Sunday, 15 June 2025
WORLD

‘พริโกซิน’ ผู้นำวากเนอร์ โพสต์วิดีโอครั้งแรกในรอบ 2 เดือน โว!! กำลังต่อสู้กับกลุ่มติดอาวุธ เพื่อทำให้ ‘แอฟริกา’ มีอิสระขึ้น

นายเยฟเกนี พริโกซิน ผู้นำกลุ่มทหารรับจ้างวากเนอร์ ปรากฏตัวครั้งแรกในวิดีโอที่โพสต์บนเทเลแกรม หลังจากหายไปจากโลกโซเชียล นับตั้งแต่ความพยายามก่อกบฎในรัสเซียเมื่อเดือนมิถุนายนล้มเหลว โดยพริโกซินซึ่งสวมชุดนักรบระบุว่าเขาอยู่ในแอฟริกา และวากเนอร์กำลังทำให้แอฟริกามีอิสระมากขึ้น

พริโกซินกล่าวในวิดีโอว่า วากเนอร์กำลังสำรวจแร่ และต่อสู้กับกลุ่มติดอาวุธอิสลามและกลุ่มอาชญากรอื่นๆ

“เรากำลังทำงานอยู่ท่ามกลางอุณหภูมิมากกว่า 50 องศา วากเนอร์กำลังปฏิบัติการลาดตระเวนและค้นหา ทำให้รัสเซียยิ่งใหญ่ขึ้นในทุกทวีป และทำให้แอฟริกาเป็นอิสระมากขึ้น” พริโกซิน กล่าว

พริโกซินกล่าวด้วยว่า ความยุติธรรมและความสุขสำหรับชาวแอฟริกัน เรากำลังทำให้ชีวิตเป็นฝันร้ายสำหรับกองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) อัลเคด้า และกลุ่มโจรผู้ร้ายอื่นๆ

พริโกซินกล่าวว่า วากเนอร์กำลังเปิดรับสมัคร และเราจะดำเนินการตามภารกิจที่กำหนดไว้ต่อไป เราสัญญาว่าเราจะประสบความสำเร็จ

ทั้งนี้ เชื่อว่าวากเนอร์มีนักรบหลายพันคนอยู่ในทวีปแอฟริกา ซึ่งวากเนอร์มีผลประโยชน์ทางธุรกิจมากมายอยู่ในภูมิภาคนี้

โดยมีรายงานว่า ทหารของพริโกซินฝังตัวอยู่ในประเทศต่างๆ ในแอฟริกา รวมถึงมาลีและสาธารณรัฐแอฟริกากลาง ซึ่งกลุ่มสิทธิมนุษยชนและสหประชาชาติกล่าวหาพวกเขาว่า ก่ออาชญากรรมสงคราม

นักรบวากเนอร์ยังถูกสหรัฐฯ กล่าวหาว่าได้สร้างรายได้ให้กับตัวเองด้วยการทำข้อตกลงเกี่ยวกับการค้าทองคำเถื่อนในแอฟริกาอีกด้วย

'ทุเรียนไทย' เนื้อหอม!! เฉิดฉายในงานแสดงสินค้าจีน-เอเชียใต้ ครั้งที่ 7 เบิกทางผู้ประกอบการไทย พาสินค้าสยามสู่ชาวจีนตอนใต้มากขึ้น

(22 ส.ค.66) สำนักข่าวซินหัว เผยว่า 'ทุเรียน' ถือเป็นหนึ่งในผลไม้ที่ได้รับความนิยมชมชอบจากประชาชนในฤดูกาลนี้ โดยเฉพาะกับ 'ทุเรียนไทย' ที่สามารถดึงดูดความสนใจจากชาวจีน และรวมถึงฝูงชนที่เข้าร่วมงานแสดงสินค้าจีน-เอเชียใต้ ครั้งที่ 7 ในนครคุนหมิง มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน

เฉินเจี๋ย ผู้จัดแสดงสินค้าทุเรียนอบแห้งจากไทย กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าสู่จีนในปัจจุบันนั้นปลอดภาษี ซึ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของการทำธุรกิจในตลาดจีนอย่างมาก ขณะกลุ่มประเทศหุ้นส่วนในภูมิภาคอาเซียนยังช่วยมอบโอกาสทางธุรกิจอันดี

ผลิตภัณฑ์ของเฉินสามารถเข้าสู่ตลาดจีนอย่างรวดเร็วผ่านทางรถไฟจีน-ลาว ซึ่งตอนนี้ขยับขยายเส้นทางการเดินรถถึงจังหวัดจันทบุรี ไม่ไกลจากสวนทุเรียนที่เขาร่วมมืออยู่ด้วย ทำให้ขนส่งผลิตภัณฑ์สดใหม่สู่ผู้บริโภคชาวจีนได้อย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ 'ทุเรียน' เปรียบเป็นนามบัตรใบสำคัญของไทย ท่ามกลางการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีนกับกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เฟื่องฟูยิ่งขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้กลุ่มบริษัททุเรียนไทยคาดหวังส่งออกผลิตภัณฑ์สู่จีนเพิ่มขึ้น

งานแสดงสินค้าจีน-เอเชียใต้ ครั้งที่ 7 ในนครคุนหมิง จึงเป็นโอกาสใหม่แก่จีนและกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังเช่น บริษัท จันทบุรี ฟรุ๊ต โปรดักส์ จำกัด ที่ปีนี้ส่งออกผลไม้แปรรูปสู่จีน 12 ตู้คอนเทนเนอร์แล้ว ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 50 ในแง่ปริมาณ และร้อยละ 30 ในแง่มูลค่า เมื่อเทียบปีต่อปี

"งานแสดงสินค้าฯ ในคุนหมิงถือเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยในการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์แก่ผู้บริโภคชาวจีนตอนใต้" วิชญะ พฤกษากิจ ผู้จัดการทั่วไปของบริษัทฯ กล่าวทิ้งท้าย

‘ลุงขับสามล้อไฟฟ้า’ ชน 'เฟอร์รารี่’ ราคา 22.5 ล้านบาท แต่คนขับใจดีให้จ่ายแค่ 950 บาท แม้ค่าซ่อมจะสูงก็ตาม

สปอร์ตและใจดี กลายเป็นเรื่องราวที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก หลังเกิดเหตุลุงขับสามล้อไฟฟ้าชนรถยนต์สุดหรูสัญชาติอิตาลีอย่าง ‘เฟอร์รารี่’ (Ferrari) ซึ่งมีมูลค่าราว 4.5 ล้านหยวน (ประมาณ 22.5 ล้านบาท) ทว่าหนุ่มเจ้าของรถกลับยอมให้จ่ายแค่นี้

เมื่อวานนี้ (22 ส.ค.66) เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. ของวันที่ 15 ส.ค. ที่ผ่านมา บนถนนแห่งหนึ่งในนครเซี่ยงไฮ้ ขณะที่รถเฟอร์รารี่สีเหลืองกำลังจอดรอสัญญาณไฟจราจรอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีรถสามรถล้อไฟฟ้าขับมาขูดที่ด้านข้าง ทำให้บริเวณด้านข้างของรถและกระจกมองข้างเป็นรอยเสียหาย

ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่หนุ่มแซ่กาน เจ้าของรถเฟอร์รารี่กำลังโทรศัพท์แจ้งตำรวจ ลุงขับสามล้อไฟฟ้ากลับอาศัยจังหวะนั้นพยายามที่จะหลบหนี จนหนุ่มคนนี้ต้องตามไปหยุดไว้

เมื่อตำรวจมาถึงก็บอกให้ลุงขับสามล้อไฟฟ้ารับผิดชอบค่าเสียหายที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม หนุ่มเจ้าของเฟอร์รารี่ก็ไม่อยากทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่และไม่ได้อยากใจร้ายกับลุง จึงรับคำขอโทษและขอให้ลุงจ่ายเงินชดเชยเพียง 190 หยวน (ประมาณ 950 บาท) เท่านั้น แม้ค่าซ่อมแซมรอยขีดข่วนจะมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 100,000 หยวน (ประมาณ 5 แสนบาท) ก็ตาม

หลังเรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตต่างชื่นชมหนุ่มเจ้าของรถเฟอร์รารี่คนนี้ พร้อมคอมเมนต์ เช่น “นายกานใจดีมาก”, "ใจกว้างจริงๆ", "เจ้าของรถผู้ร่ำรวยและใจดี ขอให้คุณมีสุขภาพแข็งแรงนะ", "เขาคงรู้และเข้าใจว่าลุงไม่สามารถจ่ายค่าชดเชยได้มากกว่านี้..."และ"เห็นได้ชัดว่า นายกานไม่ต้องการเรียกร้องค่าชดเชยใดๆ จากคุณลุง เขาแค่หวังว่า คุณลุงจะได้รับบทเรียนจากการกระทำของตนเอง”

ขณะเดียวกัน ชาวเน็ตจำนวนมากต่างวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของลุงขับสามล้อไฟฟ้า เช่น"ลุงขับสามล้อทำไมถูกต้อง", "ลุงทำผิดกฎจราจร"และ"เดี๋ยวนี้ผู้สูงอายุบางคนขับรถไม่สนใจอะไรเลย อย่าว่าแต่สัญญาณไฟจราจร บางทีแม้แต่ถนนก็ยังไม่ยอมมอง"

'สีจิ้นผิง' เดินทางถึงแอฟริกาใต้ เข้าร่วมประชุมสุดยอด BRICS ด้าน 'ไซริล รามาโฟซา' ประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ ต้อนรับอย่างอบอุ่น

(22 ส.ค.66) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เดินทางถึงนครโจฮันเนสเบิร์กของแอฟริกาใต้ เมื่อวันจันทร์ (21 ส.ค.) เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศบริกส์ (BRICS Summit) ครั้งที่ 15 และเยือนแอฟริกาใต้อย่างเป็นทางการ

ไซริล รามาโฟซา ประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ พร้อมด้วยนาเลดี แพนดอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างประเทศของแอฟริกาใต้ และโนซาซานา คลาริซ ดลามินี-ซูมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสตรี เยาวชน และคนพิการของแอฟริกาใต้ ได้ต้อนรับสีจิ้นผิงอย่างอบอุ่น ณ ท่าอากาศยานนานาชาติโออาร์ แทมโบ แห่งโจฮันเนสเบิร์ก

ประธานาธิบดีรามาโฟซาต้อนรับสีจิ้นผิงอย่างอบอุ่นสำหรับการเยือนแอฟริกาใต้อย่างเป็นทางการ สีจิ้นผิงกล่าวว่าเขาดีใจที่ได้เดินทางเยือนแอฟริกาใต้อีกครั้ง และหวังจะได้แลกเปลี่ยนมุมมองเชิงลึกกับรามาโฟซาในด้านการกระชับความสัมพันธ์จีน-แอฟริกาใต้ และประเด็นที่สนใจร่วมกัน

'เอกวาดอร์' นำร่องประชาธิปไตยเพื่อสิ่งแวดล้อม ชวน ปชช.ทำประชามติตัดสินใจเดินหน้าหรือยุติโครงการขุดเจาะน้ำมันในเขตป่าแอมะซอน

เมื่อวันอาทิตย์ (20 ส.ค.66) เป็นเลือกตั้งใหญ่ในเอกวาดอร์ที่นอกจากคนเอกวาดอร์จะต้องออกมาเข้าคูหาเลือกผู้นำคนใหม่แล้ว ยังมีโอกาสได้เลือกอนาคตของชาติด้วยว่า จะยังคงเป็นชาติที่มีเศรษฐกิจพึ่งพารายได้จากพลังงาน โดยยอมแลกกับทรัพยากรสิ่งแวดล้อมของชาติหรือไม่

เนื่องจากในวันนั้น รัฐบาลเอกวาดอร์กำหนดให้เป็นวันทำประชามติ ถามความเห็นประชาชนโดยตรงว่าจะยังคงให้มีการสำรวจ ขุดเจาะน้ำมันในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ Yasuní National Park ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าดิบชื้นแอมะซอน หนึ่งในสถานที่ที่มีความสมบูรณ์ด้านความหลากหลายทางชีววิทยามากที่สุดในโลก และยังเป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าพื้นเมืองที่มีอัตลักษณ์เฉพาะตัวสูง  

นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเอกวาดอร์ ที่ให้สิทธิ์ประชาชนร่วมตัดสินใจในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม ที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังจับตาถึง แนวทางประชาธิปไตยเพื่อสิ่งแวดล้อมในครั้งนี้จะได้คำตอบออกมาเช่นไร 

Yasuní National Park ในเอกวาดอร์ มีพื้นที่มากถึง 9,823 ตารางกิโลเมตร เป็นป่าฝนดิบชื้น ที่อุดมสมบูรณ์ทั้งในด้านแหล่งน้ำ สัตว์ป่า ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นเขตสงวนชีวมณฑลขององค์กรยูเนสโก้ เป็นแหล่งธรรมชาติที่ทรงคุณค่าที่ยังคงเหลืออยู่ไม่มากแล้วในโลก 

แต่ทว่า ใต้พื้นดินในเขตป่าแอมะซอนของเอกวาดอร์ ยังเป็นแหล่งน้ำมันดิบมหาศาลกว่า 1.7 พันล้านบาร์เรล เทียบเท่ากับ 40% ของแหล่งน้ำมันสำรองที่บ่อน้ำมัน Ishpingo-Tiputini-Tambococha แหล่งน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของเอกวาดอร์ 

ย้อนกลับไปราวปี 2007 อดีตประธานาธิบดีเอกวาดอร์ ราฟาเอล กอร์เรอา เคยนำประเด็นแหล่งน้ำมันในอุทยานแห่งชาติ Yasuní มาต่อรองกับประชาคมโลก ว่าเอกวาดอร์จะยอมยุติการขุดเจาะ และสกัดน้ำมันภายในพื้นที่อุทยานป่าแอมะซอนแห่งนี้ แลกกับเงินช่วยเหลือจากประชาคมโลกจำนวน 3.6 พันล้านเหรียญ ซึ่งเทียบเท่ากับรายได้ครึ่งหนึ่งจากบ่อน้ำมันแห่งนี้ คำนวณจากราคาน้ำมันดิบในปีนั้น 

