Sunday, 15 June 2025
SPECIAL

‘วิโรจน์’ ซัด ‘พีระพันธุ์’ ปมผลิตซ้ำวาทกรรมชังชาติ ลั่น!! ทัศนคติอันตรายต่อชาติ-สถาบันพระมหากษัตริย์

‘วิโรจน์’ จวก ‘พีระพันธุ์’ ผลิตซ้ำวาทกรรมชังชาติ ไล่คนเห็นต่างออกนอกประเทศ  ชี้ ไม่เป็นผลดีต่อสถาบันฯ

(9 เม.ย.66) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวกรณีที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ออกมาไล่คนเห็นต่างออกจากประเทศ พร้อมผลิตซ้ำวาทกรรมชังชาติ ล้มเจ้า ซึ่งเป็นผลผลิตของความขัดแย้งทางการเมืองนานนับทศวรรษ

นายวิโรจน์ กล่าวว่า ทัศนคติเช่นนี้ต่างหากที่เป็นอันตรายต่อชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์ที่สุด เพราะเท่ากับเป็นการดึงเอาสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องทางการเมือง และแบ่งประชาชนออกเป็นฝักฝ่าย

นายวิโรจน์ กล่าวว่า พฤติกรรมแบ่งแยกประชาชนแบบนี้ ส่งผลเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มามากพอแล้ว ยกตัวอย่างเช่นคนสร้างภาพว่าตนเป็นคนที่จงรักภักดี สักหน้าอก "ทรงพระเจริญ" แล้วไปตั้งแชร์ลูกโซ่หลอกลวงประชาชน จนมีมูลค่าความเสียหายเป็นพันล้าน หรือกรณีที่มาเฟียทุนจีนสีเทา เอาภาพถ่ายที่ไปถ่ายกับพระราชวงศ์ชั้นสูง ไปแอบอ้างสร้างความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และยังไม่รวมกลุ่มคนอันธพาล ที่อ้างว่าตนเป็นคนที่ปกป้องสถาบันฯ แล้วไปเที่ยวใช้กำลังระรานประชาชนคนที่คิดต่างไปทั่ว เที่ยวไปแจ้งความในมาตรา 112 ตามอคติของตน สร้างความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ต้องถามว่าการปกป้องสถาบันฯ ด้วยวิธีการของอันธพาลแบบนี้ ส่งผลดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่

‘สิริอร’ ลงพื้นที่รับฟังปัญหาพ่อค้า-แม่ขาย ชูนโยบายพักหนี้ 3 ปี เชื่อ!! ตัดวงจรหนี้นอกระบบ เพื่อให้ปชช. สร้างตัวได้อย่างยั่งยืน

ผู้สมัคร ส.ส.กทม. ‘สิริอร’ ภูมิใจไทย ขอรับอาสาช่วยปลดหนี้พ่อค้า-แม่ขาย ทุนจมหนี้บานจากโควิด-19 ชู นโยบายพักหนี้ 3 ปี เปิดกู้ฉุกเฉิน 5 หมื่นบาท ไม่ต้องมีหลักทรัพย-คนค้ำ เชื่อ ตัดวงจรหนี้นอกระบบได้

(9 เม.ย.66) น.ส.สิริอร ม้ามณี ผู้สมัคร ส.ส.เบอร์ 6 เขต 1 พระนคร ป้อมปราบศัตรูพ่าย สัมพันธวงศ์ ดุสิต (ยกเว้นแขวงนครไชยศรี) บางรัก พรรคภูมิใจไทย เปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่รับฟังปัญหาพี่น้องประชาชน ส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องหนี้สิน ทั้งหนี้ในระบบ และนอกระบบ ซึ่งหนี้สินเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงโควิด - 19 ระบาดหนัก คนส่วนใหญ่ในพื้นที่มีอาชีพค้าขาย แต่เมื่อประสบกับปัญหาโควิด - 19 มาหลายปี รายได้จากค้าขายหดหายไป เงินทุนจม ต้องไปกู้หนี้นอกระบบ เพราะไม่มีหลักทรัพย์ ไม่มีคนค้ำ ถูกคิดดอกเบี้ยโหด เมื่อกลับมาค้าขายได้แต่หนี้ก็ยังไม่ลด เพราะดอกเบี้ยเดินไม่มีวันหมด บางรายที่เป็น SME ถึงกับต้องปิดกิจการ เพราะไม่มีรายได้ 

‘เดชรัต’ ประกาศกร้าว!! เสนอ 7 ข้อ หยุดวงจรอุบาทว์  แก้วิกฤติฝุ่น ‘PM 2.5’ ลั่น!! ถ้าเป็นรัฐบาลเห็นผลทันที

(9 เม.ย.66) ‘ก้าวไกล’ ประกาศ 7 ข้อแก้วิกฤติฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ถ้าเป็นรัฐบาลเห็นผลทันที 1 มกรา 67 ดัน พ.ร.บ.อากาศสะอาด-งบตำบลละ 3 ล้านป้องกันไฟป่า- ถทุกคันตรวจสภาพฟรี 3 เดือน ด้านผู้สมัครเชียงใหม่ เขต 1 จี้รัฐบาลแก้ปัญหา หลังปล่อยประชาชนรับผลกระทบ รายได้ธุรกิจกลางแจ้งสูญ 30% ใน 3 เดือน

เดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายเพื่ออนาคต (Think Forward Center) และหนึ่งในทีมเศรษฐกิจพรรคก้าวไกล กล่าวถึงมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่กำลังวิกฤติอยู่ในหลายพื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดทางภาคเหนือว่า เมื่อวานนี้ (8 เมษายน) ตนเป็นตัวแทนพรรคก้าวไกล เข้าร่วมเวทีดีเบตประเด็น ‘อนาคตของอากาศบริสุทธิ์จะมาอีกเมื่อไร’ ที่จัดโดยภาคประชาสังคมที่จังหวัดเชียงใหม่ มีผู้เข้าร่วมตั้งคำถามต่อพรรคการเมืองว่าจะแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในระยะสั้น ซึ่งหมายถึงรอบฤดูฝุ่น 2567 อย่างไร เนื่องจากหลายครั้ง ผู้กำหนดนโยบายมักกล่าวถึงแนวทางแก้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กในระยะยาว จนประชาชนไม่สามารถมองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้ แต่ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กก็เวียนกลับมาหาประชาชนเป็นประจำทุกปี และหนักขึ้นในปี 2566 นี้

เดชรัตกล่าวว่า ดังนั้น เพื่อทำลายวงจรอุบาทว์นี้ พรรคก้าวไกล ขอประกาศความเปลี่ยนแปลง 7 ข้อ ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 1 มกราคม 2567 หรือวันเริ่มต้นฤดูที่อาจจะเกิดฝุ่นละอองขนาดเล็กรอบหน้า หากพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล

1. ประเทศไทยจะมี ร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาด และร่างพระราชบัญญัติการรายงานการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม หรือ PRTR เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร อาจผ่านวาระ 1-2 แล้วหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความกระตือรือร้นของพรรคการเมืองอื่นๆ แต่พรรคก้าวไกลเราจะยื่นร่างกฏหมายนี้เข้าสู่สภาฯ ภายใน 1 เดือนแรกอย่างแน่นอน

2. จะมีงบประมาณแก้ปัญหาไฟป่าลงสู่พื้นที่ระดับตำบล ตำบลละ 3 ล้านบาท เพื่อการป้องกันไฟป่า การจัดการเชื้อเพลิง การเตรียมทีมอาสา พร้อมทั้งสวัสดิการของทีมอาสา และการปรับระบบการเกษตรแบบไม่เผา พร้อมดำเนินการได้ทันที

