Thursday, 26 June 2025
NEWS FEED

ปิดสะพานกรุงเทพ 30 นาทีเพื่อเปิดสะพานให้เรือผ่าน แนะ ประชาชนโปรดวางแผนการเดินทาง

กรมทางหลวงชนบท แจ้งประชาชนหลีกเลี่ยงเส้นทางบนสะพานกรุงเทพ เพื่อทำการเปิดสะพานให้เรือสัญจรผ่าน ในวันที่ 22 ตุลาคม 2567 เวลา 10.00 - 10.30 น.

(21 ต.ค. 67) นายมนตรี เดชาสกุลสม อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กรมทางหลวงชนบท (ทช.) จะเปิดสะพานกรุงเทพเพื่อให้เรือ M/y Nooni 2 ผ่าน ในวันที่ 22 ตุลาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 10.00 - 10.30 น. ซึ่งมีความจำเป็นต้องปิดการจราจรชั่วคราว จึงขอประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนผู้สัญจรผ่าน สะพานกรุงเทพ โปรดหลีกเลี่ยงเส้นทางในวันและเวลาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ทช. ต้องขออภัยในความไม่สะดวก มา ณ โอกาสนี้ หากเรือ M/y Nooni 2 เดินเรือผ่านเรียบร้อย ทช. จะเร่งยกพื้นสะพานกลับทันที เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้เส้นทางได้ตามปกติโดยเร็ว

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถใช้เส้นทางเลี่ยงสะพานพระราม 3 และสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทดแทนได้ และโปรดปฏิบัติตามป้ายเตือน คำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด เพื่อความสะดวก และปลอดภัยในการเดินทาง สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ นายวินธ์ธร อูปคำ ปฏิบัติหน้าที่แทนผู้อำนวยการหมวดบำรุงทางหลวงชนบทกัลปพฤกษ์ โทร. 08 4448 5458 หรือสายด่วน ทช. โทร. 1146

รัฐบาลเฝ้าระวัง 31 จังหวัดเสี่ยงจากอากาศแปรปรวน ยัน พายุโซนร้อนลงทะเลจีนใต้ ไร้ผลกระทบกับไทย

(21 ต.ค. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์  ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีและโฆษกศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) เปิดเผยว่า วันนี้ (21 ต.ค.) กรมอุตุนิยมวิทยา ยังแจ้งเตือนหลายพื้นที่ ระวังผลกระทบจากสภาพอากาศแปรปรวน  อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากได้ และมีพื้นที่อ่อนไหวต้องติดตามเฝ้าระวังแผ่นดินถล่มและน้ำป่าไหลหลาก ช่วงวันที่ 21-23 ตุลาคมนี้ ใน 31 จังหวัด ประกอบด้วย  

ภาคเหนือ จังหวัดตาก (พบพระ) จังหวัดเชียงราย (เวียงป่าเป้า) จังหวัด ลำปาง (วังเหนือ) จังหวัดอุทัยธานี (บ้านไร่ ห้วยคต ลานสัก)

ภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรี (ศรีราชา บ่อทอง บางละมุง สัตหีบ บ้านบึง) จังหวัดระยอง (บ้านค่าย เขาชะเมา) จังหวัดฉะเชิงเทรา (ท่าตะเกียบ สนามชัยเขต) จังหวัดปราจีนบุรี (นาดี ประจันตคาม) จังหวัดจันทบุรี (เมืองจันทบุรี ขลุง เขาคิชฌกูฎ โป่งน้ำร้อน)  จังหวัดตราด (เกาะช้าง  เขาสมิง บ่อไร่) 

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดนครราชสีมา (ปากช่อง) 

ภาคกลาง จังหวัดกาญจนบุรี (สังขละบุรี ทองผาภูมิ ไทรโยค) จังหวัดนครนายก (เมือง บ้านนา) จังหวัดสระบุรี (มวกเหล็ก) จังหวัดราชบุรี (บ้านคา ปากท่อ สวนผึ้ง) จังหวัดเพชรบุรี (แก่งกระจาน หนองหญ้าปล้อง ท่ายาง) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (หัวหิน ปราณบุรี สามร้อยยอด กุยบุรี ทับสะแก บางสะพาน บางสะพานน้อย) 

