Sunday, 15 June 2025
WORLD

‘ไบเดน’ ในวัย 80 ถูกโฆษกตัดจบทันที หลังพูดไปเรื่อยขณะแถลงข่าว จากผลสำรวจยิ่งตอกย้ำ!! เขาแก่เกินไปสำหรับทำหน้าที่ประธานาธิบดี

(11 ก.ย. 66) คารีน ฌอง ปิแอร์ เลขานุการฝ่ายสื่อสารมวลชนของทำเนียบขาว เข้าแทรกตัดจบการแถลงข่าวของประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ในทันทีเมื่อวันอาทิตย์ (10 ก.ย.) หลังจากผู้นำรายนี้พูดไปเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับโลกที่ 3 และการสนทนาระหว่างเขากับ หลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน

ไบเดน ได้ตอบคำถามต่างๆ จากสื่อมวลชน ระหว่างเดินทางเยือนกรุงฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม ก่อนบอกกับพวกผู้สื่อข่าวว่า "เขากำลังจะไปนอนแล้ว" อย่างไรก็ตาม ไบเดน ยังคงตอบคำถามใหม่ๆ เพิ่มเติม ในนั้นรวมถึงการพูดคุยระหว่างเขากับ หลี่ ณ ที่ประชุมซัมมิตจี 20 ในอินเดีย เมื่อวันเสาร์ (9 ก.ย.)

"มันไม่ใช่การเผชิญหน้ากันใดๆ เลย" ไบเดนกล่าว "เราพูดคุยกันเพื่อให้มั่นใจว่า โลกที่ 3 เอ่อ เอ่อ เอ่อ ซีกโลกใต้ จะเข้าถึงการเปลี่ยนแปลง"

ระหว่างที่ ไบเดน พูดจาเรื่อยเปื่อยต่อไปไม่หยุด จู่ๆ ฌอง ปิแอร์ ก็ประกาศผ่านไมค์ พูดแทรกว่า "การแถลงข่าวปัจจุบันนี้เสร็จสิ้นแล้ว" กระตุ้นให้ ไบเดน ที่ตอนนั้นกำลังพยายามตอบคำถามอีกคำถาม ต้องกล่าวขอบคุณ วางไมค์และเดินลงจากเวที

ปกติแล้วการแถลงข่าวของไบเดน จะได้รับการจัดการอย่างเข้มข้นจากบรรดาผู้ช่วยของเขา ประธานาธิบดีจะได้รับมอบใบคำถามจากผู้สื่อข่าวล่วงหน้าและได้รับแจ้งว่าผู้สื่อข่าวรายใดเป็นคนตั้งคำถาม อย่างไรก็ตามบางครั้ง ไบเดน หยุดพูดดื้อๆ แล้วลงเวที บ่อยครั้งก็ดูสับสนอย่างเห็นได้ชัด และบางครั้งต้องชี้นำโดยคณะทำงานของเขา

จากผลสำรวจของวอลล์สตรีท เจอร์นัล เมื่อเร็วๆ นี้ พบว่า 73% ของผู้มีสิทธิออกเสียงคิดว่า ไบเดน วัย 80 ปี แก่เกินไปสำหรับทำหน้าที่ประธานาธิบดี ในขณะที่ 60% เชื่อว่าเขาขาดสมรรถภาพทางจิตสำหรับตำแหน่งนี้

การเดินทางเยือนเวียดนามของไบเดน มีขึ้นในขณะที่สหรัฐฯ พยายามกระชับความสัมพันธ์กับบรรดาชาติในเอเชียเพิ่มเติม ในความพยายามตอบโต้การแผ่ขยายอิทธิพลของจีนในภูมิภาค โดยในวันอาทิตย์ (10 ก.ย.) ไบเดน และ เหงียน ฟู้ จ่อง เลขาธิการใหญ่คณะบริหารงานศูนย์กลางพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม แถลงข้อตกลงการค้าและการลงทุนทวิภาคี ในนั้นรวมถึงมาตรการต่างๆ เพื่อส่งเสริมการผลิตเซมิคอนดักเตอร์และการวิจัยในเวียดนาม

‘โมร็อกโก’ ประกาศไว้อาลัย 3 วัน ให้เหยื่อแผ่นดินไหว หลังยอดทะลุ 2000 ศพ นานาชาติแห่ส่งความช่วยเหลือ

(10 ก.ย. 66) ความคืบหน้าเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในพื้นที่อีกิล (Ighil) ของภูเขาไฮแอตลาส ประเทศโมร็อกโก ช่วงกลางดึกของวันที่ 8 ก.ย.66 (ตามเวลาท้องถิ่น) ซึ่งตรงกับเช้าวันที่ 9 ก.ย.66 (ตามเวลาประเทศไทย) ระบุความรุนแรงขนาด 7.2 ริกเตอร์ โดยเป็นเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศในรอบกว่า 6 ทศวรรษ

ล่าสุดกระทรวงมหาดไทยโมร็อกโก ระบุว่า มีผู้เสียชีวิต 2,012 ราย บาดเจ็บ 2,059 ราย ในจำนวนนี้ 1,404 ราย อาการสาหัส โดยจังหวัดอัล ฮาอูซ มีผู้เสียชีวิตสูงสุด รองลงมาคือ จังหวัดทารูดันท์ แม้จะมีผู้เสียชีวิตน้อยกว่ามากในมาร์ราเกช แต่พื้นที่เมืองเก่าที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก กลับได้รับความเสียหายจำนวนมาก หอคอยสุเหร่า บริเวณจัตุรัสเจมา อัล-ฟานา ในย่านใจกลางเมืองได้รับความเสียหาย และคาดกันว่าบ้านเรือนที่สร้างด้วยอิฐโคลน หิน และไม้ ในหมู่บ้านหลายแห่งบนพื้นที่ภูเขาได้พังทลายลง แต่ขนาดของความเสียหายในพื้นที่ห่างไกลอาจต้องใช้เวลาในการประเมิน

ขณะที่สำนักพระราชวังโมร็อกโก กล่าวว่า โมร็อกโกประกาศการไว้อาลัยทั่วประเทศเป็นเวลา 3 วัน โดยในระหว่างนั้นจะมีการเชิญธงชาติลงครึ่งเสา กองทัพโมร็อกโกจะจัดทีมกู้ภัยเพื่อจัดหาน้ำดื่มสะอาด อาหาร เต็นท์ และผ้าห่มให้แก่พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ

ด้านองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) แถลงพร้อมให้ความช่วยเหลือแก่รัฐบาลโมร็อกโก เช่นเดียวกับนานาประเทศ รวมถึงสเปน ฝรั่งเศส และอิสราเอล ส่วนแอลจีเรีย ประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประกาศเปิดน่านฟ้าเพื่อให้การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่โมร็อกโก

‘พนง.เวียดนาม’ เห็นคุณยายขายลอตเตอรี่มือสั่น-กินข้าวคนเดียว รีบมาช่วยหั่นไก่-คุยแก้เหงา ชาวเน็ตซึ้ง แห่ชี้พิกัดอุดหนุนคุณยาย

(9 ก.ย. 66) กระแสไวรัลในโลกออนไลน์เวียดนาม กำลังแห่ชื่นชมพนักงานบริการที่ทำเอาอบอุ่นใจไปทั่วโซเชียล หลังคลิปวิดีโอแสดงภาพหญิงชราคนหนึ่งกำลังนั่งกินข้าวคนเดียวอยู่ในร้าน ซึ่งสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายและเดินเท้าเปล่า อีกทั้งขณะตักอาการด้วยความแก่ชรา เธอจึงมือสั่น แทบไม่มีแรงตักอาหารเข้าปาก

เมื่อเห็นเช่นนั้น พนักงานในร้านอาหารฟาสฟู้ดก็รีบวิ่งไปช่วยเหลือลูกค้าผู้สูงอายุทันที พนักงานสาวช่วยคุณยายหั่นบะหมี่และไก่ทอดให้กินง่าย ๆ พร้อมพูดคุยกับคุณยายอย่างเป็นกันเองเพื่อให้คุณยายไม่เหงา การกระทำของพนักงานบริการรายนี้ได้รับความสนใจจากคนรอบข้าง

นับตั้งแต่เรื่องราวดังกล่าวถูกแชร์ก็มียอดดูมากกว่า 6 ล้านครั้งในเวลาไม่กี่ชั่วโมงพร้อมมีชาวติ๊กต็อกเข้ามาคอมเมนต์เป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ชื่นชมความมีน้ำใจของพนักงานร้านไก่ทอดหญิง อาทิ

“การกระทำเล็กๆ น้อยๆ แต่สมควรได้รับการยกย่องอย่างยิ่ง”
“ไลฟ์สไตล์และทัศนคติเป็นสิ่งสำคัญมาก มันแสดงให้เห็นถึงศักดิ์ศรีของแต่ละคน ไม่ใช่ว่าคุณต้องทำอะไรที่ใหญ่โตเกินไป”
“ขอบคุณ Jollibee ขอบคุณทีมงาน การกระทำของคุณน่ารักมาก”
“มองดูแล้วน้ำตาฉันก็ไหล เธอเดินคนเดียวเท้าเปล่า เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย มือสั่น หากคุณยังคงมีแม่หรือญาติอยู่โปรดถนอมพวกเขาไว้”
“เธอไม่สวมรองเท้าแตะด้วยซ้ำ 😔”

ต่อมามีคนจำคุณยายได้ว่า เธอสู้ชีวิตเอาชนะความชราเพื่อความอยู่รอดโดยดำรงชีพด้วยการขายลอตเตอรี่ที่สี่แยกเมืองกายเหล่ย จังหวัดเตี่ยนซาง ประเทศเวียดนามทุกวัน ซึ่งหหลังจากชมวีดีโอชาวเน็ตจึงชวนกันมาซื้อสลากและอุดหนุนเธอ

ระทึก!! เกิดแผ่นดินไหวกลางดึกที่ ‘โมร็อกโก’ แรง 6.8 แมกนิจูด สั่นสะเทือนไกลถึง 350 กม. บ้านเรือนพังยับ ดับเกือบ 300 ศพ

(9 ก.ย. 66) เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง 6.8 แมกนิจูดทางตอนกลางในเทือกเขาไฮแอตลาสของประเทศโมร็อกโก หลังเวลา 23.00 น. ของวันที่ 8 ก.ย. ตามเวลาท้องถิ่น สถานีโทรทัศน์อัล-เอาลาของโมร็อกโกรายงานว่า เบื้องต้นมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างน้อย 296 ราย และได้รับบาดเจ็บอีก 153 คน

ศูนย์ธรณีฟิสิกส์ของโมร็อกโกระบุว่า แผ่นดินไหวเกิดขึ้นในพื้นที่อิกิลของไฮแอตลาส วัดความรุนแรงได้ 7.2 แมกนิจูด ขณะที่สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งชาติของสหรัฐฯ (ยูเอสจีเอส) ระบุว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้แรง 6.8 แมกนิจูด โดยจุดศูนย์กลางค่อนข้างตื้นอยู่ลึกลงไปใต้ดินเพียง 18.5 กิโลเมตร

ด้านกองทัพโมร็อกโกเตือนให้ประชาชนระมัดระวัง เพราะยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมา โดยเผยแพร่ข้อความบน X (ทวิตเตอร์) ว่า “เราขอเตือนถึงความจำเป็นที่จะต้องใช้ความระมัดระวัง และคำนึงถึงมาตรการด้านความปลอดภัยเนื่องจากความเสี่ยงที่จะเกิดอาฟเตอร์ช็อก”

ชาวบ้านในเมืองมาร์ราเกซ เมืองใหญ่ที่สุดที่อยู่ใกล้กับศูนย์กลางของแผ่นดินไหวมากที่สุด และยังเป็นเมืองที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกระบุว่า อาคารในมาร์ราเกซบางแห่งพังถล่มลงมา สถานีโทรทัศน์ท้อง เผยแพร่ภาพสุเหร่าและมัสยิดที่พังทลาย และมีเศษซากอาคารร่วงลงมาทับรถ

อิกิลเป็นพื้นที่ภูเขาซึ่งมีหมู่บ้านเกษตรกรรมขนาดเล็กๆ อยู่ห่างจากมาร์ราเกซไปทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 70 กิโลเมตร เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นระบุว่า ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภูเขาซึ่งเข้าถึงได้ยาก ด้านชาวบ้านในหมู่บ้านบนภูเขาอัสนีใกล้กับศูนย์กลางของแผ่นดินไหวระบุว่า บ้านเรือนส่วนใหญ่ได้รับความเสียหายและมีผู้ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพัง ขณะที่คนอื่นๆ เร่งหาทางช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ

‘ฮ่องกง’ เจอน้ำท่วมใหญ่ ‘ถนน-สถานีรถไฟใต้ดิน-ห้าง’ ได้รับผลกระทบหนัก สั่งปิดรร.-ให้ปชช.ทำงานที่บ้าน พร้อมประกาศเตือนพายุฝนอยู่ระดับสูงสุด

(8 ก.ย.66) สำนักข่าวรอยเตอร์ และเอเอฟพีรายงานว่า ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักบนเกาะฮ่องกง ส่งผลทำให้เกิดน้ำท่วมสูงเป็นวงกว้างในฮ่องกง ทำให้ถนนหนทาง ห้างสรรพสินค้า สถานีรถไฟใต้ดิน จมอยู่ใต้น้ำ ขณะที่ทางการฮ่องกงได้สั่งปิดโรงเรียน และขอให้ประชาชนทำงานอยู่ที่บ้าน

ข่าวระบุว่า ฝนที่ตกลงมาถือว่าเป็นฝนที่ตกหนักที่สุดในรอบ 140 ปี นับตั้งแต่มีการบันทึกสถิติมาของฮ่องกง ส่งผลให้น้ำหลายสายไหลลงมาตามพื้นที่เนินเขา ขณะที่ทางการออกประกาศเตือนความเสี่ยงที่จะเกิดดินถล่ม

ทั้งนี้ มีคลิปวิดีโอที่ปรากฏบนโลกออนไลน์ แสดงให้เห็นถนนหลายสายที่มีกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว ขณะที่อีกคลิปหนึ่ง เป็นภาพของเจ้าหน้าที่รถไฟใต้ดินต้องเดินลุยน้ำเข้าไปในสถานี เพื่อพยายามควบคุมไม่ให้น้ำจากถนนทะลักเข้าไปภายในสถานี

โดยมีรายงานว่า อุโมงค์ข้ามท่าเรือของฮ่องกง ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางหลักที่เชื่อระหว่างเกาะฮ่องกงกับเกาลูน ก็ถูกน้ำท่วมสูงเช่นกัน รวมไปถึงย่านแหล่งข้อปปิ้งอย่างไฉหว่าน ที่ก็ปรากฏภาพของน้ำท่วมสูงด้วย

ด้านสำนักงานสังเกตการณ์ฮ่องกง รายงานว่า ปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน จนถึงเที่ยงคืนย่างเข้าสู่วันที่ 8 กันยายน อยู่ที่ระดับ 158.1 มิลลิเมตร และว่า ฝนที่ตกหนักครั้งนี้ เกิดขึ้นจากร่องความกดอากาศน้ำที่เกี่ยวข้องกับส่วนที่เหลือจากไต้ฝุ่นไห่ขุย

โดยตอนใต้ของจีนเพิ่งจะเจอกับไต้ฝุ่น 2 ลูก คือ เซาลา และไห่ขุย ขณะที่ฮ่องกงเองไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากไต้ฝุ่นทั้งสองลูกดังกล่าว

ขณะที่สำนักงานอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศเตือนพายุฝนระดับ ‘สีดำ’ ซึ่งเป็นระดับสูงสุด และว่า จะมีฝนตกลงมากว่า 200 มิลลิเมตรบนเกาะหลักของฮ่องกง เกาลูน และบางส่วนของฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของนิวเทอร์ริทอรีส์

นอกจากนี้ ยังมีรายงานปิดจุดผ่านแดนผู้โดยสารและสินค้าบางแห่ง ที่เชื่อมระหว่างฮ่องกับกับเมืองเสิ่นเจิ้นของจีนแผ่นดินใหญ่ เนื่องจากน้ำที่ท่วมสูง

‘ญี่ปุ่น’ ยิงจรวดขนส่งยาน ‘มูนสไนเปอร์’ ขึ้นสู่อวกาศ มุ่งหน้าทำภารกิจลงจอดดวงจันทร์ เป็นชาติที่ 5 ของโลก

(7 ก.ย. 66) สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า ญี่ปุ่นได้ปล่อยจรวดขนส่ง ‘H-IIA’ เพื่อส่งยานสำรวจดวงจันทร์ ‘มูนสไนเปอร์’ ของญี่ปุ่น พร้อมดาวเทียม ‘X-Ray Imaging and Spectroscopy Mission’ (XRISM)

ออกจากฐานยิงบนเกาะทาเนกาชิมะ ทางตอนใต้ของประเทศ ขึ้นสู่อวกาศเป็นผลสำเร็จ เมื่อวันที่ 7 กันยายน นับเป็นความพยายามครั้งที่ 4 หลังจากครั้งก่อนต้องล้มเหลว เพราะสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ในภารกิจส่งยานสำรวจมูนสไนเปอร์ลงจอดบนพื้นผิวดวงจันทร์ ที่คาดว่ายานสไนเปอร์จะลงจอดภายในระยะ 100 เมตรจากตำแหน่งใกล้กับปล่อง Shioli บนด้านใกล้ของดวงจันทร์

โดยยานสไนเปอร์จะเข้าสู่วงโคจรของดวงจันทร์ภายใน 4 เดือนนับจากนี้ จากนั้นจะโคจรรอบดวงจันทร์ ก่อนพยายามลงจอดบนพื้นผิวดวงจันทร์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นได้ในราวเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งหากทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ญี่ปุ่น จะกลายเป็นประเทศที่ 5 ของโลก ที่ส่งยานสำรวจลงจอดบนดวงจันทร์สำเร็จ หลังจากเมื่อเร็วๆ นี้ อินเดีย ได้สร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นชาติที่ 4 ของโลกนอกจากสหรัฐ รัสเซียและจีนที่ส่งยานสำรวจไปลงดวงจันทร์สำเร็จ

ทั้งนี้ ภารกิจส่งยานสำรวจมูนสไนเปอร์ไปยังดวงจันทร์ ที่มีมูลค่าโครงการ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3,562 ล้านบาท) มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสามารถของญี่ปุ่น ในการส่งยานอวกาศที่มีน้ำหนักเบาและใช้ต้นทุนต่ำไปลงจอดบนดวงจันทร์ได้

นอกจากนี้ จรวดขนส่ง ยังบรรทุกดาวเทียม X-Ray Imaging and Spectroscopy Mission (XRISM) ซึ่งติดกล้องโทรทรรศน์ขนาดเท่ารถบัสไว้ด้วย เพื่อจะไปศึกษาปรากฏการณ์ในอวกาศ เช่น หลุมดำ อันเป็นโครงการร่วมระหว่างหน่วยงานอวกาศของญี่ปุ่น อเมริกา และยุโรป