3. รัฐบาลไทย จะประกาศใช้มาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (หรือ GAP) เพื่อไม่ให้นำเข้าสินค้าเกษตรที่มีที่มาจากการเผาทุกประเภท เข้าสู่ประเทศไทย ทำลายวงจรธุรกิจการเผาเพื่อการเกษตร แบบเดียวกับมาตรการที่ประเทศสิงคโปร์ทำ

4. ประกาศทางเลือกให้พี่น้องเกษตรกรที่ปลูกข้าวโพด อ้อย และข้าว ว่า (1) สามารถนำเศษวัสดุเหลือใช้ เช่น ฟางข้าว ใบอ้อย ต้นข้าวโพด มาขายในราคา 1,000 บาท/ตัน โดยรัฐบาลสนับสนุนงบประมาณผ่านผู้ประกอบการหรือผู้รวบรวมรับซื้อเศษวัสดุทางการเกษตร (2) สามารถซื้อเครื่องจักรในการเก็บเกี่ยว (สำหรับผู้ปลูกอ้อย) และเตรียมดิน (สำหรับผู้ปลูกข้าวและข้าวโพด) โดยขอรับสินเชื่อที่ดอกเบี้ย 0% พร้อมการดูแลหลังการขาย โดยรัฐบาลมีหน้าที่เจรจากับธุรกิจเครื่องจักรทางการเกษตร และทำโครงการร่วมกัน และ (3) สามารถเปลี่ยนไปปลูกพืชอาหารอื่นๆ หรือไม้ยืนต้น โดยรับประกันผลตอบแทนที่ 500-1,000 บาท/เดือน

5. รถยนต์ทุกคันได้รับการตรวจสภาพรถยนต์และควันดำ โดยจะเปิดให้ตรวจสภาพรถยนต์ฟรีในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี (ตุลาคม-ธันวาคม 2566) จากนั้น รถทุกคันต้องติดสติ๊กเกอร์การตรวจสภาพรถที่เห็นได้ชัดเจน หากคันใดยังไม่ติด ต้องไปตรวจสภาพรถทันที เพื่อจบปัญหารถควันดำที่วิ่งทั่วประเทศไทย ซ้ำเติมปัญหา PM 2.5

6. เปิดตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง และโรคระบบทางเดินหายใจสำหรับประชาชนในภาคเหนือตอนบนฟรี พร้อมทั้งสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเดินทางสำหรับผู้เข้าตรวจ เพื่อให้มีฐานข้อมูลขนาดใหญ่ในการติดตามเฝ้าระวังโรคในระยะยาว

7. เตรียมพื้นที่ปลอดภัยที่มีเครื่องกรองอากาศ โดยเฉพาะศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โรงเรียน ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ห้องสมุดประชาชน ในทุกๆ อำเภอ โดยสนับสนุนงบประมาณผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โรงพยาบาล และโรงเรียน โดยตรง รวมถึงสนับสนุนให้ภาคเอกชนปรับให้พื้นที่ของตน เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับประชาชน เช่น co-working space โดยรัฐบาลจะสนับสนุนผ่านมาตรการลดหย่อนภาษี พร้อมกันนี้ รัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณเพื่อแจกหน้ากากป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็กฟรี หากมีฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐาน

‘จุรินทร์’ นำทีม ‘ปชป.’  อ้อนชาวพิษณุโลก กาเบอร์ 26 ย้ำจุดยืนประชาธิปไตยไม่โกง ไม่เอาระบอบประธานาธิบดี

‘จุรินทร์’ นำทัพปชป. บุกพิษณุโลก ขอเสียงกาเบอร์ 26 ย้ำจุดยืนประชาธิปไตยไม่โกง เป็นระบบ ‘รัฐสภา’ ไม่ใช่ ‘ระบอบประธานาธิบดี’ โนคอมเมนท์ปม ‘บิ๊กตู่’ ถ้าเป็นนายกฯ ก็อีก2ปี ชี้เป็นไปตามข้อเท็จจริง-ศาลวินิจฉัยแล้ว สุดท้าย ‘พรรคยั่งยืน’  คือทางรอดประเทศ

(9 เม.ย.66) ที่ ที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาพาณิชยการ จ.พิษณุโลก นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนายนราพัฒน์ แก้วทอง รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ม.ร.ว.ศศิพฤนท์ จันทรทัต  และ นายอรัญ วงศ์อนันต์ ผู้สมัครบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ หมายเลข 26 เดินทางมาปราศรัยย่อยให้กับพี่น้องประชาชน เพื่อแนะนำผู้สมัคร ส.ส. จังหวัดพิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ที่ประกอบด้วย เขต 1 นายจักษ์ พันธ์ชูเพชร เบอร์ 5 เขต 2 น.ส. ปุญชรัสมิ์ ศิริสวัสดิ์ เบอร์ 7 เขต 3 นายวิมล สารมะโน เบอร์ 1 เขต 4 น.ส.มุธิตา ทองคำนุช เบอร์ 6 เขต 5 นายพริ้ง บุญแสงสวัสดิ์ เบอร์ 4 และนำเสนอนโยบายที่มาพร้อมด้วยความรับผิดชอบ ตั้งแต่นโยบาย “ประกันรายได้ จ่ายเงินส่วนต่าง” “ชาวนารับ 30,000 ต่อครัวเรือน” “โฉนดที่ดิน 1 ล้านแปลงภายใน 4 ปี” “กรรมสิทธิ์ที่ดินทำกินให้กับผู้ทำกินในที่ดินของรัฐ” “เรียนฟรีถึงปริญญาตรีในสาขาที่ตลาดต้องการ” “Startup – SME ต้องมีแต้มต่อ” “ตรวจสุขภาพฟรี รักษาฟรี ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว” “ชมรมผู้สูงอายุรับ 30,000 บาทต่อชมรม” “ธนาคารหมู่บ้าน/ชุมชนแห่งละ 2 ล้านบาท” เป็นต้น โดยมีพี่น้องประชาชนทุกช่วงวัย สนใจเข้ารับฟังการปราศรัยเต็มห้องประชุม และร่วมถ่ายรูปเป็นที่ระลึก

นายจุรินทร์ กล่าวว่า ขอบคุณผู้สมัครทุกคนที่ยืนหยัดหนักแน่น มั่นคงกับประชาธิปัตย์ ไม่เปลี่ยนแปลงอุดมการณ์ ซึ่งปัจจัยนี้ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญที่คนพิษณุโลกจะพิจารณาตัวผู้สมัคร และตัวผู้สมัครทุกคนของเราก็มีความตั้งใจ มุ่งมั่นในการเข้าไปทำหน้าที่เป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชน พร้อมกับหวังว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ ประชาธิปัตย์จะปักธงที่จังหวัดพิษณุโลกได้ นอกจากนี้ตนมีความเชื่อมั่นว่าพรรคประชาธิปัตย์สามารถอยู่ในใจของประชาชนได้ เพราะนอกจากอุดมการณ์ที่เป็นจุดเด่นสำคัญของพรรคแล้ว ยังมีผลงาน และนโยบายที่โดนใจ ซึ่งเป็นทั้งจุดเด่น และจุดแข็งของประชาธิปัตย์ รวมถึงแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี ที่ได้สั่งสมประสบการณ์มา ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร พร้อมเข้าไปทำหน้าที่ได้ จึงเชื่อมั่นว่าขณะนี้ประชาธิปัตย์มีเสียงสนับสนุนจากทั่วประเทศดีขึ้นเป็นลำดับ

