Sunday, 15 June 2025
WORLD

‘อดีต นร.ไทยในญี่ปุ่น’ ชี้!! คราฟต์เบียร์ไทยต้องใส่ใจมาตรฐาน ยก ‘กม.เหล้าเบียร์ญี่ปุ่น’ ต้องมีใบอนุญาต-ควบคุมอย่างเข้มข้น

(17 ส.ค. 66) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Naruphun Chotechuang’ โดย ‘คุณนฤพันธ์ โชติช่วง’ อดีตนักเรียนวิทยาลัยยามชายฝั่งญี่ปุ่น ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงประเด็นกฎหมายแอลกอฮอล์ในประเทศญี่ปุ่น โดยระบุว่า…

จากข่าวรองประธานสภา (คนที่ 1) ได้ทำการโฆษณาเบียร์ผ่านโลกโซเชียล ซึ่งผิด พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มาตราที่ 32 ว่าด้วย “ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ห้ามแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณ หรือชักชวนใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อม” ซึ่งหากฝ่าฝืน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

หลังจากนั้น เจ้าตัวก็ออกมาแก้ต่างทั้งในสื่อโซเชียลและทีวีต่างๆ นานา ซึ่งผมไม่เป็นปัญหาหรอก เพราะยังไงเจ้าตัวก็มีสิทธิ์นั้นเวลาสู้คดี แต่มีคำแก้ตัวอยู่ข้อความหนึ่งที่ได้ยินแล้ว ได้แต่มองบนก็คือ “เกาหลีใต้ยังทำได้เลย ให้ดารา นักร้องโฆษณาเหล้าเบียร์” ก็เข้าใจนะครับว่า การเอาข้อดี (รวมถึงคิดว่าเป็นข้อดี) ของต่างประเทศมาเทียบเคียงกับไทยมันก็ช่วยพัฒนาประเทศได้ในบางกรณี แต่ช่วยกรุณายกมาพูดทั้งระบบ ไม่ใช่ดึงแต่ข้อดีที่จะใช้แก้ต่างให้ตัวเอง หรือเพื่อผลประโยชน์กับตัวเองเท่านั้น เพราะฉะนั้น ผมก็ขอยกเอาบางส่วนของระบบที่เขาบอกกันว่ามันจะดีต่อวงการคราฟต์เบียร์ ผลิตเหล้า ถ้าทำแบบต่างประเทศมาให้เห็นภาพครับ

ผมจะยกกรณีของประเทศญี่ปุ่นนะครับ เนื่องจากไม่ได้เคยอาศัยอยู่ในเกาหลีใต้ ซึ่งญี่ปุ่นก็อนุญาตให้โฆษณาเหล้าเบียร์ได้ตามสื่อทั่วไป จนบางที่เห็นโฆษณาบางตัวแล้ว ผมยังเปรี้ยวปากเลย เล่นยกดื่มโชว์กันแบบไม่เกรงใจใคร

สิ่งที่อยากให้นำเสนอมากกว่าเรื่องโฆษณาเหล้าเบียร์ คือ ‘มาตรฐานการผลิต’ ครับ การจะเป็นผู้ผลิตเบียร์ หรือเหล้าญี่ปุ่นได้นั้น ไม่ใช่ว่าอยากทำเพื่อขายจะสามารถทำได้เลย ต้องยื่นขออนุญาตกับสำนักงานภาษีในเขตที่สถานที่ผลิตของท่านตั้งอยู่ เพื่อขอใบอนุญาตผลิต (製造免許) โดยการยื่นของใบอนุญาตนั้นต้องลงข้อมูลพื้นฐานต่างๆ เทคโนโลยีการผลิต เครื่องจักรเครื่องมือการผลิต และปริมาณการผลิตเฉลี่ยได้ในหนึ่งปี (มาตรฐานการผลิตน้อยที่สุดที่อนุญาต สำหรับเบียร์คือ 60 กิโลลิตร หรือ 6 หมื่นลิตรต่อปี) ถ้าข้อมูลที่กล่าวข้างต้นผ่าน ก็จะเป็นการตรวจสอบผู้ยื่นขออนุญาต และตรวจสถานที่ผลิต ตามกฎหมายภาษีเหล้ามาตราที่ 10 (酒税法第10条)

หนึ่งคุณสมบัติที่น่าสนใจคือ วรรค 7-2 ผู้ยื่นจะต้องไม่เป็นบุคคลที่โดนลงโทษภายในสามปี ล่าสุดในข้อหาความผิดกฎหมายห้ามผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปีดื่มเหล้า กฎหมายสถานประกอบการเริงรมย์ (風俗営業) กฎหมายปกป้องกันการรุนแรงที่ไม่เหมาะสม กฎหมายอาญา (หมวดความรุนแรงต่างๆ)

ถ้าผ่านการตรวจสอบทั้งหมดแล้ว ก็จะได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ก็ใช่ว่าจะสิ้นสุด ผู้ที่ทำการผลิตเบียร์หรือเหล้าเพื่อขาย (ทำเพื่อบริโภคเองไม่จำเป็น) จำเป็นต้องมีใบอนุญาตส่วนบุคคลเพิ่มเติมยกตัวอย่างเช่น (อาจมีมากกว่านี้ แล้วแต่ประเภทแอลกอฮอล์ที่ผลิต)

1.) ใบอนุญาตจัดการวัตถุอันตราย สำหรับผู้ผลิตเบียร์หรือเหล้า ที่ต้องเก็บรักษาแอลกอฮอล์ที่ใช้การหมักในการผลิต จำเป็นต้องมีใบอนุญาตจัดการวัตถุอันตรายซึ่งควบคุมดูแล โดยหน่วยงานสอบขององค์กรดับเพลิงของญี่ปุ่น (一般財団法人消防試験研究センター) โดยจะเป็นการสอบเพื่อวัดความรู้ในเรื่องแอลกอฮอล์ การเก็บรักษาและการขนส่ง นอกจากนี้ แล้วถ้ามีการขนส่งและเก็บรักษาแอลกอฮอล์หมัก ก็จำเป็นต้องส่งเอกสารให้กับสถานีดับเพลิงในพื้นที่ด้วย

2.) ใบมาตรฐานทักษะประเภทเครื่องต้มน้ำ หรือ ‘บอยเลอร์’ ในสถานที่ผลิตแอลกอฮอล์บางประเภท จำเป็นต้องใช้เครื่องต้มน้ำในการผลิต ผู้รับผิดชอบจึงจำเป็นต้องมีใบมาตรฐานทักษะประเภทเครื่องต้มน้ำซึ่งควบคุมดูแลโดยหน่วยงานเฉพาะ (一般社団法人日本ボイラ協会) เนื่องจากเครื่องต้มน้ำต้องใช้ทักษะเฉพาะ มีความอันตรายในการใช้งาน ผู้ใช้จริงต้องมีมาตรฐานและความรู้ที่ได้รับการยอมรับ

จะเห็นว่าภายใต้ข้อดีของต่างประเทศที่ถูกยกขึ้นมาเปรียบเทียบกับประเทศไทย ถ้าดูลงลึกไปถึงรายละเอียด จะพบว่ามีอะไรมากกว่าที่เราเห็น ไม่ใช่แค่การอยากทำก็ทำได้เลยตามใจชอบ ทุกอย่างจำเป็นต้องมีมาตรฐานไว้เป็นตัวกำหนดภายใต้ข้อกฎหมายเดียวกัน

จะว่าไปแล้ว เรื่องใบอนุญาตในแต่ละอาชีพของญี่ปุ่น เป็นเรื่องที่น่าสนใจและควรนำมาปรับใช้ในประเทศไทยมาก เนื่องจากคนไทยพูดเรื่องค่าแรงขั้นต่ำแล้วหยิบเอาญี่ปุ่นมาอ้างก็บ่อยๆ แต่ไม่เคยพูดว่า การจะประกอบอาชีพแต่ละอาชีพของญี่ปุ่น ต้องมีใบอนุญาตในแต่ละอาชีพด้วย เช่น เกษตรกรหรือพ่อครัว บางใบอนุญาตอาจไม่ได้บอกว่าจำเป็นต้องมี แต่มันมีผลเกี่ยวกับค่าแรงที่ได้รับ ยิ่งมีระดับสูงก็ยิ่งได้ค่าแรงเยอะ แสดงถึงความชำนาญที่มี

