Monday, 9 June 2025
NEWS FEED

มุกดาหาร​ -​ด่านศุลกากรมุกดาหารเข้ม จับคนขับรถบรรทุกลักลอบนำยาบ้าข้ามสะพานมิตรภาพ 2

เมื่อวันที่ (13 พ.ค.68) สืบเนื่องจากนายธีรัชย์ อัตนวานิช อธิบดีกรมศุลกากร นางกิจจาลักษณ์ ศรีนุชศาสตร์ ทปษ.ด้านพัฒนาระบบสิทธิประโยชน์ทางศุลกากร และนาวสาวลลิตา อรรถพิมล ผอ.ศภ.2 มีนโยบายให้เข้มงวดในการตรวจสอบการกระท่าความผิดตามกฎหมายศุลกากรและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง 

นายกรณ์ชัย ปัญญาวัฒนพงศ์ นายด่านศุลกากรมุกดาหาร ได้รับข้อมูลว่าจะมีการลักลอบนำยาบ้าเข้ามาในราชอาณาจักรจึงได้สั่งการให้ นายสานุ ศิลปไชย ผู้อํานวยการ ส่วนควบคุมทางศุลกากร และนายปริญญา ผลมั่ง หัวหน้าฝ่ายควบคุมและตรวจสอบทางศุลกากร ร่วมกับ ร้อยทหารพรานที่ 2105 ฉก.ทพ.21 ด่านตรวจสัตว์ป่ามุกดาหาร และ ตชด.234 ทำการตรวจค้นรถบรรทุกต้องสงสัย ยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียน 70-1187 / 70-1188 นครพนม ขณะแล่นมาจอดที่บริเวณช่องขาเข้าด่านพรมแดนมุกดาหาร สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 (มุกดาหาร-สะหวันนะเขต )พบยาบ้าบรรจุในถุงพลาสติกซุกซ่อนบริเวณที่ใส่ของด้านขวาข้างประตูผู้ขับขี่ รวมจำนวน 372 เม็ด เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวนายปองคุณ แซ่หว่อง อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 325 หมู่ที่ 5 ตำบลพังขว้าง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ผู้ขับขี่ดำเนินคดีในข้อหาลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักร และนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองมุกดาหาร เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

กอ.รมน. เดินหน้าสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังอาชญากรรมข้ามชาติในขอนแก่น ดึงประชาชนร่วมป้องกันภัยใกล้ตัว

(14 พ.ค. 68) พลโท ชนินทร์ สิงหนาทนิติรักษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 3 (ศปป.3) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เป็นประธานในพิธีเปิดการอบรมพัฒนาเครือข่ายเฝ้าระวังและแจ้งเตือนอาชญากรรมข้ามชาติ ณ โรงแรมแก่นนคร โฮเต็ล อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13–15 พฤษภาคม 2568

การอบรมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 90 คน ประกอบด้วยสมาชิกอาสาสมัครพิทักษ์สันติ (อผศ.) ผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่ โดยมุ่งเน้นเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภัยจากอาชญากรรมข้ามชาติที่อาจแฝงตัวอยู่ในสังคม พร้อมส่งเสริมบทบาทของประชาชนในการเป็น “หูเป็นตา” ให้กับภาครัฐ

พลโท ชนินทร์ กล่าวในการเปิดงานว่า “ภัยคุกคามจากอาชญากรรมข้ามชาติมีความซับซ้อนและแฝงตัวในรูปแบบต่าง ๆ การมีประชาชนเป็นแนวร่วมจะช่วยให้การเฝ้าระวังและการป้องกันเกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”

กิจกรรมครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคประชาชน ในการสร้างเกราะป้องกันให้กับชุมชน และเสริมสร้างความมั่นคงภายในประเทศอย่างยั่งยืน

ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวง อว. ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานขับเคลื่อนงานด้าน อววน. ในพื้นที่มหาวิทยาลัยสวนดุสิต

(14 พ.ค. 68) นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และคณะ ให้เกียรติมาเป็นประธานเปิดงานอาณาจักรแห่งรสชาติ: จุดประกายอนาคตการท่องเที่ยวและการบริการระดับโลก Realm of Flavor: Inspiring the Future of Global Tourism and Hospitality  และมอบนโยบาย การขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ ในการลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานขับเคลื่อนงานด้าน อววน. ของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต และหน่วยงานเครือข่ายในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย อธิการบดีมหาวิทยาลัยสวนดุสิต ผู้บริหาร และผู้มีเกียรติ เข้าร่วมงาน ณ ห้องประชุม Hall 2 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ ศูนย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสวนดุสิต

นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า 
การท่องเที่ยวและบริการมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น ประเทศไทยได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการมีทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมที่มีความหลากหลายและน่าสนใจ 

ดังนั้น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการจึงมีบทบาทสำคัญในการสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ ตลอดจนช่วยกระจายรายได้ สร้างงาน และสร้างโอกาสให้กับประชาชนในท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจที่พัก ขนส่ง หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการต้อนรับนักท่องเที่ยว เช่น ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก รวมถึงการแสดงศิลปะและวัฒนธรรมของท้องถิ่นด้วย นอกจากนี้ การท่องเที่ยวและบริการยังมีส่วนช่วยส่งเสริมความเข้าใจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทำให้ประเทศไทยมีความโดดเด่นและเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกให้ความสนใจอีกด้วย