ภาคใต้ จังหวัดชุมพร (เมืองชุมพร สวี พะโต๊ะ ท่าแซะ หลังสวน ละแม ทุ่งตะโก) จังหวัดสุราษฎร์ธานี (ท่าชนะ ไชยา กาญจนดิษฐ์ ดอนสัก พนม) จังหวัดนครศรีธรรมราช (สิชล  ท่าศาลา ขนอม นบพิตำ) จังหวัดระนอง (กะเปอร์ สุขสำราญ ละอุ่น กระบุรี) จังหวัดพังงา (กะปง ตะกั่วทุ่ง ตะกั่วป่า ท้ายเหมือง คุระบุรี) จังหวัดภูเก็ต (ถลาง กะทู้ เมืองภูเก็ต) จังหวัดกระบี่ (เขาพนม เมืองกระบี่  อ่าวลึก ปลายพระยา เกาะลันตา) จังหวัดตรัง (เขาพนม เมืองกระบี่ อ่าวลึก  ปลายพระยา  เกาะลันตา) จังหวัดสตูล (ละงู ทุ่งหว้า มะนัง ควนกาหลง) จังหวัดพัทลุง (กงหรา ศรีนครินทร์ ศรีบรรพต) จังหวัดสงขลา (สะบ้าย้อย หาดใหญ่ รัตภูมิ) จังหวัดยะลา (เบตง ธารโต ยะหา) จังหวัด ปัตตานี (โคกโพธิ์ มายอ ทุ่งยางแดง ยะรัง)  จังหวัดนราธิวาส (บาเจาะ ระแงะ ยี่งอ  รือเสาะ สุคิริน)

“อากาศแปรปรวนทำให้ กรมทรัพยากรธรณี เตือนประชาชน พร้อมประสานเครือข่ายในพื้นที่เฝ้าระวัง ในหลายจุดเสี่ยงของ 31 จังหวัด เพื่อเป็นการป้องกัน และเตรียมพร้อมเข้าช่วยเหลือทันทีประชาชนได้ทันทีหากมีเหตุการณ์เกิดขึ้น” นายจิรายุ กล่าว

นายจิรายุ กล่าวว่า ส่วนสถานการณ์พายุหมุนเขตร้อนในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก  นายจิรายุ กล่าวว่า  จากการติดตามของกรมอุตุนิยมวิทยา  ยืนยันว่า  พายุนี้ยังอยู่ห่างไกลจากประเทศไทยมาก  โดยในวันนี้ (21/10/67)  เป็นพายุดีเปรสชัน มีแนวเคลื่อนตัวทางตะวันตก มีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงเป็นพายุโซนร้อนได้  และจะเคลื่อนตัวเข้าใกล้เกาะลูซอล ประเทศฟิลิปปินส์ ในช่วงวันที่ 24- 25 ตุลาคมนี้  ก่อนที่จะเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ลงสู่ทะเลจีนใต้  เบื้องต้นไม่มีผลกระทบกับประเทศไทย แต่ยังคงเฝ้าติดตามอย่างต่อเนื่อง

นายจิรายุ กล่าวด้วยว่า  กรณีน้ำป่าไหลหลาก ที่ อ.บ้านไร่ จ.จังหวัดอุทัยธานี ภาพรวมกลับสู่ภาวะปกติแล้ว มวลน้ำทั้งหมดไหลลงสู่เขื่อนกระเสียว ช่วยเติมน้ำลงอ่างไว้ใช้ประโยชน์ช่วงหน้าแล้ง  ไม่มีผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำแต่อย่างใด ขณะที่ภาคใต้ตอนล่างซึ่งยังมีแนวโน้มฝนตกหนักต่อเนื่อง ได้พร่องน้ำในเขื่อนบางลาง เพื่อเพิ่มพื้นที่ไว้รองรับน้ำที่จะไหลเข้ามาเพิ่มเติมช่วง 7 วันข้างหน้า อีก ประมาณ 86 ล้านลูกบาศก์เมตร รวมถึงวางแผนไว้รับน้ำช่วงฤดูฝนของภาคใต้หลังจากนี้ด้วย

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ห่วงใยผู้ประสบอุทกภัยชาวเชียงใหม่ ลำปาง และสุโขทัย จัดงบฯ กว่า 1.9 ล้านบาท ลงพื้นที่ฟื้นฟูหลังน้ำลด แจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค มอบเงินช่วยเหลือกรณีบ้านพังทั้งหลัง และช่วยเหลือค่าฌาปนกิจแก่ญาติผู้เสียชีวิต

(21 ต.ค. 67) ระหว่างวันที่ 16-20 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการฯ ห่วงใยผู้ประสบอุทัยภัย มอบหมายให้ นายวันชิด ศิรสีห์ รองผู้จัดการใหญ่ พร้อมด้วย นายชุมพล บุญภักดี ผู้ช่วยหัวหน้าแผนกสาธารณภัย นำทีมสาธารณภัยลงพื้นที่แจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง น้ำมันพืช และน้ำปลา แก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และลำปาง รวมจำนวน 4,000 ชุด มอบเงินสงเคราะห์จำนวน 12,000 บาท กรณีบ้านพังเสียหายทั้งหลัง จำนวน 1 หลัง และ มอบเงินสงเคราะห์ค่าฌาปนกิจให้แก่ญาติผู้เสียชีวิต รายละ 20,000 บาท รวมจำนวน 5 ราย รวมงบประมาณการช่วยเหลือทั้งสิ้น 1,912,000 บาท (หนึ่งล้านเก้าแสนหนึ่งหมื่นสองพันบาทถ้วน) โดยมี ผู้แทนจากหน่วยงานรัฐเป็นประธานในพิธี พร้อมทั้ง คณะมูลนิธิเชียงใหม่สามัคคีการกุศล จังหวัดเชียงใหม่ และมูลนิธิลำปางสงเคราะห์ จังหวัดลำปาง เป็นผู้ประสานงานและร่วมให้ความช่วยเหลือในพื้นที่ 

