Sunday, 15 June 2025
SPECIAL

‘พท.’ เสนอ ยกเครื่อง คกก. จัดสรรบุคลากร-งบประมาณท้องถิ่น แก้ปัญหาการกระจายอำนาจไทย หลังถดถอยสุดในรอบ 25 ปี

(11 เม.ย. 66) เฟซบุ๊กแฟนเพจหลักของ ‘พรรคเพื่อไทย’ ได้ออกมาโพสต์ข้อความ โดยมีเนื้อหาระบุว่า…

“สังคมไทยกำลังต้องการการกระจายอำนาจอย่างมาก เราพบว่า 9 ปีมานี้ การกระจายอำนาจของประเทศไทยถอยหลังที่สุดในรอบ 25 ปี คำถามคือปัญหาคืออะไรและเราจะต้องแก้อย่างไร”

ส่วนหนึ่งจากการเสวนาของ จาตุรนต์ ฉายแสง คณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง พรรคเพื่อไทย และผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในงานสัมมนาหัวข้อ ‘ท้องถิ่นมั่งคั่ง ประเทศมั่นคง’ ร่วมกับตัวแทนพรรคการเมืองอื่นรวม 8 พรรค ที่โรงแรมไฮเอท รีเจนซี่ กรุงเทพ เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2566 

จาตุรนต์ ฉายแสง เริ่มต้นกล่าวว่า การพูดถึงเรื่องการกระจายอำนาจ ก็คือการพูดวางบทบาทของรัฐบาลส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่นว่าจะวางบทบาทอย่างไรให้เหมาะสม เพราะโลกปัจจุบันมีเรื่องใหญ่มาก ๆ ที่รัฐบาลต้องทำ ซึ่งมีทั้งทำไม่ทัน และทำทันแต่ทำได้ไม่ดี เพราะฉะนั้น ต้องมายืนบนหลักการให้ได้ว่า รัฐบาลหรือส่วนกลาง จะต้องไม่ไปแย่งงานท้องถิ่นหรือไปทำงานแทนท้องถิ่น

ประเทศไทยเพิ่งผ่านการเลือกตั้งท้องถิ่นล่าสุด คือ การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และกำลังดำเนินเข้าสู่การเลือกตั้งใหญ่ทั่วไปอีกไม่นาน ภายหลังการยึดอำนาจเมื่อปี 2557 ซึ่งการยึดอำนาจทุกครั้งทำให้การกระจายอำนาจถอยหลังเข้าคลอง อยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก พูดไม่ได้ขยับไม่ไป พูดไม่ดีถูกปลดถูกจับติดคุก

[ปัญหาของการกระจายอำนาจที่ผ่านมา]
ภายหลังการยึดอำนาจมา 9 ปี แต่การกระจายอำนาจประเทศไทยถอยหลังไป 25 ปี คำถามคือ ปัญหาคืออะไรและแก้ไขอย่างไร

1.) การกำกับควบคุม
พบว่า มีการกำกับควบคุมจากส่วนกลางเต็มไปหมด โดยเฉพาะคำสั่ง คสช. ซึ่งคำสั่งของ คสช.ครอบท้องถิ่นไปจนถึงแม้แต่เรื่องการแต่งตั้งโยกย้าย เขาขาดคนแต่ไม่แต่งตั้งคนทำงานให้ ดังนั้น การแต่งตั้งโยกย้ายความจริงต้องทำให้ท้องถิ่นมีบทบาทมากขึ้น สามารถที่จะดูว่าจะได้บุคลากรอย่างไรสอดคล้องกับท้องถิ่น และทำให้เส้นทางความก้าวหน้าของข้าราชการส่วนท้องถิ่นเขามีที่จะไปได้ทั่วประเทศ เรื่องนี้จำเป็นจะต้องมีความสมดุล

2.) เรื่องงาน และการถ่ายโอนภารกิจ
งานที่ท้องถิ่นต้องทำมีทั้งเรื่อง Reskill-Upskill เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ที่เป็นสมัยใหม่ หรือส่งเสริมนวัตกรรมฝึกอาชีพ ซึ่งถ้าทำกันจริง ๆ สตง.ก็จะบอกว่าทำไม่ได้ เพราะคณะกรรมการกระจายอำนาจไม่ได้แบ่งหน้าที่ไว้ให้เขา เพราะฉะนั้น ตรงนี้ต้องทำให้มันเกิดความชัดเจน เมืองสมัยใหม่ต้องการการพัฒนา ทางพรรคเพื่อไทยก็คิดว่าจังหวัดไหนต้องการจังหวัดจัดการตนเอง เราจะส่งเสริมจังหวัดที่มีความพร้อมมีเงื่อนไขที่เหมาะสม เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดนำร่องประมาณ 4-5 จังหวัด ยกฐานะองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ทั่วประเทศให้เป็นเทศบาลตำบล

3.) เรื่องเงินรายได้
9 ปีที่ผ่านมา ท้องถิ่นได้เงินจากงบประมาณไม่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ไม่จัดรายได้ให้สอดคล้องกับภารกิจ มีแต่งาน แต่ไม่มีงบประมาณจ่ายมา และกลายเป็นท้องถิ่นไม่ได้ทำในสิ่งที่ท้องถิ่นหรือประชาชนต้องการ ทำได้แต่งานที่ส่วนกลางหรือรัฐบาลฝากทำ และที่หนักสุดคือ งบท้องถิ่น ท้องถิ่นควรได้เป็นคนพิจารณา แต่กลับเอาไปให้สภาผู้แทนพิจารณาแทน ซึ่งผิดหน้าที่ ดังนั้น ต้องเพิ่มงบท้องถิ่นให้ร้อยละ 35 ภายใน 2 ปีงบประมาณ และยกเลิกงานฝากจากส่วนกลางออกไปจากบัญชีท้องถิ่น เพื่อให้ท้องถิ่นมีรายได้ตัวเองไปใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชนได้

‘อนุทิน’ ลุยหาเสียง ‘นครนายก’ ย้ำ นโยบายพรรคไม่ขายฝัน เน้นทำได้ระยะยาว สร้างความมั่นคง ทั้ง ปชช.-ประเทศชาติ

(11 เม.ย. 66) ที่วัดบางปลัง ตำบลศรีจุฬา อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) และแกนนำพรรค อาทิ นายสรอรรถ กลิ่นประทุม ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาพรรคภูมิใจไทย และผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ, นายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนพรรค และผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ น.ส.อนุสรี ทับสุวรรณ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลงพื้นที่ ช่วยผู้สมัครหาเสียง พร้อมทั้งแนะนำนโยบายพรรค ได้แก่ นายปิยวัฒน์ กิตติธเนศวร ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 จังหวัดนครนายก และนายวุฒิชัย กิตติธเนศวร ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 จังหวัดนครนายก ท่ามกลางประชาชนที่มาฟังการปราศรัยอย่างคับคั่ง โดยมีการขอถ่ายรูปกับนายอนุทิน และผู้สมัคร พร้อมมอบดอกไม้ให้กำลังใจ

นายอนุทิน กล่าวว่า พื้นที่ จ.นครนายก มีการทำเกษตรกรรมกันมาก และท่านผ่านอะไรมาเยอะ มันก็แก้ปัญหาท่านไม่ได้ วันนี้พรรคภูมิใจไทยมีแนวทางใหม่มานำเสนอเรียกว่า เกษตรร่ำรวย คือ เกษตรกรต้องรู้ราคาล่วงหน้า ก่อนจะปลูก ถ้าได้ราคาที่พอใจ มีกำไร ไม่ขาดทุน จึงตัดสินใจปลูก และเกษตรกรต้องมีประกันการเพาะปลูก ได้รับเงินที่ลงทุนไป ในกรณีที่ไร่นาผลผลิตเสียหายจากภัยธรรมชาติ ภัยพิบัติ หรือ ต้นทุนปัจจัยการผลิตที่ผันผวน ชาวไร่ ชาวนา ไม่ต้องเสี่ยงดวง แต่ได้ตัดสินใจบนข้อมูล ทั้งยังได้รับการดูแลจากภาครัฐฯ

นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า ที่มานั่งฟังกันในวันนี้มีผู้สูงวัยจำนวนมาก สังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ นโยบายของพรรค ให้ความสำคัญกับท่าน เราไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง คนทุกรุ่นล้วนสำคัญ เรามีนโยบายผู้สูงอายุให้สิทธิเป็นสมาชิกกองทุนประกันชีวิต และมีกรมธรรม์ประกันชีวิตทันทีโดยไม่ต้องสมัคร และไม่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิต ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ให้สิทธิกู้เงินดูแลตัวเอง วงเงิน 20,000 บาท ในวันที่เสียชีวิต ทุกคนจะมีมรดกให้ลูกหลาน ทายาท และครอบครัว รายละ 100,000 บาท

นอกจากนี้ พรรคเรายังต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชน คนไทยทุกครัวเรือนมีสิทธิเข้าร่วมโครงการ การไฟฟ้าประชาชนสนับสนุนให้ทุกครัวเรือนใช้พื้นที่บ้านของตัวเอง หรือพื้นที่ส่วนกลางในชุมชน ติดตั้งโซลาร์เซลล์ ผลิตกระแสไฟฟ้าขายให้กับรัฐบาล ลดค่าไฟฟ้าได้ไม่น้อยกว่า 450 บาทต่อเดือน และสิทธิซื้อมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าบ้านละ 1 คัน ในราคา 6,000 บาท ด้วยระบบผ่อนชำระ เดือนละ 100 บาท เป็นเวลา 60 เดือน

‘นักวิชาการ’ มองการเมืองปากน้ำ หลัง ‘บ้านใหญ่’ สิ้นหัวเรือ เปลี่ยนขั้วย้ายค่าย หลังผล ‘เลือกตั้ง 66’ ชัด!! อาจบังเกิด

ดูเหมือน 1 ในจังหวัด ที่น่าสนใจและถูกหยิบมาวิเคราะห์ในฐานะพื้นที่น่าจับตามองในการเลือกตั้งครั้งนี้ หลัง กกต. ปิดรับสมัคร ส.ส.ทั้งแบบแบ่งเขต และ แบบบัญชีไปแล้วเรียบร้อย ดูจะไม่พ้น 'เมืองปากน้ำ' จังหวัดสมุทรปราการ ที่มี ส.ส. 8 คน จาก 8 เขต ซึ่งการเลือกตั้งปี 2562 ที่ผ่านมา พรรคพลังประชารัฐ สามารถกวาด ส.ส.ยกแผง 6 จาก 7 ที่นั่ง

โดยในการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคมนี้ ‘ตระกูลอัศวเหม’ ส่งตัวแทนลงสมัคร ส.ส.ด้วยกันถึง 5 คน จาก 2 พรรค ทั้งแบบบัญชีรายชื่อ และแบบแบ่งเขต นำโดย...

อัครวัฒน์ อัศวเหม ลงชิงเขต 1 พรรคพลังปราชารัฐ, วรพร อัศวเหม เขต 4 พรรคพลังประชารัฐ, ต่อศักดิ์ อัศวเหม ชิงเก้าอี้เขต 7 สมุทรปราการ ขณะที่ พิม อัศวเหม มีชื่อในปาร์ตี้ลิสต์อันดับ 8 ของพรรคพลังประชารัฐ และ ชนม์ทิดา อัศวเหม ที่ติดอันดับ 5 ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคภูมิใจไทย

ทว่า การจากไปอย่างกะทันหันของ ‘เอ๋ ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม’ หัวเรือบ้านใหญ่ปากน้ำ ก็ดูจะสั่นสะเทือนการเมืองสมุทรปราการไม่น้อย ด้วยขาดผู้นำทัพที่พาให้สมุทรปราการก้าวหน้า กวาดที่นั่งทั้งผู้แทนระดับประเทศ และ ระดับท้องถิ่นไปได้ทั้งหมด

ทำให้การเมืองปากน้ำ น่าจับตาถึงก้าวต่อไป ไม่เฉพาะเพียงแต่จะสามารถกวาด ส.ส.ยกจังหวัดได้อีกครั้งเหมือนปี 2562 หรือไม่ แต่ยังต้องมองต่อไปถึงหลังเลือกตั้งกันทีเดียว

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ชาลินี สนพลาย อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้สนใจการเมืองท้องถิ่น และ ตระกูลการเมือง ได้มองภาพการเมืองปากน้ำ ที่มากไปกว่าการเลือกตั้งรอบนี้ เมื่อสิ้นหัวขบวนบ้านใหญ่ปากน้ำ ไว้อย่างน่าสนใจ โดยก่อนจะวิเคราะห์ถึงเส้นทางไปสู่การเลือกตั้งใหญ่ อาจารย์ชาลินี เปิดประเด็นชวนมองถึง ‘บ้านใหญ่ สมุทรปราการ’ ที่แตกต่างกับจังหวัดที่มีบ้านใหญ่อื่น ๆ ไว้ว่า สมุทรปราการนั้น แต่เดิมไม่ได้เป็นพื้นที่อันหนึ่งอันเดียวอยู่แล้ว ตระกูลอัศวเหมไม่ได้สามารถควบคุมพื้นที่เบ็ดเสร็จ เด็ดขาด ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ เหมือนในบางพื้นที่

“การทำงานของบ้านใหญ่โดยทั่วไปแล้ววางอยู่บนการทำงานลักษณะเครือข่าย มีกลุ่มก้อนหลายระดับมารวมกัน ซึ่งบ้านใหญ่ คือคนที่ประสานกลุ่มก้อนการเมืองมาไว้ในเครือข่ายและร่วมมือกันได้ และความที่ธรรมชาติของเครือข่ายมันมีความเปราะบาง การรักษาเครือข่ายก็ต้องใช้ความสามารถระดมทรัพยากรมาดูแล รวมไปถึงความสามารถในการจัดสรรทรัพยากรให้กับกลุ่มย่อย ๆ ในเครือข่ายใหญ่ เพื่อให้ไปดูแลพื้นที่ ไปดูแลฐานเสียงได้”

“อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องการมาก ๆ ก็คือ Charismatic Leadership ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการนำ โดยปกติแล้วทรัพยากรทางเศรษฐกิจและทรัพยากรทางการเมืองหลายอย่างอาจส่งต่อให้ลูกหลานได้ อาจมีระบบวางไว้พอสมควร แต่ คาริสมาติก และภาวะการนำ มันไม่ได้ส่งต่อให้ลูกหลานกันได้ง่าย ๆ”

การเปลี่ยนผ่าน จึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ท้าทายคนที่จะมาดูแลต่อ ว่าจะมีความสามารถขนาดไหน ซึ่ง อ.ชาลินี ระบุว่า ความท้าทายในระยะเปลี่ยนผ่านนี้เคยเกิดขึ้นกับในชลบุรี และ สุพรรณบุรี เช่นกัน บ้านใหญ่ชลบุรีเอง ต้องใช้เวลานานกว่าจะกลับมา และยังเจอความท้าทายอยู่ ขณะที่ในสุพรรณบุรี ก็มีความท้าทายอยู่เช่นกัน

ขณะที่ ‘สมุทรปราการ’ ก็นับเป็นพื้นที่ ที่ยากเป็นพิเศษ ในทัศนะของอ.ชาลินี ด้วยเพราะเป็นเมืองที่มีพลวัตสูง มากกว่า ชลบุรีและสุพรรณบุรี มีความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมสูง ด้วยความที่อยู่ในจุดยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจ ทำให้อยู่ในสถานะที่ยากในการรักษาความมั่นคงของเครือข่ายทางการเมือง กล่าวคือ การเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง ยิ่งส่งผลต่อความสามารถในการสะสมและผูกขาดทรัพยากรของชนชั้นนำ มีโอกาสที่เกิดชนชั้นนำใหม่ๆ มาแย่งชิง และก็ส่งผลต่อความสามารถในการดูแลเครือข่าย