อาหารไทยเป็นหนึ่งใน “Soft Power” สำคัญที่มีบทบาทอย่างมากต่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการของประเทศไทย ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นสิ่งสะท้อนถึงอัตลักษณ์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของคนไทยที่สร้างความประทับใจและประสบการณ์ที่ยากจะลืมให้แก่นักท่องเที่ยวไปทั่วโลกประเทศไทยมีความหลากหลายของอาหารในแต่ละภูมิภาค ทั้งภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคใต้ ที่มีรสชาติและวัตถุดิบเฉพาะตัวที่ กลายเป็นเสน่ห์ที่สามารถดึงดูดใจและมีบทบาทในการยกระดับคุณภาพของธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และการจัดเลี้ยง รวมถึงส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เช่น การเรียนทำอาหารไทย การเยี่ยมชมตลาดสด หรือการเข้าร่วมเทศกาลอาหาร ซึ่งล้วนเป็นประสบการณ์ที่ช่วยเพิ่มมูลค่า และส่งเสริมเศรษฐกิจในระดับฐานรากได้เป็นอย่างดี

การจัดงาน “อาณาจักรแห่งรสชาติ: จุดประกายอนาคตการท่องเที่ยวและการบริการระดับโลก” ในครั้งนี้ จึงเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความเข้มแข็งของมหาวิทยาลัยสวนดุสิตในด้านอาหาร การท่องเที่ยว และการบริการ ที่สามารถช่วยส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ ทั้งในระดับชาติและระดับชุมชนท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้งานวิจัยและนวัตกรรมเป็นฐาน ที่ผสานความร่วมมืออย่างเข้มแข็งระหว่างภาคีเครือข่ายหน่วยงานทั้งในภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ทำให้สามารถมองเห็นถึงการต่อยอด โอกาส และความเชื่อมโยง กับการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ ผ่านความเชี่ยวชาญด้านอาหารของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม

ดร.พิทักษ์ จันทร์เจริญ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสวนดุสิต
กล่าวว่า มหาวิทยาลัยสวนดุสิตมีจุดเริ่มต้นมาจากการก่อตั้งเป็นโรงเรียนมัธยมวิสามัญการเรือนแห่งแรกของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2477 และได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลากว่า 80 ปี จนกระทั่งกลายมาเป็นมหาวิทยาลัยสวนดุสิตในปัจจุบันที่มุ่งเน้นความเป็นเลิศใน
อัตลักษณ์ 5 ด้าน ได้แก่ อาหาร การศึกษาปฐมวัยอุตสาหกรรมการบริการ การพยาบาลและสุขภาวะ และกฎหมายและการเมือง ตลอดจนการมุ่งพัฒนาเชิงพื้นให้บริการตามความเชี่ยวชาญของมหาวิทยาลัย เพื่อเป็นหุ้นส่วนที่สำคัญในการพัฒนาเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สุพรรณบุรี นครนายก ตรัง ประจวบคีรีขันธ์ และลำปาง

การจัดงาน “อาณาจักรแห่งรสชาติ: จุดประกายอนาคตการท่องเที่ยวและการบริการระดับโลก” ในครั้งนี้ จึงเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความเชี่ยวชาญของมหาวิทยาลัยสวนดุสิตในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ที่เกิดจากการบูรณาการอัตลักษณ์ที่เข้มแข็งใน 2 ด้านเข้าด้วยกัน นั่นก็คือ อัตลักษณ์ด้านอาหาร และอัตลักษณ์อุตสาหกรรมการบริการ ซึ่งเป็นส่วนผสมที่สำคัญที่ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการในมิติของการท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism) ที่มีจุดเด่นอยู่ที่การเดินทางท่องเที่ยวไปยังจุดหมายที่มีอาหารและเครื่องดื่มท้องถิ่น เพื่อสัมผัสวัฒนธรรมการกิน การดื่ม ตลอดจนการผลิตที่ร้อยเรียงมาเป็นกิจกรรมต่าง ๆ ที่น่าสนใจ 

หวังว่าการจัดงานในวันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมืออันแน่นแฟ้นระหว่างมหาวิทยาลัยและภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนการพัฒนางานด้านอาหาร การท่องเที่ยว และการบริการ ให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนอย่างแท้จริงต่อไป

รองศาสตราจารย์ ดร.ชนะศึก นิชานนท์ รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร วิจัย และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงานอาณาจักรแห่งรสชาติ: จุดประกายอนาคตการท่องเที่ยวและการบริการระดับโลก เกิดขึ้นจากความร่วมมือของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต และหน่วยงานภาคีเครือข่าย ความร่วมมือด้านอาหาร การท่องเที่ยว และการบริการ ตลอดจนการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น
ทั้งในส่วนของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร มหาวิทยาลัยศิลปากร สำนักงานเขตดุสิตสำนักงานเขตบางพลัด สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แห่งประเทศไทย (วว.) สำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (THACCA) และ Hub of Talents in Gastronomy Tourism

โดยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญในการจัดงาน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความโดดเด่นและหลากหลายของอาหารไทย อันเป็นรากฐานที่สำคัญของการท่องเที่ยวและการบริการ เพื่อสร้างเวทีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และส่งเสริมความร่วมมือในการดำเนินงานด้านอาหาร การท่องเที่ยว และการบริการ ระหว่างมหาวิทยาลัยสวนดุสิตและภาคีเครือข่าย
เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์การดำเนินงานของมหาวิทยาลัยสวนดุสิตและภาคีเครือข่ายในด้านอาหาร การท่องเที่ยว และการบริการ ตลอดจนการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นจากวัตถุประสงค์ของการจัดงานดังที่กล่าวมาข้างต้น 

จึงได้แบ่งการจัดกิจกรรมภายในงานออกเป็น 4 กิจกรรมหลัก ได้แก่
1. การเสวนา “Flavours of Experience: Serving Thailand’s New Tourism and Hospitality” โดยวิทยากรจาก มหาวิทยาลัยสวนดุสิต มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร และสำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ 
2. การจัดนิทรรศการ “การท่องเที่ยวด้านอาหารและวัตถุดิบท้องถิ่น” โดยมหาวิทยาลัยสวนดุสิตและภาคีเครือข่ายจำนวน 11 หน่วยงาน
3. การจัดนิทรรศการ Street Food โดยนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีการประกอบอาหารและบริการ และศูนย์ฝึกปฏิบัติการอาหารนานาชาติ โรงเรียนการเรือน มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
4. การจัดนิทรรศการ “อาณาจักรแห่งรส: การบรรจบของนวัตกรรมและรากวัฒนธรรม” นำเสนอมรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของสำรับอาหารไทย

กรมการขนส่งทหารเรือจัดพิธีเปิดการฝึกหลักสูตรอาชีพทหารกองประจำการ ประจำปีงบประมาณ 2568

(14 พ.ค. 68) พลเรือตรี ศุภสิทธิ์  บูรณะโอสถ เจ้ากรมการขนส่งทหารเรือ เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกหลักสูตรอาชีพทหารกองประจำการ ประจำปีงบประมาณ 2568 ในหลักสูตรช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ โดยมีส่วนราชการที่เข้าร่วม ประกอบด้วย คณะกรรมการพัฒนาอาชีพทหารกองประจำการกองทัพเรือ (คพท.) และสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน ๑ สมุทรปราการ (สพร.๑ สป.) ณ ห้องประชุม อาคารอเนกประสงค์ กองรถยนต์ กรมการขนส่งทหารเรือ
การจัดหลักสูตรการฝึกอาชีพฯ ในครั้งนี้ เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้เรียนรู้การซ่อมรถจักรยานยนต์ อาทิ การถอดใส่ล้อและยาง ปะยาง เปลี่ยนซีลโช้คอัพและน้ำมันโช้ค รวมถึงการบำรุงรักษารถจักรยานยนต์ ทั้งนี้เพื่อเป็นการส่งเสริมอาชีพให้แก่ทหารกองประจำการ และสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปประกอบอาชีพหลังปลดประจำการต่อไป

#กองทัพเรือที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ
#เทิดทูนสถาบัน_ป้องกันรัฐ_พัฒนาชาติ_ราษฎร์ศรัทธา
#ถูกต้อง_ถูกระเบียบ_ถูกกฎหมาย_ถูกใจผู้รับบริการ
#กรมการขนส่งทหารเรือ

‘ฉางอาน’ เข้าพบนายกฯ ลุยตั้งศูนย์ R&D ดันไทยเป็นฐานผลิตรถ EV พวงมาลัยขวา

บริษัทฉางอาน ออโต้โมบิล (CHANGAN) เตรียมเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแห่งแรกนอกประเทศจีนอย่างเป็นทางการในไทย วันที่ 16 พฤษภาคมนี้ พร้อมวางแผนตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนารถยนต์พวงมาลัยขวา และจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคในไทย เพื่อดูแลตลาดเอเชียแปซิฟิก เพิ่มการจ้างงานคนไทยกว่า 2,000 คน

นายจู ฮวาหลง ประธานบริษัท พร้อมคณะผู้บริหาร เข้าพบนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เพื่อหารือแนวทางขยายการลงทุน โดยมีเลขาธิการบีโอไอร่วมให้ข้อมูลถึงแผนสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากรไทย ผ่านความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและผู้ผลิตชิ้นส่วนท้องถิ่น

โรงงานดังกล่าวตั้งอยู่ที่นิคม WHA อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 จ.ระยอง มีกำลังผลิตเริ่มต้น 100,000 คันต่อปี ตั้งเป้าใช้ชิ้นส่วนในประเทศ 65% ภายในปีนี้ และเพิ่มเป็น 80% ภายในปี 2571 โดยได้รับส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอกว่า 10,000 ล้านบาทในเฟสแรก

บีโอไอระบุว่าแผนจัดตั้งศูนย์ R&D ครั้งนี้จะช่วยยกระดับขีดความสามารถอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในอนาคต พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ภาคการผลิต และสร้างโอกาสให้แรงงานทักษะสูงของไทยเติบโตไปกับอุตสาหกรรม EV ระดับภูมิภาค