นอกจากนี้ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดสุโขทัย โดยมอบเงินสงเคราะห์จำนวน 12,000 บาท กรณีบ้านพังเสียหายทั้งหลัง จำนวน 4 หลัง และ มอบเงินสงเคราะห์ค่าฌาปนกิจให้แก่ญาติผู้เสียชีวิต รายละ 20,000 บาท รวมจำนวน 2 ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 88,000 บาท โดยมี มูลนิธิร่วมมิตรสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย เป็นผู้แทนมอบและร่วมให้ความช่วยเหลือ โดยมอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยบ้านพังเสียหาย จำนวน 4 หลัง หลังละ 3,000 บาท เป็นเงิน 12,000 บาท พร้อมมอบเครื่องอุปโภคบริโภค จำนวน 4 ชุด ชุดละ 1,320 บาท เป็นเงิน 5,280 บาท รวมงบประมาณการช่วยเหลือทั้ง 2 องค์กร เป็นเงินทั้งสิ้น 105,280 บาท (หนึ่งแสนห้าพันสองร้อยแปดสิบบาทถ้วน) 

นับตั้งแต่เกิดอุทกภัยใหญ่ในช่วงเดือนกรกฎาคม2567 เป็นต้นมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยภาคเหนือ - อีสาน ในโครงการฟื้นฟูหลังน้ำลดแล้วทั้งสิ้น 11 จังหวัด รวมงบประมาณการช่วยเหลือไม่ต่ำกว่า 11.5 ล้านบาท

เมื่อเกิดอุทกภัย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้จัดทีมบรรเทาสาธารณภัย พร้อมเรือท้องแบน และ โรงครัวเคลื่อนที่เพื่อประกอบอาหารกล่อง พร้อมถุงยังชีพ ชุดยาเวชภัณฑ์ และอาหารสุนัขและแมว นำแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัย เพื่อการบรรเทาทุกข์และช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่างๆ ในเบื้องต้น หลังจากนั้น ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ จะดำเนินการประสานหน่วยงานในพื้นที่เพื่อบรรเทาทุกข์ ฟื้นฟูหลังน้ำลด โดยแจกเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น รวมถึงมอบเงินค่าฌาปนกิจศพแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากอุทกภัย รายละ 20,000 บาท ทั้งนี้ หากมีผู้เสียชีวิตจากเหตุอุทกภัย ญาติของผู้เสียชีวิตสามารถขอรับเงินช่วยเหลือค่าฌาปนกิจศพ จากมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่ สายด่วนป่อเต็กตึ๊ง 1418 ต่อ ฝ่ายสังคมสงเคราะห์

ทั้งนี้ มูลนิธิฯ ยังคงอยู่ระหว่างดำเนินการภารกิจในพื้นที่ และเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินและเข้าให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้านต่าง ๆ ต่อไป

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง www.facebook.com/pohtecktungofficial

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต
#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วน ป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

ประชุมคณะกรรมการกำกับการประเมินผลการปฏิบัติราชการของ ศรชล. ประจำปี งป.68

(21 ต.ค. 67) พลเรือเอกไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ เลขาธิการ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) มอบหมายให้ พลเรือเอกประกอบ สุขสมัย รองเลขาธิการ ศรชล. เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการกำกับการประเมินผลการปฏิบัติราชการของ ศรชล. เพื่อร่วมพิจารณากำหนดตัวชี้วัดและติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานของ ศรชล. ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีคณะกรรมการฯ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุมอย่างพร้อมเพรียง ณ ห้องประชุม ชั้น 29 อาคารโทรคมนาคม บางรัก กรุงเทพฯ ในการนี้ ศรชล.ภาค 1 ได้เข้าฟังแนวทางการปฏิบัติงานให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน ศรชล. ประจำปี งป.68 โดยมี พลเรือตรี ไชยนันท์ ชูใหม่ รอง ผอ.ศรชล.ภาค 1 พร้อมฝ่ายอำนวยการฯ เข้าร่วมฟังฯ ณ ห้องประชุม 50 ที่นั่ง บก.ศรชล.ภาค 1 ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล หรือ ศรชล.เป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ที่ได้รับการยอมรับในระดับภูมิภาค เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนของประเทศชาติ และประชาชน”