เมื่อถามว่า จากการที่ภาคเหนือกำลังผจญกับฝุ่นพิษ PM 2.5 พรรคประชาธิปัตย์มีแนวทางในเรื่องนี้อย่างไร นายจุรินทร์ กล่าวว่า การแก้ปัญหามลพิษนั้น ต้องแก้ไขที่จุดนั้น หากเป็นมลพิษที่เกิดจากรถยนต์ก็ต้องแก้ที่ควันรถ รวมทั้งเร่งส่งเสริมการใช้รถ EV ให้มากขึ้น และส่งเสริมการใช้รถสาธารณะเพื่อลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายสนับสนุนให้ประชาชนใช้รถ EV ให้มากขึ้น รวมถึงการเป็นฮับในการผลิตรถยนต์ EV ในภูมิภาคได้ต่อไป ส่วน PM 2.5 ที่เกิดจากการเผาป่าหรือเผาไร่ ในแต่ละพื้นที่ก็ต้องเคร่งครัดการใช้กฎหมายมากขึ้น รวมทั้งต้องเดินหน้าในการเจรจาระหว่างประเทศ เพราะปัญหาดังกล่าวไม่ได้เกิดเฉพาะที่บ้านเรา รวมทั้งการที่จะต้องไปเจรจาร่วมกับกลุ่มประเทศอาเซียนด้วย นอกจากนี้พรรคประชาธิปัตย์จะขับเคลื่อน พ.ร.บ.อากาศสะอาด เพื่อให้แก้ไขปัญหามลพิษ และ ปัญหา PM 2.5 แบบครบวงจร

เมื่อถามถึงกำหนดการหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์กล่าวว่า วันนี้ในช่วงบ่าย ตนจะนำจุรินทร์ออนทัวร์ ไปจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อพบปะพี่น้องประชาชน รวมทั้งเปิดตัวทีมเศรษฐกิจ 4 ปี ประกันรายได้ของประชาธิปัตย์ เกษตรกรได้อะไร” ส่วนในวันพรุ่งนี้(10เม.ย.) ทีมเศรษฐกิจ ประชาธิปัตย์ จะได้เปิดนโยบายการอัดฉีดเม็ดเงิน 1 ล้านล้าน เข้าสู่ระบบ ขณะที่ทัพหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะมีกำหนดการไปอีกหลายพื้นที่

เมื่อถามว่าขณะนี้มีหลายพรรคการเมืองหาเสียงด้วยการชูเรื่องประชาธิปไตย นายจุรินทร์ กล่าวว่า สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ มีความชัดเจน ตนได้ประกาศไปแล้วว่า จุดยืนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะเป็นทางรอดให้กับประเทศก็คือ ประเทศไทยหนีไม่พ้นที่จะต้องเดินหน้าการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และต้องไม่เป็นประชาธิปไตยครึ่งใบ เพราะหลายปีที่ผ่านมาประชาธิปไตยครึ่งใบ ต้องประสบแรงเสียดทาน ประสบปัญหาไม่มีที่สิ้นสุด

“ทางเดียวที่จะต้องขับเคลื่อนประเทศด้วยประชาธิปไตยเต็มใบ ระบบรัฐสภา ไม่ใช่ระบบประธานาธิบดี และเท่านั้นยังไม่พอ จะต้องเป็น ประชาธิปไตยไม่โกงด้วย เพราะถ้าโกงเมื่อไหร่ เราก็สูญเสียประชาธิปไตยเมื่อนั้น จากหลายยุคที่เกิดการยึดอำนาจ รัฐประหาร ก็เพราะรัฐบาลก่อนหน้านั้นทุจริต คอร์รัปชัน ดังนั้นเราต้องนำสิ่งเหล่านี้มาเป็นบทเรียน” นายจุรินทร์ กล่าว

‘อนุทิน’ ปลื้ม!! ชาวเชียงรายแห่ต้อนรับ ปล่อยสโลแกน ‘อู้แล้วยะ’ พร้อมชูนโยบายสุขภาพ ลั่น!! ขอแค่ปชช. ไว้ใจ พร้อมทำแน่นอน

ขอบคุณเจ้า ! ‘อนุทิน’ ปลื้ม ‘ชาวเชียงราย’ ต้อนรับแน่น ก่อนประกาศสโลแกน “อู้แล้วยะ” ไม่ขายฝัน พูดจริง ทำจริง ชู 3 นโยบายเด็ด เน้นเรื่องสุขภาพ เครื่องฉายรังสีทุกจังหวัด ศูนย์ไตเทียมทุกอำเภอ ประกันชีวิตผู้สูงวัย

(9 เม.ย.66) ที่ สนามกีฬาตำบลป่าอ้อดอนชัย อ.เมือง จ.เชียงราย นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และคณะผู้บริหารพรรค อาทิ นายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนสมาชิกพรรค และผู้สมัครระบบบัญชีรายชื่อ, นางสาวอนุสรี ทับสุวรรณ ผู้สมัครระบบบัญชีรายชื่อ และนายสามารถ แก้วมีชัย ผู้สมัครระบบบัญชีรายชื่อ ไปจนถึง ผู้สมัครระบบเขต จ.เชียงราย ได้เดินทางลงพื้นที่ เพื่อปราศรัยหาเสียง ประชาชนต้อนรับอย่างเนืองแน่น โดยการปราศรัยครั้งนี้ นายอนุทิน ได้ใช้ภาษากลาง ผสมกับภาษาถิ่นภาคเหนือ เพื่อสื่อสารกับประชาชน บรรยากาศเป็นไปด้วยความสนุกสนาน

นายอนุทิน กล่าวว่า “ขอบคุณนักนักเจ้า ขอบคุณขนาดเจ้า อากาศฮ้อนจะอี้ ก็ยังมาต้อนฮับอย่างอบอุ่น พี่น้องมาต้อนฮับ ขนาดนี้ จะไม่ได้หัวใจผมไปได้จะได๋”

จากนั้น นายอนุทิน ได้แนะนำตัวผู้สมัครรายคน ก่อนระบุว่า ที่อยู่ตรงนี้ คือ คนรับใช้ของพี่น้องทุกคน มาวันนี้ เพื่อขอโอกาสให้ท่านได้เลือกเราเข้าไปทำงานในสภา ที่ผ่านมา พรรคภูมิใจไทย ได้ทำงาน รับใช้ท่านมาแล้ว ตอนที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ครั้งนั้น มีคุณหมอท่านหนึ่งมาบอกว่า คนเชียงรายเป็นมะเร็งกันมาก ขอให้เพิ่มเครื่องฉายรังสีให้หน่อย ตั้งเป็นศูนย์มะเร็งเพิ่มเติมเลยก็ได้ เพราะเครื่องเดียวไม่พอแล้ว ประชาชนเจ็บป่วยต้องเดินทางไกล สิ่งที่คุณหมอขอมา ตนได้จัดให้แล้ว อย่างที่บอกอยู่เสมอ กับพรรคภูมิใจไทย เรื่องที่เป็นประโยชน์กับประชาชน ไม่มีคำว่าไม่ได้

นอกจากนั้น เรายังมองเห็นว่า จังหวัดท่านมีศักยภาพ เพียงแต่ต้องเติมเรื่องการคมนาคมเข้าไปหน่อย เรื่องรถไฟทางคู่เด่นชัย เชียงราย เชียงของ คาราคาซังมานาน ตอนนี้ เราก็จัดให้แล้ว ดำเนินการไปมาก เป็นอีกหนึ่งเส้นทางยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบรางของประเทศไทย เชื่อมโครงข่ายรถไฟเดิมเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ สปป.ลาว และเมียนมา