‘สุรพิชญ์-วิชญาดา’ คว้าตั๋วดวลวงสวิงญี่ปุ่น หลังได้แชมป์ “บางจาก มาสเตอร์ส 2025”

(14 พ.ค. 68) ดาว์ปกรณ์ รัตนสุวรรณ ประธานจัดการแข่งขัน “ช้าง-เจ็นซ์ กอล์ฟ ทัวร์” ให้เกียรติมอบรางวัลและมอบสิทธิ์ร่วมแข่งที่ประเทศญี่ปุ่น แก่นักกอล์ฟเยาวชนที่คว้าแชมป์ในรุ่น Super GENZ (ชายและหญิง) ในการแข่งขันกอล์ฟเยาวชนรายการ “บางจาก มาสเตอร์ส 2025” ที่สนามปัตตาเวีย เซ็นจูรี่ กอล์ฟ คลับ จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา

“บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)” ร่วมกับ “บริษัท เดอะ เจ็นซ์ จำกัด” ลุยคัดเยาวชนฝีมือดีต่อในรายการ “บางจาก มาสเตอร์ส 2025” ทำการแข่งขัน 2 วัน (36 หลุม) ซึ่งการแข่งขันสนามนี้จะคัดเลือกนักกอล์ฟเยาวชนที่คว้าแชมป์ในรุ่น Super Genz ชาย 1 คน และหญิง 1 คน ร่วมเป็นตัวแทนเข้าแข่งขัน Yonex Junior Golf Championship 2025 ที่ประเทศญี่ปุ่น ในเดือนสิงหาคม นี้ 

หลังจบการแข่งขันรอบสุดท้าย ผลปรากฏว่า “สุรพิชญ์ พิชยเสาวภาคย์” คว้าแชมป์รุ่น Super Genz ชาย ได้สำเร็จ สกอร์รวมสองวันทำไป 3 อันเดอร์พาร์ 141 ฟาก Super Genz (หญิง) วิชญาดา แรมเมือง ก็ฟอร์มแรงไม่แพ้กัน เบียดคว้าแชมป์แรกในสนามนี้ไปครอง ด้วยสกอร์รวม 1 อันเดอร์พาร์ 143 ซึ่งทั้ง สุรพิชญ์ และวิชญาดา ยังคว้าตั๋วแข่งที่ญี่ปุ่นได้อีกด้วย 

นอกจากสิทธิ์แข่งญี่ปุ่นแล้ว ยังมีอีกหนึ่งรายการแข่งขันที่ เดอะ เจ็นซ์ จะพาน้องๆ ไปสร้างประสบการณ์พัฒนาฝีมือในระดับนานาชาติที่ประเทศสิงคโปร์ กับรายการ Singapore Junior Masters 2025 ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2568 ซึ่งนักกอล์ฟที่ได้สิทธิ์แข่งขันในรายการนี้ จำนวน 4 คน ได้แก่ รุ่น Super GENZ (ชาย) สุรพิชญ์ พิชยเสาวภาคย์ รุ่น Super GENZ (หญิง) งามพรรณ จันทนะ ส่วนรุ่น Junior Genz (ชาย) รัฐวิชญ์ รัฐชัยอนันต์ รุ่น Junior Genz (หญิง) บุณยนุช ศุภกิจบุญชู 

รายการต่อไปเป็นการแข่งขันเก็บคะแนนสะสมรายการที่ 4 “Ditto Classic 2025 Super 6 Match Play” แข่งขันระหว่างวันที่ 7-8 มิถุนายน 2568 สนามเขาใหญ่ คันทรี คลับ จ.นครราชสีมา สำหรับผู้ปกครองและนักกอล์ฟที่สนใจเข้าร่วมแข่งขันสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Official Line : @genzgolf  หรือโทร. 065 696 2229

ตำรวจให้ประกันตัว ‘แมวหลงสวบเจ้าหน้าที่’ หลังจับพิมพ์ลายนิ้วทำประวัติ วอนผู้ปกครองนำไปอบรม

(14 พ.ค. 68) แมวพลัดหลงตาแบ๊วที่กลายเป็นไวรัลในโลกโซเชียล หลังผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Da Parinda Pakeesuk' โพสต์ตามหาเจ้าของ พร้อมเผยว่าแมวตัวดังกล่าวถูกตั้งข้อหา “พยายามสวบเจ้าพนักงาน” หลังไปก่อกวนเจ้าหน้าที่ที่ สน.คลองตัน โดยระบุว่าแมวมีพฤติกรรมดื้อซนถึงขั้นทะเลาะกับตำรวจ จนต้องฝากขังหากไม่มีผู้รับตัว

ล่าสุดเฟซบุ๊ก 'Da Parinda Pakeesuk' มีการอัปเดตว่า พนักงานสอบสวนได้ดำเนินคดีตามขั้นตอน พร้อมพิมพ์อุ้งเท้าทำประวัติ ตรวจสารเสพติด (หญ้าแมว) ผลออกมาเป็นลบ ก่อนอนุญาตให้ประกันตัว โดยมี 'ผู้ปกครอง' มารับกลับไปอบรมอย่างเร่งด่วน เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่แมวตัวอื่นในชุมชน

