงหาคม 2024 ณ Patriot Expo (Moscow Region), ฐานทัพอากาศ Kubinka และ สนามฝึกทางทหาร Alabino แม้งานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ดังกล่าวจะใช้คำว่า ‘Army-2024’ แต่เป็นการแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ทุกมิติทั้ง บก-เรือ-อากาศ โดยสำนักข่าว THE STATES TIMES เป็นสื่อไทยรายเดียวที่ได้รับเชิญให้ไปร่วมชมงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ ‘Army-2024’ ในครั้งนี้ ซึ่ง ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล จะได้นำเสนอข้อมูลข่าวสารของงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ ‘Army-2024’ ตลอดจนเรื่องราวของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของรัสเซียให้กับท่านผู้อ่านทาง THE STATES TIMES ต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top