จากนั้น นายอนุทิน ได้กล่าวถึง การด้อยค่านโยบายกัญชา ว่ามาจากพวก “ขี้ฮก” พูดแต่เรื่องแย่ๆ ทั้งที่เรื่องดีก็มีมาก มันอยู่ที่การใช้ เราพรรคภูมิใจไทย ไม่ปิดกั้นโอกาสประชาชน

“สำหรับนโยบายของพรรคภูมิใจไทย ที่อยากมานำเสนอในวันนี้ คือเรื่องของสุขภาพพี่น้องประชาชน ที่มานั่งฟังกัน ก็มีผู้สูงวัย เมื่ออายุมากเข้า เราไม่อยากให้ท่านเป็นกังวล ว่าจะเป็นภาระกับลูกหลาน เมื่อจากไป ลูกหลานจะทำอย่างไร ไม่ต้องคิดมากแล้ว พรรคภูมิใจไทย ได้ออกนโยบายสำหรับผู้สูงวัยที่มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ จะได้รับสิทธิ์ เป็นสมาชิกกองทุนประกันชีวิต และมีกรมธรรม์ประกันชีวิตทันที โดยไม่ต้องสมัคร และไม่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิต ซึ่งผู้สูงวัย มีสิทธิกู้เงินดูแลตัวเอง ในวงเงิน 20,000 บาท โดยไม่ต้องมีผู้ค้ำประกัน แต่จะใช้กรมธรรม์ประกันชีวิตที่รัฐบาลจัดทำให้ ค้ำประกันตัวเอง และในวันที่จากไป ‘ผู้สูงวัย’ ไม่สร้างภาระให้ลูกหลาน ทุกคนจะมีมรดกให้ลูกหลาน ทายาท และครอบครัว รายละ 100,000 บาท

ลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้า วันนี้วันสุดท้ายแล้ว!! เช็กขั้นตอน ยื่นด้วยตัวเอง-ผ่านแอปฯ ‘Smart Vote’

‘กกต.’ เปิดลงทะเบียนใช้สิทธิ เลือกตั้งล่วงหน้า ในเขต-นอกเขต-นอกราชอาณาจักร วันที่ 9 เม.ย. วันสุดท้าย เช็กขั้นตอนลงทะเบียน

(9 เม.ย. 66) ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้กำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เป็นการทั่วไป ในวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค. 2566 ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. โดยในระหว่างวันที่ 25 มี.ค. – 9 เม.ย. กำหนดให้เป็นวันลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตเลือกตั้ง นอกเขตเลือกตั้ง และนอกราชอาณาจักร

ทั้งนี้ ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีความประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าในวันอาทิตย์ที่ 7 พ.ค. 2566 ยังสามารถลงทะเบียนได้วันนี้ (9 เม.ย.) เป็นวันสุดท้าย กกต.จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ดำเนินการลงทะเบียนให้แล้วเสร็จ ภายในวันที่ 9 เม.ย. 66

‘ชัยวุฒิ’ ชี้ นายกฯ - รัฐบาลต้องมีเสถียรภาพ เพื่อขับเคลื่อนประเทศให้เดินไปข้างหน้า

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงเสถียรภาพของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ในการขับเคลื่อนประเทศ บนเวทีดีเบตนโยบายหาเสียง ฟังนโยบายภาคตะวันออก

‘ประชาธิปัตย์ยุคใหม่’ มั่นใจ!! ปักธงฟ้าเข้าสภาฯ ยกทีม ชู ยกระดับพัทลุง 5 มิติ เสริมจุดแข็งครอบคลุมทั้งจังหวัด

(9 เม.ย. 66) นายร่มธรรม ขำนุรักษ์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 อำเภอกงหรา (ยกเว้น ตำบลชะรัด และตำบลสมหวัง) อำเภอตะโหมด, อำเภอป่าบอน, อำเภอปากพะยูน และอำเภอบางแก้ว จังหวัดพัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงนโยบายการพัฒนา จังหวัดพัทลุง ซึ่งถือเป็นนโยบายสำคัญที่ใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ของทีมประชาธิปัตย์ยุคใหม่ จังหวัดพัทลุง ว่า จากการลงพื้นที่รับฟังปัญหาจากพี่น้องประชาชนและศึกษาข้อมูลในพื้นที่อย่างเป็นระบบ ทีมประชาธิปัตย์ยุคใหม่ จังหวัดพัทลุง ซึ่งประกอบไปด้วย น.ส.สุพัชรี ธรรมเพชร ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1, น.ส.ปิยะกาญจน์ สุพรรณชนะบุรี ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 และตน ได้ตกผลึกร่วมกันถึงนโยบายที่จะยกระดับ จังหวัดพัทลุง 5 มิติ ซึ่งถือว่าบ้านของเราเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพและความพร้อมในการพัฒนาต่อยอด แต่ยังขาดการบูรณาการร่วมกันและประสานงานกันอย่างเป็นรูปธรรมของ ส.ส.ทั้ง 3 เขต จึงเป็นที่น่าเสียดายสำหรับโอกาสที่สูญเสียไปในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา

ดังนั้น การเลือกตั้งครั้งนี้ ทีมประชาธิปัตย์ยุคใหม่จะใช้จุดแข็งของความเป็นทีมคนรุ่นใหม่ที่ทำงานร่วมกันและลงพื้นที่คลุกคลีกับพี่น้องประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง มาขอโอกาสทำงานเพื่อคนพัทลุง เชื่อมั่นว่าพี่น้องประชาชนจะไว้วางใจและร่วมกันปักธงฟ้าทีมประชาธิปัตย์ยุคใหม่ทั้ง 3 เขต

นายร่มธรรม กล่าวว่า สำหรับนโยบายยกระดับจังหวัด 5 มิติ ของทีมประชาธิปัตย์ยุคใหม่นั้น มีวิสัยทัศน์ว่า ‘พัทลุงหรอยดี’ คือส่งเสริมของดีของเด่นใน จ.พัทลุง ทำให้ประชาชนมีความสุข เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนและดีกว่าเดิม ดังนี้

มิติที่ 1 การเดินทางดี โดยการผลักดันและประสานงานการทำถนนเลี่ยงเมือง รอบเมืองครบ 4 สาย และผลักดันการสร้างสนามบินพัทลุง เพื่อเสริมศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ซึ่งถือเป็นการเปิดประตูสู่ จ.พัทลุง อย่างเต็มรูปแบบ

มิติที่ 2 การท่องเที่ยวดี โดยจะผลักดันและพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่ จ.พัทลุง ทั้งการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และเชิงวัฒนธรรม โดยมีรัฐทำหน้าที่สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน, Free wifi, sky walk และกระเช้า ตามศักยภาพของสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่ง เพิ่มที่จอดรถชมวิวบนสะพานเฉลิมพระเกียรติทะเลน้อย-ระโนด ส่งเสริมกีฬาทางน้ำในทะเลสาบสงขลา และสร้างการรับรู้ รวมถึงพัฒนาให้ จ.พัทลุงเป็นเมืองท่องเที่ยวและจุดมุ่งหมายของการพักผ่อนหลังเกษียณ