ในด้านสังคม อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มองว่า องค์ประกอบของประชากรที่เปลี่ยนแปลงเร็ว เพราะเศรษฐกิจเติบโตเร็ว มีคนเข้า-ออกมาก ขณะที่คนในพื้นที่เดิมก็เปลี่ยนแปลงเร็ว ทำให้ยากที่จะ Hold ประชาชนไว้ คนย้ายเข้ามาใหม่นั้น ยากมากที่จะเกิดความผูกพันทางสังคมกับพื้นที่ หรือจะผนวกตัวเองเข้ากับเครือข่ายเดิม ยิ่งการเป็นชนชั้นกลางเพิ่มขึ้น ยิ่งคาดเดาได้ยาก

เพราะกลุ่มนี้เป็นคนที่เปลี่ยนใจทางการเมืองได้ตลอดเวลา และมีแนวโน้มที่จะผูกโยงตนเองเข้ากับชนชั้นกลางนอกพื้นที่ มากกว่าผูกตัวเองในพื้นที่ คือ เขาไม่ได้รู้สึกว่าเป็นคนสมุทรปราการ แต่มีวิถีชีวิต ผูกกับคนชนชั้นกลางพื้นที่อื่นมากกว่า ซึ่งเกิดขึ้นกับ นนทบุรี เช่นกัน คือ มีแนวโน้มจะให้ความสำคัญกับนโยบายมหภาค มากกว่าการเมืองเชิงพื้นที่ คือไม่ต้องเอาตัวไปผนวกกับเครือข่ายไหน ก็เข้าถึงนโยบายรัฐได้

“ไม่รวมถึงว่า จะสูญเสียนายชนม์สวัสดิ์ไหม แต่มันลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาตั้งแต่ก่อน วัฒนาจะไม่อยู่ และยังมีอีกระลอก จึงเป็นความยากในยากในยาก”

ชาลินี กล่าวต่อว่า ตอนที่นายวัฒนาไม่อยู่ นายชนม์สวัสดิ์ ได้ถูกเตรียมพร้อมมากพอสมควร แต่วันนี้ที่ชนม์สวัสดิ์ไม่อยู่ อัศวเหมรุ่นที่ 3 ยังไม่ถูกเตรียมความพร้อม ในระดับเดียวกับที่ชนม์สวัสดิ์ถูกเตรียม ยิ่งกับสภาพพื้นที่ที่เปลี่ยนแปลงสูงขนาดนี้ ‘ยิ่งท้าทายมาก’

“เป็นโอกาสอันดี ที่คนที่เคยอยู่ในเครือข่ายเดียวกัน ที่เกาะกันแบบหลวมๆ นั้น จะมีคนที่อยากช่วงชิงการนำในพื้นที่ ไม่ว่าจะเครือข่ายเดิม หรือ พวกนอกเครือข่าย ที่มาแย่งชิงกลุ่มก้อนการเมืองที่อยู่กับอัศวเหม ไปผนึกขั้วกับเขาได้ หรือเป็นไปได้แม้กระทั่งว่า อาจเป็นโอกาสที่พรรคการเมืองอย่างก้าวไกล ที่ชูความเป็นตัวแทนของชนชั้นกลางรุ่นใหม่ และทำการเมืองแบบใหม่ อาจจะเข้าไปเกาะเกี่ยวผู้คนที่หลุดออกจากเครือข่ายการเมืองเดิมได้” ชาลินี กล่าว

ในระยะสั้น แน่นอนว่าคำถามมักไปตกอยู่กับกลุ่มสมุทรปราการก้าวหน้า ขั้วพลังประชารัฐ ที่หลายคนมองว่า จะสามารถกวาดเสียงสมุทปราการได้แบบครั้งที่แล้วหรือไม่? ซึ่งเรื่องนี้ ชาลินี มองว่า การเมืองมีความสะส่ำระส่ายสูง ฐานเสียงของผู้สมัครแต่ละคนถูกช่วงชิงไป วิธีการการเมืองเป็นแบบนี้ การมีหรือไม่มีชนม์สวัสดิ์ ส่งผลต่อความสามารถในการดึงดูดกลุ่มการเมืองท้องถิ่น พอไม่มีอยู่ ก็เป็นไปได้ที่จะถูกแย่งชิง อีกทั้งบางส่วนยังเป็นพื้นที่เสื้อแดง จึงเรียกว่าายากขึ้น ที่จะกวาด ส.ส.ยกจังหวัดเหมือนเดิม

แต่ นักรัฐศาสตร์ ชวนมองมากไปกว่าการเปลี่ยนแปลงที่จะได้เห็น ในช่วงการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคมนี้ นั่นเพราะ รอยรั่ว อันเกิดจากการสูญเสียหัวเรือใหญ่ที่ผ่านมา เปิดโอกาสให้คนมีศักยภาพ เข้าไปแทนที่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับ เพื่อไทย / ก้าวไกล และ ภูมิใจไทย

“ทายาทสายตรงทางการเมืองของ คุณชนม์สวัสดิ์ ก็คือ ‘น้องเพลง’ ซึ่งยังใหม่มาก จำเป็นต้องมีทีมซัพพอร์ตเยอะมาก ถ้าจะสืบทอดการเมืองต่อ แต่เราไม่รู้ว่าในตระกูลอัศวเหมมีความเป็นเอกภาพขนาดไหน ไม่เหมือนอย่าง ตระกูลคุณปลื้ม ที่ชัดเจนว่ามีความเป็นเอกภาพมาก แม้ว่าของอัศวเหมเรายังเห็นคนเป็นหลาน ที่ลงมาเล่นการเมืองอยู่ แต่มีบารมีมากพอไหม และเคยได้มีโอกาสช่วยดูแลเครือข่ายทางการเมืองมากน้อยแค่ไหน เพราะไม่มีใครคิดว่าจะสูญเสียผู้นำหลักเร็วเช่นนี้”

‘พิธา’ หาเสียงเมืองจันท์ ชวนกาหน้าใหม่เข้าสภาฯ ลั่น!! เมืองหลวงผลไม้จันทบุรี จะมีอนาคตที่สดใส

‘พิธา’ หาเสียงเมืองจันท์ ให้ความเชื่อมั่น ‘ก้าวไกล’ คัดผู้สมัครอย่างดี ขอโอกาสให้คนใหม่เข้าสภาฯ ไปเปลี่ยนประเทศ โหวตผ่านสุราก้าวหน้า เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร

(11 เม.ย. 66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ลงพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ช่วยหาเสียงผู้สมัคร ส.ส.จันทบุรี เขต1 และ 2 ของพรรคก้าวไกล สำหรับจุดแรก นายพิธาเดินทางถึงตลาดเจริญสุข พร้อมกับ นายวรายุทธ ทองสุข ผู้สมัคร ส.ส.จันทบุรี เขต 1 (เบอร์ 4) เดินหาเสียงแนะนำตัวและขอคะแนนจากพี่น้องประชาชน โดยนายพิธากล่าวอย่างชัดเจนว่า มาครั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจแก่พี่น้องประชาชน ว่าพรรคก้าวไกลได้คัดสรรผู้สมัครเป็นอย่างดี ขอโอกาสให้นายวรายุทธได้เป็นคนใหม่เข้าไปในสภาฯ เป็นปากเสียงของคนจันทบุรี เป็นอีกหนึ่งเสียงในสภาฯ ที่จะโหวตให้กฎหมายที่ก้าวหน้าของพรรคก้าวไกล