‘สาวกิมจิ’ ชี้!! ชีวิต นร.เกาหลีใต้หดหู่ ต้องเรียน ‘เช้าจรดดึก’ เทียบ นร.ไทย ‘ดีกว่า’ เลิกเรียนเวลาปกติ แถมมีชีวิตอิสระ

เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีวิดีโอที่เป็นไวรัลอยู่ในโลกออนไลน์ เป็นวิดีโอของหญิงสาวชาวเกาหลีใต้ที่ออกมาเล่าถึงชีวิตความเป็นอยู่ของนักเรียนในเกาหลีใต้ และเน้นย้ำว่าชีวิตนักเรียนเกาหลีใต้น่าสงสาร แตกต่างจากนักเรียนไทยที่ดีและมีอิสระมากกว่า…

หญิงสาวชาวเกาหลีใต้เจ้าของวิดีโอมีชื่อว่า ‘ริซชี่’ ปัจจุบันใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยมาแล้ว 15 ปี โดยเธอได้ระบุในวิดีโอว่า เรื่องที่ไทยดีกว่าเกาหลีใต้ มีหลายเรื่องมาก ๆ หนึ่งในนั้นคือเรื่องชีวิตประจำวันของนักเรียน โดยที่เกาหลีใต้จะมีตารางเรียนให้นักเรียน ซึ่งเรียนตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 4 ทุ่ม ใน 1 วันเรียนทั้งหมด 7 วิชา และต้องกินข้าวกลางวันและข้าวเย็นที่โรงเรียน

เธอยังระบุอีกว่า วิชาสุดท้ายเรียนจบตั้งแต่ช่วงห้าโมงเย็นแล้ว แต่ทางโรงเรียนบังคับนักเรียนให้อ่านหนังสือต่อจนถึงสี่ทุ่ม หลังจากอ่านหนังสือเสร็จก็ยังไม่ได้กลับบ้าน เพราะต้องไปเรียนพิเศษต่อ โดยจะมีรถบัสเรียนพิเศษมารอรับที่โรงเรียนเลย และเรียนพิเศษจนถึงเที่ยงคืน สำหรับการเรียนพิเศษ ต้องไปทุกวัน เสาร์อาทิตย์ก็ไม่ได้หยุด ทำให้เด็กนักเรียนเจอคุณครูมากกว่าพ่อแม่เสียอีก

สาวเกาหลีใต้รายนี้ยังระบุอีกว่า จริง ๆ ก็เรียนไหว ไม่ได้แย่ขนาดนั้น เพราะตอนที่เรียนมีเพื่อนอยู่ด้วยทุกคน เธอยังบอกอีกว่าสาเหตุที่ต้องเรียนโหดขนาดนี้ เพราะว่าการแข่งเกาหลีสูงมาก ๆ เพื่อให้ได้งานดี ๆ ก็ต้องเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ให้ได้ก่อน ซึ่งแตกต่างจากฝั่งตะวันตกที่สอนว่าความสามารถของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ต่อให้เรียนไม่เก่งก็ยังสามารถมีความสุขได้ แต่สำหรับที่เกาหลีใต้นั้นมีทรัพยากรไม่มากพอ ทำให้โรงเรียนและผู้ปกครองพยายามสอนนักเรียน ต้องเรียนให้เก่ง เพื่อหางานดี ๆ จะได้มีชีวิตที่ดีในอนาคต 

ริซชี่ระบุทิ้งท้ายว่า ตัวเธอเองไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมเกาหลี และหวังว่าในอนาคตอยากเห็นนักเรียนที่เกาหลีใต้มีชีวิตที่ดี และสามารถเลิกเรียนได้ตามเวลาปกติเหมือนเด็กนักเรียนไทย 

‘เบอร์มิงแฮม’ เมืองใหญ่ของอังกฤษ ประกาศล้มละลาย หลังเผชิญวิกฤตงบประมาณขาดดุล-ปัญหาภาระหนี้สิน

เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 66 หัวหน้าฝ่ายการเงินของสภาเมืองเบอร์มิงแฮมได้ประกาศใช้มาตรา 114 ที่หมายความว่าจะไม่มีการใช้จ่ายงบประมาณใหม่ ๆ เกิดขึ้น ยกเว้นการใช้จ่ายที่จำเป็น ทั้งการดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบาง บริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน และภาระผูกพันทางการเงินที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

ส่วนบริการที่คาดว่าจะต้อง ถูกปรับลดงบประมาณมีทั้งการทำความสะอาดถนน การดูแลรักษาสวนสาธารณะ ห้องสมุด บริการเกี่ยวกับเด็กที่อยู่นอกเหนือจากการช่วยเหลือทางสังคม และการเก็บขยะที่อาจต้องทิ้งช่วงเวลานานขึ้น

สภาเมืองเบอร์มิงแฮม ระบุว่า สาเหตุหลักที่ต้องประกาศล้มละลาย เพราะต้องจ่ายค่าชดเชยมูลค่าสูงถึง 760 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 34,000 ล้านบาท ให้แก่กลุ่มพนักงานหญิงทั้งในอดีตและปัจจุบัน ที่รวมตัวยื่นฟ้องในคดีจ่ายค่าตอบแทนที่ไม่เท่าเทียมระหว่างเพศ

การจ่ายเงินค่าชดเชยดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ด้านกฎหมายกับสหภาพแรงงานที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน โดยเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา สภาเมืองเบอร์มิงแฮมเปิดเผยว่า ได้จ่ายค่าชดเชยให้กับพนักงานหญิงไปแล้ว 1,100 ล้านปอนด์ หรือ ประมาณ 50,000 ล้านบาท แต่ยังเหลือยอดหนี้อีกราว 650-750 ล้านปอนด์ ทำให้มีภาระเพิ่มขึ้นเดือนละ 5 ล้าน ถึง 15 ล้านปอนด์ หรือ 200 ล้าน ถึง 670 ล้านบาท ซึ่งสภาเมืองไม่สามารถหาเงินมาชำระได้

นอกจากเบอร์มิงแฮม ยังมีสภาท้องถิ่นอีกหลายแห่งที่ต้องประกาศล้มละลายเหมือนกับเบอร์มิงแฮม เช่น วอคกิง ครอยดอน และเทอร์รอค หลังจากหลายโครงการลงทุนเกิดปัญหา และเผชิญกับการปรับลดเงินทุน