เรื่องราวควรได้ข้อยุติไปแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่ถึง 10 ปี ในปี 2016 บริษัทน้ำมันของรัฐบาลเอกวาดอร์ได้เปิดพื้นที่ในเขตอุทยานแห่งชาติ Yasuní ที่เรียกว่าเขต Block 43 เพื่อขุดเจาะน้ำมันใต้ดินขึ้นมาใช้อีกครั้ง และปัจจุบันสามารถผลิตน้ำมันได้ถึง 55,000 บารเรลต่อวัน คิดเป็น 12% ของปริมาณน้ำมันดิบที่ขุดได้ในเอกวาดอร์ 

และได้สร้างมลพิษอย่างมากมายให้กับพื้นที่แห่งนี้ ทั้งคราบน้ำมันปนเปื้อนในแหล่งน้ำ การทำลายป่าเป็นวงกว้างเพื่อขุดเจาะน้ำมัน และการเบียดเบียนทำลายระบบนิเวศทางธรรมชาติในพื้นที่ สร้างความไม่พอใจอย่างมากต่อชนพื้นเมือง นักวิทยาศาสตร์ นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม และประชาชนจำนวนมาก 

แต่ก็มีชาวเอกวาดอร์ไม่น้อยเช่นกันที่สนับสนุนโครงการขุดเจาะน้ำมันในเขตป่าแอมะซอน ที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจในประเทศ นำรายได้จากการส่งออกน้ำมันมาแก้ปัญหาความยากจน และยังช่วยสร้างงาน และรายได้ให้แก่แรงงานชาวเอกวาดอร์จำนวนมาก 

เมื่อประเด็นการขุดน้ำมันในอุทยานแห่งชาติ Yasuní มีการถกเถียงกันมานานกว่า 10 ปี ศาลรัฐธรรมนูญของเอกวาดอร์จึงตัดสินให้รัฐบาลต้องทำประชามติ ถามความเห็นของประชาชนโดยตรง ในวันเดียวกับวันเลือกตั้งใหญ่ของประเทศ ให้ประชาชนได้ใช้สิทธิ์ตัดสินใจเรื่องระดับชาติไปในคราวเดียวกัน

ทำให้การออกมาลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของชาวเอกวาดอร์ในครั้งนี้ มีความหมายมากกว่าทุกครั้ง แม้ในด้านหนึ่ง เอกวาดอร์กำลังเผชิญวิกฤติด้านสังคม และ การเมืองอย่างรุนแรง บ้านเมืองถูกครอบงำด้วยแก๊งมาเฟีย และเครือข่ายพ่อค้ายาเสพติด มีการซุ่มลอบสังหารนักการเมืองหลายคนในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง และเศรษฐกิจตกต่ำยาวตั้งแต่ช่วง Covid-19 

แต่สำหรับการลงประชามติในโครงการขุดเจาะน้ำมันที่ Yasuni กลับมีบรรยากาศที่ผิดกัน ชาวเอกวาดอร์มีความกระตือรือร้น และรู้สึกมีความหวังกับการตัดสินใจครั้งนี้มากกว่าการเลือกตั้งทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด เพราะเชื่อว่าการแสดงออกผ่านประชามติครั้งนี้ พวกเขาสามารถเลือกอนาคตของชาติได้อย่างเป็นรูปธรรม สร้างความเปลี่ยนแปลงได้ หรือ รักษาสิ่งที่พวกเขาหวงแหนได้อย่างแท้จริง

ซึ่งก็ต้องมาติดตามว่า ชาวเอกวาดอร์จะเลือกรักษาสภาพแวดล้อมของผืนป่าแอมะซอน และลดการพึ่งพาเศรษฐกิจพลังงาน หรือจะยอมแลกพื้นที่ป่าเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ปากท้องของประชาชนที่ยังต้องพึ่งรายได้จากการส่งออกน้ำมันเป็นสำคัญ

และยังเป็นการชี้วัดว่า การใช้กระบวนการทางประชาธิปไตยเพื่อสิ่งแวดล้อม จะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการแก้ปัญหาความเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลกได้หรือไม่ 

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

'จีน' ส่ง 'เกาเฟิน-12 04' ดาวเทียมสำรวจโลกดวงใหม่สู่วงโคจร ลุยภารกิจ 'สำรวจที่ดิน-วางแผนผังเมือง-รับมือภัยพิบัติ'

(21 ส.ค. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จีนได้ส่งดาวเทียมสำรวจโลกดวงใหม่ขึ้นสู่อวกาศจากศูนย์ปล่อยดาวเทียมจิ่วเฉวียนทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ

รายงานระบุว่า จรวดขนส่งลองมาร์ช-4ซี (Long March-4C) ซึ่งบรรทุกดาวเทียมเกาเฟิน-12 04 (Gaofen-12 04) ทะยานออกจากศูนย์ฯ ตอน 01.45 น. ตามเวลาปักกิ่ง และเข้าสู่วงโคจรที่กำหนดสำเร็จ

ดาวเทียมดวงนี้จะถูกใช้งานหลายด้าน อาทิ การสำรวจที่ดิน การวางผังเมือง การออกแบบโครงข่ายถนน การประเมินผลผลิตทางการเกษตร และการบรรเทาภัยพิบัติ

อนึ่ง การส่งดาวเทียมดวงนี้นับเป็นภารกิจที่ 484 ของจรวดขนส่งตระกูลลองมาร์ช

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.66 จีนได้ส่งดาวเทียมสำรวจโลกเกาเฟิน-12 03 (Gaofen-12 03) ขึ้นสู่อวกาศโดยจรวดขนส่งลองมาร์ช-4ซี (Long March-4C) เมื่อเวลา 23.46 น. ตามเวลาปักกิ่ง และเข้าสู่วงโคจรที่กำหนดสำเร็จไปแล้ว

‘อดีตผู้ช่วยปธน.’ เตือน!! ‘เซเลนสกี’ เป็นตัวอันตรายสำหรับยูเครน ศักยภาพความเป็นผู้นำที่ไม่เพียงพอ อาจก่อหายนะระดับประเทศได้

(21 ส.ค. 66) ศักยภาพความเป็นผู้นำที่ไม่เพียงพอของประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ก่อหายนะระดับประเทศแก่ยูเครน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรควรหาทางลงโทษเขา จากความเห็นของโอเล็ก โซสกิน ผู้ซึ่งเป็นผู้ช่วยของประธานาธิบดียูเครนมาแล้ว 2 คน

เขากล่าวในวิดีโอที่โพสต์ลงบนช่องยูทูบของตนเองเมื่อวันเสาร์ (19 ส.ค.) ระบุว่า เศรษฐกิจของประเทศถูกทำลายท่ามกลางความขัดแย้งกับรัสเซีย "กองกำลังยูเครนไม่สามารถฝ่าทะลวงแนวหน้าใดๆ ได้เลย ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม" พร้อมบอกว่าประชาชนไม่ควรเชื่อคำพูดของบรรดานายพลปลดเกษียณทั้งหลายที่ออกมากล่าวอ้างว่ากองทัพเคียฟกำลังรุกคืบ