ทั้งนี้ เคสตามหาเจ้าของแมวดังกล่าวกลายเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ ด้วยความน่ารักของ 'ผู้ต้องหาแมว' ที่แม้จะซนแต่ก็สร้างรอยยิ้มให้ชาวเน็ต และสะท้อนความห่วงใยของประชาชนที่ร่วมกันตามหาเจ้าของอย่างอบอุ่นใจในช่วงเวลาไม่นาน

สมุทรปราการ-พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้องคมนตรีเชิญสัญญาบัตร พัดยศ และผ้าไตร ถวายแด่เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง

(14 พ.ค.68) เวลา 10.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลเอก กัมปนาท รุดดิษฐ์ องคมนตรี เชิญสัญญาบัตร พัดยศ และผ้าไตร ถวายแด่ พระสงฆ์ที่ได้รับการโปรดพระราชทานสัญญาบัตรเป็นพระราชาคณะ จำนวน 1 รูป ดังนี้ พระวชิรคณาทร (จรูญ ฐานธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง

ด้วยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณอดุลยเดช สยามินทราธิเบศรราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์พระราชาคณะให้พระสงฆ์ โดยทรงพระราชดำริว่าซึ่งดำรงในสมณคุณ มีอุปการะยิ่งแก่การพระศาสนา สมควรได้เลื่อนอิสริยฐานันดรในสมณศักดิ์สูงขึ้น  ณ วัดบางพลีใหญ่กลาง ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ

โดยทรงพระราชทานตั้งสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช แด่พระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) ดร. เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง เป็นพระวชิรคณาทร (จรูญ ฐานธมฺโม) ท่านเจ้าคุณแจ้ ณ อุโบสถวัดบางพลีใหญ่กลาง 

โดยมี พล.ต.ต.วิชิต บุญชินวุฒิกุล ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ หัวหน้าส่วนราชการ คณะไวยาวัจกรวัดบางพลีใหญ่กลาง คณะครู คณะแพทย์ ทหาร ตำรวจ และศิษยานุศิษย์ ร่วมให้การต้อนรับ นอกจากนี้ยังมีคณะสงฆ์ทรงสมณศักดิ์จากวัดต่างๆ ร่วมแสดงมุทิตาสักการะแด่ พระวชิรคณาทร (จรูญ ฐานธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง ณ อุโบสถวัดบางพลีใหญ่กลาง 


 

‘ผู้นำชีอะห์ไทย’ ลากไส้ ‘NGO ต่างชาติ’ ปมชายแดนใต้ แฉช่วยล้างภาพ BRN เปิดทุกกลลวงแบ่ง ‘อธิปไตยไทย’

‘ผู้นำชีอะห์’ ลากไส้ ‘NGOต่างชาติ’ ต่อปัญหา ‘ชายแดนใต้’ แฉเบื้องหน้าอ้างสิทธิมนุษยชน เบื้องหลังคือเครื่องมือแทรกแซง เปลี่ยนภาพลักษณ์ ‘BRN’ จาก ‘กลุ่มติดอาวุธ’ เป็น ‘ขบวนการทางการเมือง’ ปลายทางคือแบ่งอำนาจอธิปไตยไทย แนะรัฐบาลไทยตั้ง ‘NGO ฝ่ายความมั่นคง’ ตีโต้

(14 พ.ค. 68) นายซัยยิด สุไลมาน ฮูซัยนี ผู้นำศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์แห่งประเทศไทย เผยแพร่บทความ เรื่อง “โฉมหน้าอันหลอกลวงของ NGO ต่างชาติที่มีต่อปัญหาชายแดนใต้ของไทย” ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 3 ตอน มีเนื้อหาดังนี้...

โฉมหน้าอันหลอกลวงของ NGO ต่างชาติที่มีต่อปัญหาชายแดนใต้ของไทย

ตอนที่ 1
เบื้องหน้า 'สิทธิมนุษยชน' – เบื้องหลัง 'เครื่องมือแทรกแซง' 'สิทธิมนุษยชน' และ 'สันติภาพ' อาจฟังดูเป็นถ้อยคำที่สวยงาม แต่ในบางเวที โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) ถ้อยคำเหล่านี้กลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังขององค์กรนอกภาครัฐจากต่างประเทศ (NGO ต่างชาติ) ในการเข้ามากำหนดทิศทางความขัดแย้งอย่างแยบยล โดยไม่มีใครตั้งคำถามว่า: พวกเขาต้องการอะไรจริงๆ?"