ปล. ตัวผมก็มีใบอนุญาตประกอบอาชีพที่ญี่ปุ่นอยู่ 3 ใบ ที่กว่าจะสอบผ่านก็รากเลือดอยู่เหมือนกัน คือ
- ใบอนุญาตขับเรือระดับ 3
- ใบอนุญาตใช้วิทยุสื่อสารภาคพื้นดินระดับ 2
- ใบอนุญาตใช้วิทยุในทะเลระดับ 1

‘นิวยอร์ก’ สั่งแบน ‘ติ๊กต๊อก’ บนอุปกรณ์ของรัฐฯ อ้าง ห่วงความปลอดภัยต่อเครือข่ายของเมือง

(17 ส.ค. 66) นครนิวยอร์กสั่งห้ามการใช้งาน ‘ติ๊กต๊อก’ แอปพลิเคชันดังของจีนบนอุปกรณ์ของรัฐบาล โดยอ้างข้อห่วงกังวลด้านความปลอดภัย ทำให้นิวยอร์กกลายเป็นเมืองล่าสุดในสหรัฐฯ ที่มีคำสั่งห้ามดังกล่าว หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีหลายรัฐในสหรัฐฯ ที่มีคำสั่งห้ามดังกล่าวไปก่อนหน้านี้

‘ติ๊กต๊อก’ เป็นแอปที่มีการใช้งานในหมู่ชาวอเมริกันมากกว่า 150 ล้านคน เป็นของบริษัทไบท์แดนซ์ ยักษ์ใหญ่ด้านไอทีของจีน ต้องเผชิญกับข้อเรียกร้องและแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐที่ต้องการให้มีการสั่งห้ามการใช้งานทั่วประเทศ เนื่องจากกังวลต่ออิทธิพลของจีนที่อาจเกิดขึ้นตามมา

‘อีริค อดัมส์’ นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก ระบุในแถลงการณ์ว่า ติ๊กต๊อกเป็นภัยคุกคามด้านความปลอดภัยต่อเครือข่ายทางเทคนิคของเมือง แม้ว่าติ๊กต๊อกจะยืนยันว่า ไม่ได้แบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้งานในสหรัฐฯ กับรัฐบาลจีน และยังมีการกำหนดมาตรการสำคัญเพื่อป้องกันความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของผู้ใช้งานติ๊กต๊อกอีกด้วย

ภายใต้คำสั่งล่าสุดนี้ หน่วยงานในนครนิวยอร์กจะต้องลบแอปติ๊กต๊อกออกภายใน 30 นาที และพนักงานจะไม่สามารถเข้าถึงแอปและเว็บไซต์บนอุปกรณ์และเครือข่ายใดๆ ของเมืองได้อีกต่อไป

‘ทหารมะกัน’ ลักลอบข้ามแดน ขอลี้ภัยไปอยู่ ‘เกาหลีเหนือ’ อ้าง ถูกเลือกปฏิบัติ-เหยียดเชื้อชาติ-ทารุณกรรมในกองทัพสหรัฐฯ

สื่อสหรัฐฯ อ้างอิงแหล่งข่าวจากเกาหลีเหนือ ที่ประกาศอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกว่า ได้จับกุมตัว ‘พลทหาร ทราวิส คิง’ สังกัดกองทัพสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้ไว้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา พลทหาร ทราวิส คิง ได้ลักลอบข้ามชายแดน จากเขตปลอดทหารที่หมู่บ้านปันมุนจอม เข้ามาในดินแดนเกาหลีเหนืออย่างผิดกฎหมาย ต่อมาถูกจำกุมตัวได้โดยกองกำลังเกาหลีเหนือ

หลังจากที่มีการสอบสวน พลทหาร คิง สารภาพว่า เขาตั้งใจที่จะข้ามแดนมายังเกาหลีเหนือด้วยตนเอง แม้จะรู้ว่าผิดกฎหมาย โดยยังกล่าวอีกว่า ที่ทำไปเพราะต้องการต่อต้านการกระทำทารุณกรรมอย่างไร้มนุษยธรรม และการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในกองทัพสหรัฐฯ และตัวเขาก็ไม่แยแสต่อสังคมอเมริกันที่เต็มไปด้วยความไม่เท่าเทียม ดังนั้น เขาประสงค์ที่จะขอลี้ภัยทางการเมืองในเกาหลีเหนือ หรือในประเทศที่สามอื่นๆ

‘พลทหาร ทราวิส คิง’ เป็นพลเมืองสหรัฐฯ ปัจจุบันอายุ 23 ปี ถูกส่งมาประจำการในค่ายทหาร Garrison Humphreys ในจังหวัดพย็องแท็ก ประเทศเกาหลีใต้ ต่อมาถูกตำรวจเกาหลีใต้จับกุมด้วยข้อหาทะเลาะวิวาท ก่อนถูกส่งตัวคืนให้แก่กองทัพสหรัฐฯ โดย พลทหาร คิง จะต้องถูกส่งตัวกลับสหรัฐฯ เพื่อลงโทษทางวินัย และมีกำหนดเดินทางออกจากเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา

แต่ทว่า พลทหาร คิง ได้หลบหนีออกจากสนามบินอินชอน และเข้าร่วมโปรแกรมทัวร์เยี่ยมชมเขตปลอดทหารที่หมู่บ้านปันมุนจอม ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวดังของเกาหลีใต้ เมื่อสบโอกาส พลทหาร คิง ได้หนีทัวร์ และเดินข้ามเขตชายแดนไปยังเกาหลีเหนือและหายตัวไป จนล่าสุดเพิ่งได้รับการยืนยันจากรัฐบาลเกาหลีเหนือว่า ได้ควบคุมตัวพลทหาร ทราวิส คิง อยู่ และเป็นพลเมืองสหรัฐฯ คนแรกในรอบ 5 ปี ที่ถูกกักตัวในเกาหลีเหนือ

ด้านเจ้าหน้าที่กลาโหมสหรัฐฯ ไม่ขอออกความเห็นในคำสารภาพของพลทหาร ทราวิส คิง ที่ปรากฏในสื่อเกาหลีเหนือ เพียงแต่กล่าวว่า ตอนนี้ฝ่ายกลาโหมต้องการเพียงให้พลทหารอเมริกันเดินทางกลับสหรัฐฯ อย่างปลอดภัยเท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้โฆษกกลาโหมสหรัฐฯ เคยแถลงข่าวเกี่ยวกับการหายตัวไปของพลทหาร ทราวิส คิง ว่าเขาแอบข้ามแดนไปเกาหลีเหนือเองโดยสมัครใจ ไม่ได้รับคำสั่งใดๆจากทางกองทัพสหรัฐฯ และไม่ออกความเห็นว่าพลทหารคิง ‘แปรพักตร์’ หรือไม่

ด้านรัฐบาลไบเดน กำลังถกเถียงกันในกรณีพลทหาร ทราวิส คิง ว่าสมควรที่จะระบุสถานะให้เขาเป็น ‘เชลยสงคราม’ เพื่อให้ได้รับการคุ้มครองพิเศษภายใต้อนุสัญญาเจนีวา ที่ว่าด้วยเรื่องการคุ้มครองด้านมนุษยธรรมแก่เชลยศึก แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป และจนถึงตอนนี้ พลทหารคิงยังอยู่ในสถานะ ‘ขาดราชการโดยไม่ได้ลา’