โซสกิน กล่าวต่อว่า เซเลนสกี ยืนยันว่ายูเครนจะเอาชนะรัสเซีย และเขาลังเลที่จะยอมรับว่าสถานการณ์ที่แท้จริงคือสัญญาณบ่งชี้ว่าประธานาธิบดีรายนี้ ไม่มีความสามารถเพียงพอทั้งในฐานะผู้บริหารจัดการและในฐานะบุคคลหนึ่งๆ

"เซเลนสกี เป็นอันตรายสำหรับประเทศ เขาเป็นอันตรายสำหรับประชาชน" โซสกินกล่าวเตือน โดยเขาเคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยของประธานาธิบดีลีโอนิด คราฟชุค ในปี 1992 ถึง 1993 และผู้ช่วยของประธานาธิบดีลีโอนิด คุชมา ระหว่างปี 1998 ถึง 2000

"ควรทำอะไรบางอย่างกับเซเลนสกี ผมขอเรียกร้องสำหรับสิ่งนี้อีกครั้ง รวมตัวกัน ใครบางคนจำเป็นต้องริเริ่ม จำเป็นต้องวางเงื่อนไขบางประการแก่ประธานาธิบดี" โซสกินยืนยัน อ้างถึงบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยูเครน

ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่แล้ว เซเลนสกีอ้างว่าคณะทำงานของเขา "กำลังเตรียมการสิ่งต่างๆ ที่ทรงพลังสำหรับยูเครน" ภายใต้ความร่วมมือกับพันธมิตระวันตก โดยบอกว่ายูเครนได้ก้าวย่างอีกขั้นในการมุ่งหน้าสู่วงจรของบรรดารัฐที่เข้มแข็งที่สุดในโลก

ปฏิบัติการโจมตีตอบโต้ที่ได้รับคาดหวังไว้อย่างสูงของยูเครนได้เริ่มขึ้นเมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายน โดยเคียฟใช้อาวุธยุทโธปกรณ์อย่างดีที่สุดที่ตะวันตกจัดหาให้ เช่นเดียวกับกำลังพลที่ได้รับการฝึกฝนจากตะวันตก ในความพยายามตัดขาดสะพานเชื่อมต่อทางบกของรัสเซีย ระหว่างภูมิภาคดอนบาสกับแหลมไครเมีย

จากคำกล่าวอ้างของรัสเซีย ยูเครนสูญเสียกำลังพลไปมากกว่า 43,000 นาย และอาวุธยุทโธปกรณ์เกือบ 5,000 ชิ้น ระหว่างปฏิบัติการดังกล่าว แต่ล้มเหลวบรรลุเป้าหมายของการรุกคืบใดๆ จนถึงตอนนี้ยูเครนรายงานว่าสามารถยึดหมู่บ้านมาได้หลายแห่ง แต่ดูเหมือนยังคงอยู่ห่างจากแนวป้องกันหลักของยูเครนพอสมควร

ในช่วงกลางสัปดาห์ หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์อ้างรายงานข่าวกรองชั้นความลับของสหรัฐฯ บ่งชี้ว่าปฏิบัติการโจมตีตอบโต้ของยูเครนจะประสบความล้มเหลวไปไม่ถึงเมืองมาลิโตโพล ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ และสะพานทางบกที่เชื่อมรัสเซียกับแหลมไครเมีย จะไม่สามารถถูกตัดขาดได้ในปีนี้

'ต้มยำกุ้ง' เจิดจรัส!! งานแสดงสินค้าจีน-เอเชียใต้ ที่คุนหมิง หลังลูกค้าสอบถามถึงเครื่องปรุง 'ต้มยำกุ้ง' กันมากที่สุด

(20 ส.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว เผย ณ พาวิลเลียนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนหนึ่งของงานแสดงสินค้าจีน-เอเชียใต้ ครั้งที่ 7 ในนครคุนหมิง มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน 'จ้าวปิน' สาละวนอยู่กับการแนะนำสารพัดสินค้าเครื่องปรุงอาหารไทยแก่ลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย โดยบรรดาลูกค้าสอบถามถึงเครื่องปรุง 'ต้มยำกุ้ง' กันมากที่สุด

กลุ่มผู้จัดแสดงสินค้าที่ 'พาวิลเลียนไทย' ส่วนย่อยของพาวิลเลียนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พากันนำเสนอเครื่องปรุงต้มยำกุ้ง เพื่อช่วยให้คนรักอาหารไทยได้ลองลิ้มชิมรสชาติต้นตำรับได้ที่บ้าน โดยจ้าวเผยว่าเครื่องปรุงที่นำมาจำหน่ายผลิตในไทย และเขาเตรียมสินค้าสำหรับงานแสดงสินค้าฯ ในปีนี้มากถึง 18 ตัน

จ้าว ผู้บริหารบริษัท การค้านำเข้าและส่งออก บริษัท คุนหมิง สุวรรณภูมิ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจหลักเกี่ยวกับอาหารไทย เครื่องปรุง เครื่องดื่ม และอื่นๆ เผยว่าแต่ละปีบริษัทของเขาจัดจำหน่ายเครื่องปรุงอาหารไทยเมนูต่างๆ สู่มณฑลอวิ๋นหนาน กุ้ยโจว และซื่อชวน (เสฉวน) คิดเป็นปริมาณมากกว่า 20 ตัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครื่องปรุงต้มยำกุ้ง

จ้าว เริ่มต้นทำธุรกิจนำเข้าสินค้าไทยตั้งแต่ปี 2009 โดยตอนนั้นสินค้าไทยเป็นที่ยอมรับในระดับทั่วไป ยอดจำหน่ายไม่ได้หวือหวา รายการสินค้าไม่ได้มากมาย มีเพียงขนมขบเคี้ยว สบู่หอม หรือเครื่องเทศ สวนทางกับตอนนี้ที่อาหารไทยและสินค้าไทยเป็นที่ยอมรับอย่างมากในจีน ทำให้มีสินค้าให้เลือกหลากหลายและยอดจำหน่ายเฟื่องฟู

อนึ่ง งานแสดงสินค้าจีน-เอเชียใต้ ครั้งที่ 7 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด "ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวและการประสานงานเพื่อการพัฒนาร่วมกัน" ระหว่างวันที่ 16-20 ส.ค. มีผู้เข้าร่วมจัดแสดงสินค้าทางออนไลน์และออฟไลน์จากกว่า 85 ประเทศและภูมิภาค รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศ จำนวนกว่า 30,000 ราย

สำหรับพาวิลเลียนไทยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมจัดแสดงสินค้า 58 ราย แบ่งเป็นผู้ประกอบการไทย 38 ราย และผู้นำเข้า-จัดจำหน่ายสินค้าไทย 20 ราย ซึ่งนำเสนอสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม เสื้อผ้าและเครื่องประดับ ของตกแต่งบ้าน ฯลฯ