จากนั้น นายพิธา เดินทางต่อไปที่ตลาดห้วยสะท้อน เพื่อช่วยหาเสียงให้นายปรัชญาวรรณ ไชยสืบ ผู้สมัคร ส.ส.จันทบุรี เขต 2 (เบอร์ 3) พร้อมกล่าวว่า ตลอด 4 ปี พรรคก้าวไกลได้พิสูจน์ให้ชาวจันทบุรีเห็นแล้วว่า ส.ส. ทุกคนทำงานอย่างคุ้มค่า คุ้มภาษีของประชาชน แม้หลายคนชอบบทบาทของพรรคก้าวไกลในฐานะฝ่ายค้าน แต่ตนต้องบอกว่ายิ่งก้าวไกลทำงานดี ยิ่งต้องให้โอกาสส.ส. ของพรรคเข้าสภาฯ ไปเลือกนายพิธาเป็นนายกฯ ให้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล เปลี่ยนประเทศไทยให้การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต

‘บิ๊กป้อม’ ยัน!! ไม่จับมือ ‘เพื่อไทย-ก้าวไกล’ ชี้!! จุดยืนนโยบาย ม.112 ไม่ตรงกัน

(11 เม.ย.66) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ภายหลังประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค พปชร. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. ตอบคำถามผู้สื่อข่าวกรณีทำไมคนไทยถึงต้องเลือกพรรค พปชร. ว่า ต้องขึ้นอยู่กับประชาชนว่าจะเลือกใคร ขอให้เลือกคนดีมาทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ และให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ซึ่งเป็นนโยบายหลักของพรรค พปชร. ส่วนจะเลือกหรือไม่ และถ้าเห็นว่ามีคนอื่นดีกว่าก็เชิญนะครับ ทั้งนี้ พรรค พปชร. ขออาสารับใช้ประชาชน 

ผู้สื่อข่าวถามว่า อะไรคือความโดดเด่นของพรรค พปชร. ที่ประชาชนต้องเลือกพล.อ.ประวิตรเป็นนายกฯ พล.อ.ประวิตร ย้อนถามว่า คุณคิดว่าอะไร พร้อมกับกล่าวว่า เราก้าวข้ามความขัดแย้ง ก้าวข้ามความยากจน ที่พรรค พปชร. จะทำให้ชัดเจน 

รู้ทันการเมืองไทย ชวนส่องนโยบาย ‘คิดใหญ่ ทำเป็น’ พรรคเพื่อไทย บนแนวคิด ‘หลักกู’ ที่ไม่คำนึงถึง ‘หลักการ’

หลายนโยบายก็เคยส่องแล้ว วันนี้ขอถือโอกาสส่องอีกที นโยบายก็เคยส่องแล้วขอส่องซ้ำด้วยบทความเดิม ส่วนอันไหนที่ไม่เคยส่องจะได้จัดการส่องใหม่สั้น ๆ เพื่อให้กระชับ ดังนี้ครับ

การกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน ผู้เขียนเชื่อว่า เศรษฐกิจของประเทศน่าจะมีปัญหาอย่างแน่นอน เมื่อมีพรรคการเมืองหาเสียงด้วยการกำหนดอัตราค่าจ้างและเงินเดือนโดยไม่ได้คำนวณจาก ‘ดัชนีราคาผู้บริโภค’ (Consumer Price Index : CPI) วิธีคิดค่าจ้างขั้นต่ำที่ใช้ฐานคิดคำนวณจาก ‘หลักกู’ โดยไม่คำนึงถึง ‘หลักการ’ ซึ่งต้องนำข้อมูลและปัจจัยที่เกี่ยวข้องมากมายหลายตัวมาคิดคำนวณให้ได้ ‘ดัชนีราคาผู้บริโภค’ (CPI) แล้วจึงจะสามารถคำนวณค่าแรงขั้นต่ำได้ (เป็นไปได้ไหม? ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวันของพรรคเพื่อไทย https://thestatestimes.com/post/2023033141)

นโยบายประชานิยมที่พรรคการเมืองต่าง ๆ นิยมนำมาหาเสียงกับเกษตรกรเสมอมาคือ การพักหนี้ การยกหนี้ แต่ต้องนำงบประมาณซึ่งมาจากภาษีอากรมาอุดหนุนช่วยเหลือธนาคารเจ้าหนี้เงินกู้ ซึ่งก็ได้แก่ธนาคารเพื่อเกษตรกร ส่วนวาทะกรรมที่ว่า “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” นั้น คงเคยเห็นแต่นโยบายจำนำข้าวของพรรคเพื่อไทยที่ทำให้เกิดการทุจริตอย่างมโหฬาร หนี้จากโครงการดังกล่าวยังใช้ไม่หมดจนทุกวันนี้ ทั้ง ๆ ที่นโยบายสำหรับเกษตรกรควรเป็นเรื่องของการพัฒนาให้เกษตรกรพึ่งตนเองได้ และสามารถใช้หนี้สินที่มีอยู่ได้จนหมด

ทุกวันนี้ผู้คนยังเข้าใจผิดคิดว่า ที่ดินหลวงมีอยู่เอามาแปลงเป็นเอกสารสิทธิต่าง ๆ กระทั่งเป็นโฉนดกันง่าย ๆ ไม่สนับสนุนเรื่องพวกนี้ครับ เพราะที่สุดเมื่อที่ดินที่พี่น้องประชาชนได้มามีมูลค่ามากขึ้นที่สุดก็จะถูกขายเปลี่ยนมือไปจนหมด แต่ควรสนับสนุนให้ที่ดินที่เป็นที่รกร้างว่างเปล่าที่หน่วยราชการต่าง ๆ ครอบครองอยู่ หากหน่วยงานนั้น ๆ ไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว ควรส่งคืนกรมธนารักษ์ผู้ดูแลที่ดินราชพัสดุทั้งหมด เพื่อนำมาจัดสรรให้ประชาชนที่ขาดโอกาสและรายได้น้อย ได้เช่าเพื่อประกอบอาชีพตามแต่ความถนัดและเหมาะสม แบ่งสรรพื้นที่ของที่ดินอย่างบริสุทธิ์และยุติธรรม โดยคำนวณค่าเช่าจากรายได้ของผู้เช่า ห้ามการเช่าช่วง การโอนเปลี่ยนผู้ครอบครองเด็ดขาด ซึ่งภาครัฐก็ได้ผลประโยชน์อย่างเหมาะสม ประชาชนผู้เช่าก็จะมีความรับผิดชอบและรู้สึกหวงแหนสิทธิที่ได้รับมา ให้เป็นความเท่าเทียมทางสังคมที่เหมาะสมและเป็นที่ยอมรับให้เป็นบรรทัดฐานที่ถูกต้องของสังคมต่อไป

เป็นนโยบายที่เห็นแล้ว ฮาสุด ๆ เลยต้องให้ภาพนี้เล่าเรื่องแทน

เป็นอีกนโยบายที่เห็นแล้ว ต้องอธิบายด้วยภาพเหล่านี้

ขอเน้นย้ำว่า หน่วยงานที่รับผิดชอบในการออกธนบัตรคือ ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระ ไม่ใช่กระทรวงการคลัง กระทรวงการคลังที่มีหน้าเพียงออกเหรียญกษาปณ์ กับส่งลายเซ็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสำหรับพิมพ์ลงบนธนบัตรเท่านั้น และสำคัญที่สุดเงินดิจิทัลที่ถูกต้องตามกฎหมายในประเทศไทยยังไม่มีมี เงินดิจิทัลทุกชนิดบนโลกใบนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้ให้การรับรองว่าเป็นเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย เงินดิจิทัลที่ถูกต้องตามกฎหมายรับรองโดยธนาคารแห่งประเทศไทยอยู่ระหว่างการพัฒนาโดยธนาคารแห่งประเทศไทยเอง