ถึงแม้ว่ากรณีของพลทหาร ทราวิส คิง จะสร้างความอับอายกับกองทัพสหรัฐฯ อยู่พอสมควร แต่จากความเห็นของ วิคเตอร์ ชา รองประธานอาวุโสของสถาบันกลยุทธ์ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในกรุงวอชิงตัน กล่าวว่า ทันทีที่พลทหารคิงถูกกักตัวในเกาหลีเหนือ เราก็ไม่อาจเชื่อคำพูดของเขาได้อีกต่อไป ทุกถ้อยคำที่ผ่านสื่อของเกาหลีเหนือไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าจริง หรือเป็นแค่เพียงการโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลเกาหลีเหนือเท่านั้น

ส่วนการเรียกตัวพลเมืองอเมริกันกลับคืนมาจากการเกาหลีเหนือได้นั้น โดยปกติต้องมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ไปเยือน ซึ่งตอนนี้ทางสหรัฐฯ ไม่มีความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับเกาหลีเหนือ แต่สิ่งที่เราเคยเห็นในอดีตเมื่อมีการคุมตัวพลเมืองอเมริกัน จะต้องมีการพิจารณาไต่สวนคดี ที่มักจบลงด้วยการเกณฑ์แรงงาน หรือจำคุก ที่จะนำไปสู่การใช้ระเบียบวิธีทางการทูตระดับสูงเพื่อพาคนอเมริกันกลับประเทศได้

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ทางการเกาหลีเหนือจะปล่อยตัวชาวอเมริกัน ที่ลักลอบเข้าเมืองแบบผิดกฎหมายกลับสหรัฐฯ โดยไม่มีการเจรจาต่อรองในระดับสูง จึงยากที่จะคาดเดาว่าอนาคตของพลทหาร ทราวิส คิง จะไปต่ออย่างไรในดินแดนเกาหลีเหนือ

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการแต่งกายใน 'ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก' ชุดต้องเป๊ะ!! 'หนวดเครา-ผมเผ้า' ต้องเนี้ยบ ฝ่าฝืนถูกปรับเหยียบหมื่น

(16 ส.ค. 66) เพจ 'ทันโลกกับ Trader KP' ได้เผยเกร็ดความรู้เกี่ยวกับการแต่งกายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (New York Stock Exchange) ที่นักลงทุนยังต้องบอกว่า ‘สุดเนี้ยบ!’ ไว้ว่า...

ใครจะรู้ว่าภาพลักษณ์ที่เราเห็นกันในหนังว่าตลาดหุ้นมีแต่คนเนี้ยบและสุภาพเรียบร้อย จะเป็นกฎระเบียบที่เข้มงวดและอาจมีค่าปรับสูงถึง 9,000 บาทหากเราไม่สวมสูท ผูกไทด์เข้าตลาดหุ้นนิวยอร์ก

ตามคำกล่าวที่อยู่ในหลักจรรยาบรรณของตลาดหุ้นนิวยอร์กได้กล่าวว่า “เสื้อผ้าทุกชิ้นจะต้องรีดให้ไม่มีรอยยับให้เห็น”

ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (New York Stock Exchange) หรือที่นักลงทุนรู้จักกันในนาม NYSE เป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งแรกในนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา อาคารของตลาดหลักทรัพย์ตั้งอยู่มุมถนนวอลล์สตรีท (Wall Street) จึงมักเรียกกันว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีท

👨🏻‍💼 การแต่งกายของผู้ชาย
สำหรับนักลงทุนและพนักงานผู้ชายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กจะต้องดำเนินการตามกฎการแต่งกายต่อไปนี้...

👉 เสื้อเชิ้ตคอปกติดกระดุมทุกเม็ด
👉 ผูกไทด์ให้แน่น ไม่หละหลวมเกินไป
👉 กางเกงขายาว ได้แก่ กางเกงสูท หรือ กางเกงลำลอง
👉 แจ็กเก็ตแขนยาว ได้แก่ สูท แจ็กเก็ต เบลเซอร์ หรือแจ็กเกตสำนักงานธรรมดา
👉 เสื้อเชิ้ตกอล์ฟ หรือ เสื้อโปโลมีปกหรือคอเต่า
👉 เล็มหนวด เคราให้ดูเรียบร้อย

👩🏻‍💼 การแต่งกายของผู้หญิง
สำหรับนักลงทุนและพนักงานผู้หญิงในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กจะต้องดำเนินการตามกฎการแต่งกายต่อไปนี้....

👉 เสื้อเบลาส์ เสื้อเชิ้ต หรือสเวตเตอร์ที่ดูเหมาะสม
👉 สวมใส่กระโปรงหรือเดรสยาว
👉 กางเกงสูทขายาว 
👉 ถุงน่อง (ในบางกรณี)

👨🏼‍🦰 👱🏼‍♀️ กฎแต่งกายร่วมกัน
แม้จะมีกฎระเบียบที่ดูเนี้ยบเป็นอย่างมาก แต่ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กยังมีกฎการแต่งกายที่ทุกเพศต้องปฏิบัติร่วมกันก็แก่การสวมรองเท้าที่จะต้องมีส้นและปลอดภัยสำหรับการเดินในตลาดหุ้น

เนื่องจากในอดีตเมื่อถึงเวลาที่ตลาดหุ้นเริ่มวุ่นวาย เทรดเดอร์หลายคนจะเริ่มถอดร้องเท้าทิ้งไว้ที่โต๊ะทำงานและวิ่งไปมาจนทำให้ดูไม่สุภาพเรียบร้อย

💸 ค่าปรับ
หากไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กได้วางไว้จะต้องเสียค่าปรับสูงถึง 250 ดอลลาร์ หรือเกือบ 9,000 บาทในครั้งแรก และหากมีการฝ่าฝืนกฎระเบียบซ้ำอีกครั้งจะต้องเสียค่าปรับสูงถึง 500 ดอลลาร์ หรือเกือบ 17,500 บาทในครั้งที่สอง พร้อมค่าปรับจะมากขึ้นและอาจถูกแบนจากตลาดหุ้นนิวยอร์กก็เป็นได้

📌หากใครที่อยากไปเยี่ยมชมตลาดหุ้นนิวยอร์กไม่ต้องกังวลไป เนื่องจากสมาชิก NYSE จะมีการมอบความรู้แก่ผู้เยี่ยมชมเกี่ยวกับระเบียบการแต่งกายก่อนเข้าชมอย่างเข้มงวด

ต่างชาติสัมผัส 'รถไฟจีน-ลาว' พาเข้างานแสดงสินค้าในคุนหมิง เปรียบเหมือนสะพานเชื่อมจีน-ลาว และโลกไว้ด้วยกัน

(ซินหัว) (15 ส.ค. 66) ที่คุนหมิง นายมูฮัมหมัด ฟาซเซิล แรบบี ชาวบังกลาเทศที่เดินทางจากลาวเข้าสู่จีนเมื่อไม่นานนี้ และเตรียมเดินทางสู่นครคุนหมิง มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เพื่อร่วมงานแสดงสินค้าจีน-เอเชียใต้ ครั้งที่ 7 และงานแสดงสินค้านำเข้าและส่งออกคุนหมิงแห่งประเทศจีน ครั้งที่ 27 เปิดเผยว่าทางรถไฟจีน-ลาว เปรียบเหมือนสะพานเชื่อมการแลกเปลี่ยนระหว่างจีนและลาว รวมถึงจีนและโลก

ทางรถไฟจีน-ลาว ได้เปิดบริการขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดนอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 13 เม.ย. เป็นต้นมา ซึ่งเกื้อหนุนการเดินทางจากนครหลวงเวียงจันทน์ของลาวสู่นครคุนหมิงของอวิ๋นหนาน เมืองเจ้าภาพจัดงานแสดงสินค้าจีน-เอเชียใต้ ครั้งที่ 7 และงานแสดงสินค้านำเข้าและส่งออกคุนหมิงแห่งประเทศจีน ครั้งที่ 27 ระหว่างวันที่ 16-20 ส.ค. นี้

ข้อมูลจากสถานีผ่านแดนตำบลโม๋ฮันบนพรมแดนจีน-ลาว ระบุว่าสถานีฯ ได้ตรวจสอบรับรองรถไฟจีน-ลาว ที่ขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดนทั้งหมด 246 เที่ยว รวมถึงผู้โดยสารขาเข้า-ขาออกจาก 53 ประเทศและภูมิภาค จำนวน 52,888 คน เมื่อนับถึงวันที่ 15 ส.ค.