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

ผอ.สวนสัตว์เปิดเขาเขียว แจ้งความดำเนินคดีแล้ว หลังปรากฏภาพนักท่องเที่ยวจีนยิงหนังสติ๊กในสวนสัตว์

(21 ต.ค. 67) ผอ.สวนสัตว์เปิดเขาเขียว มอบหมายให้หัวหน้างานรักษาความปลอดภัยสวนสัตว์เปิดเขาเขียวไปแจ้งความดำเนินคดีที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนกลุ่มหนึ่งใช้หนังสติ๊กยิงภายในสวนสัตว์แล้ว

จากกรณีมีผู้ใช้บัญชี TikTok รายหนึ่งได้โพสต์คลิปวิดีโอขณะไปเที่ยวสวนสัตว์เปิดเขาเขียว แต่พบนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มหนึ่งใช้หนังสติ๊กยิงภายในสวนสัตว์ พร้อมระบุข้อความว่า "ไม่น่ารักเลยนะคะ" จนกลายเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์กันอย่างมาก

ล่าสุด บ่ายวันนี้ (21 ต.ค.) นายกฤตพัส อินทิปัญญา หัวหน้างานรักษาความปลอดภัยสวนสัตว์เปิดเขาเขียว เผยว่า ได้รับมอบหมายจาก นายณรงวิทย์ ชดช้อย ผู้อำนวยการสวนสัตว์เปิดเขาเขียวให้มาแจ้งความดำเนินคดี กรณีที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนกลุ่มหนึ่งใช้หนังสติ๊กยิงภายในสวนสัตว์ ที่สถานีตำรวจภูธรศรีราชา ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี โดยมี พ.ต.ท.เฉลิมเกียรติ ปิ่นประเสริฐ สว.(สอบสวน) สภ.ศรีราชา จ.ชลบุรี รับแจ้งความ

นายกฤตพัส เผยว่า เมื่อวันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวของสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ได้ถ่ายคลิปวิดีโอปรากฏภาพของกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน และผู้นำทัวร์ บริเวณหุบเสือป่า ถือหนังสติ๊ก และยิงออกไปโดยไม่ทราบเจตนาในการยิงอย่างแน่ชัด แต่ทั่วทั้งบริเวณของสวนสัตว์ ลิงอาศัยอยู่อย่างอิสระ ซึ่งโดยปกติแล้วเจ้าหน้าที่ของสวนสัตว์จะพกพาหนังสติ๊กไว้เพื่อป้องปรามไม่ให้ลิงมาทำอันตรายนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว

ซึ่งผู้อำนวยการสวนสัตว์เปิดเขาเขียว เกรงว่าอาจมีนักท่องเที่ยวกระทำการอันเป็นความผิดต่อสัตว์ป่าในสวนสัตว์ จึงมอบหมายให้มาแจ้งต่อพนักงานสอบสวน สภ.ศรีราชา เพื่อให้บันทึกไว้เป็นหลักฐาน หากเกิดความเสียหาย หรือการกระทำความผิดต่อสัตว์ในสวนสัตว์ในภายหลังอีก จะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป นอกจากสวนสัตว์แจ้งความแล้ว ยังทำหนังสือถึงบริษัททัวร์ต่างๆ ที่นำลูกทัวร์มาให้เตือนนักทักท่องเที่ยวของตนเองไม่ให้นำหนังสติ๊กเข้ามาภายในสวน พร้อมทั้งห้ามทำร้ายหรือรังแกสัตว์ ซึ่งทางสวนสัตว์ได้มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวอยู่แล้ว

รมว. กต. ส่งที่ปรึกษาเยือนกัมพูชา นำร่องเชื่อมโยงท่องเที่ยวไร้รอยต่อ "6 ประเทศ 1 เป้าหมาย" - ด้าน รมต.ท่องเที่ยวกัมพูชา เห็นพ้องสนับสนุนคิกออฟก่อน "แพทองธาร" เยือนกัมพูชา