‘แรมโบ้’ นำทีม ‘ประธานหมู่บ้านเสื้อแดง 4 ภาค’ บุกอีสาน ชู “รทสช.เบอร์ 22” อ้อนชาวมหาสารคามหนุน ‘บิ๊กตู่’ อีกสมัย

‘แรมโบ้อีสาน’ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ มอบอดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดง 4 ภาค และ ผรท. ลงพื้นที่หนักชูนโยบาย “ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ” ขณะที่ ‘อานนท์ แสนน่าน’ ขานรับวางแนวทางเข้าถึงทุกหมู่บ้าน หวังให้ ‘ลุงตู่อยู่ต่อ’ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย

(11 เม.ย. 66) ณ ศาลากลางบ้านหนองโดน ตำบลนาโพธิ์ อำเภอกุดรัง จังหวัดมหาสารคาม นายอานนท์ แสนน่าน ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ อดีตผู้ริเริ่มก่อตั้งหมู่บ้านเสื้อแดง และ อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยอดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดง 4 ภาค ประกอบด้วย นายสมชัย แสงทอง อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงภาคเหนือ, นางนิตยา นาโล หรือ ‘นักสู้ปอสี่’ อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงภาคอีสาน, นายไวทิต ศิริสุวรรณ อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงภาคกลาง และ นายทวี ประหยัด อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงภาคใต้ พร้อมด้วย นายสุพล หมื่นศรีพรม อดีตคอมมิวนิสต์ ‘สหายธวัชชัย’ ในฐานะประธานผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) ได้ลงพื้นที่พบปะอดีตแกนนำเสื้อแดง และ อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดง เพื่อแจ้งผลการจับสลากของ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ได้เบอร์ 22 เพื่อจะได้แจ้งให้แกนนำได้นำไปบอกต่อและกระจายข่าวให้สมาชิกทั้งประเทศได้รับทราบโดยทั่วกัน จากนั้นได้เดินทางไปพบปะแกนนำอดีตคนเสื้อแดงตามอำเภอต่าง ๆ ของจังหวัดมหาสารคาม ต่างพร้อมใจกันตะโกนลั่น “รวมไทยสร้างชาติ เบอร์ 22”

นายอานนท์ แสนน่าน ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า วันนี้ตนได้รับมอบหมายจาก นายเสกสกล อัตถาวงศ์ หรือ ‘แรมโบ้อีสาน’ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้ลงพื้นที่พบปะมวลชนอดีตคนเสื้อแดง อดีตสหาย ผกค. หรือ ‘ผรท.’ และ ประชาชน ทุกภาคของประเทศไทย เพราะพรรครวมไทยสร้างชาติ ต้องการที่จะเอานายกรัฐมนตรีคนที่ทุ่มเททำงาน เอานายกฯ คนที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ ‘ลุงตู่’ พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ชัดเจนแล้วว่า “ทําแล้ว ทําอยู่ ทําต่อ” คืออะไร? เช่น…

“ทําแล้ว” นายกรัฐมนตรีหนึ่งเดียวในรอบ 30 ปี ที่รวมใจคนไทยฝ่าวิกฤติโลกได้ เปิดประเทศแล้ว ประคับประคองเศรษฐกิจให้ผ่านช่วงโควิด ด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ พักหนี้ครัวเรือน หนี้ SME ช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชน จนเศรษฐกิจฟื้นตัวทันทีหลังโควิด สร้างโครงสร้างพื้นฐานทั้งถนน ระบบราง ท่าเรือ สนามบินทั่วประเทศ เปิดเส้นทางเชื่อมต่อภูมิภาคอาเซียนทุกรูปแบบ เช่น ถนน รถไฟ เปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับซาอุดิอาระเบียเป็นครั้งแรก ในรอบกว่า 30 ปี แก้ปัญหาหมักหมม ที่ทำให้สินค้าไทยโดนแบนโดยต่างประเทศ พลิกโฉมเศรษฐกิจไทยให้ทันสมัยด้วยโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี ทำประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยว อันดับต้นของโลก บัตรลุงตู่/คนละครึ่ง, เที่ยวด้วยกัน, ช็อปดีมีคืน หนี้ กยศ. ไม่มีผู้ค้ำ ดอกเบี้ย 1% ให้ชำระคืนตามความสามารถ (ตามรายได้) แก้หนี้ครู ดูแลราคาน้ำมัน ราคาไฟฟ้า ลดภาระค่าไฟ แก๊สหุงต้ม ผู้มีรายได้น้อย เพิ่มสวัสดิการข้าราชการ ลูกจ้างราชการเพิ่มขึ้น เพิ่มสวัสดิการบัตรสุขภาพ นําเงินจากประกันสังคม แบ่งเบาความลำบากช่วงโควิด สวัสดิการคนสูงวัย เบี้ยคนชรา บัตรสุขภาพ แม่ลางานเลี้ยงลูกได้ 6 เดือน เพิ่มค่าตอบแทนผู้บริหาร อบต. และสมาชิก อบต. เพิ่มค่าตอบแทนกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน

นายอานนท์ กล่าวอีกว่า “ทําอยู่” คือ เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ กลับสู่ภาวะปกติ เจรจาความร่วมมือ ไทย - ซาอุดีอาระเบีย 9 ด้าน เช่น ท่องเที่ยว, แรงงาน, อาฟหาร, การค้า, การลงทุน, เปิดเที่ยวบินตรง ไทย - ซาอุดีอาระเบีย เที่ยวแรกในรอบกว่า 30 ปี (ก.พ. 2565) ทำประเทศไทยเป็นประตูเชื่อมสู่โลกของภูมิภาคอาเซียนและจีนตอนใต้ ทั้งด้านการค้าขาย บริการ ท่องเที่ยวทั้งเชิงนิเวศน์และสุขภาพ เริ่มทยอยลดราคาน้ำมัน ราคาไฟฟ้าตามสถานการณ์พลังงานในตลาดโลก

‘ตร.สืบสวน’ รวบ ‘นวพร’ หัวหน้าใหญ่ ‘อุ้มบุญ-สวมบัตร’ แก๊งจีนเทา พบเอี่ยวค้ามนุษย์ทั้งในจีน-ไทย-กัมพูชา เผย ได้ค่าจ้างหัวละ 5 แสน!!

กรณีเมื่อวันที่ 4 เม.ย.66 เจ้าหน้าที่สืบสวนขยายผลกรณีชายชาวจีนสวมบัตรประจำตัวคนไม่มีสัญชาติไทย (บัตรชมพู) และเข้าตรวจค้นอาคาร 5 ชั้นย่านถนนสีลม แขวงสีลม เขตบางรัก กทม. พื้นที่รับผิดชอบของ สน.บางรัก พบบุคคลต่างด้าวจำนวน 7 ราย และตรวจพบว่าสภาพภายในมีการแบ่งซอยเป็นห้องพัก และมีอุปกรณ์ไว้สำหรับดูแลหญิงไทยที่รับอุ้มบุญให้กับชาวจีน ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียนำเสนอไปนั้น

ล่าสุด วันที่ 11 เม.ย. 66 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. สั่งการให้เจ้าหน้าที่สืบสวน ขยายผลให้ทราบถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสวมบัตรชมพู และกรณีการอุ้มบุญดังกล่าว จากการสืบสวนทราบว่า ชื่อเจ้าของสถานที่ ดังกล่าวคือ น.ส.นวพร อายุ 53 ปี ซึ่งเป็นบุคคลที่ทำหน้าที่นำรายชื่อบุคคลต่างด้าวเข้ามาอยู่ภายในบ้านเลขที่ดังกล่าว