สำหรับผู้โดยสารที่สื่อสารต่างภาษาสามารถใช้บริการเครื่องแปลภาษาอัจฉริยะที่สถานีฯ ซึ่งสามารถแปลภาษาต่างๆ แบบเรียลไทม์มากกว่า 70 ภาษา รวมถึงรองรับภาษาต่างๆ ของกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนน้อยในจีน แปลสลับระหว่างภาษาถิ่นกับภาษาจีนกลาง ภายใต้การผสานเทคโนโลยีวิเคราะห์ความหมายเชิงอัจฉริยะ โดยเครื่องแปลภาษานี้อำนวยความสะดวกแก่การสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่และผู้โดยสารอย่างมาก

จีนออกแผนปฏิบัติการ มุ่งเสริมสร้าง 'ระบบพาณิชย์ระดับอำเภอ' ส่งเสริมการพัฒนาแบบบูรณาการ ฟื้นฟูภูมิภาคชนบท

(15 ส.ค.66) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (14 ) รัฐบาลจีนได้ออกแผนปฏิบัติการระยะ 3 ปี ที่มุ่งเดินหน้าเสริมสร้างระบบพาณิชย์ระดับอำเภอ ภายใต้ความพยายามส่งเสริมการพัฒนาแบบบูรณาการของพื้นที่ในเมืองและชนบท และฟื้นฟูภูมิภาคชนบทของประเทศ แผนดังกล่าวครอบคลุมการสร้างอำเภอ 'แนวหน้า' จำนวน 500 แห่ง ภายในปี 2025 ซึ่งจะมีศูนย์กระจายโลจิสติกส์ระดับอำเภอ ร้านสะดวกซื้อสำหรับประชากรชนบท และศูนย์พาณิชย์ชนบท เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดกลางและขนาดใหญ่ และตลาดผลผลิตการเกษตร พร้อมทั้งแสวงหาการเปิดช่องทางไหลเวียนแบบสองทางอย่างต่อเนื่องสำหรับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่จัดส่งสู่ชนบท และสินค้าเกษตรที่จัดส่งสู่เมือง เพิ่มรายได้เกษตรกรรมและยกระดับแนวโน้มการบริโภคของเกษตรกร รวมถึงช่วยตอบสนองความต้องการด้านชีวิตและการผลิตของประชากรชนบท

แผนข้างต้นมีขึ้นท่ามกลางความพยายามของจีนในการเร่งการจัดการสิ่งอำนวยความสะดวกเชิงพาณิชย์ที่ด้อยพัฒนาในภูมิภาคชนบท พัฒนาระบบกระจายโลจิสติกส์ใน 'หมู่บ้าน-ตำบล-อำเภอ' โดยชี้แนะบริษัทพาณิชย์และโลจิสติกส์ให้มีการเปลี่ยนผ่านและยกระดับ ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาระบบพาณิชย์ที่มีคุณภาพสูงในอำเภอต่างๆ มีการระบุภารกิจเฉพาะมากกว่า 20 ภารกิจใน 7 ด้าน อาทิ การขยายบริการที่ศูนย์การค้าและตลาดชั้นนำสู่หมู่บ้านและตำบล การปรับปรุงศูนย์การค้าและตลาด การยกระดับศูนย์กระจายโลจิสติกส์หรือก่อสร้างขึ้นใหม่ การบ่มเพาะแบรนด์อีคอมเมิร์ซผลผลิตการเกษตรในท้องถิ่น และการเพิ่มขีดความสามารถของโลจิสติกส์ห่วงโซ่ความเย็นสำหรับผลผลิตการเกษตร

อนึ่ง แผนปฏิบัติการนี้ร่วมออกโดยหลายกระทรวงของจีนที่กำกับดูแลงานหลายด้าน อาทิ พาณิชย์ การวางแผนเศรษฐกิจ การคลัง ทรัพยากรธรรมชาติ การเกษตรและกิจการชนบท วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว และบริการไปรษณีย์ โดยจะมีการกำหนดรายชื่ออำเภอแนวหน้าเป็นประจำทุกปีตามคำแนะนำจากหน่วยงานระดับมณฑล เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2023

‘ยูเครน’ เตือน!! ‘โอลิมปิก ปารีส 2024’ เตรียมถูกแบน หากไฟเขียวให้ ‘รัสเซีย-เบลารุส’ ร่วมลงแข่งขันได้

‘เดนีส ชมีฮัล’ นายกรัฐมนตรี ยูเครน เตือน โอลิมปิก ปารีส 2024 จะถูกแบนจาก 35 ประเทศทั่วโลก หาก ‘รัสเซีย และเบลารุส’ ได้รับไฟเขียวให้ลงแข่งขันได้

(15 ส.ค. 66) ‘รัสเซีย-เบลารุส’ ถูกคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซี) แบนต่อเนื่องหลังก่อสงครามรุกราน ยูเครน แต่ระยะหลังดูเหมือนเริ่มมีการผ่อนปรนมาตรการลง และ มีโอกาสที่รัสเซีย และเบลารุส จะได้แข่งขันในโอลิมปิกเกมส์ ภายใต้ธงเป็นกลาง โดยทั้งสองชาติจะได้แข่งขันใน เอเชียนเกมส์ ที่หางโจว เพื่อทำคะแนนสะสมสำหรับควอลิฟาย โอลิมปิกด้วย

ล่าสุด ยูเครน ระบุว่า รัฐบาลได้ทำหนังสือเรียกร้องและขอความร่วมมือจากนานาประเทศทั่วโลกให้ร่วมกันแบนรัสเซีย–เบลารุสต่อไป โดย เดนีส ระบุว่า “ยูเครนมีความมุ่งมั่นในเรื่องนี้ มีการจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรระหว่างประเทศที่ทรงพลัง เพื่อให้กีฬาได้รับความยุติธรรม รวมกว่า 35 รัฐ เราพร้อมจะบอยคอตต์การแข่งขันโอลิมปิก หากรัสเซีย และเบลารุส ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมได้”

ขณะที่ ‘อเล็กซี โมโรซอฟ’ รัฐมนตรีกีฬาของรัสเซีย ระบุว่า รัฐบาลรู้สึกเสียใจกับการสูญเสียนักกีฬารัสเซียไปแล้ว 67 คน ที่เลือกจะโอนสัญชาติไปเล่นให้ประเทศอื่น หลังเกิดสงครามนับตั้งแต่ปี 2022

โดยนักกีฬาที่แข่งขันในโอลิมปิกเกมส์ 2020 จำนวน 47 คน และ นักกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว 8 คน รวมทั้ง นักกีฬาอื่นๆอีก 12 คน ได้สละสัญชาติรัสเซียไป เนื่องจากประเทศถูกสหพันธ์กีฬานานาชาติห้ามเข้าร่วมการแข่งขัน อาทิ อนาสตาเซีย เคอร์ปิชนิโกว่า นักกีฬาว่ายน้ำแชมป์ยุโรป ย้ายไปเล่นให้ฝรั่งเศส และ ฮานนา ปรากัตเซ่น เหรียญเงินเรือพายเหรียญเงินโอลิมปิก ย้ายไปเล่นให้ อุซเบกิสถาน