ขณะที่สมาคมองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นอังกฤษประเมินว่า ตลอด 2 ปีนับจากนี้ สภาเมืองต่างๆ ทั่วประเทศจะเผชิญกับปัญหาขาดแคลนเงินทุนรวมกันประมาณ 2,000 ล้านปอนด์ หรือ 9 หมื่นล้านบาท เพื่อให้บริการสาธารณะที่มีอยู่ตอนนี้ยังคงดำเนินการต่อไปได้ตามปกติ

'จีน' สั่ง!! ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐใช้ iPhone  หวั่น!! เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ

ไม่นานมานี้ จีนได้ออกคำสั่ง 'ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐใช้โทรศัพท์ IPhone' เพราะกังวลว่าการใช้โทรศัพท์ที่ผลิตโดยบริษัทในสหรัฐฯ อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติได้

โดยคำสั่งนี้เริ่มออกมาตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคม โดยมุ่งเป้าไปที่หน่วยงานรัฐของจีนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการค้า การลงทุน และกิจการระหว่างประเทศโดยเฉพาะ ซึ่งเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานดังกล่าวจะมีเวลาถึงสิ้นเดือนกันยายนนี้ ในการเปลี่ยนไปใช้สมาร์ตโฟนแบรนด์อื่นแทน

เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นภายหลังความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น คำสั่งดังกล่าวจึงชี้ชัดว่า จีนต้องการแสดงออกถึงการแบนสหรัฐอเมริกา เนื่องจากคำสั่งห้ามเฉพาะเจาะจงไปที่ IPhone เพียงแบรนด์เดียวเท่านั้น แต่สมาร์ตโฟนแบรนด์อื่น ๆ ที่ไม่ได้มาจากสหรัฐฯ ยังคงใช้ได้ในประเทศจีน

ในทำนองเดียวกัน โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบันก็เคยมีคำสั่งห้ามใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง Huawei และ ZTE มาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2021 แล้วเช่นเดียวกัน โดยให้เหตุผลว่าต้องการปกป้องชาวอเมริกันจากปัญหาด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นจากอุปกรณ์โทรคมนาคมเหล่านี้

คำสั่งเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำถึงปัญหาความตึงเครียดของจีนกับสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนความไม่ไว้วางใจที่เพิ่มขึ้นระหว่างจีนและโลกตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการค้า เทคโนโลยี และการสอดแนม

‘เวนิส’ เตรียมทดลองเก็บค่า ‘เหยียบแผ่นดิน’ หัวละ 5 ยูโร หวังคุมจำนวน นทท.ล้นเมือง กระทบผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่น

(6 ก.ย. 66) ‘เวนิส’ เมืองท่องเที่ยวชื่อดังในประเทศอิตาลี ที่เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก เตรียมจะทดลองเก็บค่าธรรมเนียมเข้าเมือง 5 ยูโร (หรือราว 190 บาท) สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ค้างคืน โดยจะนำระบบนี้มาทดลองใช้ในปีหน้า ในความพยายามจัดการควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยว ที่ไหลบ่าเข้าสู่เมืองประวัติศาสตร์แห่งสายน้ำอันแสนโรแมนติกของยุโรปแห่งนี้ มากจนล้นเกินจนกระทบต่อผู้คนในท้องถิ่น

จากการเปิดเผยแผนการนี้ของสภาเมืองเวนิส เมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา ระบุว่า ค่าธรรมเนียมเข้าเมืองจะทดลองใช้เป็นเวลา 30 วันในปีหน้า โดยจะเน้นไปที่วันหยุดธนาคารช่วงฤดูใบไม้ผลิและสุดสัปดาห์ในฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงที่จำนวนนักท่องเที่ยวถึงจุดสูงสุด โดยจะเก็บค่าธรรมเนียมเข้าเมืองกับนักท่องเที่ยวที่มีอายุ 14 ปีขึ้นไป

“วัตถุประสงค์ก็เพื่อจะหาความสมดุลใหม่ระหว่างสิทธิของผู้อยู่อาศัย เรียนหนังสือ หรือ ผู้ทำงานอยู่ในเมืองเวนิส กับผู้ที่มาเที่ยวชมเมือง” ซิโมเน เวนทูรินี สมาชิกสภาการท่องเที่ยวเมืองเวนิส กล่าว และว่า นี่ไม่ใช่การสร้างรายได้ โดยค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการแผนงานเมืองเท่านั้น โดยกำหนดเวลาทดลองตามแผนการนี้และจะดำเนินการอย่างไรนั้น จะได้รับการเห็นชอบหลังจากมีการอนุมัติแผนงานในขั้นสุดท้ายของสภาเมืองแล้ว ที่คาดว่าจะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า

แผนเก็บค่าธรรมเนียมเข้าเมืองเวนิสนี้ ซึ่งเป็นที่ถกเถียงครั้งแรกในปี 2019 นั้น ได้ถูกเลื่อนออกไป เนื่องจากเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทำให้นักท่องเที่ยวหายไปและด้วยเหตุผลทางเทคนิคและในแง่ของกระบวนการขั้นตอน

อย่างไรก็ดี การหลั่งไหลกลับเข้ามาของนักท่องเที่ยวสู่เมืองเวนิส ซึ่งมีจำนวนมากกว่าผู้อยู่อาศัยในใจกลางเมืองเวนิสประมาณ 50,000 คน จนท่วมท้นตามตรอกแคบๆ ของเมือง โดยการมีนักท่องเที่ยวล้นเมือง เป็นปัญหาที่รุมเร้าเมืองเวนิสที่มีความเปราะบางมานานแล้ว

แผนการข้างต้น ยังนับเป็นการสนับสนุนความเคลื่อนไหวที่มีก่อนหน้านี้ในเดือนกรกรกฎาคม เมื่อผู้เชี่ยวชาญขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้เสนอแนะให้เพิ่ม เมืองเวนิส อยู่ในรายชื่อแหล่งมรดกโลกที่กำลังตกอยู่ในภาวะอันตราย โดยอ้างว่าอิตาลีไม่ได้ดำเนินการมากเพียงพอที่จะปกป้องเมืองเวนิสจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการท่องเที่ยวที่มากล้นเกิน