NGO ต่างชาติใน จชต.: ผู้มาเยือนหรือผู้กำหนดยุทธศาสตร์?
ตั้งแต่ความรุนแรงรอบใหม่ใน จชต.ปะทุขึ้นในปี 2547 เป็นต้นมา พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นจุดสนใจของ NGO ระหว่างประเทศอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน องค์กรเหล่านี้มักอ้างเป้าหมายในการสนับสนุนสิทธิมนุษยชน ความเป็นธรรมทางกฎหมาย และการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืน — แต่การสังเกตอย่างใกล้ชิดจะพบว่า หลายองค์กรมีบทบาทเชิงโครงสร้างในระดับที่ไม่ธรรมดา

องค์กรอย่าง Human Rights Watch, International Crisis Group (ICG), Amnesty International หรือแม้แต่ Centre for Humanitarian Dialogue (HD) ต่างมีโครงการ ฝึกอบรม รายงานวิจัย และเวทีพูดคุยที่ดำเนินมายาวนานใน จชต. โดยเฉพาะ HD ซึ่งเป็นองค์กรที่มีที่ตั้งในเจนีวาแต่สามารถเข้าถึงทั้งแกนนำ BRN และฝ่ายความมั่นคงไทยได้พร้อมกัน — จนกระทั่งสามารถผลักดันให้เกิดโต๊ะเจรจาสันติสุขขึ้นจริง

วาทกรรมสิทธิมนุษยชน: พื้นที่ใหม่ของการต่อรอง
รายงานและถ้อยแถลงจาก NGO ต่างชาติ มีการตั้งคำถามต่อการใช้กฎหมายพิเศษของรัฐไทย เช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หรือ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ โดยชี้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวมลายูมุสลิมในพื้นที่ ทั้งที่รายงานเหล่านี้มักขาดการอ้างอิงเหตุผลด้านความมั่นคง หรือความรุนแรงที่มาจากขบวนการ BRN

ในทางกลับกัน กลับมีแนวโน้มที่ NGO เหล่านี้จะหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงการวางระเบิด การลอบยิง หรือการเกณฑ์เยาวชนเข้าร่วมขบวนการด้วยถ้อยคำรุนแรง โดยมักจัดให้เป็น "ผลพวงของโครงสร้างรัฐที่กดทับ" มากกว่าการกระทำผิดกฎหมายหรืออาชญากรรม

แนวโน้มนี้สร้างวาทกรรมใหม่ที่มองรัฐไทยเป็น 'ผู้กดขี่' และกลุ่มแบ่งแยกดินแดนเป็น "ผู้ถูกกดขี่ที่ต้องเข้าใจ" ซึ่งอาจดูสมดุลในแง่สิทธิมนุษยชน แต่ในทางยุทธศาสตร์แล้ว คือการวาง 'โครงสร้างการตีความ' ที่ลดทอนอำนาจความชอบธรรมของรัฐไทยในเวทีสากล

ประโยชน์เชิงโครงสร้าง: NGO ได้อะไร?
เมื่อพิจารณาในเชิงโครงสร้าง NGO เหล่านี้ได้ประโยชน์ในหลายระดับ:

การต่ออายุองค์กร
พื้นที่ความขัดแย้งที่ยังไม่จบ ทำให้โครงการ NGO ไม่หมดอายุ — งบประมาณ ความชอบธรรม และความสนใจจากโลกภายนอกยังคงหลั่งไหล

การเป็นผู้ไกล่เกลี่ยจำเป็น
ยิ่งรัฐไทยกับ BRN ไม่ไว้ใจกันมากเท่าไร องค์กรอย่าง HD ยิ่งกลายเป็นผู้กำหนดโต๊ะ (agenda-setter) ได้มากเท่านั้น

เวทีแห่งอำนาจใหม่
การเข้ามาทำงานใน จชต. คือโอกาสสร้างเครือข่ายใหม่ของ NGO กับนักการเมือง นักวิชาการ และภาคประชาสังคมมลายู — ซึ่งสามารถใช้เป็นฐานต่อรองในอนาคต

Soft Power ฝังลึก
NGO เหล่านี้ไม่ได้มาเพื่อแก้ปัญหาเท่านั้น แต่ยังฝังกรอบคิดแบบตะวันตกในเรื่องรัฐธรรมนูญใหม่ เขตปกครองตนเอง หรือความเป็นสากลของสิทธิ์ ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับบริบทไทยเสมอไป

คำถามปลายเปิดที่รัฐไทยยังไม่กล้าถาม
ทำไม NGO เหล่านี้ถึงสามารถเข้าถึงทั้ง BRN และฝ่ายความมั่นคงได้พร้อมกัน?
การฝึกอบรมให้แก่นักเจรจา ทั้งฝ่ายขบวนการและเจ้าหน้าที่รัฐ มีวัตถุประสงค์เพื่อความเป็นกลางจริงหรือ?

โต๊ะเจรจาที่ตั้งอยู่บนเงื่อนไขและเวทีของ NGO ต่างชาติ แท้จริงแล้วเป็นโต๊ะของใคร?

ตอนนี้คือจุดเริ่มต้นของคำถามที่จำเป็นต้องถาม เมื่อองค์กรต่างชาติในนามของ NGO เข้ามามีบทบาทในพื้นที่ความขัดแย้งอย่างลึกซึ้ง ความชัดเจนในเจตนาและวัตถุประสงค์จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

ในตอนต่อไป จะพาผู้อ่านไปสำรวจว่า NGO ต่างชาติเหล่านี้ ได้ประโยชน์อย่างไรจากทั้ง BRN และรัฐไทย และอาจกำลังเป็นผู้ควบคุมกระดาน โดยที่ทั้งสองฝ่ายไม่ทันรู้ตัว