‘เด็กชายวัย 13 ปี’ พลัดตก ‘แกรนด์แคนยอน’ สูงกว่า 30 เมตร!! หลังหลบทางให้ นนท.ถ่ายรูป กู้ภัยเร่งช่วยเหลือ รอดตายปาฏิหาริย์

(15 ส.ค. 66) เดอะซัน รายงานการรอดชีวิตสุดปาฏิหาริย์ของเด็กชายวัย 13 ปี หลังประสบเหตุตกจาก แกรนด์แคนยอน ที่ระดับความสูงกว่า 30 เมตร โชคดีที่ดวงชะตายังไม่ถึงฆาต และหน่วยกู้ภัยใช้เวลาราว 2 ชั่วโมงจึงช่วยเหลือนำตัวเด็กชายขึ้นมาได้ ก่อนรับส่งไปรักษาอาการบาดเจ็บที่โรงพยาบาล

ด.ช.ไวแอตต์ คอฟฟ์แมน เดินทางไปเที่ยวกับแม่ที่อุทยานแห่งชาติแกรนด์แคนยอน และกำลังชื่นชมกับทิวทัศน์สวยงามบริเวณจุดชมวิวไบรต์แองเจิ้ล ระหว่างนั้นมีกลุ่มนักท่องเที่ยวหลายคนแห่ถ่ายรูปที่จุดชมวิว หนุ่มน้อยเลยเขยิบตัวออกมาเพื่อไม่ให้บังกล้องของคนอื่น แต่ดันลื่นไถลและตกลงไป

ไวแอตต์ให้สัมภาษณ์เคพีเอ็นเอ็กซ์ สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นในเมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา ว่า “ผมขึ้นไปบนขอบผา และกำลังเขยิบตัวออกไปเพื่อให้คนอื่นสามารถถ่ายรูปได้ ผมย่อตัวลงและจับก้อนหิน ผมมีเพียงมือเดียวที่จับมันไว้” ไวแอตต์บอกว่าตอนนั้นจับหินได้ไม่ถนัดนักและต่อมาก็หงายหลังลงไป “ผมฉันจำได้อีกทีคือตื่นขึ้นบนรถพยาบาล มีเฮลิคอปเตอร์ และขึ้นเครื่องบินมาที่นี่”

รายงานระบุว่าหน่วยกู้ภัยใช้เวลา 2 ชั่วโมงในการไต่ลงไปยังหุบเขาที่มีร่างของไวแอตต์นอนแน่นิ่ง จากนั้นหน่วยแพทย์ฉุกเฉินทางอากาศส่งตัวหนุ่มน้อยไปยังโรงพยาบาลในนครลาสเวกัส รัฐเนวาดา ซึ่งมีชายแดนติดต่อกัน

แม้ไวแอตต์จะได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งกระดูกสันหลังหัก 9 ซี่ ปอดยุบ ม้ามแตก สมองกระทบกระเทือน และมือหักข้างหนึ่ง แต่เด็กชายตอบสนองต่อการรักษาและมีอาการดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายไบรอัน คอฟฟ์แมน พ่อของไวแอตต์ กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัย แพทย์ฉุกเฉิน และทีมแพทย์ที่โรงพยาบาลต่อการทำงานอย่างทุ่มเท “พวกเราโชคดีมากๆ ที่ได้พาลูกกลับบ้านโดยมีเขานั่งอยู่ที่เบาะหน้ารถแทนที่จะเป็นในกล่อง” นายคอฟฟ์แมนพุดเปรียบเปรยถึงความดีใจที่ไม่ต้องรับร่างลูกชายในโลงศพกลับบ้าน

ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมามีเหตุสลดที่อุทยานแห่งชาติแกรนด์แคนยอน หลังจากชายคนหนึ่งพลัดตกจากทางเดินลอยฟ้าที่ความสูงเกือบ 1,220 เมตร และตกกระแทกพื้นด้านล่างจนบาดเจ็บสาหัส แม้หน่วยกู้ภัยจะรีบรุดเข้าช่วยเหลือ แต่อาการหนักมากและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

'นร.เขมร' ผวา!! หลังพบคลังลูกระเบิดนับพัน ถูกฝังไว้กลางโรงเรียนมานานกว่า 50 ปี

สื่อกัมพูชารายงานว่า ได้ค้นพบลูกระเบิดตกค้างที่ยังไม่ระเบิดถูกฝังไว้กลางสนามภายในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในจังหวัดกระแจะ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของกัมพูชามากกว่า 2,000 ลูก นอกจากนี้ยังพบหัวกระสุนระเบิด M79 อีกมากกว่า 1,000 ลูก จัดว่าเป็นหนึ่งในอาวุธสงครามที่มีพลังทำลายล้างสูง ที่สหรัฐอเมริกาได้นำมาใช้อย่างแพร่หลายตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนาม 

ทางการกัมพูชาได้สั่งให้ปิดโรงเรียนชั่วคราว และระดมผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่เพื่อกู้ระเบิดโดยทันที โดย นาย เฮง รัตนา ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดกัมพูชา กล่าวว่า ต้องใช้เวลาพอสมควรในการกู้ระเบิดตกค้าง และจำเป็นต้องขยายพื้นที่การค้นหารอบรัศมีโรงเรียนด้วย  

แต่นับว่ายังโชคดีมากๆ ที่ยังไม่มีนักเรียนคนใดเคยได้รับบาดเจ็บจากซากระเบิดสมัยสงครามกัมพูชา เพราะลูกระเบิดเหล่านี้ ไม่ใช่ระเบิดด้าน ยังสามารถระเบิดได้อย่างง่ายดาย หากมีใครขุดไปกระทบมันเข้า

ระเบิดที่พบในครั้งนี้ เป็นอาวุธที่ใช้ในสมัยสงครามกลางเมืองกัมพูชา ในช่วงระหว่างปี 1960s - 1975 ช่วงหนึ่งของยุคสงครามเย็น ที่กัมพูชาถูกใช้เป็นสงครามตัวแทนในการสู้รบระหว่างฝ่ายกองกำลังคอมมิวนิสต์ และ ฝ่ายรัฐบาลสาธารณรัฐ ที่สหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุน 

และกลายเป็นความขัดแย้งที่รุนแรง และโหดร้ายนานนับสิบปี อีกทั้งกัมพูชายังเป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกกองทัพสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดมากที่สุดในโลก นอกเหนือจากลาวและเวียดนามในสมัยนั้น จึงทำให้ในกัมพูชายังมีลูกระเบิดตกค้างหลงเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก 

ซึ่งพื้นที่ของโรงเรียนในเมืองกระแจะแห่งนี้ เคยเป็นค่ายทหารมาก่อน เมื่อมีการค้นพบลูกระเบิดจำนวนมากที่ถูกฝังดินไว้ จึงสันนิษฐานได้ว่า น่าจะพบลูกระเบิดตกค้างอีกจำนวนไม่น้อยในพื้นที่ใกล้เคียงด้วย

จากผลพวงของสงครามกลางเมืองในกัมพูชา ยังคงทิ้งมรดกเป็นกับระเบิด และ ทุ่นระเบิดหลงเหลือ และ กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศมาจนถึงทุกวันนี้ ที่มักเป็นอันตรายกับประชาชนในท้องที่ ที่ไปค้นพบ และเคลื่อนย้ายโดยบังเอิญ 

รัฐบาลกัมพูชาเคยรายงานว่ามีชาวบ้านไม่น้อยกว่า 2 หมื่นคนที่ต้องเสียชีวิตจากระเบิดตกค้างหลังสงครามตลอด 40 ปีแม้สงครามจะสิ้นสุดไปแล้วก็ตาม แต่ทั้งนี้ รัฐบาลกัมพูชาสัญญาว่าจะพยายามกู้ระเบิดตกค้างให้หมดไปให้ได้ภายในปี 2025 นี้ 