มิติที่ 3 สินค้าดี โดยการผลักดันและประสานงานการทำเกษตรพรีเมี่ยม เกษตรอินทรีย์ เกษตรแปรรูป เกษตรหลากหลาย พร้อมส่งเสริมการจดทะเบียน GI ข้าวเหนียวดำหมอ, เล็บนก, ดีปรีชี, จำปาดะ และอื่น ๆ ผลักดันการก่อสร้างศูนย์เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำประมงน้ำกร่อย สร้างสะพานปลา ท่าเทียบเรือ ตลาดนัดปลา ริมทะเลสาบ เร่งดำเนินการให้พัทลุงเป็นเมืองหลวงด้านปศุสัตว์ภาคใต้ โดยการเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมโคนมและโคเนื้อ นอกจากนี้จะมุ่งส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ งานทำมือ ศิลปะ วัฒนธรรม สินค้าแปรรูป สินค้าของคนพัทลุง พร้อมจัดตั้งตลาดศูนย์กลางการเกษตรเพื่อเป็นแหล่งกระจายสินค้าที่สำคัญของจังหวัดไปสู่พื้นที่ต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ

'สืบนครบาล'จับกุมดร.เอก คนปั้นดิน แอบอ้างรองนายกฝากเข้ารับราชการ ตุ๋นเงินเสียหายกว่า 14 ล้าน

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมที่กระทำความผิดทุกรูปแบบซึ่งสร้างความเดือนร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริตจำนวนมาก โดยเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2565 ชุดลาดตระเวนออนไลน์สืบนครบาลร่วมกับชุด PCT 5 ออกลาดตระเวนออนไลน์จนพบความเดือดร้อนของประชาชนซึ่งเคยถูกคนร้าย  ชื่อ ดร.เอก ฅนปั้นดิน อ้างตนว่าสามารถฝากเข้ารับราชการองค์การบริหารปกครองส่วนท้องถิ่นได้ สนิทกับ รองนายกรัฐมนตรีเหยื่อหลงเชื่อจ่ายเงิน 3 แสน แล้วหนีหาย โดยได้เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนและศาลได้พิจารณาออกหมายจับแล้ว เหตุเกิดวันที่ 3 กันยายน 2560 ซึ่ง ณ ปัจจุบันยังไม่สามารถติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาได้

จากการตรวจสอบประวัติการกระทำความผิดของผู้ต้องหาเพิ่มเติมของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการที่ 5 กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. และชุด PCT5 ทราบว่าคนร้ายคือ  นายวรพนธ์ หรือเอก กุลสืบ มีหมายจับที่ยังต้องการตัวเพื่อดำเนินคดีอยู่ 6 หมายจับ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. / หัวหน้าชุดปฏิบัติการ PCT5 กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการที่ 5 กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ ฯรีบทำการสืบสวนเพื่อติดตามจับกุมตัวคนร้ายดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว 

ต่อมาวันที่ 8 เมษายน 2566 เวลาประมาณ 13.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง.ผบ.ตร. (สส) พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. / หัวหน้าชุดปฏิบัติการ PCT 5 พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง , พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย รอง ผบก สส.บช.น. , พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท.ยิ่งยศ ลีชัยอนันต์ , พ.ต.ท.พัชรพงษ์ กาญจนวัฎศรี รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท.สมพงษ์ เกตุระติ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. และ ส.ต.อ.ประกิจ ภูมิวงศ์ ผบ.หมู่ กก.วิเคราะห์ข่าวฯ พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการที่ 5 กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. และชุด PCT5 ได้ร่วมกันสืบสวนติดตามจับกุม

นายวรพนธ์ กุลสืบ อายุ 40 ปี อยู่ที่ บ้านเลขที่ 74/1 หมู่ 1 ตำบลดอนยายหอม อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม (เป็นที่รู้จักในนาม ดร.กิตติมศักดิ์ วรพนธ์ กุลสืบ หรือ “ครูเอก ฅนปั้นดิน)ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดปทุมธานี ที่ จ.133/2561 ลงวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2561 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกงทรัพย์ ”        

โดยสามารถจับกุมตัวได้ที่บริเวณหน้าตลาดละแมเมืองใหม่ ตำบลละแม อำเภอละแม จังหวัดชุมพร           

ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การภาคเสธ โดยรับว่าตนเรียนจบปริญญาตรีคณะครุศาตร์ สาขาโยธา , ปริญญาโทคณะบริหารการศึกษา มีทักษะในการพูดเชิงโน้มน้าว เป็นวิทยากรให้ความรู้เกี่ยวกับภาวะผู้นำ การทำงานเป็นทีม รับจัดกิจกรรม Team Building , Walk Rail ฝึกอบรมสัมมนาและพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ทักษะ ความสามารถ โดยเน้นจัดสัมมนาในรูปแบบกิจกรรมบันเทิงเชิงสาระตรงตามวัตถุประสงค์และค่านิยมขององค์กรต่างๆ และรับทำพิธีบวงสรวงต่างๆ เช่น พิธีบายศรู่ขวัญ ปฐมนิเทศ ปัจฉิมนิเทศนักเรียน นักศึกษาฯลฯ มีประสบการณ์การทำงานด้านนี้กว่า 15 ปี 

เกี่ยวกับคดีที่ถูกจับกุม ให้การว่าตนมีพฤติการณ์ชักชวนหาคนที่สนใจเข้ารับราชการซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกศิษย์ หรือผู้ซึ่งเคยเข้ารับการอบรมกับตน ตลอดจนบุคคลที่นับถือศรัทธาตนผ่านการบอกต่อปากต่อปากของคนที่นับถือตน ว่าสามารถฝากบรรจุเข้ารับราชการในหน่วยต่าง ๆ ได้ เช่น สอบบรรจุนายสิบทหารบก , นายสิบตำรวจ , ข้าราชการครู และหน่วยราชการอื่น ๆ อีกหลายหน่วยงาน โดยเรียกเก็บเงินกับบุคคลที่สนใจต่อหัว รายละ 200,000 – 300,000 บาท โดยอ้างว่าสามารถวิ่งเต้น โดยตนอ้างใช้เส้นสายของนักการเมืองระดับรองนายกรัฐมนตรีฝากเข้ารับราชการ มีผู้ร่วมขบวนการซึ่งอ้างว่าเป็นคนทำหน้าที่ติดต่อกับรองนายกรัฐมนตรี และข้าราชการระดับสูงให้ช่วยวิ่งเต็นได้ ชื่อนายเสกสรร โดยมีการแบ่งผลประโยชน์ที่ได้จากเหยื่อแต่ละรายกัน คือตนเองได้ 20 เปอร์เซ็นต์ นายเสกสรร ได้ 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจากการตรวจสอบประวัตินายเสกสรร พบว่าเคยถูกจับกุมในข้อหา “ฉ้อโกงประชาชน” มาแล้ว เมื่อปี 2562 

สำหรับประวัติ นายวรพนธ์ เป็นที่รู้จักในนาม ดร.กิตติมศักดิ์ วรพนธ์ กุลสืบ หรือ “ครูเอก ฅนปั้นดิน” ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัฒนธรรมไทย เคยดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมวิทยากรฅนปั้นดิน, ประธานฝ่ายกิจกรรม สหพันธ์คนดนตรีแห่งประเทศไทย, ผู้ช่วยผู้ตรวจการประจำสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ, เลขานุการองค์กรการมีส่วนร่วมภาคประชาชนตามรัฐธรรมนูญ, คณะกรรมการองค์กรปลูกปัญญาเรียนรู้ชุมชนท้องถิ่น เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเคยได้รับรางวัลศิษย์เก่าดีเด่น ด้านอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรม ม.ย่านปทุม , รางวัลธรรมลักษณ์ศิลา คนดีแบบอย่างของชาติ, รางวัลศิษย์ดีเด่น คนดีศรีพอเงิน, รางวัลลูกผู้มีความกตัญญูอย่างสูง, รางวัลผู้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ, รางวัลบุคคลดีของแผ่นดิน สาขาบุคคลผู้เป็นต้นแบบต่อสังคมดีเด่น จนภายหลังเป็นวิทยากรฝึกอบรม จัดสัมมนา พิธีกร และรับจัดพิธีกรรมตามงานมงคลต่างๆ เช่น พิธีบวงสรวง พิธีบายศรีสู่ขวัญ ทำขวัญนาค ทำขวัญบ่าวสาว