ตอนที่ 2
เกมลวงของ NGO: 'ผู้หวังดี' ที่ได้ประโยชน์จากทุกฝ่าย

ในเวทีความขัดแย้งระหว่างรัฐไทยกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนอย่าง BRN องค์กร NGO จากต่างประเทศมักปรากฏตัวในฐานะผู้ไกล่เกลี่ย ผู้เฝ้าระวัง หรือผู้พิทักษ์สิทธิมนุษยชน แต่เบื้องหลังภาพลักษณ์ที่ดูเป็นกลางและหวังดีเหล่านี้ NGO บางกลุ่มได้ประโยชน์จากทั้งสองฝ่ายในแบบที่น่าตั้งคำถามอย่างยิ่ง

NGO ในบทบาท 'กรรมการ' ที่ควบคุมเกม

หนึ่งในองค์กรที่โดดเด่นที่สุดคือ Centre for Humanitarian Dialogue (HD) ซึ่งเป็นองค์กรที่อ้างความเป็นกลางในการสร้างสันติภาพ และสามารถเข้าถึงทั้งฝ่าย BRN และเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงไทยได้พร้อมกัน

HD ไม่เพียงแต่อำนวยความสะดวกในการจัดเวทีพูดคุยสันติสุขเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นผู้จัดอบรม ฝึกเจรจา และให้คำแนะนำในเชิงกระบวนการแก่ทั้งสองฝ่ายมานานนับสิบปี ซึ่งในเชิงยุทธศาสตร์ นี่ไม่ใช่แค่การอำนวยความสะดวก — แต่คือการ ควบคุมโครงสร้างโต๊ะเจรจา

NGO กับการปั้น BRN

NGO บางกลุ่มมีบทบาทอย่างชัดเจนในการช่วย BRN เปลี่ยนภาพลักษณ์จาก 'กลุ่มติดอาวุธ' มาเป็น 'ขบวนการทางการเมือง' โดยเฉพาะ HD และกลุ่มฝึกอบรมจากยุโรป ซึ่งสนับสนุนการสร้างผู้นำรุ่นใหม่ของ BRN ให้พูดภาษาอังกฤษได้ดี เข้าใจกลไกระหว่างประเทศ และสามารถสื่อสารผ่านสื่อสากลได้

NGO เหล่านี้ยังสนับสนุนเวทีระหว่างประเทศ เช่น การดึง OIC หรือองค์กรสิทธิมนุษยชนให้ร่วมฟัง BRN นำเสนอข้อเรียกร้องในเชิงการเมือง มากกว่าจะพูดถึงเหตุการณ์ลอบโจมตีหรือการใช้อาวุธในพื้นที่

NGO กับรัฐไทย: ทำไมจึงยอมรับ?

แม้รัฐไทยจะระแวดระวัง NGO ต่างชาติ แต่สุดท้ายก็มักยอมให้เข้ามามีบทบาทเพราะ:

ต้องการเวทีพูดคุยที่ดูเป็นกลางในสายตาสากล

ขาดทักษะด้านการเจรจาและต้องพึ่งพาการฝึกอบรมจากภายนอก

เชื่อว่า NGO จะเป็น 'กันชน' ลดแรงกดดันจากประชาคมโลก

อย่างไรก็ตาม การยอมเปิดพื้นที่ให้ NGO เหล่านี้ ก็คือการยอมให้ ผู้อื่นกำหนดโครงสร้างเจรจาแทนตน โดยไม่รู้ตัว

ใครหลอกใคร: NGO ได้ประโยชน์จากทุกฝ่าย

ในขณะที่รัฐไทยพยายามสร้างภาพว่ากำลังควบคุมสถานการณ์ และ BRN พยายามสร้างความชอบธรรม NGO บางกลุ่มกลับสามารถ:

ขยายโครงการ ต่อเนื่องจากสถานการณ์ไม่จบ

ปั้นผู้นำ ที่ตนเองสามารถเข้าถึงได้

ขยายทุนทางสังคม ในหมู่นักวิชาการ ภาคประชาสังคม และเยาวชน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง NGO บางกลุ่มสามารถทำให้ตนเองกลายเป็น "ผู้มีอำนาจเหนือความขัดแย้ง" โดยไม่มีต้นทุนทางความรับผิดชอบใดๆ

ตัวอย่างพฤติกรรมที่ควรจับตา

HD จัดเวิร์กช็อปให้ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและแกนนำเยาวชนในหัวข้อเดียวกัน แต่แยกพื้นที่ พบว่ามีการปลูกฝังชุดความคิดเรื่อง self-determination โดยใช้กรณีติมอร์ตะวันออกและโคโซโวเป็นต้นแบบ

ตามรายงานของ ICG ปี 2022 BRN มีแนวโน้มปรับบทบาททางการเมืองผ่านการมีทีมเจรจาที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งสะท้อนความพยายามเปลี่ยนผ่านจากขบวนการติดอาวุธสู่เวทีการเมือง”

เครือข่าย NGO ด้านสิทธิมนุษยชนหลายแห่งในยุโรปแนะนำให้ไทยยุติ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในพื้นที่ โดยไม่พูดถึงความรุนแรงที่ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

บทสรุป
NGO บางกลุ่มไม่เพียงแต่เข้ามามีบทบาทในเวทีเจรจา แต่ยังทำหน้าที่เสมือน ผู้ออกแบบกระดาน ที่ทั้ง BRN และรัฐไทยต้องเล่นตาม โดยไม่ได้ตระหนักว่าตนเองอาจกลายเป็นหมากในเกมที่ NGO เป็นผู้จัดวาง

ตอนที่ 3 (ตอนจบ)
NGO กับวาระตะวันตก – ปลายทางคือการแบ่งอำนาจอธิปไตยไทย?