รายงานระบุว่าเครื่องปรุงต้มยำกุ้งทุกรูปแบบกลายเป็นสินค้าที่มียอดจำหน่ายดีที่สุดในพาวิลเลียนไทย ดังเช่นชายแซ่หยางจากนครเฉิงตู เมืองเอกของมณฑลซื่อชวน ซื้อเครื่องปรุงต้มยำกุ้งกระปุกใหญ่กลับบ้านถึง 3 กระปุก ขณะเดียวกันสินค้าอย่างเครื่องปรุงผัดไทและน้ำจิ้มสุกี้แบบไทยได้รับความสนใจจากลูกค้าเช่นกัน

อาหารไทยชื่อดังระดับโลกอย่างต้มยำกุ้งได้ส่งกลิ่นหอมขจรขจายทั่วงานแสดงสินค้าครั้งนี้ ตอกย้ำวัฒนธรรมอันมีเอกลักษณ์และมนต์เสน่ห์ของอาหารไทย โดยสถิติจากเหม่ยถวนและเตี่ยนผิงระบุว่าช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กรกฎาคม) จำนวนร้านอาหารเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บนแพลตฟอร์มในจีนเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 64 เมื่อเทียบกับปี 2019

นครคุนหมิงมีร้านอาหารเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้น 98 แห่งในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ ขณะผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม เตี่ยนผิงในคุนหมิงค้นหาคำว่า "อาหารไทย" เพิ่มขึ้นร้อยละ 102 เมื่อเทียบปีต่อปี โดยเฉพาะความต้องการของคนอายุต่ำกว่า 30 ปี ที่ครองสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 53 ของการค้นหาทั้งหมด

นอกจากนั้นความนิยมชมชอบต้มยำกุ้งยังก่อให้เกิดกระแสอาหารคาวหวานหลายเมนูที่มีรสชาติต้มยำกุ้งในจีน เช่น หม้อไฟต้มยำกุ้ง ซุปหม่าล่าต้มยำกุ้ง ก๋วยเตี๋ยวต้มยำกุ้ง รวมถึงความสนใจเมนูอื่นๆ อย่างข้าวเหนียวมะม่วง ปลานึ่งมะนาว และต้มเล้งแซ่บอีกด้วย

‘นายกฯ ญี่ปุ่น’ ถูกวิจารณ์ยับ หลังส่งเงินช่วยไฟป่าฮาวายอย่างไว แต่ภัยพิบัติประเทศตัวเองกลับเคลื่อนไหวล่าช้าเหลือเกิน

เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศว่าจะจัดส่งเงินช่วยเหลือ 2 ล้านดอลลาร์สำหรับภัยพิบัติไฟป่าในรัฐฮาวาย ในขณะที่เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในประเทศว่า ความเคลื่อนไหวนี้ช่างแตกต่างจากการตอบสนองต่อภัยพิบัติธรรมชาติในญี่ปุ่นเหลือเกิน

นับตั้งแต่เกิดไฟป่าในเกาะเมาอีของฮาวายเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม จนถึงตอนนี้มีผู้เสียชีวิตรวมแล้ว 100 ราย แต่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงและกู้ภัยยังคงปฏิบัติงานค้นหาต่อไป หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศว่า พวกเขาได้รับคำขอความช่วยเหลือจากทางสหรัฐฯ และพวกเขาจะส่งเงินช่วยเหลือประมาณ 290 ล้านเยน

ในวันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม มีรายงานข่าวว่า นายกรัฐมนตรี ฟูมิโอะ คิชิดะ จะแสดงความเสียใจในที่ประชุมซัมมิตญี่ปุ่น-สหรัฐฯ ด้วยตนเอง ถึงแม้จะมีเสียงชื่นชมถึงความรวดเร็วในการตอบสนอง แต่ก็มีเสียงวิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ในญี่ปุ่นเช่นกัน

โดยในตอนนี้ ญี่ปุ่นเองมีรายงานความเสียหายและผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่นหมายเลข 7 ออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่มีรายงานเช่นกันว่า คิชิดะกำลังมีแผนไปตีกอล์ฟที่ฮาวาย ความกังวลนี้ถูกพูดถึงแม้กระทั่งภายในพรรคเสรีประชาธิปไตย หรือแอลดีพีเอง

เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม จังหวัดคิวชูรายงานฝนตกหนัก แต่นายกรัฐมนตรีคิชิดะใช้เวลากว่าสัปดาห์กว่าจะไปเยี่ยมพื้นที่ภัยพิบัติ โดยในตอนนั้นมีรายงานว่า เขาอยู่ระหว่างการเยือน 3 ประเทศในตะวันออกกลาง และใช้เวลาทั้งวันอยู่ในที่พักรับรอง

ถึงแม้ว่าจะถูกวิจารณ์ในเรื่องการเลือกปฏิบัติเช่นนี้ แต่จนถึงตอนนี้รัฐบาลคิชิดะยังคงไม่มีความแน่ชัดในเรื่องการช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัย ยิ่งก่อให้เกิดความไม่พอใจในโซเชียลมากขึ้นไปอีก

โดยความคิดเห็นหนึ่งระบุว่า "ทำไมช่วยเหลือประเทศอื่นเร็วจัง แต่ประเทศตัวเองกลับช้าเป็นเต่าคลาน" และอีกความคิดเห็น ระบุว่า "ฉันรู้ว่าไฟป่าฮาวายมันรุนแรง แต่ 2 ล้านดอลลาร์เลยหรอ 

‘หวังอี้’ เผย 'จีน' เล็งขยายความร่วมมือกับ 'ไทย' หลายด้าน เชื่อเสถียรภาพไทย แม้สถานการณ์ภายในจะมีการเปลี่ยนแปลง

(20 ส.ค. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันเสาร์ (19 ส.ค.66) หวังอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน ได้พบปะกับดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ซึ่งเดินทางเยือนกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน

หวัง ซึ่งเป็นกรรมการกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน กล่าวว่าการพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีจะไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ระหว่างประเทศหรือสถานการณ์ภายในประเทศของไทย พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่าไทยจะยังคงมีเสถียรภาพและการพัฒนาที่ยั่งยืน

จีนพร้อมส่งเสริมความร่วมมือด้านต่างๆ กับไทยให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น สนับสนุนการเร่งสร้างทางรถไฟจีน-ไทย และเส้นทางเชื่อมทางรถไฟจีน-ลาว-ไทย และร่วมพยายามปราบปรามกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งรวมถึงการฉ้อโกงทางโทรคมนาคม

นอกจากนั้น หวัง กล่าวถึงความพร้อมของจีนที่จะสนับสนุนการสร้างประชาคมอาเซียน สนับสนุนความเป็นกลางของอาเซียน และสนับสนุนความพยายามร่วมกันสร้างศูนย์กลางการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันจีนพร้อมทำงานร่วมกับกลุ่มประเทศอาเซียนเพื่อเร่งการปรึกษาหารือเกี่ยวกับประมวลการปฏิบัติในทะเลจีนใต้ พยายามกำหนดกฎเกณฑ์ระดับภูมิภาคอันมีประสิทธิภาพและแก่นสารตั้งแต่ระยะแรก และสร้างทะเลจีนใต้เป็นทะเลแห่งสันติภาพ มิตรภาพ และความร่วมมือ