‘สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ’ จับมือ ‘ม.หอการค้าไทย’ เตรียมจัดดีเบต เจาะลึกนโยบายเศรษฐกิจ 9 พรรคการเมือง

สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ จับมือมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดซูเปอร์ดีเบต ‘โค้งสุดท้ายเลือกตั้ง 66 เจาะลึก…นโยบายเศรษฐกิจ 9 พรรคการเมือง’ พร้อม MOU ความร่วมมือ อันเป็นประโยชน์ต่อวิชาชีพสื่อมวลชน

(9 เม.ย. 66) รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พร้อมด้วย นายกฤษณะพงศ์ พงศ์แสนยากร นายกสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมกับ ณ วันที่ 4 เมษายน 2566 โดยมีนางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ ประธานที่ปรึกษามหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, ดร.รวิดา วิริยกิจจา คณบดีคณะบริหารธุรกิจ และคณาจารย์มหาวิทยาลัยหอการค้า กรรมการบริหารสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ เป็นสักขีพยาน
โดยความร่วมมือแรกที่จะเห็นทันที คือการ ร่วมกันจัดสัมมนาดีเบตใหญ่ ‘โค้งสุดท้ายเลือกตั้ง 66 เจาะลึก…นโยบายเศรษฐกิจ 9 พรรคการเมือง’ ขึ้นในวันพุธที่ 3 พฤษภาคม 2566 เวลา 08.30-12.00 น. ณ อาคาร 23 ชั้น 7 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถนนวิภาวดีรังสิต

ซึ่งพรรคการเมืองต่าง ๆ ได้ส่งผู้เข้าร่วม ในระดับหัวหน้าพรรคฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และผู้ร่วมผลักดันนโยบายเศรษฐกิจของพรรค ร่วมดีเบต เช่น นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ตัวแทนพรรคเพื่อไทย, นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย, นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า, หม่อมหลวงชโยทิต กฤดากร จากพรรครวมไทยสร้างชาติ, นายอุตตม สาวนายน จากพรรคพลังประชารัฐ, นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล จากพรรคก้าวไกล, นายชาติชาย พยุหนาวีชัย จากพรรคชาติไทยพัฒนา และนายสุพันธุ์ มงคลสุธี จากพรรคไทยสร้างไทย

โดยภายในงาน จะมีการเปิดผลสำรวจความเห็นประชาชน จากศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในประเด็นนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองที่ประชาชนอยากเห็น และนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองที่แต่ละพรรคจะทำทันที หากได้เป็นรัฐบาล

รศ.ดร.ธนวรรธน์ เปิดเผยว่า ในการแถลงข่าวครั้งนี้ ทั้ง 2 ฝ่าย ได้ร่วมลงนาม MOU ครั้งแรก ระหว่าง มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ เพื่อร่วมกันพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ทั้งในสมาชิกสมาคมผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชน และประโยชน์ต่อสถาบันการศึกษา งานด้านวิชาการจากทางมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย การถ่ายทอดเทคโนโลยี ประสบการณ์จากทางสมาคมสื่อเศรษฐกิจ เพื่อให้มีความก้าวหน้าสอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ พัฒนาภาพลักษณ์และการสื่อสารองค์กร ทั้งภายในและภายนอก มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เป็นระยะเวลา 3 ปี นับจากปี 2566

ตำรวจไซเบอร์ ระดมกวาดล้างอาชญากรรมห้วงก่อนวันหยุดยาวสงกรานต์ จับกุมผู้ต้องหา และตรวจยึดของกลางได้เป็นจำนวนมาก

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก บช.สอท. ขอประชาสัมพันธ์ชี้แจงกรณี ตำรวจไซเบอร์ ระดมกวาดล้างอาชญากรรมออนไลน์ในห้วงก่อนสงกรานต์ ทำการจับกุมผู้ต้องหา และตรวจยึกของกลางได้เป็นจำนวนมาก ดังนี้

ตามที่ในช่วงวันที่ 13 - 17 เม.ย.66 เป็นห้วงหยุดยาววันสงกรานต์ คาดว่าจะมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาเป็นจำนวนมาก ประกอบกับนโยบายด้านการส่งเสริมให้ชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศนั้น นอกจากจะส่งผลกระทบต่อการเดินทางของประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนแล้ว มิจฉาชีพอาจฉวยโอกาสในช่วงเวลาดังกล่าวเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภัยจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งที่ผ่านมาได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนเป็นวงกว้าง 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้ความสำคัญ และมีความห่วงใยต่อภัยจากการหลอกลวงผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ จึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งวางมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมในทุกรูปแบบ ป้องกันไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ซึ่งรับผิดชอบงานป้องกันปราบปราม ได้กำชับสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดดำเนินการตามนโยบาย จัดทำแผนหรือมาตรการป้องกันแลปราบปรามอาชญากรรมเพื่อรองรับช่วงวันหยุดยาวให้สอดคล้องกับสถานกาณ์ดังกล่าว รวมถึงดำเนินการระดมกวาดล้างอาชญากรรมทั่วไป และอาชญากรรมทางเทคโนโลยี นำตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้ขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการเร่งรัดปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง รวมไปถึงการสร้างการรับรู้ให้กับภาคประชาชนเพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อของอาชญากรไซเบอร์

โดยในช่วงระหว่างวันที่ 29 มี.ค. - 9 เม.ย 66 บช.สอท. ได้มีการกำหนดเป้าหมายระดมกวาดล้างอาชญากรรมทั่วไป ได้แก่ ความผิดเกี่ยวกับการพนัน ยาเสพติด การลักลอบหลบหนีเข้าเมือง อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน การสืบสวนจับกุมบุคคลตามหมายจับ เป็นต้น และอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้แก่ การหลอกลวงออนไลน์ด้านการเงิน การหลอกลวงจำหน่ายสินค้าออนไลน์ การเผยแพร่ข่าวปลอม คดีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ การล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กและสตรี การค้ามนุษย์ การพนันออนไลน์ และอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งนี้สามารถทำการจับกุมผู้กระทำความผิดได้กว่า 307 คดี ผู้ต้องหากว่า 329 ราย พร้อมทั้งตรวจยึดของกลางได้เป็นจำนวนมาก มีคดีสำคัญและน่าสนใจ เช่น ปฏิบัติการเหนือเมฆ ตรวจค้น 17 จุด ทั่วประเทศ จับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายเว็บไซต์เงินหมุนเวียนกว่า 3,000 ล้านบาท, จับกุมผู้ต้องหาหลอกลวงให้เช่าบูชาพระเครื่องในกลุ่มต่างๆ กว่า 60 กลุ่ม, จับกุมผู้ต้องหาลักลอบจำหน่ายอาวุธปืนออนไลน์ รวมถึงจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับค้างเก่าอีกหลายคดี เป็นต้น นอกจากนี้แล้ว บช.สอท. ยังได้วางมาตรการป้องกัน ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบถึงกลโกง หรือแผนประทุษกรรมของมิจฉาชีพ ผ่านทางจอภาพในพื้นที่ต่างๆ หรือผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพอีกด้วย 