(21 ต.ค. 67) นายดุสิต เมนะพันธุ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วยนางสาวชยิกา วงศ์นภาจันทร์ ที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และคณะฯ เข้าพบหารือทวิภาคีร่วมกับนายฮวด ฮะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว ราชอาณาจักรกัมพูชา ในโอกาสการเดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อหารือถึงการอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว ทั้งการข้ามแดน และการท่องเที่ยวแบบไร้รอยต่อ หลังรัฐบาลไทยได้เห็นชอบนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว และเศรษฐกิจผ่านนโยบาย "6 ประเทศ, 1 เป้าหมาย" หรือ "6 Countries, 1 Destination" ประกอบด้วย บรูไนฯ, กัมพูชา, สปป.ลาว, มาเลเซีย, เวียดนาม และไทย โดยจะนำร่องการเจรจานโยบายกับกัมพูชาก่อน ก่อนที่จะขยายความร่วมมือไปสู่ประเทศอื่นๆ ต่อไป ซึ่งในการหารือกับกัมพูชาครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่ผู้นำรัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศได้เห็นความสำคัญถึงการเดินหน้านโยบาย ทีมที่ปรึกษาจึงเร่งดำเนินการเสนอแผน และกำหนดการต่าง ๆ ตามที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อแสดงความพร้อมในการรับ และนักท่องเที่ยว เชื่อมโยงไทย-กัมพูชาระหว่างกัน รวมถึงขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองต่าง ๆ โดยได้เสนอให้มีการจัดทำประเทศ และดินแดนเป้าหมาย ที่ทั้งไทยและกัมพูชา เห็นว่ามีศักยภาพ และจะได้รับสิทธิยกเว้นการตรวจลงตรา และใช้สิทธิ์ Visa on Arrival (VOA) ของทั้ง 2 ประเทศ รวมถึง Fast Lanes และความเป็นไปได้ ซึ่งประเทศไทยได้ร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคต่าง ๆ ผ่านนโยบายดังกล่าว

ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยังได้หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ กัมพูชา ถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกัน เพื่อสร้างอัตลักษณ์จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเดียวกัน (Single Tourism Destination) ระหว่าง 6 ประเทศ และร่วมกันพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และสร้างความเข้มแข็งแก่ภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยวระหว่างกัน ผ่านการจัดทำเส้นทางการท่องเที่ยว ที่เชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวมรดกโลก, การจัดทำปฏิทินท่องเที่ยวในภูมิภาคเพื่อเชื่อมโยงเทศกาลสำคัญระหว่างกัน อาทิ ปีใหม่ไทย-ลาว-ขแมร์ ตรุษจีน, การจัดกิจกรรมเพื่อนำเสนอสิทธิประโยชน์ อาทิ ส่วนลดค่าโรงแรม และช่องทางพิเศษในการเข้าเมือง เป็นต้น รวมถึงการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างทรัพยากรมนุษย์ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และการจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างเครือข่ายธุรกิจการท่องเที่ยวในภูมิภาค 

ขณะเดียวกัน ยังหารือถึงการพัฒนาความเชื่อมโยงด้านการคมนาคม เพื่อขยายความเชื่อมโยงด้านคมนาคม และการเพิ่มตัวเลือกในการเดินทางให้แก่นักท่องเที่ยว ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางราง และทางอากาศ อาทิ การเพิ่มเที่ยวบินระหว่าง 6 ประเทศ โดยขยายเส้นทางสู่เมืองที่น่าสนใจ ซึ่งเบื้องต้นการบินไทย มีโครงการเพิ่มเที่ยวบิน มายังกัมพูชา ที่จังหวัดเสียมราฐแล้ว รวมถึงการเสนอเส้นทางศักยภาพเชื่อมต่อการท่องเที่ยวทางน้ำ และทางราง อาทิ เส้นทางชลบุรี-ระยอง-จันทบุรี-ตราด-เกาะกง-สีหนุวิลล์-กัมปอต-แกบ โดยสามารถผลักดันการท่องเที่ยวทางน้ำจากตราด-สีหนุวิวล์-กัมปอต ให้มาทดแทนการท่องเที่ยวทางบกได้ 

ขณะที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว ราชอาณาจักรกัมพูชา ได้เห็นพ้อง นโยบาย "6 ประเทศ, 1 เป้าหมาย" ของไทยในครั้งนี้ และได้รับแผนนโยบาย และกำหนดการต่าง ๆ ของฝ่ายไทย ไปหารือและพิจารณาดำเนินการ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกัมพูชา อาทิ กระทรวงมหาดไทย กรมศุลกากรของกัมพูชา ก่อนที่จะเสนอให้คณะรัฐมนตรีกัมพูชา พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป โดยสนับสนุนนให้นโยบายนี้ ประสบความสำเร็จ และสามารถเริ่มดำเนินการได้ก่อนที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเดินทางเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการ

'พิชัย' หารือ รัฐมนตรีเศรษฐกิจรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์ค เยอรมนี ชวนลงทุน Data Center - พลังงาน - อาหาร ในไทย พร้อมเร่งเครื่องเจรจา FTA ไทย – อียู ให้สัมฤทธิ์ผลโดยเร็ว