หวัง ชี้ว่ากลุ่มประเทศในภูมิภาคควรป้องกันกองกำลังนอกภูมิภาคมายั่วยุการเผชิญหน้าแบบแบ่งพรรคแบ่งพวกและกระตุ้นความคิดเกี่ยวกับสงครามเย็น ซึ่งจะบ่อนทำลายสันติภาพและเสถียรภาพอันได้มาอย่างยากยิ่ง

ด้าน นายดอน กล่าวว่า ไทยยินดีเสริมสร้างการเสวนาหารือและการแลกเปลี่ยนกับจีน ส่งเสริมความร่วมมืออันเป็นประโยชน์ซึ่งกันและกันในด้านต่างๆ ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และสนับสนุนการเชื่อมต่อทางรถไฟจีน-ลาว-ไทย และทำงานเพื่อการพัฒนาร่วมกัน ภายใต้สถานการณ์ระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นและความไม่แน่นอนในภูมิภาคในปัจจุบัน

‘เมียนมา’ จับชาวสวิสพร้อมพวก 13 คน ฐานสร้างภาพยนตร์ดูหมิ่นพุทธศาสนา

(20 ส.ค. 66) หนังสือพิมพ์เมียนมา อาลินน์ สื่อเมียนมารายงานว่า ดิดิเยร์ นุสเบาเมอร์ วัย 52 ปีพลเมืองสวิส ถูกทางการจับกุม เนื่องจากสร้างภาพยนตร์ที่ดูหมิ่นพุทธศาสนา โดยนุสเบาเมอร์ถูกจับกุม พร้อมกับชาวเมียนมา 13 คน ซึ่งรวมถึงเด็กหญิงวัย 12 ปี เมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา แต่ไม่มีรายละเอียดว่าพวกเขาถูกควบคุมตัวไว้ที่ใด

รายงานข่าวระบุว่า นุสเบาเมอร์ได้เขียนบท ถ่ายทำ และตัดต่อภาพยนตร์เรื่อง ‘Don’t Expect Anything’ ซึ่งมีความยาว 75 นาที โพสต์บนยูทูบ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม และยังมีคลิปสั้นเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้เผยแพร่บนโซเชียลมีเดียทั้งติ๊กต็อกและเฟซบุ๊ก ซึ่งเรียกเสียงตำหนิจากกลุ่มชาวพุทธชาตินิยมในเมียนมา

หนังสือพิมพ์เมียนมา อาลินน์รายงานว่า แม้ผู้แสดงหลักในภาพยนตร์ดังกล่าวจะเป็นชาวพุทธ แต่พวกเขาก็ประพฤติตนไม่เหมาะสม ทำให้เสื่อมเสียศักดิ์ศรีและศีลธรรมของพระผ่านท่าทางและบทสนทนา

ทั้งนี้ การดูหมิ่นพุทธศาสนาถือเป็นความผิดที่มีโทษตามกฎหมายในเมียนมา ซึ่งมีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ ขณะที่ลัทธิชาตินิยมทางศาสนาได้เพิ่มสูงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยชาวเมียนมาราว 90% นับถือศาสนาพุทธ

นุสเบาเมอร์ ไม่ใช่ชาวต่างชาติคนแรกที่ถูกควบคุมตัวในเมียนมาในข้อหาดูหมิ่นพุทธศาสนา ก่อนหน้านี้ในเดือนมีนาคม 2558 พลเมืองนิวซีแลนด์คนหนึ่ง ถูกจับพร้อมชาวเมียนมา 2 คน และถูกตัดสินจำคุก 2 ปีครึ่ง และใช้แรงงานหนักฐานดูหมิ่นพุทธศาสนาในโฆษณาออนไลน์

ขณะที่ในเดือนตุลาคม 2559 นักท่องเที่ยวชาวเนเธอร์แลนด์ถูกจำคุกเป็นเวลา 3 เดือน และให้ทำงานหนักจากข้อหาหมิ่นศาสนาพุทธ หลังถอดปลั๊กลำโพงที่พระสงฆ์ใช้ในการเทศน์ช่วงดึกในเมืองมัณฑะเลย์ โดยเขาถูกเนรเทศหลังรับโทษแล้ว และในปีเดียวกัน นักท่องเที่ยวสเปนถูกเนรเทศออกจากเมียนมาหลังพบว่ามีรอยสักรูปพระพุทธเจ้าที่ขาของเขา

‘ไบเดน’ ควง ‘ผู้นำญี่ปุ่น-โสมใต้’ จ่อประกาศความร่วมมือครั้งใหม่ เพิ่มความมั่นคง 3 ชาติ ผนึกกำลังเผชิญหน้า ‘จีน-เกาหลีเหนือ’

เมื่อวันที่ 18 ส.ค. 66 สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า นายโจ ไบเดนประธานาธิบดีสหรัฐฯ เตรียมที่จะประกาศความร่วมมือด้านความมั่นคงครั้งใหม่ ในการประชุมสุดยอดไตรภาคี ร่วมกับประธานาธิบดียุน ซอกยอลของเกาหลีใต้ และนายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา เพื่อหวังที่จะเป็นการส่งข้อความที่หนักแน่นไปยังจีน ที่แสดงความไม่พอใจต่อการร่วมมือกันของทั้ง 3 ฝ่ายนี้อย่างเห็นได้ชัด

ก่อนหน้านี้ พันธมิตรของสหรัฐฯ อย่างประเทศเกาหลีใต้และญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกันมานานหลายสิบปี หลังจากการที่ญี่ปุ่นยึดครองคาบสมุทรเกาหลีระหว่างปี 1910 – 1945 ซึ่งเต็มไปด้วยการใช้ความรุนแรง แต่เมื่อไม่นานมานี้ ประธานาธิบดียุนของเกาหลีใต้ได้ตัดสินใจที่จะหันมายุติข้อพิพาทกับญี่ปุ่นเรื่องการใช้แรงงานทาสในช่วงสงคราม และหันมาเรียกประเทศญี่ปุ่นว่าเป็นพันธมิตร ท่ามกลางความตึงเครียดจากเกาหลีเหนือและจีน

ในการประชุมสุดยอดไตรภาคีครั้งนี้ที่จะมีขึ้นที่แคมป์เดวิด บ้านพักส่วนตัวของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในรัฐแมริแลนด์ ผู้นำของทั้ง 3 ประเทศจะบรรลุข้อตกลงในเรื่องการตั้งสายด่วนฉุกเฉิน 3 ฝ่าย การจัดซ้อมรบเป็นประจำ และจะตกลงที่จะจัดการประชุมสุดยอดไตรภาคีเช่นนี้ทุกปี โดยหวังที่จะกำหนดให้เป็นแบบแผนในความร่วมมือ 3 ฝ่ายนี้