‘อังกฤษ’ จ่อขึ้นบัญชีดำ ‘Wagner’ กลุ่มทหารรับจ้างของรัสเซีย ชี้!! เป็นองค์กรก่อการร้ายที่มีความอันตรายเทียบเท่า ‘ISIS’

‘รัฐบาลอังกฤษ’ เตรียมที่จะขึ้นทะเบียน ‘Wagner PMC’ บริษัททหารรับจ้างเอกชนของรัสเซีย เป็นองค์กรก่อการร้าย นั่นหมายความว่าใครก็ตามที่เป็นสมาชิกขององค์กร Wagner หรือให้การสนับสนุน ถือว่าผิดกฎหมายก่อการร้ายของอังกฤษ

ซึ่งรัฐบาลอังกฤษเตรียมผ่านชงเรื่องการขึ้นบัญชีดำกลุ่ม Wagner ผ่านสภาฯ ในวันพุธนี้แล้ว และหากประเด็นนี้ผ่านการพิจารณาในสภาฯ สำเร็จ รัฐบาลอังกฤษจะมีอำนาจในการยึดทรัพย์ อาญัติบัญชีทรัพย์สินของกลุ่ม Wagner และเครือข่ายผู้เกี่ยวข้องในอังกฤษได้ทันที

‘ซูเอลลา บราเวอร์แมน’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของอังกฤษ กล่าวว่า “Wagner ถือเป็น กลุ่มที่ก่อความรุนแรง สร้างความหายนะทั้งในยูเครนและแอฟริกา เป็นเครื่องมือการทหารของ ‘วลาดิมีร์ ปูติน’ ผู้นำรัสเซีย ที่ใช้ในการวางเป้าหมายทางการเมืองเท่านั้น ซึ่งบ่อนทำลายความมั่นคงของโลก ดังนั้น ตามกฎหมายก่อการร้ายของอังกฤษ (Terrorism Act 2000)  Wagner เข้าข่ายองค์กรก่อการร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย”

และด้วยกฎหมายก่อการร้ายฉบับปัจจุบันของอังกฤษ ได้มอบอำนาจให้กระทรวงมหาดไทยของอังกฤษสามารถขึ้นบัญชีดำองค์กรใดๆ ก็ตามในโลกที่เข้าข่ายก่อการร้าย จากเดิมที่ครอบคลุมเพียงกลุ่มก่อการร้ายในไอร์แลนด์เหนือเท่านั้น และอังกฤษก็ได้ขึ้นทะเบียนผู้ก่อการร้ายมาแล้วหลายกลุ่มทั้ง อัลกออิดะห์, ISIS, ฮามาส, โบโก, ฮาลาม และล่าสุดคือ กลุ่ม Wagner

และหลังจากขึ้นทะเบียนกลุ่มก่อการร้ายเรียบร้อยแล้ว บุคคลที่เป็นสมาชิก ผู้ที่สนับสนุนกลุ่ม Wagner หรือแม้แต่การแสดงความเห็นในที่สาธารณะในเชิงสนับสนุน จัดกิจกรรมรวมกลุ่ม หรือแม้แต่ใช้โลโก้ ธง สัญลักษณ์ของ Wagner ในอังกฤษ จะถือเป็นความผิดในคดีอาญา มีโทษจำคุกถึง 14 ปี หรือปรับเงิน 5,000 ปอนด์

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลอังกฤษได้รับแรงกดดันจากพรรคฝ่ายค้าน ให้เร่งขึ้นทะเบียนผู้ก่อการร้ายกับกลุ่ม Wagner มานานหลายเดือนแล้ว จากเหตุรุกรานยูเครนของกองทัพรัสเซีย ซึ่งกลุ่ม Wagner มีบทบาทสำคัญในการยึดครองพื้นที่ในยูเครน อีกทั้งยังมีหลักฐานการใช้ความรุนแรง การทำร้ายร่างกาย และสังหารประชาชนชาวยูเครน

แต่รัฐบาลอังกฤษเพิ่งเตรียมพิจารณาผ่านญัตติการขึ้นบัญชีดำกลุ่ม Wagner ในวันนี้ หลังจากที่กลุ่มได้สลายตัวไปหลังเหตุการณ์ Wagner ลุกฮือในรัสเซียเมื่อ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา ตามด้วยการเสียชีวิตของ ‘เยฟเกนี พริโกซิน’ หัวหน้าผู้ก่อตั้งองค์กร จากอุบัติเหตุเครื่องบินตกที่ยังเป็นปริศนาในอีก 2 เดือนต่อมาก็ตาม

ถึงจะทำช้า แต่ก็ทำนะ สำหรับการตัดสินใจของรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งเชื่อว่าเครือข่าย Wagner ยังคงอยู่ แม้ผู้นำจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่บทบาทจะยังคงเหมือนเดิม หรือเปลี่ยนชื่อเป็นองค์กร หรือ รูปแบบอื่นๆ ไปแล้ว ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าขอบเขตกฎหมายของอังกฤษจะตามทันหรือไม่

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์

‘อินเดีย’ ส่งซิกอาจเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น ‘ภารัต’ ในเวทีประชุม G20 ส่วนทางด้านรัฐบาลยังไม่ออกมายืนยันหรือปฏิเสธเกี่ยวกับเรื่องนี้

(6 ก.ย. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า อินเดียอาจกำลังพยายามจะเปลี่ยนชื่อประเทศจากอินเดีย เป็น ‘ภารัต’ ซึ่งเป็นชื่อประเทศอินเดียในภาษาฮินดี

เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นขึ้นมา เมื่อหลายคนพบเห็นป้ายคัตเอาท์ที่มีข้อความต้อนรับผู้นำประเทศต่างๆ เข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม จี 20 ที่อินเดียเป็นเจ้าภาพที่กรุงนิวเดลี ระหว่างวันที่ 9-10 ก.ย. นี้ โดยใช้ชื่ออินเดียในภาษาอังกฤษ และ ภารัต หรือภารตะในภาษาฮินดี

นอกจากนี้ ในบัตรเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ ที่ประธานาธิบดีดรูพาดี มูร์มู ของอินเดีย ส่งให้ผู้นำต่างชาติ ได้ระบุว่าเธอเป็นประธานาธิบดีแห่งภารัต ยิ่งทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลอินเดียกำลังดำเนินความพยายามที่จะเปลี่ยนชื่อประเทศอย่างเป็นทางการ จากอินเดีย เป็นภารัต อันเป็นภาษาฮินดีที่หมายถึงประเทศอินเดีย และมีที่มาจากชื่อกษัตริย์ภารตะที่เคยครอบครองดินแดนในแถบอินเดียทั้งหมด