‘จูรี’ อ้อนชาวชุมพร เลือก ‘ชาติพัฒนากล้า’ กาให้ ‘ทนายลิขิต’ ชู ‘กรณ์’ ทำพรรคนี้เพื่อปากท้อง ไม่ด่าทอ ไม่ทะเลาะกับใคร

‘กรณ์-จูรี’ ลุยชุมพร ช่วย ‘ทนายลิขิต’ หาเสียง อ้อนขอโอกาสลูกชาวบ้าน กาให้ชาติพัฒนากล้า พัฒนาเศรษฐกิจชุมพร

(9 เม.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในระหว่างวันที่ 5-9 เมษายน 2566 นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า พร้อมด้วยนายจูรี นุ่มแก้ว ดาวติ๊กตอกขวัญใจคนใต้ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 จังหวัดสงขลา และทีมงาน ได้ตระเวนช่วยผู้สมัคร ส.ส.ในพื้นที่ต่าง ๆ ตั้งแต่ จังหวัดภูเก็ต จังหวัดสุราษฎร์ธานี และพื้นที่สุดท้ายคือที่จังหวัดชุมพร โดยนายกรณ์ และนายจูรี ลงพื้นที่จังหวัดชุมพร เพื่อช่วยทนายลิขิต ศรีชาติ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 จังหวัดชุมพร หาเสียง โดยพบปะพี่น้องประชาชนบริเวณ บริเวณหลาดเล อำเภอท่าแซะ และจัดเวทีปราศรัยที่ถนนคนเดินสะพลี อำเภอปะทิว โดยมีประชาชนให้ความสนใจและให้การต้อนรับเป็นจำนวนมาก บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก และอบอุ่น

นายกรณ์ กล่าวว่า จ.ชุมพร ถึงเวลาต้องมีการเขย่าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ ๆ ได้เข้ามาทำการเมืองสร้างสรรค์ พรรคชาติพัฒนาเราส่งผู้แทนคุณภาพที่เป็นลูกชาวบ้าน คือ ทนายลิขิต ศรีชาติ เป็นอดีตรองนายก อบจ.ที่ลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนมากว่า 3 ปี แล้ว ไม่ได้เพิ่งมาตอนจะมีการเลือกตั้ง และนโยบายพรรคชาติพัฒนากล้าเอง ก็ได้รับการยอมรับว่า แหลมคมที่สุดในด้านเศรษฐกิจ และสามารถสรุปได้ง่าย ๆ แค่ 3 คำคือ งานดี มีเงิน ของไม่แพง เพราะเรารู้ว่านี่คือสิ่งที่ประชาชนทั้งประเทศต้องการ เราต่อสู้มาตลอดตั้งแต่ราคาน้ำมัน ค่าไฟฟ้า ยกเลิกแบล็กลิสต์ ฯลฯ ที่เอาเปรียบประชาชน เอื้อนายทุน 

หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า พวกเราเลือกที่อยู่พรรคเล็ก ๆ และยืนหยัดต่อสู้กับนายทุน เพราะเราไม่ได้พึ่งพาปัจจัยการสนับสนุนจากทุนใหญ่เลย เราจึงกล้าที่จะพูดและกล้าที่จะทำในสิ่งที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน ในฐานะที่อดีต รมว.คลัง และอดีตนายธนาคาร ขอยืนยันนโยบายทุกนโยบายเป็นไปได้ โดยเฉพาะภาคการเกษตร นโยบายประกันรายได้ ตนเป็นคนคิดเอง แต่เป็นการออกแบบแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ใช่เอามาใช้ปีแล้วปีเล่า แต่ชาวบ้านก็ยังจนเหมือนเดิม ถ้าจะดีราคาสินค้าทางการเกษตรต้องดีอย่างยั่งยืน เกษตรกรต้องเป็นนายทุน กำหนดราคาสินค้าเอง ขอเพียงโอกาสให้ตนได้เข้าไปทำงาน ตนจะทำให้ดู 

“หากพี่น้องประชาชนต้องการสร้างโอกาสให้ลูกหลาน ผู้สูงอายุได้รับการดูแล ความเดือดร้อนทางด้านปากท้องของพี่น้องประชาชนได้รับการแก้ไข ก็ต้องกาเบอร์ 6 เลือกทนายลิขิต ไปเป็นผู้แทน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และกาเบอร์ 14 เพื่อให้ผมเข้าไปทำงาน” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว 

นายจูรี กล่าวระหว่างขึ้นเวทีปราศรัย ว่า ดูจากจำนวนคนที่เข้าร่วมฟังเวทีปราศรัยในครั้งนี้ รู้ทันทีว่าเงินซื้อชาวบ้านไม่ได้ เพราะเป็นพลังเสียงที่บริสุทธิ์ ทำให้เห็นความหวัง และได้กลิ่นความเจริญของชุมพรกำลังลอยมาแล้ว การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นการเลือกตั้ง ที่มี่การใช้เงินครั้งมโหฬารที่สุด พวกเขาเห็นประชาชนเป็นปลา จึงเอาเหยื่อมาล่อ ให้ชาวบ้านไปกินเหยื่อเขา เราต้องให้บทเรียนพวกนั้นว่า คนชุมพร กินเหยื่อ แต่ไม่กินเบ็ด ให้คนตกปลามันกลัวไปเลย ขอให้ชาวบ้านมาร่วมสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่กัน โดยการให้โอกาสลูกชาวบ้านเข้าไปเป็นผู้แทน 

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน 2566

เหตุบังเอิญ
ไม่มีในโลก
ทุกอย่างล้วนถูกจัดสรร
ตามเหตุและผล
เปลี่ยนแปลงได้ด้วย...
“บุญกุศล”

‘ธนาธร’ ซัด ‘สุชาติ’ หลังเคลมว่างงานลดลงเป็นผลงานรัฐบาล อัดนักการเมือง ถูก ปชช.เลือกมาแท้ๆ แต่ไม่เคารพประชาธิปไตย

เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 66 ระหว่างการประชันวิสัยทัศน์ระหว่างตัวแทนพรรคการเมือง 8 พรรค ในรายการสด ‘DEBATE ประเทศไทย เปิดเวทีภาคตะวันออก’ โดยสำนักข่าว Nation ในช่วงหนึ่ง สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และตัวแทนจากพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้กล่าวถึงผลงานรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยระบุว่าช่วงที่เกิดโควิด รัฐบาลได้เป็นผู้ประคับประคองอุตสาหกรรมส่งออกและอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จนสถานการณ์เศรษฐกิจอยู่ในการควบคุม

ทำให้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สภายานยนต์แห่งประเทศไทยได้ตกลงโบนัสพนักงานในระดับที่น่าพอใจ เช่น อิซุสุ ให้ 8.5 เท่า บวกเงินอีก 3.5 หมื่นบาท โตโยต้า ให้ 7.5 เท่าบวกเงินอีก 3.8 หมื่นบาท ซึ่งทั้งหมดนี้ เกิดจากโครงการ Factory Sandbox ที่ตรวจโควิดฟรี เช่าโรงแรมให้กักตัว ฉีดวัคซีนให้หมด 100% และห้ามปิดโรงงาน ทำให้บริษัทต่าง ๆ ยังคงผลิตตามออเดอร์ส่งออกได้ตลอดเวลา จนบริษัทในไทยหลายบริษัท ยังคงทำกำไรและรักษาการจ้างงานเอาไว้ได้ และทำให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราว่างงานต่ำที่สุดในโลก อยู่ที่แค่กว่า 1% เกิดจากรัฐบาลรักษาการจ้างงานเอาไว้ได้