ที่ต้องบอกว่าไม่ใช่งานที่ง่ายเลย จากข้อมูลของศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดกัมพูชาประเมินว่าอาจมีทุ่นระเบิด และ อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ยังไม่ระเบิดในกัมพูชาถึง 6 ล้านลูก แต่บางข้อมูลชี้ว่า ปริมาณลูกระเบิดอาจมีมากกว่านั้นถึง 10 ล้านลูกที่ยังคงรอการกู้ทิ้งทำลาย

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

‘อียิปต์’ แฉ!! ถูก ‘สหรัฐฯ’ กดดันจัดหาอาวุธให้ยูเครนเพื่อใช้ตอบโต้กลับการโจมตีจากกองกำลังรัสเซีย

เมื่อวานนี้ (13 ส.ค. 66) มีรายงานว่า พวกเจ้าหน้าที่อียิปต์ตัดสินใจไม่เข้าร่วมในการจัดหาอาวุธป้อนแก่ยูเครน เพิกเฉยต่อแรงกดดันจากสหรัฐฯ ที่ร้องขอซ้ำๆ ให้ผลิตกระสุนปืนใหญ่และอาวุธอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับปฏิบัติการโจมตีตอบโต้กลับกองกำลังรัสเซียของทางยูเครน

หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานเมื่อวันศุกร์ (11 ส.ค.) อ้างอิงเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนาม ระบุว่าวอชิงตันยังได้ร้องขออียิปต์ จัดหาขีปนาวุธต่อต้านรถถัง ระบบป้องกันภัยทางอากาศและอาวุธขนาดเล็กแก่ยูเครนโดยคำขอดังกล่าวเกิดขึ้นในหลายวาระ ในนั้นรวมถึงระหว่างการพบปะกันระหว่าง ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา และประธานาธิบดีอับเดล ฟัตตาห์ อัล-ซิซี ในกรุงไคโร เมื่อเดือนมีนาคม

“ในการสนทนากับพวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ อียิปต์ไม่ได้ปฏิเสธคำขออย่างสิ้นเชิง แต่พวกเจ้าหน้าที่อียิปต์บอกเป็นการส่วนตัว ว่าอียิปต์ไม่มีแผนส่งมอบอาวุธ” วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงาน

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าข้อความนี้จะไม่เข้าหูวอชิงตัน ด้วยเจ้าหน้าที่รายหนึ่งของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯมองในแง่บวกว่าอียิปต์จะยอมช่วยเหลือยูเครน โดยบอกกับวอลล์สตรีท เจอร์นัล ว่า “การพูดคุยหารือระหว่างเรากับคู่หูอียิปต์ ในแง่ผลประโยชน์ร่วมของเราในการยุติสงครามของรัสเซีย ออกดอกออกผล และกำลังเดินหน้าต่อไป”

ก่อนหน้านี้ในปีนี้ มีข่าวว่าอียิปต์ยอมอ่อนข้อต่อแรงกดดันจากสหรัฐฯ ต่อคำกล่าวอ้างที่ว่าพวกเขามีแผนขายจรวดให้รัสเซีย ทั้งนี้ อัล-ซิซี พยายามธำรงไว้ซึ่งความสัมพันธ์อันดีกับทั้งวอชิงตันและมอสโก ท่ามกลางวิกฤตยูเครน ปฏิเสธเข้าร่วมโครงการที่นำโดยสหรัฐฯ สำหรับจัดหาอาวุธแก่ยูเครนและลงโทษรัสเซีย

วอลล์สตรีท เจอร์นัล เน้นว่าความล้มเหลวในความพยายามขอแรงสนับสนุนจากอียิปต์ เกิดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญยิ่งของความขัดแย้ง ซึ่งกองกำลังยูเครนกำลังพยายามบุกทะลวงแนวป้องกันที่น่าเกรงขามของรัสเซีย ในขณะที่สหรัฐฯพยายามรอแรงหนุนหลักทั้งด้านการทหารและการทูตสำหรับเคียฟ

นอกจากนี้ การตัดสินใจของอัล-ซิซี ยังเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สมาชิกสภาคองเกรสบางส่วนเรียกร้องให้รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ระงับเงินช่วยเหลือด้านการทหารของสหรัฐฯ ที่มอบแก่อียิปต์ ก้อนหนึ่งมูลค่า 320 ล้านดอลลาร์ จากงบช่วยเหลือรายปี 1,300 ล้านดอลลาร์ โดยอ้างอิงเกี่ยวกับประวัติด้านมนุษยชนในประเทศแห่งนี้

จนท.อพยพประชาชน-นักท่องเที่ยวลงจากหอไอเฟล หลังเจอขู่วางระเบิด ก่อนพบว่าเป็นการเตือนภัยผิดพลาด

(13 ส.ค. 66) สำนักข่าวรอยเตอร์และซีเอ็นเอ็นรายงานว่า มีการอพยพประชาชนลงจากหอไอเฟลและบริเวณใกล้เคียง ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม เป็นเวลานานหลายชั่วโมงหลังมีการขู่วางระเบิด อย่างไรก็ดี ล่าสุด หอไอเฟลได้เปิดให้นักท่องเที่ยวกลับขึ้นไปบนอาคารได้อีกครั้ง

สถานีโทรทัศน์บีเอฟเอ็มทีวีของฝรั่งเศสระบุว่า เจ้าหน้าที่ได้อพยพนักท่องเที่ยวที่อยู่บนหอไอเฟลทั้ง 3 ชั้นลงมาจากตัวอาคาร รวมถึงอพยพผู้คนที่อยู่บริเวณลานใกล้กับตัวหอไอเฟล เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เร่งตั้งแนวกั้นรักษาความปลอดภัย เปลี่ยนเส้นทางการสัญจรบนท้องถนนโดยรอบ และมีการส่งทีมเก็บกู้ระเบิดมาตรวจสอบในที่เกิดเหตุ

โฆษกของเอสอีทีอี บริษัทผู้ให้บริการหอไอเฟลกล่าวว่า “นี่เป็นมาตรการตามปกติในสถานการณ์เช่นนี้ ซึ่งเกิดขึ้นไม่บ่อยครั้ง” อย่างไรก็ดี หลังจากนั้น 2 ชั่วโมง แหล่งข่าวจากทางตำรวจฝรั่งเศสเผยว่า นักท่องเที่ยวสามารถกลับขึ้นไปบนหอไอเฟลอีกครั้ง เนื่องจากการขู่วางระเบิดดังกล่าวเป็นเพียงการเตือนภัยผิดพลาด

หอไอเฟลถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังและเป็นดั่งสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศส มีนักท่องเที่ยวเกือบ 7 ล้านคนเดินทางไปชมหอไอเฟลทุกปี ทั้งนี้ การอพยพนักท่องเที่ยวลงจากหอไอเฟลเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก โดยในปี 2019 เจ้าหน้าที่ต้องอพยพประชาชนลงจากหอไอเฟล หลังพบเห็นชายคนหนึ่งกำลังปีนขึ้นไปบนหอไอเฟล

‘ฮาวาย’ เผชิญภัย ‘ไฟป่า’ สังเวย 80 ศพ-สูญหายหลายร้อยราย ครึ่งเมืองเหลือแต่เถ้าถ่าน จี้สอบทางการ ปมแผนรับมือหละหลวม

(12 ส.ค. 66) สำนักข่าวบีบีซี รายงานถึงความคืบหน้าสถานการณ์ ‘ไฟป่า’ ใน รัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา หลังปะทุลุกลามเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา และไม่กี่วันไฟก็โหมลุกไหม้เผาวอดพื้นที่กว่าร้อยละ 80 ของเมืองลาไฮนา บนเกาะเมาวี ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็นอย่างน้อย 80 ราย อีกหลายร้อยคนยังคงสูญหาย ท่ามกลางความหวาดวิตก ว่าจำนวนผู้เสียชีวิตอาจเพิ่มสูงขึ้น