รัฐบาลอินเดียยังไม่ยืนยันหรือปฏิเสธเรื่องนี้ ขณะที่เว็บไซต์ของทางการยังคงใช้ชื่อประเทศอินเดียอยู่ ด้านสมาชิกพรรคภารติยะ ชนตะหรือบีเจพี ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลอินเดียพากันยกย่องและแสดงท่าทีเห็นด้วย เพราะมองว่าคำว่า ภารัต เป็นความภาคภูมิใจของชาวอินเดีย เป็นชื่อประเทศอินเดียแท้ๆ ไม่ใช่คำว่าอินเดียที่ถูกนำมาใช้ในยุคที่เป็นอาณานิคมของอังกฤษ และเป็นสัญลักษณ์แห่งระบบทาส ภายใต้การปกครองของอังกฤษนาน 200 ปี จนกระทั่งได้รับอิสรภาพในปี พ.ศ.2490 ขณะที่ พรรคฝ่ายค้านอินเดียวิพากษ์วิจารณ์ และแย้งว่าควรใช้ชื่ออินเดียและภารัตไว้ในฐานะชื่อทางการต่อไป

‘หัวเว่ย’ เปิดตัวสมาร์ตโฟน ‘Mate 60 Pro’ ใช้ ‘ชิป 7 นาโนเมตร’ ผลิตในจีน เร็วกว่า 5G!!

‘หัวเว่ย’ (Huawei) เปิดตัวโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ Mate 60 Pro ที่สร้างเสียงฮือฮาอย่างมากในหมู่ผู้ใช้งาน โดย TechInsights บริษัทวิเคราะห์ระบุว่า สมาร์ตโฟนรุ่นล่าสุดของหัวเว่ยใช้ชิป 7 นาโนเมตร ที่ถือว่าเป็นเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งผลิตขึ้นเองในจีนทั้งหมด

TechInsights เผยว่า สมาร์ตโฟน Mate 60 Pro ใช้ชิป Kirin 9000 ที่ผลิตขึ้นในจีนโดยบริษัท Semiconductor Manufacturing International Corp (SMIC) ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีการใช้เทคโนโลยี 7 นาโนเมตรที่ทันสมัยที่สุดของ SMIC ซึ่งแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลจีนกำลังมีความก้าวหน้าในความพยายามที่จะสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้อต่อการพัฒนาชิปภายในประเทศ

การเปิดตัวสมาร์ตโฟนดังกล่าว ได้สร้างความคลั่งไคล้ขึ้นในผู้ใช้โซเชียลมีเดียของจีน และสื่อของรัฐฯ โดยผู้ซื้อโทรศัพท์มือถือ Mate 60 Pro ของหัวเว่ยได้โพสต์วิดีโอแบบแยกส่วน และแชร์ข้อมูลของการทดสอบความเร็วในโซเชียลมีเดีย ซึ่งพวกเขาบอกว่า Mate 60 Pro มีความเร็วในการดาวน์โหลดสูงกว่าโทรศัพท์มือถือชั้นนำที่ใช้ระบบ 5G

บางคนตั้งข้อสังเกตว่า กระแสดังกล่าวเกิดขึ้นพร้อมกับการเดินทางเยือนจีนของจีนา ไรมอนโด รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ซึ่ง ‘แดน ฮัตชิสัน’ นักวิเคราะห์จาก TechInsights บอกกับรอยเตอร์ว่า พัฒนาการที่เกิดขึ้นดังกล่าวเหมือนกับการ ‘ตบหน้า’ สหรัฐฯ เพราะไรมอนโดเดินทางมาจีน เพื่อหาทางทำให้สถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้น แต่ชิปตัวนี้เหมือนจะพูดว่า “ดูสิ่งที่เราสามารถทำได้สิ เราไม่ต้องการคุณ”

ตั้งแต่ต้นปี 2019 เป็นต้นมา สหรัฐฯ จำกัดไม่ให้หัวเว่ยเข้าถึงเครื่องมือสร้างชิปที่จำเป็นสำหรับสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ที่มีความทันสมัยที่สุด ซึ่งทำให้บริษัทเปิดตัวมือถือรุ่น 5G ได้เพียงจำกัดโดยใช้ชิปที่มีเก็บไว้เท่านั้น

อย่างไรก็ดี บริษัทวิจัยบอกกับรอยเตอร์เมื่อเดือนกรกฎาคมว่า พวกเขาเชื่อว่าหัวเว่ยกำลังวางแผนที่จะกลับเข้าสู่อุตสาหกรรมสมาร์ตโฟน 5G ภายในสิ้นปีนี้ โดยใช้ความก้าวหน้าของตนเองในการออกแบบเซมิคอนดักเตอร์ ควบคู่กับการผลิตชิปจาก SMIC

รู้จัก Wegovy ยาลดน้ำหนักที่ ‘อีลอน มัสก์’ ยังลอง มาแรงถึงขั้นสร้างมูลค่าแซงหน้า ‘หลุยส์ วิตตอง’

(5 ก.ย. 66) เรื่องน้ำหนักตัว (อ้วน!!) เป็นปัญหาโลกแตกสำหรับทุกเพศ ทุกวัย ที่นอกจากจะมีผลกระทบกับสุขภาพแล้ว ยังลดทอนความมั่นใจสำหรับบางคนอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าหากมีใครสามารถคิดค้นสิ่งที่จะมาช่วยแก้ปัญหานี้อย่างได้ผล และปลอดภัยจริงๆ คงจะสร้างมูลค่าทางการตลาดได้มหาศาลเลยทีเดียว 

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มีบริษัทผู้ผลิตสินค้าเพื่อรักษาโรคอ้วนที่กำลังถูกพูดถึงอย่างมาก นั่นก็คือ บริษัทเวชภัณฑ์ของเดนมาร์กที่ชื่อ ‘Novo Nordisk’ ซึ่งได้พัฒนายา ‘Wegovy’ ซึ่งเป็นยาที่ช่วยในการควบคุมและรักษาโรคอ้วน หรือที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า ‘Semaglutide’ โดยเพิ่งวางจำหน่ายยานี้อย่างเป็นทางการในอังกฤษ เมื่อวันจันทร์ (4 ก.ย. 66) ที่ผ่านมา 