โดยใช้วิธีการแจ้งเท็จต่อเจ้าหน้าที่ว่าเป็นญาติของตน และสำแดงเอกสารเท็จต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ย้ายชื่อบุคคลดังกล่าวเข้ามาในทะเบียนบ้าน และออกบัตรชมพูให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงรวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติหมายจับ น.ส.นวพรดำเนินคดีในความผิดฐาน ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม, ร่วมกันแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน และร่วมกันปลอมและใช้ดวงตรา รอยตรา หรือแผ่นปะตรวจลงตรา การเดินทางระหว่างประเทศ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุม น.ส.นวพร ได้เมื่อวันที่ 8 เม.ย. ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจยังพบว่า น.ส.นวพร เป็นบุคคลสัญชาติจีนที่ได้รับสัญชาติไทยจากการแต่งงานกับคนไทย จากนั้นหย่าร้าง และมีสามีใหม่เป็นคนสัญชาติจีน ก่อนจะมีลูกด้วยกัน 3 คน โดยบุตรทุกคนได้รับสัญชาติไทยตามแม่ทั้งหมด ซึ่งทำให้ได้รับสิทธิเช่นเดียวกับคนไทยในการประกอบธุรกิจต่าง ๆ ได้ตามปกติ

น.ส.นวพร เคยถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับการหลอกลวงคนจีนมาลงทุนทำธุรกิจ ความเสียหายมากกว่า 700 ล้านบาท ถูกดำเนินคดีที่ สน.ประเวศ นอกจากนี้ จากการประสานข้อมูลกับทางการจีนพบว่า น.ส.นวพรมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ทั้งในจีน ไทย และกัมพูชา เป็นระยะเวลามากกว่า 10 ปี และมีทรัพย์สินในครอบครองเป็นบริษัทหลายแห่ง ซึ่งมีชื่อของญาติและลูกของ น.ส.นวพร เป็นกรรมการบริหาร รวมทั้งที่ดินและรถหรูอีกจำนวนมาก ทั้งยังทำหน้าที่เป็นคนประสานงานอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้กับกลุ่มทุนจีนสีเทาอีกด้วย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า หลังจากที่เจ้าหน้าที่สืบสวนขยายผลกรณีกลุ่มทุนจีนสีเทามาเป็นเวลานาน ทำให้ทราบว่าเครือข่ายทุนจีนเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกัน โดยมีเครือข่ายของ น.ส.นวพรในการอำนวยความสะดวกช่วยเหลือคนจีนเหล่านี้ ในการสวมบัตรและอุ้มบุญ เพื่อให้ทุนจีนสีเทาเหล่านี้สามารถประกอบธุรกิจหรือทำธุรกรรมต่างๆ เสมือนเป็นคนไทยคนหนึ่ง และเข้ามากระทำผิดในราชอาณาจักรไทย

และทราบว่าเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตแห่งหนึ่ง ออกบัตรสีชมพูต่างด้าวไว้ให้ พบว่ามีน.ส.นวพรที่มาแต่งกับคนไทย เพื่อให้ได้สัญชาติก่อนเลิกรา แล้วไปอยู่กินกับคนจีน ซึ่ง น.ส.นวพรเป็นตัวการสำคัญในการอุ้มบุญ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเบอร์ 1 เรื่องอุ้มบุญจีนในไทย

“น.ส.นวพรมีการถ่ายภาพกับผู้ใหญ่ในประเทศไทย เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือคนจีนและร่วมมือกับอาหม่า ซึ่งอดีตเลขาฯปปง.รู้จักดี จากการตรวจค้นพบว่ามีการแบ่งห้อง และมีเตียงจำนวนมาก และพฤติการณ์มีการทุจริตกับเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตในการออกบัตรสีชมพู วันนี้จะขอออกหมายจับเจ้าหน้าที่เขต และผู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้อง

‘พิธา’ วอนชาวตราด เลือก ‘ศักดินัย นุ่มหนู’ รักษาแชมป์เขต 1 ย้ำชัด ‘ก้าวไกล’ ไม่มีนโยบายตัดเงินบำนาญข้าราชการแน่นอน

‘พิธา’ ลุยหาเสียงภาคตะวันออก ขอโอกาสชาวตราด กาก้าวไกลไปเปลี่ยนประเทศ ส่ง ‘ศักดินัย นุ่มหนู’ รักษาแชมป์เขต 1

(11 เม.ย. 66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ลงพื้นที่จังหวัดตราด ช่วยหาเสียงให้ นายศักดินัย นุ่มหนู ผู้สมัคร ส.ส.ตราด เขต 1 พรรคก้าวไกล เบอร์ 1 โดยขึ้นรถแห่ทั่วเมืองตราด ขอโอกาสให้ชาวตราดเลือกศักดินัยกลับเข้าสภาฯ อีกครั้ง โดยนายพิธากล่าวว่า 4 ปีที่ผ่านมา นายศักดินัยแสดงให้เห็นว่าเป็น ส.ส. ที่ทำงานคุ้มค่าเงินภาษีประชาชน ทำงานอย่างตรงไปตรงมา ‘ซื่อสัตย์ ชัดเจน และโคตรขยัน’ ได้ร่วมผลักดันกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เช่น การแก้ไข พ.ร.บ.ประมง ซึ่งเป็นกฎหมายที่ทำให้เกิดข้อจำกัดในการทำประมงพื้นบ้าน ทำให้พี่น้องชาวประมงทั่วประเทศต้องประสบปัญหาในการออกทะเล หรือหลายคนต้องยุติอาชีพประมงไป

“วันนี้มาที่ตราด เพื่อช่วยรักษาแชมป์ ขอโอกาสให้ ส.ส.คนเดิมคนเก่งเข้าสภาฯ ต้องกาศักดินัย นุ่มหนู กาพรรคก้าวไกล” นายพิธา กล่าว

โดยในช่วงเช้าของวัน นายพิธา พร้อมด้วยนายศักดินัย เริ่มเดินหาเสียงบริเวณตลาดเช้าซอยไร่รั้ง อำเภอเมืองตราด ตลอดเส้นทางมีพี่น้องประชาชนเข้ามาขอถ่ายภาพเป็นที่ระลึกและต้อนรับอย่างอบอุ่น จากนั้น หัวหน้าพรรคก้าวไกลและผู้สมัคร ส.ส.ตราด ได้ขึ้นรถแห่รอบอำเภอเมืองตราด ก่อนจะเดินทางต่อไปยังศูนย์วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวบ้านน้ำเชี่ยว ซึ่งมีจุดเด่นคือความเป็นพหุวัฒนธรรมของพี่น้องไทย จีน และมุสลิม ผนวกกับเป็นพื้นที่ป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์และมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก โดยนายพิธาได้แสดงวิสัยทัศน์ในการยกระดับและพัฒนาจังหวัดตราดว่า จังหวัดตราดมี 4 เสาหลักค้ำยันทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น การท่องเที่ยว, ประมง, ผลไม้ และการค้าชายแดน แต่ที่ผ่านมารายได้กว่า 10 ปีของชาวตราดกลับไม่เพิ่มขึ้น

ดังนั้น เพื่อการเปลี่ยนแปลง ตนมีข้อเสนอ 4 แนวทาง ประการที่หนึ่ง ต้องเปลี่ยนแนวทางการเกษตรไทย ให้เป็นเกษตรเพิ่มมูลค่า ยกระดับชาวสวนผลไม้ในจังหวัด ประการที่สอง แก้ไขกฎหมายประมง กระจายอำนาจการตัดสินใจสู่ท้องถิ่น ให้ประมงพื้นบ้านสามารถทำมาหากินได้ ประการที่สาม ต้องมีการปลดล็อก SMEs ด้านการท่องเที่ยว ประการที่สี่ เสนอให้มีการแก้ไข พ.ร.บ.โรงแรม ให้ท้องถิ่นมีอำนาจแก้ปัญหาการขอใบอนุญาตที่เป็นคอขวด