ขณะที่ทางการท้องถิ่นเมืองลาไฮนา อนุญาตให้ชาวเมืองที่มีเอกสารยืนยันที่อยู่อาศัยสามารถกลับเข้ามาในเมือง เมื่อวันศุกร์ที่ 1 ส.ค.ตามเวลาท้องถิ่น

เกือบทั้งเมืองเหลือเพียงเศษซากกองเถ้าที่ถูกไฟเผาวอด และซากรถยนต์ที่โดนเพลิงเผาทำลายกลายเป็นเศษเหล็กจอดเรียงรายตามถนนหนทาง นอกจากนี้ยังประกาศมาตรการเคอร์ฟิวระหว่างเวลา 22.00-06.00 น. ในบางพื้นที่ซึ่งเสี่ยงภัยจากไฟป่าที่ยังเผาไหม้

ขณะเดียวกันสำนักงานอัยการสูงสุดรัฐฮาวายจะเปิดการสอบสวนการตอบสนองของทางการต่อเหตุไฟป่ารุนแรงในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ของรัฐฮาวาย และเลวร้ายที่สุดในรอบ 63 ปีนับตั้งแต่เหตุคลื่นยักษ์สึนามิพัดถล่มฮาวายจนมีผู้เสียชีวิต 61 ราย เมื่อปี 2503

น.ส.แอนน์ โลเปซ จากสำนักงานอัยการสูงสุดระบุจากแถลงการณ์ว่า “สำนักงานอัยการสูงสุดจะดำเนินการทบทวนอย่างครอบคลุม เกี่ยวกับการตัดสินใจที่สำคัญและนโยบายทั้งก่อน ระหว่าง และหลังเกิดไฟป่าบนเกาะเมาวีและเกาะฮาวายในสัปดาห์นี้”

ความเคลื่อนไหวดังกล่าว เกิดขึ้นท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการรับมือของทางการ โดยชาวเมืองตำหนิว่าไม่มีคำเตือนเกี่ยวกับไฟป่าที่ลุกลามตีวงล้อม และส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากติดอยู่ในเมือง

น.ส.โลเปซยังระบุอีกว่า “สำนักงานอัยการสูงสุดมีความเศร้าใจเช่นเดียวกับที่ทุกคนในฮาวายรู้สึก และขอส่งกำลังใจให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโศกนาฏกรรมครั้งนี้ สำนักงานมุ่งมั่นที่จะทำความเข้าใจกับการตัดสินใจที่เกิดขึ้นก่อน รวมถึงระหว่างไฟป่า และจะแบ่งปันผลการตรวจสอบนี้ต่อสาธารณชน”

‘จีน’ ส่งมอบ ‘ผลลัพธ์จับต้องได้’ จาก ‘ประชาคมจีน-มาเลเซีย’ ฉลุย!! ธุรกิจจีนลงทุนเพิ่ม ส่วนมาเลฯ หนุนหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง

เมื่อวันที่ 11 ส.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว เผยว่า ‘หวังอี้’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน และกรรมการกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้พบปะและประชุมร่วมกับ ‘แซมบรี อับดุล คาดีร์’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของมาเลเซีย ณ รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย

หวังอี้ กล่าวว่า จีนพร้อมทำงานร่วมกับมาเลเซีย เพื่อส่งเสริมความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และนำมาซึ่งผลลัพธ์อันจับต้องได้ในการสร้าง ‘ประชาคมจีน-มาเลเซีย’ ที่มีอนาคตร่วมกัน

หวัง ซึ่งเป็นกรรมการกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้ประชุมร่วมกับแซมบรี อับดุล คาดีร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของมาเลเซีย เมื่อวันศุกร์ (11 ส.ค.) ระบุว่า จีนนับถือมาเลเซียเป็นเพื่อนบ้านฉันมิตร และพันธกิจสำคัญของการทูตจีนที่ให้ความสำคัญกับเพื่อนบ้าน

หวังเสริมว่า ปีนี้ตรงกับวาระครบรอบ 10 ปี ความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์รอบด้านจีน-มาเลเซีย และปีหน้าจะตรงกับวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตจีน-มาเลเซีย

ฝ่ายจีนสนับสนุนมาเลเซียในการแสวงหาวิถีทางการพัฒนาอันเหมาะสมกับเงื่อนไขของประเทศ และการมีบทบาทในกิจการระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศยิ่งขึ้น

หวังเรียกร้องทั้งสองฝ่ายขยับขยายการสื่อสารและการประสานงาน เพิ่มพูนความไว้วางใจซึ่งกันและกันในเชิงยุทธศาสตร์ สนับสนุนอีกฝ่ายในการคุ้มครองผลประโยชน์หลัก ตลอดจนสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมตามกฎหมาย และร่วมยึดถือบรรทัดฐาน พื้นฐานของการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

หวังกล่าวว่าการก่อสร้างทางรถไฟชายฝั่งตะวันออก (ECRL) และ ‘สองประเทศ นิคมอุตสาหกรรมแฝด’ ซึ่งเป็นสองโครงการสำคัญตามแผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) มีความคืบหน้าที่ดี ขณะเดียวกันจีนและมาเลเซียมีความร่วมมืออันดีในการผลิตยานยนต์ เศรษฐกิจดิจิทัล และพลังงานใหม่

หวังกล่าวว่า จีนส่งเสริมกลุ่มบริษัทจีนเข้าลงทุนและเริ่มต้นธุรกิจในมาเลเซียเพิ่มขึ้น เพื่อบ่มเพาะช่องทางการเติบโตใหม่ๆ ของความร่วมมือ และจีนยินดีกระชับความร่วมมือทวิภาคีในด้านเทคโนโลยีการเกษตร ความมั่นคงทางอาหาร และอื่นๆ รวมถึงนำเข้าผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพจากมาเลเซียเพิ่มขึ้น

ด้าน แซมบรี กล่าวว่าความสัมพันธ์ระหว่างมาเลเซียและจีนนั้น ‘แข็งแกร่งและแน่นแฟ้น’ ขณะเดียวกันความร่วมมือเชิงปฏิบัติระหว่างสองประเทศมีความก้าวหน้าอันเป็นรูปธรรม

มาเลเซียจะยังคงสนับสนุน และมีส่วนร่วมในการร่วมสร้างแผนริเริ่ม ‘หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง’ อย่างแข็งขัน ดำเนินความพยายามทั้งหมดเพื่อส่งเสริมโครงการความร่วมมือที่สำคัญ และแสวงหาการเสริมสร้างสายสัมพันธ์ในทุกด้านและทุกระดับ เพื่อขยับขยายความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน

แซมบรีเสริมว่า มาเลเซียชื่นชมและสนับสนุนแผนริเริ่มระดับโลกต่างๆ ที่จีนนำเสนอ พร้อมเรียกร้องการอยู่ร่วมมกันอย่างกลมกลืนของอารยธรรมที่แตกต่าง และแสวงหาการเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนและการเรียนรู้ซึ่งกันและกันระหว่างอารยธรรมกับจีน

อนึ่ง ทั้งสองฝ่ายยังแลกเปลี่ยนมุมมองเชิงลึกต่อประเด็นระดับภูมิภาค และระหว่างประเทศที่ให้ความสำคัญร่วมกัน และเห็นพ้องจะเสริมสร้างการสื่อสารและการประสานงาน รักษาความเป็นกลางของอาเซียน และส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และการพัฒนาระดับภูมิภาค

ปัจจุบัน หวัง อยู่ระหว่างการเดินทางเยือนกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ สิงคโปร์, มาเลเซีย และกัมพูชา

‘ลิล เทย์’ สาวน้อยอวดรวย โต้ข่าว!! ‘ยังมีชีวิตอยู่’ เผย บัญชีอินสตาแกรม ‘ถูกแฮก’ กุเฟกนิวส์

(11 ส.ค.66) จากกรณีที่มีรายงานว่า ‘ลิล เทย์’ เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 14 ปี ล่าสุด TMZ สื่อข่าวบันเทิงในสหรัฐฯ รายงานว่า “ความจริงแล้วเธอยังไม่เสียชีวิต”