เจ้า ‘Wegovy’ นี้ ได้รับการรับรองแล้ว จากสถาบันแห่งชาติเพื่อความเป็นเลิศด้านสุขภาพ และการแพทย์แห่งอังกฤษ ให้สามารถใช้กับผู้ป่วยโรคอ้วน หรือ ‘ผู้ที่มีดัชนีมวลกาย’ (BMI) เกิน 30 ในระยะเวลาสูงสุดไม่เกิน 2 ปี ควบคู่กับการควบคุมอาหาร และ ออกกำลังกายได้

‘Wegovy’ เป็นยาควบคุมน้ำหนักที่ฉีดใต้ผิวหนัง มีคุณสมบัติในการระงับอาการหิว และทำให้ผู้รับยา บริโภคอาหารน้อยลงจากที่เคย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการลดน้ำหนัก และได้ทดสอบกับกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีอาการโรคอ้วนจำนวน 304 คน คู่กับกลุ่มที่ใช้ยาหลอก ร่วมกับการรับประทานอาหารแคลอรี่ต่ำ และ ออกกำลังกายมากขึ้นในระยะเวลา 104 สัปดาห์ พบว่า กลุ่มทดลองที่ใช้ Wegovy มีน้ำหนักลดลงอย่างชัดเจนกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ใช้ยา 

อีกทั้ง Novo Nordisk ยังอ้างว่าการใช้ Wegovy ช่วยลดความเสี่ยงจาก โรคหัวใจ และหลอดเลือดสมองได้ และมีคนดังจำนวนมาก รวมถึง ‘อีลอน มัสก์’ เปิดเผยว่าใช้ยาตัวนี้ช่วยควบคุมน้ำหนักอยู่เช่นกัน ทำให้มูลค่าหุ้นของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

จนกระทั่งวันนี้ ที่มีการเปิดตัวจำหน่าย Wegovy ในอังกฤษ มูลค่าหุ้นของบริษัท Novo Nordisk ก็พุ่งทะยานถึง 4.28 แสนล้านเหรียญ กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดของยุโรป แซงหน้าหุ้นของ LVMH หรือ ‘หลุยส์ วิตตอง’ แบรนด์หรูของฝรั่งเศส ไปแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น หุ้นของ Novo Nordisk ยังถูกคาดว่าจะพุ่งขึ้นไปได้อีก เพราะความต้องการยาควบคุมน้ำหนัก Wegovy เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก เพราะเอาแค่เฉพาะในอังกฤษ ทางกรมดูแลสุขภาพแห่งชาติ ถึงกับเปิดเผยว่า น่าจะมีคนไข้ชาวอังกฤษที่รอรับยา Wegovy หลายหมื่นคน ไม่รวมคลินิกเอกชนอีกต่างหาก ในขณะที่ Wegovy ในคลังยามีอยู่อย่างจำกัด  

ประกอบกับรัฐบาลอังกฤษยังสนับสนุนงบประมาณในการทดสอบยานี้กับผู้ป่วยโรคอ้วน เพื่อดูประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่กินงบประมาณด้านสุขภาพของอังกฤษ มากถึง 6.5 พันล้านปอนด์ต่อปี 

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ‘ริชี ซูแน็ก’ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ยังเชื่อเลยว่า Wegovy อาจเป็นจุดเปลี่ยนเกมของผู้ป่วยโรคอ้วน ที่ต้องเสี่ยงอันตรายจากภาวะโรคเบาหวาน ให้กลับมามีสุขภาพที่ดีขึ้นได้

จากปรากฏการณ์นี้ จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมความต้องการยาควบคุมน้ำหนัก Wegovy ถึงเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ทั้งในอังกฤษ, ยุโรป และในสหรัฐอเมริกา จนดันมูลค่าหุ้นของ Novo Nordisk แซงหน้าบริษัทแบรนด์หรูได้ เพราะสุดท้าย สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของคนเราก็คือ ‘สุขภาพ’ ของตัวเอง หาใช่ทรัพย์สินภายนอก

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์

ร้านกาแฟจีน Luckin จับมือเจ้าพ่อสุรา ‘เหมาไถ’ เสิร์ฟ ‘ลาเต้รสเหล้าขาว’ วันแรกโกย 5.42 ล้านแก้ว

(5 ก.ย.66) ลัคกิน คอฟฟี่ (Luckin Coffee) เครือร้านกาแฟเจ้าดังของจีน ประกาศจับมือบริษัทสุรา กุ้ยโจว เหมาไถ (Kweichow Moutai) ออกเมนู ‘กาแฟนมผสมเหล้าขาว’ หวังจับกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ โดยหลังเปิดตัววันแรกเมื่อวานนี้ (4 ก.ย.) ปรากฏว่าทำยอดขายสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 5.42 ล้านแก้ว

ลัคกิน แถลงว่า กาแฟนมผสมเหล้าขาวเพียงเมนูเดียวสร้างรายได้ให้บริษัทกว่า 100 ล้านหยวนในวันจันทร์ (4 ก.ย.) ทุบสถิติเมนูยอดนิยมอื่น ๆ ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ เช่น cheese latte ซึ่งมียอดจำหน่ายในวันเปิดตัว 1.31 ล้านแก้ว และ coconut cloud latte ซึ่งขายได้ในวันแรก 660,000 แก้ว

กาแฟผสมเหล้าขาวซึ่งทางร้านตั้งชื่อว่า ‘sauce-flavoured latte’ เปิดจำหน่ายวันแรกในราคาเพียง 19 หยวน หรือลดจากปกติ 50% ซึ่งปรากฏว่ามีชาวจีนในปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้แห่ไปต่อคิวรอซื้อจนขายหมดเกลี้ยงในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง

ลัคกิน และกุ้ยโจว เหมาไถ ระบุว่า sauce-flavoured latte มีปริมาณแอลกอฮอล์ผสมไม่เกิน 0.5%
สำหรับสุราเหมาไถนั้นได้รับยกย่องว่าเป็น ‘สุราแห่งชาติจีน’ โดยเป็นเหล้าขาวดีกรีแรงที่นิยมเสิร์ฟกันตามงานเลี้ยงต่างๆ และสำหรับ กุ้ยโจว เหมาไถ นั้นผู้ที่เคยดื่มส่วนใหญ่บอกว่ามีกลิ่นและรสชาติใกล้เคียงกับ ‘ซอสถั่วเหลือง’


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top