(21 ต.ค. 67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้เข้าร่วมการหารือทวิภาคีกับ ดร.นิโคล ฮอฟไมสเตอร์-เคราท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ แรงงาน และการท่องเที่ยวแห่งรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์ค สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ณ กระทรวงพาณิชย์ โดยรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์ค เป็นรัฐสำคัญที่มีจำนวนประชากร และขนาด GDP ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของเยอรมนี และมีมูลค่าการค้ากับไทย คิดเป็น 1 ใน 5 ของมูลค่าการค้ารวมระหว่างไทย–เยอรมนี โดยมีสินค้าศักยภาพ ได้แก่ ยานยนต์และชิ้นส่วน อุปกรณ์ประมวลผลข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกล และอุปกรณ์ไฟฟ้า ซึ่งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนแนวทางการส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีนวัตกรรม ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และวิศวกรรมขั้นสูง ซึ่งเยอรมนีมีความเชี่ยวชาญและมีความสนใจที่จะขยายฐานการผลิต รวมทั้ง กลุ่มอุตสาหกรรมหรือบริการเป้าหมายที่สองฝ่ายเห็นประโยชน์ร่วมกัน เช่น ยานยนต์ วิศวกรรมเครื่องจักรกล แผงวงจรไฟฟ้า ระบบจัดเก็บข้อมูล (Data Center) พลังงานทางเลือก และ Soft power โดยเฉพาะในสาขาอาหารและการท่องเที่ยว

โดยรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์คเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลกซึ่งได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย เช่น Daimler (Mercedes-Benz) (ยานยนต์และชิ้นส่วน) Bosch (เทคโนโลยีการขับเคลื่อน ระบบขนส่งอัจฉริยะ อุปกรณ์ไฟฟ้า และเครื่องใช้ในครัวเรือน) Festo (ระบบอัตโนมัติในอุตสาหกรรม เช่น อุปกรณ์ยานยนต์และเซมิคอนดักเตอร์) SAP SE (บริการซอฟต์แวร์) และCarl Zeiss (เลนส์ อุปกรณ์ทัศนศาสตร์ และ MedTech) และมีมูลค่าการค้ากับไทยคิดเป็นร้อยละ 20 ของมูลค่าการค้ารวมไทย-เยอรมนี

นายพิชัย กล่าวเสริมว่า ได้ขอให้เยอรมนีช่วยสนับสนุนการเจรจา FTA ไทย - อียู ให้สามารถสรุปผลได้โดยเร็ว โดยสองฝ่ายเห็นพ้องว่า FTA ไทย - อียู จะเป็นประโยชน์ต่อการค้าและการลงทุนระหว่างไทย – เยอรมนี รวมถึงรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์คด้วย ซึ่ง FTA ฉบับนี้ จะช่วยขยายโอกาสและยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างกันได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ สองฝ่ายมีแผนที่จะส่งคณะนักธุรกิจและผู้ประกอบการเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการค้าระหว่างกัน โอกาสนี้ นายพิชัยยังได้เชิญชวนให้นักธุรกิจรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์คเข้ามาลงทุนในประเทศไทย พร้อมย้ำว่า ไทยยินดีให้การอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนจากรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์ค ที่ต้องการเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย

โดยในปี 2566 เยอรมนีถือเป็นคู่ค้าอันดับที่ 1 ของไทยในสหภาพยุโรป การค้าระหว่างไทย – เยอรมนี มีมูลค่า 10,737.90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นการส่งออกจากไทยไปเยอรมนี 4,555.82ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่แผงวงจรไฟฟ้า อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ขณะที่ไทยนำเข้าจากเยอรมนี 6,182.09 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้านำเข้าที่สำคัญ เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เคมีภัณฑ์ และเครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การแพทย์

'เผ่าภูมิ' หารือทวิภาคีรัฐมนตรีคลังฮ่องกง เชื่อมศูนย์กลางการเงิน 2 เขต ศก. ชูจุดเด่น ไทยคือประตู CLMV

(21 ต.ค. 67) นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนายพอล ชาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ของฮ่องกงได้ประชุมทวิภาคีที่กรุงลิมา ประเทศเปรู ระหว่างการประชุมรัฐมนตรีคลังเอเปค โดยรัฐมนตรีทั้งสองได้มุ่งสร้างความร่วมมือในภาคการเงินของสองเขตเศรฐกิจ

นายเผ่าภูมิได้แสดงท่าทีของไทยในการเป็นผู้เล่นที่บทบาทสำคัญในเวทีการเงินโลก พร้อมทั้งเชิญชวนฮ่องกงเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาศูนย์กลางทางการเงิน เนื่องจากไทยมีความโดดเด่นในฐานะประตูสู่ตลาดอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม หรือ CLMV ความร่วมมือทางการเงินของไทยและฮ่องกงจะก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันอย่างยิ่งเนื่องจากอาเซียนและฮ่องกง รวมทั้งจีนมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งการค้าและการลงทุน

ในการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน กระทรวงการคลังมีนโยบายที่จะ 1) ปฏิรูปการกำกับดูแล การประกอบธุรกิจทางการเงินให้มีที่มีความยืดหยุ่น โปร่งใส และเอื้อต่อการประกอบธุรกิจ 2) ให้สิทธิประโยชน์รูปแบบใหม่ที่ครอบคลุมทั้งสิทธิประโยชน์ทางภาษีและสิทธิประโยชน์ที่ไม่ใช่ภาษี และ 3) พัฒนาระบบนิเวศน์และโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยเพื่อสนับสนุนธุรกิจและนวัตกรรมทางการเงิน

ทั้งสองฝ่ายยังได้ชื่นชมความสำเร็จของความร่วมมือในการพัฒนาระบบการชำระเงินข้ามพรมแดน (Cross-border Payment) ผ่านการเชื่อมโยงระบบพร้อมเพย์ของไทยกับระบบชำระเงินของฮ่องกง (FPS) ได้สร้างมาตรฐานใหม่ในการชำระเงินที่สะดวกและรวดเร็วระหว่างสองเขตเศรษฐกิจ ทั้งภาคธุรกิจและประชาชนทั่วไป 

ภายหลังการหารือ ทั้งสองรัฐมนตรีได้แสดงความเชื่อมั่นในความสัมพันธ์และความร่วมมือทางการเงินระหว่างไทย และฮ่องกง และแลกเปลี่ยนโอกาสในการขยายความร่วมมือทางด้านการเงินเพื่อเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและนวัตกรรมทางการเงินร่วมกัน สร้างความเชื่อมโยงและการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคงและมีเสถียรภาพในภูมิภาคอาเซียนและเอเปคต่อไป

ส่องความเห็น 2 ทนายดัง จากกรณี ว.วชิรเมธี เทศน์ The iCon

(21 ต.ค. 67) เรื่องราวข่าว The iCon Group ที่โยงไปในหลาย ๆ วงการ รวมถึงวงการสงฆ์จากกรณีที่พระเมธีวชิโรดม หรือ ว.วชิระเมธี พระนักเทศน์นักเขียนชื่อดัง ที่ได้รับเชิญให้ไปบรรยายไปเทศนาที่ The iCon Group นั้น 

ล่าสุดจากกรณีดังกล่าวได้ทำให้เกิดวิวาทะระหว่างทนายที่มีชื่อเสียง 2 คน ได้แก่ ทนายวันชัย สอนศิริ อดีตสมาชิกวุฒิสภา และทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ เจ้าของเพจทนายคลายทุกข์ 

โดยวันที่ 20 ต.ค. 67 ทางทนายวันชัย สอนศิริ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า 

ท่าน ว. ...ธรรมะย่อมชนะอธรรม

ใครจะเล่นกับเทวดาตนใดอย่างไรก็ว่ากันไป... แต่สำหรับท่าน ว. เท่าที่ผมเห็นวัตรปฏิบัติของท่านตลอดมาเป็นพระนักเทศน์สอนตามหลักคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขายธรรมะอย่างเดียวเพียวๆ เฉกเช่น หลวงพ่อปัญญา หลวงพ่อพุทธทาส ไม่ใช่พระอมน้ำมนต์พ่นน้ำหมากปลุกเสกเลขยันต์ ถือว่าเป็นพระน้ำดีในยุคสมัย อาจจะผิดพลาดบกพร่องก็เป็นวิสัยของมนุษย์โดยทั่วไป ด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายผมเชื่อว่าท่าน ว. ไม่ได้ผิดอะไร คนที่เป็นพระมาถึงระดับนี้ ถ้ารู้ว่าขบวนการของดิไอคอนเป็นขบวนการต้มตุ๋นหลอกลวงฉ้อโกง หรือเป็นแก๊งค์ทุจริตผิดกฎหมาย ท่านคงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวแน่ และคงไม่เข้าไปซ่องเสพกับทุรชน แต่ที่รับนิมนต์ไปเทศน์ไปบรรยายก็ตามวิสัยของพระโดยทั่วไป ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจในการต้มตุ๋นของเขาหรอก ไปเทศน์แล้วก็อาจจะอวยบ้าง พาดพิงถึงเขาบ้าง แตะโน่นแตะนี่ถึงบริษัทเขาบ้าง ก็เป็นธรรมดาของนักเทศน์นักบรรยาย หาได้มีจิตใจที่ไปสนับสนุนขบวนการของเขา และการถวายเงินเพื่อกิจกรรมของท่าน ก็เป็นเรื่องปกติเหมือนเศรษฐีคนมีเงินมีทองทั่วไป