ซึ่งในช่วงต่อมา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล ได้ใช้โอกาสแจกแจงข้อเท็จจริงดังกล่าว โดยระบุว่า ตนไม่อยากให้ประชาชนเข้าใจผิด เพราะบริษัท โตโยต้า และอิซุสุ จ่ายโบนัสระดับ 8 - 10 เดือนให้พนักงานมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว อีกทั้งการว่างงานก็ยืนอยู่ที่ระดับ 0.75 -1.5% เป็นสิบ ๆ ปีมาแล้วเช่นกัน ไม่ใช่ผลงานของใครคนใดคนหนึ่งแน่ ๆ

ทำให้นายสุชาติ ใช้สิทธิพาดพิงลุกขึ้นตอบโต้ โดยระบุว่า นายธนาธรไม่ได้อยู่แบบตน อาจจะฟังมาผิด เพราะถ้ารัฐบาลไม่แก้ปัญหาโควิด ไม่รักษาการจ้างงาน ไม่รักษาออเดอร์ส่งออก ก็ไม่มีวันนี้

ขณะที่นายธนาธรเอง ก็ตอบโต้อย่างทันควันเช่นกัน โดยระบุว่า ตนอยู่ในอุตสาหกรรมนี้มา 20 ปี นายสุชาติไม่รู้สู้ตนแน่ ๆ ส่วนอัตราการว่างงานของประเทศไทย ต้องย้ำอีกครั้งยืนอยู่ระดับนี้มาเป็นสิบ ๆ ปีแล้วที่ 0.75 - 1.5% แม้แต่ช่วงโควิดก็เพิ่มขึ้นไปไม่ถึง 2% แล้ววันนี้ตกมาสู่ระดับเดิมแล้ว ทั้งนี้ไม่ต้องเชื่อตนก็ได้ ทุกคนสามารถไปหาดูเองได้จากเว็บไซต์หน่วยงานรัฐทั่วไป

หลังจากนั้น ในช่วงท้ายของการดีเบต พิธีกรได้ให้ตัวแทนแต่ละพรรคการเมืองได้พูดทิ้งท้ายสั้น ๆ ซึ่งหลายพรรคการเมืองได้เน้นย้ำถึงการไม่ทะเลาะขัดแย้งกัน ทว่าในส่วนของนายธนาธร ได้กล่าวในช่วงของตนว่าอนาคตของประเทศไม่ใช่เรื่องของการที่ใครจะทะเลาะกับใครหรือไม่ แต่คือการยืนยันเรื่องพื้นฐานที่สุด นั่นคือการที่ประเทศไทยต้องเป็นประชาธิปไตย ให้ไม่มีการรัฐประหารอีกในอนาคต จะทะเลาะกันหรือไม่ต้องยืนยันหลักการพื้นฐานเหล่านี้

“แต่ที่ประเทศไทยมีประชาธิปไตยไม่ได้ มีรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็เพราะมีนักการเมืองกลุ่มหนึ่งยังฝักใฝ่รับใช้เผด็จการ ถ้าไม่ทางตรงก็ทางอ้อม เป็นนั่งร้านหรือรับใช้พวกเขาตรงๆ  การมีนักการเมืองอย่างนี้ทำให้เผด็จการไม่สูญหายไปจากประเทศไทยเสียที” นายธนาธร กล่าว

'ปิยบุตร' ลุยหาเสียงขอโอกาสพี่น้องชาวบึงกาฬ กา ‘ก้าวไกล’ ลั่น!! มีจุดยืนชัดเจน อภิปรายในสภาได้เต็มที่ไม่เกรงใจใคร

วันนี้ (8 เมษายน 2566) ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้าและผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล เดินหน้าหาเสียงให้แก่ผู้สมัครสมาชิกผู้แทนราษฎรจังหวัดบึงกาฬ เขต 2 (สำรวย ศรีทิน) และเขต 3 (ณัฐพงษ์ ป้องปิ่น) โดยมีประชาชนให้ความสนใจจำนวนมาก

ปิยบุตร เริ่มด้วยการเสนอนโยบายของพรรคก้าวไกลที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะพี่น้องชาวอีสานและบึงกาฬ เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ, การปลดหนี้ ธ.ก.ส. เกษตรกรสูงวัย, การเปลี่ยนที่ดิน ส.ป.ก ให้เป็นโฉนด, การยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร และการปฏิรูปตำรวจ

"นโยบายแต่ละตัวที่พรรคก้าวไกลประกาศ เป็นนโยบายที่เล็งเห็นผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ก่อนทั้งสิ้น"

ปิยบุตรกล่าวว่า ที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลได้พิสูจน์แล้วว่า แม้ก้าวไกลจะเป็นพรรคฝ่ายค้าน แต่ก็สามารถทำงานแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนได้อย่างแท้จริง แต่กระนั้นก็แก้ไขได้อย่างจำกัดเพราะยังมีอำนาจไม่มากพอ เช่นนี้หากได้เป็นรัฐบาลในการเลือกตั้งที่จะถึง พรรคก้าวไกลก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นระบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น

ทั้งนี้ ปิยบุตรชี้ว่า ทุกพรรคการเมืองต่างก็แข่งกันนำเสนอนโยบายที่ต่างฝ่ายต่างคิดว่าดี แต่ถึงอย่างนั้น หากการเมืองยังไม่ดี นโยบายที่ดีทั้งหมดนั้นก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ หรือเกิดขึ้นได้แต่ก็ไม่ยั่งยืน เพราะนโยบายจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการเมืองดี

"ที่ผ่านมาพี่น้องเลือกพรรคการเมือง แล้วทหารออกมายึดอำนาจ ยึดเสร็จแล้วก็เลือกตั้งใหม่ เลือกตั้งเสร็จก็โดนยึดใหม่ วนเวียนแบบนี้มาเรื่อยๆ นโยบายแก้ปัญหาปากท้องอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ มันต้องแก้โครงสร้างให้การเมืองดี เป็นประชาธิปไตย ให้ทหารเป็นทหารอาชีพ ไม่ใช่ตั้งตัวเป็นใหญ่อย่างที่ผ่านมา โดยพรรคก้าวไกลเป็นพรรคเดียวที่ประกาศชัดเจนว่า ถ้ามีการรัฐประหารเมื่อไหร่ จะมีการดำเนินการทางกฎหมายกับคนที่ออกมายึดอำนาจทันที เพื่อไม่ให้การรัฐประหารและการนิรโทษกรรมความผิดของตัวเองทำได้ง่ายๆ อีกต่อไป"

ต่อประเด็นคำถามว่า หากมีการรัฐประหารเกิดขึ้นอีกในอนาคต ส.ส. ก้าวไกล จะทำอย่างไร ปิยบุตรกล่าวว่า ผู้แทนจากพรรคก้าวไกลก็จะเป็นแถวหน้าต่อต้านการรัฐประหาร ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับประชาชน ไม่ใช่ปล่อยให้ประชาชนสู้อย่างโดดเดี่ยวอย่างที่เป็นมา

ปิยบุตร ยังย้ำถึงความโดดเด่นของผู้แทนจากก้าวไกลว่า จะทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงไปอภิปรายในสภาให้ประชาชนอย่างแข็งขัน ไม่ใช่พอได้ตำแหน่งแล้ว ไม่เคยพูดในสภาเลยแม้แต่คำเดียวอย่างที่เป็นอยู่ ก่อนจะย้ำข้อแตกต่างระหว่างก้าวไกลกับพรรคการเมืองอื่นๆ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top