‘นพวรรณ’ แจง กรณี ‘ชัยวุฒิ’ ปราศรัยโจมตียกเลิกเกณฑ์ทหาร ชี้!! ยังมีความสำคัญ เพื่อป้องกันประเทศจากอาชญากรรมข้ามชาติ

(11 เม.ย. 66) น.ส.นพวรรณ หัวใจมั่น ผู้สมัคร ส.ส. กทม.เขต 12 เขตบางเขน (เฉพาะแขวงท่าแร้ง เขตลาดพร้าว (เฉพาะแขวงจรเข้บัว) พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า จากกรณีที่นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองหัวหน้าพรรค พปชร.ว่าได้ปราศรัยโจมตีการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร เป็นการบิดเบือน ใส่ร้าย เพราะนโยบายที่พรรค พท.นำเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สนับสนุนการเกณฑ์ทหาร เป็นระบบสมัครใจนั้น ว่า

ขอยืนยันว่า ประเด็นการเกณฑ์ทหารเป็นการปราศรัยในภาพรวม ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นนโยบายของพรรคใด โดยสะท้อนให้เห็นว่ากำลังพลของทหาร มีบทบาทและหน้าที่สำคัญนอกเหนือจากปกป้องอธิปไตยแล้ว ยังต้องทำหน้าที่ปกป้องอาชญากรรมข้ามชาติ ที่มาในรูปแบบค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ เนื่องจากพื้นที่ชายแดนมีอาณาเขตติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่ยังพบการลักลอบ ยาเสพติด และแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมายเข้ามาจำนวนมาก เนื่องจากไทย เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจที่เติบโต มีความสงบ จำเป็นต้องอาศัยกำลังพลทหารปกป้องประชาชนคนไทย ไม่ให้ได้รับผลกระทบจากภัยร้ายแรงจากอาชญากรรม

“การพูดถึงนโยบายนี้ของนายชัยวุฒิ ไม่ได้วิจารณ์เจาะจงเฉพาะพรรค พท.เเต่พูดในภาพรวมเพื่อเเสดงจุดยืนว่าพรรค พปชร. ไม่สนับสนุนการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร เเต่อยากให้คงไว้เพื่อการฝึกความรักชาติเเละความเสียสละให้กับคนรุ่นใหม่ หากจะออกมาตอบโต้ประเด็นนี้ อยากให้ ย้อนกลับไปดูการขึ้นเวทีดีเบตของคนพรรค พท.เอง ที่เคยระบุว่า อาจจะยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ซึ่งได้ปรากฏข้อความดังกล่าวผ่านสื่อต่าง ๆ ที่ได้นำเสนอออกไปแล้ว แบบนี้ จะบอกว่าทางพรรค พปชร. ตั้งใจบิดเบือนข้อเท็จจริงนั้นไม่เป็นความจริง” น.ส.นพวรรณ กล่าว

'สันติ' ปัดข่าว!! ไม่ร่วม รบ.กับ ‘พท.-ก้าวไกล’ เหตุ!! ยังไม่เคยได้ยินผู้ใหญ่ใน พปชร.บอก

(11 เม.ย.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์กรณี นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค ออกมาระบุพรรคพลังประชารัฐจะไม่จับมือกับพรรคเพื่อไทยและก้าวไกล หลังการเลือกตั้ง ถือเป็นมติพรรคหรือไม่ว่า นายไพบูลย์พูด ก็ต้องไปถามนายไพบูลย์ และขณะนี้ตนยังไม่พบกับนายไพบูลย์ ส่วนที่เขาระบุได้พูดคุยกับผู้ใหญ่ในพรรคแล้วนั้นพรรคพลังประชารัฐ มีผู้ใหญ่หลายคน
เมื่อถามว่าสรุปแล้วเรื่องนี้ยังไม่ใช่มติพรรคใช่หรือไม่ นายสันติ กล่าวว่า “ก็ผมยังไม่ได้ยิน”

ถามอีกว่าส่วนตัวมองว่าหลังการเลือกตั้งพรรคพลังประชารัฐสามารถจับมือกับพรรคเพื่อไทย หรือก้าวไกลได้หรือไม่ นายสันติ ตอบว่า ไม่เอาเรื่องส่วนตัว เรื่องการจับมือผลการเลือกตั้งยังไม่ออกมา รอหลังการเลือกตั้งก่อน ถ้าผลการเลือกตั้งประชาชนเลือกพรรคพลังประชารัฐมาได้ครึ่งหนึ่งเราก็ไม่ต้องจับมือกับใคร ดังนั้นการมาพูดตอนนี้คงยังไม่สามารถพูดอะไรได้ แต่หลังจากนี้ตนจะคุยกับ นายไพบูลย์ ว่ามีเหตุมีผลอะไรเกิดจากอะไร ทุกอย่างรวมหรือไม่รวมกับใครเป็นไปได้ทั้งนั้น แต่ตอนนี้ต้องรอประชาชนก่อน

ซักว่า นายไพบูลย์ระบุว่าได้พูดกับหัวหน้าพรรคแล้ว นายสันติ กล่าวว่า “จริงหรอ ผมยังไม่เห็นเลย ผมยังไม่ได้ยินแต่ถ้าหากเรามั่นใจว่าประชาชนจะเลือกผู้สมัครของเราได้มากๆก็ไม่จำเป็นที่จะไปรวมกับใครอยู่แล้ว ถามว่าเราอยากรวมหรือไม่ ก็ต้องบอกว่าไม่อยากรวมแต่ก็ต้องขึ้นกับประชาชน”

เมื่อถามว่าในฐานะเลขาธิการพรรคยังไม่ปิดประตูจับมือกับใครใช่หรือไม่นายสันติกล่าวว่า พูดอะไรไม่ได้หรอก รอหลังการเลือกตั้งก่อน 


ที่มา: https://www.thaipost.net/politics-news/358263/

อย่าหยามมวยรอง!! เมืองคอนเขต 3 ไม่ง่าย หลัง ‘เสี่ยอ่าง’ ลั่น!! “ผมมีวิธีจัดการคะแนนตามถนัดในแบบที่คนอื่นไม่มี”

‘สมศักดิ์ เมธา’ เดินอาดๆ เข้ามาในร้านข้าวแกงหลังสถานีรถไฟชะวอด จ.นครศรีธรรมราช พร้อมทีมงานตามหลังมาอีก 7-8 คนบอกว่า “ผมจะลงสมัครผู้แทน”

สิ้นเสียงของสมศักดิ์ก็มีคำถามตามมามากมาย เช่น จะลงพรรคไหน จะมีอะไรไปสู้เขา เป็นต้น

สมศักดิ์ตอบชัดเจนว่า จะลงสมัครรับเลือกตั้งในนาม พรรคเพื่อไทย และวันที่ 3 เมษายน สมศักดิ์ก็ไปยื่นใบสมัครเรียบร้อยแล้ว

“ถ้าถามว่าจะเอาอะไรไปสู้เขา บอกได้เลยครับว่า ผมเป็นคนในพื้นที่ ทำงานรู้จักชาวบ้าน และชาวบ้านก็รู้จักผมดี ผมช่วยเหลือคนมามาก ศาลาริมถนนผมสร้างด้วยเงินส่วนตัวผมทั้งนั้น”

เขต 4 นครศรีธรรมราช (ชะอวด-เฉลิมพระเกียรติ-เชียรใหญ่) ถือเป็นเขตเลือกตั้งอีกเขตที่จะมีการต่อสู้กันดุเดือด ซึ่งปัจจุบันมีนายกองตรีอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ เป็น ส.ส.ในเขตนี้ และยังลงสมัครรับเลือกตั้งในเขตเดิม พรรคพลังประชารัฐเหมือนเดิม พูดได้ว่า เดินแบบนิ่มกับเครือข่ายมากมาย ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน

ที่บอกว่าสนามเลือกตั้งนี้จะต้องต่อสู้กันดุเดือดแน่นอน เพราะผู้สมัครแต่ละคนไม่ธรรมดา อย่างอาญาสิทธิ์ นอกจากเป็นแชมป์แล้ว ยังเคยเป็นนายอำเภอ ปลัดอำเภอในโซนนี้มายาวนาน ปลัดณัฐกิตติ์ หนูรอด ในนามพรรคภูมิใจไทย เป็นคนเคร็งโดยกำเนิด อดีตปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดพัทลุง ผ่านประสบการณ์นักปกครองมาโชกโชน 

ที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้ คือ พงศ์สิน เสนพงศ์ น้องชายของเทพไทย เสนพงศ์ ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ เคยลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งซ่อมมาแล้วกับคะแนน 30,000 กว่าคะแนน เพียงแต่พ่ายให้กับอาญาสิทธิ์เท่านั้นเอง คราวนี้คะแนนเสียงย่านเชียรใหญ่ บ้านเกิดไม่มีใครมาแบ่ง

'พรรคเพื่อไทย' เปิดตัวเว็บไซต์ แนะนำข้อมูลแบบครบจบ 'ผู้สมัคร ส.ส.เขต-บัญชีรายชื่อ-แคนดิเดตฯ ทั้ง 3 คน'

(11 เม.ย.66) พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความแนะนำเว็บไซต์ใหม่ ว่า...

ผู้สมัคร ส.ส. เพื่อไทย แถวบ้านเราเป็นใคร เบอร์อะไรกันนะ แล้วแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย เป็นใครกันบ้าง

เช็กได้แล้วที่นี่!

พรรคเพื่อไทยเปิดตัวเว็บไซต์ให้ประชาชนเข้าไปทำความรู้จักผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ทั้งแบบเขตและแบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย รวมถึงแนะนำแคนดิเดตฯ ทั้ง 3 คน ค้นหาได้ง่ายๆ ตามขั้นตอนต่อไปนี้

1) เข้าเว็บไซต์ https://candidate.ptp.or.th
2) ค้นหาผู้สมัคร - เลือกจังหวัด และ เขต/อำเภอ หรือ พิมพ์ ชื่อ-นามสกุล

เพียงเท่านี้ก็จะเจอข้อมูลผู้สมัครในเขตบ้านตัวเองว่าผู้สมัคร ส.ส. เพื่อไทย เขตบ้านเราเป็นใคร เรียนจบที่ไหน เคยทำงานอะไรมาบ้าง พร้อมบอกเบอร์ผู้สมัคร ส.ส. แบบเขต ให้พี่น้องได้พิจารณา

กำปากกาไว้ให้แน่น ท่องให้ขึ้นใจ #เลือกเพื่อไทยทั้งคนทั้งพรรค


14 พ.ค. นี้ กา ส.ส. เขตบ้านท่าน
คู่กับเบอร์ 29 พรรคเพื่อไทยได้เลย
 

‘โรม’ จวก!! กกต. ปมเว็บลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าล่ม ซัด!! ควรขยายเวลาเพิ่ม ไม่ใช่ขอโทษแล้วเงียบหาย

(11 เม.ย.66) รังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล ทวงถามคำตอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กรณีการขยายวันลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้า นอกเขต และนอกราชอาณาจักร ที่พรรคก้าวไกลเสนอให้เพิ่มไปจนถึงช่วงวันสงกรานต์ ว่า กกต.ต้องมีคำตอบเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่ออกมาพูดขอโทษแบบส่ง ๆ แต่ไม่สามารถให้ความชัดเจนได้ว่าสุดท้ายจะดำเนินการอย่างไร เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของประชาชน กกต. มีหน้าที่ทำให้เว็บไซต์ลงทะเบียนใช้งานได้ตามเวลาที่ขีดเส้นไว้ การอ้างว่าเว็บไซต์ล่มเพราะมีประชาชนเข้าใช้งานจำนวนมากพร้อมกัน เป็นเหตุผลที่รับฟังไม่ได้ ในเมื่อ กกต. ควรคาดการณ์เหตุการณ์นี้ได้อยู่แล้ว มีทั้งงบประมาณเป็นพันล้านจากภาษี มีทั้งเวลาเตรียมการทำงาน ทำไมยังปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

ถึงที่สุด หาก กกต. ยังไม่มีคำตอบ คงต้องเตือนว่าระวังจะโดนประชาชนฟ้องร้อง เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 50 กำหนดให้การเลือกตั้งเป็นหน้าที่ของคนไทย การที่ประชาชนคนหนึ่งไม่สามารถไปใช้สิทธิได้ ทั้งที่เขาไม่ได้ต้องการอย่างนั้น จะทำให้เขาถูกตัดสิทธิหลายข้อเป็นเวลาถึง 2 ปี ตามที่ระบุใน พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 35 เช่น ไม่มีสิทธิร่วมลงชื่อยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ส.ส., ไม่มีสิทธิรับสมัครเป็น ส.ส. หรือสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือ ส.ว., ขาดคุณสมบัติที่จะดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง นายก อบจ. ที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น และทุกตำแหน่งที่ผ่านการเลือกตั้ง

“มันใช่เรื่องหรือไม่ ที่ประชาชนต้องถูกจำกัดสิทธิทั้งที่เขาไม่ได้ทำผิดอะไร เขาต้องการไปเลือกตั้ง แต่หน่วยงานจัดการเลือกตั้งกลับไม่สามารถอำนวยความสะดวกให้เขาได้ ทั้งที่เป็นภารกิจหลักขององค์กร หาก กกต. ยังทำหน้าที่ไม่คุ้มค่าเงินภาษีแบบนี้ อาจถูกประชาชนฟ้องร้อง ดังนั้นรีบออกมาให้คำตอบดีกว่า ว่าจะขยายวันลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้า หรือมีมาตรการอย่างไรเพื่อรักษาสิทธิของประชาชน ไม่ให้ต้องรับผลกระทบจากเหตุที่มาจากความผิดพลาดของ กกต. เอง” รังสิมันต์กล่าว

‘ชวน’ ฟิต!! ลงพื้นที่ต่อเนื่อง ช่วย ‘แนน ศิริภา’ หาเสียงย่านคลองสาน ขอโอกาส ปชช. เลือกทั้งคนทั้งพรรค

(11 เม.ย.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงค่ำวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่ตลาดสมเด็จฯ ย่านคลองสาน นายชวน หลีกภัย อดีตประธานรัฐสภา และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)ลงพื้นที่ ช่วยหาเสียงให้ กับ น.ส. ศิริภา อินทวิเชียร ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตธนบุรี คลองสาน และราษฎร์บูรณะ หมายเลข 11 พรรคปชป.

โดยนายชวน เดินแจกเอกสารแนะนำตัวด้วยตัวเอง และใช้ไมโครโฟนขอคะแนนเสียงไปตามชุมชน และตามตลาด พร้อมพบปะพ่อค้าแม่ค้า โดยมีประชาชนมาให้กำลังใจและขอถ่ายรูปจำนวนมาก ก่อนขึ้นรถปราศรัยหาเสียงไปตามพื้นที่ต่างๆ เพื่อขอคะแนนเสียงให้ กับ น.ส.ศิริภา ซึ่ง นายชวน ฝากให้ทุกคนช่วยกันเลือก น.ส. ศิริภา หรือ แนน เข้ามาทำหน้าที่ในสภาฯ เพราะเป็นบุคคลที่ตนเองสนับสนุนให้ลงเลือกตั้งครั้งนี้ เรื่องจากเป็นคนดี เป็นคนรุ่นใหม่ ที่มีความรู้ความสามารถ เคยทำหน้าที่เป็นเลขาฯของตนระหว่างเป็นประธานสภาฯด้วย เชื่อว่าจะสามารถนำความรู้ ประสบการณ์มาทำงานให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top