ยิ่งไปกว่านั้น ฮิการิโกะ โอโนะ โฆษกหญิงของกระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่นยังระบุอีกว่า ในการประชุมดังกล่าวจะมีการตกลงกัน ถึงความจำเป็นในการหารือพูดคุยกัน ในขณะที่เกิดสถานการณ์วิกฤต และเดินหน้าในเรื่องการแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับเกาหลีเหนือแบบเรียลไทม์อีกด้วย ขณะที่นายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกากล่าวว่า เขามองการประชุมสุดยอดในครั้งนี้ว่าเป็น ยุคใหม่ของความร่วมมือไตรภาคี “ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นพันธมิตรที่สำคัญ ไม่ใช่แค่ในภูมิภาคแต่เป็นทั่วโลก” บลิงเกนกล่าว โดยคาดว่าจะมีการพูดคุยกันถึงเรื่องอื่นๆ นอกเหนือประเด็นในทวีปเอเชียด้วยเช่นกัน

ในช่วงที่ผ่านมา ประเทศเกาหลีเหนือได้มีการยิงทดสอบขีปนาวุธอยู่บ่อยครั้ง และประเทศจีน ภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้แสดงแสนยานุภาพมากขึ้น ทั้งในประเทศและภูมิภาคเอเชีย จากความพยายามที่จะเรียกร้องกรรมสิทธิ์ทางทะเลที่มีข้อพิพาทและจัดการซ้อมรบครั้งใหญ่รอบเกาะไต้หวัน นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ได้เรียกร้องให้ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้หันมาร่วมมือกับจีน เพื่อช่วยกันพัฒนาภูมิภาคเอเชียตะวันออก โดยกล่าวว่า “ไม่ว่าคุณจะย้อมสีผมให้เป็นสีทอง หรือทำจมูกให้แหลมแค่ไหน คุณก็ไม่มีวันเป็นชาวตะวันตกได้”

ด้านนายราห์ม เอมานูเอล เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำญี่ปุ่น กล่าวว่า “เราได้สร้างบางอย่างที่จีนไม่อยากให้เกิดขึ้น สิ่งที่เราอยากจะบอกคือเราเป็นมหาอำนาจ และมีตัวตนในบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกอย่างถาวร และคุณสามารถมั่นใจในสหรัฐฯ ได้อีกนาน” นอกจากนั้นแล้ว นายเอมานูเอลยังกล่าวอีกว่า จีนควรที่จะเข้าใจว่า “เราคือมหาอำนาจที่กำลังอยู่ในขาขึ้น ขณะที่จีนกำลังอยู่ในขาลง”

‘เจ้าของเพจท่องเที่ยวดัง’ แชร์ประสบการณ์นั่ง Subway นิวยอร์ก ไร้สัญญาณมือถือ-รถไฟเสียบ่อย-ไม่สะอาด-ความปลอดภัยต่ำ

เมื่อไม่นานนี้ ‘คุณแม็กซ์’ เจ้าของเพจเฟสบุ๊ก ‘เพื่อนพาเที่ยว นิวยอร์ก’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอ ‘แชร์ 5 เรื่องล้าหลังของ ‘Subway’ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ควรมาดูงานที่ประเทศไทย’ โดยระบุว่า…

ตอนนี้แม็กซ์อยู่ที่นิวยอร์ก จะพาไปเปิดโลก 5 เรื่อง Culture Shock ที่ Subway ของนครนิวยอร์กกัน!!

เรื่องที่ 1 ไม่มีสัญญาโทรศัพท์มือถือ ที่ประเทศไทย เราสามารถเล่นโทรศัพท์มือถือได้ตลอดเวลา แต่ที่นิวยอร์ก หากเราจะใช้บริการรถไฟใต้ดิน เราจะสามารถใช้โทรศัพท์ได้แค่ตอนที่อยู่ในสถานีเท่านั้น แต่เวลาที่ขบวนรถไฟกำลังวิ่งระหว่างสถานี สัญญาณโทรศัพท์จะไม่มีเลย เราจะไม่สามารถติดต่อสื่อสาร หรือเล่นอะไรได้เลย

เรื่องที่ 2 Subway ที่นิวยอร์ก ซ่อมบ่อยมาก โดยเฉพาะช่วงดึกๆ หรือช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ผู้โดยสารต้องคอยอ่านป้ายประกาศที่ติดเตือนไว้ล่วงหน้า ตรงข้างหน้าสถานี เพื่อคอยเช็กการเดินรถอยู่ตลอด

เรื่องที่ 3 ไม่มีประตูกั้นระหว่างรถไฟกับชานชาลา มีเพียงคำแนะนำให้ผู้โดยสารยืนหลังเส้นสีเหลืองเท่านั้น ซึ่งตรงนี้เราต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะมีโอกาสสูงมากที่จะโดนคนดันจนตกลงไปที่รางรถไฟ จึงแนะนำให้ยืนพิงกำแพง เพื่อความปลอดภัย และอุ่นใจในขณะที่กำลังรอรถไฟ

เรื่องที่ 4 ความสะอาด รวมถึงเรื่องกลิ่นภายในสถานีรถไฟใต้ดินจะค่อนข้างแรงมาก โดยเฉพาะในช่วงซัมเมอร์ แต่สถานีรถไฟที่เพิ่งสร้างใหม่ และสะอาดๆ เขาก็มีเหมือนเช่นกัน

เรื่องที่ 5 ภายใน Subway มีเจ้าหน้าที่และตำรวจค่อนข้างน้อยมาก หลายคนจึงมีความรู้สึกไม่ปลอดภัย และกลัวคนไร้บ้าน (Homeless) ที่มาใช้บริการ แต่เราก็ไม่สามารถไปกีดกันใครไม่ให้ใช้บริการได้ เพราะด้วยความที่ราคาค่าโดยสารของ Subway นั้นไม่ได้แพงมาก ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้บริการได้ ดังนั้น คนไร้บ้านเขาก็อาจจะเสียเงินซื้อตั๋วโดยสารเหมือนกับพวกเรานี่แหละ หากรู้สึกไม่ไว้วางใจ เราก็ต้องมีความช่างสังเกตอยู่ตลอดเวลา

‘เบอร์เกอร์คิง อินเดีย’ ประกาศงดใส่มะเขือเทศในทุกเมนู หลังประเทศเผชิญฤดูมรสุม ทำพืชผักขาดแคลน-ราคาพุ่ง

เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 66 สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า ‘เบอร์เกอร์ คิง’ (Burger King) ฟาสต์ฟูดแบรนด์ดังที่มีสาขาทั่วโลก ประกาศงดใส่มะเขือเทศในทุกรายการอาหารที่มีอยู่ของร้านสาขาทั่วประเทศอินเดีย หลังจากมะเขือเทศมีราคาพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากปัญหาสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อการเก็บเกี่ยวพืชผล

ส่งผลให้‘เบอร์เกอร์ คิง เป็นเครือร้านขายเบอร์เกอร์ชื่อดังรายที่ 2 ต่อจากแมคโดนัลด์ ที่งดใส่มะเขือเทศในเมนูอาหารที่เครือร้านสาขาในอินเดียเป็นการชั่วคราวไปก่อนหน้า

เบอร์เกอร์ คิงให้เหตุผลถึงการตัดสินใจดำเนินการเช่นนี้ ว่าเป็นเพราะเงื่อนไขที่คาดเดาไม่ได้เกี่ยวกับคุณภาพและผลผลิตของมะเขือเทศ