จากกรณีที่มีการรายงานข่าวว่า ‘ลิล เทย์’ (Lil Tay) อินฟลูเอนเซอร์เด็กหญิงที่เคยโด่งดังเมื่อปี 2018 จากคอนเทนต์แนวอวดรวย เจ้าของฉายา “คนอวดรวยที่อายุน้อยที่สุดในศตวรรษ” ได้เสียชีวิตกะทันหันด้วยวัยเพียง 14 ปี พร้อมพี่ชายวัย 21 ปี โดยครอบครัวแจ้งข่าวเศร้าผ่านอินสตาแกรม

ล่าสุดเรื่องราวเหมือนจะกลับตาลปัตร เมื่อ TMZ สื่อข่าวบันเทิงในสหรัฐฯ รายงานว่า ความจริงแล้ว “ลิล เทย์ ยังไม่เสียชีวิต”

ลิล เทย์ เปิดเผยกับ TMZ ว่า บัญชีอินสตาแกรมของเธอถูกแฮก และเผยแพร่ “ข้อมูลเท็จที่น่าตกใจ” เกี่ยวกับการเสียชีวิตของเธอและพี่ชาย

ในถ้อยแถลงที่ส่งถึง TMZ จากครอบครัวของเทย์ เธอบอกกับ TMZ ว่า “ฉันต้องการชี้แจงว่า พี่ชายและฉันปลอดภัย และยังมีชีวิตอยู่ แต่ฉันตกใจอย่างหนัก และพยายามหาคำพูดที่เหมาะสม มันเป็น 24 ชั่วโมงที่บอบช้ำมาก เมื่อวานทั้งวัน ฉันถูกกระหน่ำด้วยเสียงโทรศัพท์ที่โทรมาด้วยความเจ็บปวดและน้ำตาจากคนที่รักฉันในขณะที่พยายามจัดการเรื่องยุ่งเหยิงนี้”

เธอยังกล่าวอีกว่า “บัญชีอินสตาแกรมของฉันถูกบุกรุกโดยบุคคลที่ 3 และเผยแพร่ข้อมูลที่ผิดและข่าวลือเกี่ยวกับตัวฉัน จนแม้แต่ชื่อของฉันก็ยังผิด ชื่อตามกฎหมายของฉันคือ เทย์ เทียน (Tay Tian) ไม่ใช่ แคลร์ โฮป”

เทย์ยังขอบคุณเมตาที่ช่วยกู้บัญชีอินสตาแกรมของเธอกลับคืนมา และโพสต์ที่แจ้งการเสียชีวิตของเธอก็ถูกลบออกไปแล้ว

อย่างไรก็ดี เรื่องนี้เหมือนจะมีกลิ่นแปลก ๆ เพราะสิ่งที่ยังไม่ชัดเจนคือ เหตุใดเทย์ถึงใช้เวลานานกว่า 24 ชั่วโมงกว่าจะออกข่าวว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอบอกว่า เธอรู้ว่าบัญชีของตัวเองถูกแฮ็ก และได้รับโทรศัพท์เกี่ยวกับ ‘การเสียชีวิต’ ของเธอ

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม อินสตาแกรมของเทย์ได้โพสต์ภาพข้อความว่า ลิล เทย์ ได้เสียชีวิตแล้วอย่างกะทันหัน เช่นเดียวกับพี่ชายของเธอ เจสัน เทียน โดยบอกว่านี่เป็น “ความสูญเสียที่ไม่อาจทนรับได้”

โพสต์ดังกล่าวที่ถูกลบไปแล้ว ระบุว่า “เป็นเรื่องน่าหนักใจที่เราต้องแจ้งข่าวเศร้าเกี่ยวกับการจากไปอย่างกะทันหันของแคลร์ เราไม่อาจหาถ้อยคำใดที่จะแสดงความรู้สึกสูญเสียที่เกินจะรับไหวและความเจ็บปวดที่อธิบายไม่ได้ครั้งนี้ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงและทำให้เราทุกคนตกใจ การจากไปของพี่ชายเธอยิ่งสร้างความโศกเศร้าเกินจินตนาการของเรา”

โพสต์นั้นยังบอกอีกว่า “ในช่วงเวลาแห่งความเสียใจนี้ พวกเราขอความเป็นส่วนตัว ในสถานการณ์ที่การจากไปของแคลร์และพี่ชายยังอยู่ระหว่างการสืบสวน แคลร์จะอยู่ในใจเราเสมอ การจากไปของเธอทำให้ทุกคนที่รู้จักและรักเธอร็สึกเหมือนบางอย่างขาดหายไปแบบหาอะไรมาแทนที่ไม่ได้”

ทั้งนี้ ก่อนที่จะมีการโพสต์ประกาศการเสียชีวิตปลอม ๆ ของเธอ ไม่มีการโพสต์ในบัญชีอินสตาแกรมของ ลิล เทย์ มาตั้งแต่ปี 2018

‘หญิงจีน’ รู้สึกแน่นท้อง-หายใจไม่ออก หลังไม่ถ่ายมา 10 วัน สยอง!! หมอผ่าออกมาพบอุจจาระเต็มท้อง หนักกว่า 20 กก.

เมื่อวานนี้ (10 ส.ค.66) ทุกครั้งที่หลาย ๆ คนประสบปัญหาท้องผูกเล็กน้อยก็พยายามแก้ไขด้วยการรับประทานอาหารบางชนิดหรือรับประทานยาบางชนิดเพื่อช่วยบรรเทาอาการหรือช่วยระบาย แต่ล่าสุด กรณีทางการแพทย์สุดอึ้งสร้างความฮือฮาให้กับโลกออนไลน์เป็นอย่างยิ่ง โดยผู้ป่วยรายหนึ่งมีอาการท้องผูกเป็นระยะเวลานาน 10 วัน ซึ่งใครจะคาดคิดว่าการท้องผูกครั้งนี้ กลับเจออุจจาระเต็มท้องหนักกว่า 20 กิโลกรัม

สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน ตามโพสต์บนเว่ยป๋อ หญิงวัย 53 ปี ในเจ้อเจียง หางโจว ประเทศจีนรายหนึ่ง มีอาการท้องผูกทนทุกข์ทรมานจากอาการท้องผูกซึ่งรุนแรงขึ้นในช่วง 4 หรือ 5 ปีที่ผ่านมา แต่ล่าสุด เธอมีอาการท้องผูก 10 วัน ซึ่งเริ่มรู้สึกแน่นท้อง แน่นหน้าอก และหายใจไม่ออก หลังจากที่แทบไม่สามารถถ่ายอุจจาระได้ทุก ๆ 5 - 6 วัน

เมื่อพิจารณาจากความจริงที่ว่าเธอมีรูปร่างผอมมาก ท้องส่วนล่างของเธอเริ่มบวมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สมาชิกในครอบครัวของเธอยังสัมผัสได้ถึงก้อนอุจจาระแข็ง ๆ รอบท้องของเธอ ทำให้เธอถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเจ้อเจียงเพื่อรับการรักษา

แพทย์วินิจฉัยโรคลำไส้โป่งพองแต่กำเนิด (Hirschsprung’s Disease) เป็นความผิดปกติที่เกิดจากร่างกายขาดเซลล์ประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ส่งผลให้อุจจาระผ่านปลายลำไส้ใหญ่ไปได้ยากหรือถูกปิดกั้น ทำให้เกิดการอุดตันและการโป่งพองบริเวณลำไส้

ดังนั้น ผู้ป่วยจึงต้องผ่าตัดนำก้อนแข็ง ๆ ในท้องออก ซึ่งพบอุจจาระหนักประมาณ 20 กิโลกรัม มีรูปร่างเหมือนงูเหลือม เกือบ 1 เมตรออกจากร่างกายของเธอ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top