ในสองตอนที่ผ่านมา เราเห็นภาพ NGO ต่างชาติที่มีบทบาทลึกซึ้งในความขัดแย้ง จชต. บทบาทนั้นไม่ได้จบที่การฝึกอบรมหรือไกล่เกลี่ย แต่เชื่อมโยงกับแนวโน้มของยุทธศาสตร์ตะวันตกที่ต้องการปรับโครงสร้างอำนาจรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตนเอง โดยเฉพาะในบริบทภูมิรัฐศาสตร์ที่ซับซ้อนขึ้นทุกขณะ

ภูมิรัฐศาสตร์ใหม่: ทำไมตะวันตกจึงสนใจ จชต.?

จชต. ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ใกล้ช่องแคบมะละกา จุดยุทธศาสตร์การค้าและการทหารของโลก ภูมิภาคนี้เป็นทางผ่านสำคัญของการขนส่งพลังงาน และเป็นพื้นที่แทรกซึมของอิทธิพลจีน — จึงไม่น่าแปลกใจที่มหาอำนาจตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐฯ และพันธมิตรยุโรป จะจับตามองอย่างใกล้ชิด

ในบริบทเช่นนี้ NGO กลายเป็น 'แขนขาทางอ้อม' ของแนวคิด soft power ตะวันตก ที่พยายามแทรกซึมแนวคิดเรื่อง human rights, autonomy, self-determination ให้ฝังลึกลงในพื้นที่ความขัดแย้ง โดยเฉพาะในจุดที่อำนาจรัฐไทยไม่อาจควบคุมได้อย่างเด็ดขาด

สมุทรปราการ-มูลนิธิอนันตชัย มอบถุงยังชีพช่วยเหลือคนจน กว่า 1,000 ชุด เนื่องในโอกาสครบรอบ 80 ปี อนันตชัย คุณานันทกุล

(14 พ.ค. 68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 นายอนันตชัย  คุณานันทกุล ประธานมูลนิธิอนันตชัย เป็นประธานจัดกิจกรรม “ร่วมบุญ แบ่งปัน” ประจำปี 2568 เนื่องในโอกาสครบรอบ 80 ปี วันคล้ายวันเกิด 

โดยมี นางอุไร คุณานันทกุล พร้อมด้วย นายเอกสิทธิ์-นางกัลยา-นายคุณค่าและนางฐาปนีย์  คุณานันทกุล นายทวี กุลเลิศประเสริฐ พร้อมด้วยครอบครัวปวงชนไทย นำคณะเจ้าหน้าที่มูลนิธิคุณานันทกุลร่วมกันมอบถุงยังชีพ ประเภท ข้าวสาร อาหารแห้ง นอกจากนี้ ยังได้มอบเงินสดให้แก่ผู้สูงอายุ ผู้พิการ รวมถึงพี่น้องประชาชนที่เดินทางมารับมอบถุงยังชีพอีกรายละ 500 บาท 

เพื่อเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระลดภาระค่าครองชีพ ซึ่งมีประชาชนทั้งในเขตพื้นที่และนอกพื้นที่ต่างเดินทางเข้ารับมอบถุงยังชีพ กว่า  1,000 คน  นอกจากนี้ทางมูลนิธิอนันตชัยยังได้จัดเตรียมอาหารปรุงสุกนำมาแจกจ่ายให้กับผู้มารับถุงยังชีพในครั้งนี้อีกด้วย

ซึ่งการจัดกิจกรรม “ร่วมบุญ แบ่งปัน” นั้น นายอนันตชัย พร้อมด้วยนางอุไร และครอบครัวคุณานันทกุล ได้ร่วมพิธีถวายสังฆทานและถวายภัตตาหารเพล แด่พระสงฆ์จำนวน 9 รูป โดยได้นิมนต์พระสงฆ์จากวัดหนามแดง จังหวัดสมุทรปราการ ประกอบพิธีเจริญชัยมงคลคาถาและเจริญพระพุทธมนต์ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 80 ปี นายอนันตชัย ที่อาคารสุขอนันต์ 

ด้านนายอนันตชัย กล่าวว่า ในปีนี้ทางมูลนิธิฯ และครอบครัวคุณานันทกุล พร้อมด้วยคณะครอบครัวปวงชนไทย นำโดย นายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล มีความปรารถนาดีต่อพี่น้องประชาชน จึงได้จัดกิจกรรม “ร่วมบุญ แบ่งปัน” มอบสิ่งของเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระและช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนเรื่องค่าครองชีพในพื้นที่ โดยตั้งใจจะจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เนื่องจากต้องการเห็นสังคมไทยอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข มีการแบ่งปันน้ำใจซึ่งกันและกัน ซึ่งทุกคนต่างมีความสุขทั้ง ผู้ให้และผู้รับ ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่เทศกิจ ชุด อปพร.ที่มาช่วยอำนวยความสะดวกให้ประชาชนในครั้งนี้ด้วย

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top