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ความเสียหายของพืชผลเนื่องจากสภาพอากาศเลวร้าย เป็นสาเหตุให้เกิดการขาดแคลนในตลาด

เมื่อต้นสัปดาห์นี้ ‘ซับเวย์’ (Subway) เครือร้านขายแซนด์วิชชื่อดังสัญชาติอเมริกัน ก็ได้งดใช้มะเขือเทศเป็นส่วนประกอบในรายการอาหาร ที่ให้บริการในร้านสาขาในอินเดียเช่นกัน เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อด้านอาหารของอินเดียพุ่งสูงสุด นับตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2563 นอกจากนี้ ซับเวย์ยังยกเลิกการให้ชีสฟรี 3 แผ่นสำหรับเมนูแซนด์วิชที่ให้มาเป็นเวลาหลายปีอีกด้วย

ทั้งนี้ ราคาสินค้าจำเป็นในประเทศอินเดียพุ่งพรวดขึ้นอย่างรวดเร็วในไม่กี่เดือนมานี้ สำหรับมะเขือเทศมีราคาพุ่งขึ้นไปถึงกิโลกรัมละ 250 รูปี (ราว 100 บาท) ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หลังจากฝนฤดูมรสุมได้ส่งผลกระทบต่อพืชผลและห่วงโซ่อุปทาน

อย่างไรก็ดี ราคามะเขือเทศในตลาดอินเดียได้เริ่มลดลงเมื่อต้นนี้ หลังจากเริ่มมีการนำเข้ามะเขือเทศมาจากชาติเพื่อนบ้านอย่างเนปาล เพื่อบรรเทาวิกฤตอุปทานในอินเดีย

Evergrand ยื่นล้มละลาย หลังผิดนัดชำระหนี้สูงถึง 12 ล้านลบ. เทียบเท่ากับ 2% ของ GDP จีน ส่อลุกลามทำ ศก.จีนถดถอย

Evergrand Group ยักษ์อสังหาฯ อันดับ 2 ของจีนประกาศล้มละลาย หลังผิดนัดชำระหนี้สูงถึง 12 ล้านล้านบาท เท่ากับ 2% ของ GDP จีน ส่อเกิดโดมิโน่วิกฤตอสังหาฯ ลุกลามทำเศรษฐกิจจีนถดถอย เพราะคิดเป็น 30% ของ GDP และบริษัทเหล่านี้หนี้สูงเกินกว่าจะชำระไหว

(18 ส.ค.66) Reporter Journey เผยว่า Evergrande Group บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อันดับ 2 ของจีน ถูกยื่นฟ้องล้มละลายในศาลนิวยอร์กเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

เนื่องจากประสบปัญหาจากการกู้ยืมอย่างหนักและผิดนัดชำระหนี้ในปี 2564 ทำให้เกิดวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ครั้งใหญ่ในระบบเศรษฐกิจของจีน ซึ่งยังคงได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง

Evergrande ยื่นขอความคุ้มครองการล้มละลายในบทที่ 15 ซึ่งอนุญาตให้ศาลล้มละลายของสหรัฐเข้ามาแทรกแซงเมื่อคดีล้มละลายเกี่ยวข้องกับประเทศอื่น บทที่ 15 การล้มละลายมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างศาลสหรัฐ ลูกหนี้ และศาลของประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินคดีล้มละลายข้ามพรมแดน

ผลกระทบจากกรณีของ Evergrande ต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญในเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกมาช้านาน และคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 30% ของ GDP ของประเทศ แต่การผิดนัดชำระหนี้ของ Evergrande ในปี 2564 ได้ส่งคลื่นกระแทกไปยังตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีน สร้างความเสียหายต่อภาคธุรกิจอสังหาฯ และระบบเศรษฐกิจ การเงินโดยรวมในประเทศ

การผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทเกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลจีนเริ่มปราบปรามการกู้ยืมเงินมากเกินไปโดยนักพัฒนาเพื่อพยายามควบคุมราคาที่อยู่อาศัยที่พุ่งสูงขึ้น

นับตั้งแต่การล่มสลายของ Evergrande ผู้พัฒนาอสังหาฯ รายใหญ่หลายรายในจีน รวมถึง Kasia, Fantasia และ Shimao Group ได้ผิดนัดชำระหนี้ ล่าสุด Country Garden ยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์ของจีนอีกราย เตือนว่าจะ “พิจารณานำมาตรการจัดการหนี้ต่างๆ มาใช้” ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการคาดเดาว่าบริษัทอาจเตรียมปรับโครงสร้างหนี้เนื่องจากประสบปัญหาในการระดมเงินสด

วิกฤตของภาคอสังหาฯ ของจีน กำลังส่งผลกระทบขยายตัวไปยังเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศจีน โดยเฉพาะ Evergrande เป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีโครงการอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 1,300 โครงการในกว่า 280 เมือง ตามข้อมูลบนเว็บไซต์ของบริษัท บริษัทยังมีธุรกิจที่ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์อีกหลายแห่ง รวมถึงธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า ธุรกิจดูแลสุขภาพ และธุรกิจสวนสนุก

Evergrande ประสบปัญหาในการชำระหนี้เงินกู้หลังจากผิดนัดชำระหนี้อย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2564 ภาระหนี้ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์สูงถึง 2.437 ล้านล้านหยวน หรือ 12 ล้านล้านบาท เมื่อสิ้นปีที่แล้ว นั่นคือประมาณ 2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศทั้งหมดของจีน

Evergrande ยังรายงานในตลาดหลักทรัพย์เมื่อเดือนที่แล้วว่าได้สูญเสียเงินของผู้ถือหุ้น 81,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2564 และ 2565

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดเผยแผนการปรับโครงสร้างหนี้ ที่รอคอยมายาวนาน ซึ่งใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ของจีน ผู้พัฒนากล่าวว่าได้บรรลุ "ข้อตกลงที่มีผลผูกพัน" กับผู้ถือหุ้นกู้ระหว่างประเทศในเงื่อนไขสำคัญของแผน

“การปรับโครงสร้างที่เสนอนี้จะช่วยบรรเทาแรงกดดันของบริษัทจากภาระหนี้นอกประเทศ และอำนวยความสะดวกในความพยายามของบริษัทในการกลับมาดำเนินการต่อและแก้ไขปัญหาบนภายใน”

ในฐานะส่วนหนึ่งของแผน Evergrande กล่าวว่า จะมุ่งเน้นไปที่การกลับมาดำเนินการตามปกติในอีก 3 ปีข้างหน้า แต่จะต้องมีการจัดหาเงินทุนเพิ่มเติม 36,400 ล้านดอลลาร์ถึง 43,700 ล้านดอลลาร์ บริษัทยังเตือนด้วยว่ารถยนต์ไฟฟ้าของบริษัทมีความเสี่ยงที่จะปิดตัวลงโดยไม่มีเงินทุนใหม่

ตั้งแต่นั้นมาก็มีการระดมทุนเข้ามาบ้าง โดยเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา NWTN บริษัทรถยนต์ในดูไบได้ประกาศการลงทุนเชิงกลยุทธ์มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์ในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าของ Evergrande เพื่อแลกกับสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 28%


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top