ใครจะล่อดิไอคอน ล่อบอสคนไหนก็ว่ากันไป ไม่ได้หมายความว่าคนไปเกี่ยวข้อง จะต้องผิดและเลวทรามต่ำช้าไปทุกคน ทนายความของบอสก็ออกมาชี้แจงตอบโต้กันโครมๆ เขาต้องผิดด้วยหรือเปล่า..ก็ไม่ใช่ ใครจะกร่าง จะหาเรื่อง จะหิว...ก็ดูหน่อยว่าแสงมันมืดหรือบอด หรือจะเอามันส์ตามกระแส เล่นเทวดาไม่พอ ล่อพระสงฆ์องค์เจ้าด้วย จะได้ดังระเบิดระเบ้อ คับบ้านคับเมือง ชี้เป็นชี้ตาย ว่าไอ้โน่นก็ผิด ไอ้นี่ก็ผิด..ยิ่งกว่าศาลเสียอีก โอ้ย..ใหญ่โตกันเหลือเกิน..กัมมุนา วัตตติ โลโก..

ในวันเดียวกันนี้เองทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ได้โพสต์ผ่านเพจทนายคลายทุกข์ ว่า

#ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาส

ช่วยให้คะแนนหน่อยครับว่าเป็นพระดีเด่นหรือไม่อย่างไรแต่สำหรับผมไม่เห็นด้วย
และผมไม่ไหว้พระรูปนี้ เป็นเสรีภาพในการที่ผมจะไหว้ใครพระนั้นจะต้องเป็นพระที่ดีจริงๆ

พระที่ชวนลงทุนแล้วบอกว่าพรุ่งนี้รวยมหาศาลให้รีบไปเปิดบิลพระแบบนี้ผมไม่ยกมือไหว้จริงไหมครับพี่น้อง

สงสารชาวบ้านตาดำๆถูกหลอกลวงเงินไปเป็นจำนวนมากให้เปิดบิล

นอกจากนี้ทนายเดชายังได้โพสต์ต่ออีกว่า 

#การกล่าวโทษ ว.วชิรเมธี เป็นสิทธิตามกฎหมาย

หากมีพยานหลักฐานพอสมควรก็ทำได้ตามกฏหมายไม่มีกฎหมายยกเว้นว่าพระทำผิดแล้วไม่ต้องรับโทษ ผู้ติดตามพระ 6 ล้านกว่าคนก็ช่วยอะไรไม่ได้ถ้ามีพยานหลักฐานว่าทำผิด

ลูกศิษย์ใหญ่โตแค่ไหนก็ไม่มีผลต่อรูปคดีเพราะพนักงานสอบสวนทำงานตามพยานหลักฐาน
ส่วนพี่เดก็กล่าวโทษตามพยานหลักฐานที่ปรากฏผิดหรือถูกศาลจะเป็นคนตัดสิน( การกล่าวโทษไม่ใช่การทำตัวเป็นผู้พิพากษานะเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย)

#ใหญ่กว่านี้ผมก็เคยดำเนินคดีมาแล้ว

พี่เลี้ยง หมูเด้ง โพสต์ป้อง!! ลูกฮิปโป ที่ศรีสะเกษ หลังโดนชาวเน็ตรุมบูลลี่!! ไม่น่ารัก ไม่ออร่า

(20 ต.ค. 67) สวนสัตว์ภายในสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ศรีสะเกษ ได้โพสต์ต้อนรับ ลูกฮิปโปโปเตมัสเกิดใหม่ ลูกตัวแรกของแม่เกดสิริน กับพ่อสมศรี ยังไม่ทราบเพศ เพราะจะต้องรอการเข้าตรวจสอบของเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ก่อน

อีกทั้งทางสวนสัตว์ยังไม่ได้ตั้งชื่อให้กับน้อง เพราะอยากจะเชิญชวนให้ประชาชน นักท่องเที่ยว มาร่วมกันตั้งชื่อให้

โพสต์ของลูกฮิปโปเกิดใหม่นี้กลายเป็นไวรัล มียอดไลก์ ยอดแชร์ พุ่งกระฉูด แต่ก็มาพร้อมคอมเมนต์ที่ไม่น่ารัก บางรายบอกว่า ลูกฮิปโปตัวนี้ดูธรรมดา ไม่มีออร่าเหมือนหมูเด้ง บ้างก็บอกว่าน่าเกลียดทำเอาหลายคนงงใจ ว่าทำไมคนเราถึงไปบูลลี่ลูกฮิปโปที่เพิ่งเกิดได้ไม่กี่วัน

บ้างก็ว่ารอให้น้องโตกว่านี้หน่อย เดี๋ยวก็กลม เด้ง น่ารักมากขึ้น บ้างก็ชี้ว่าน้องเป็นคนละสายพันธุ์กับหมูเด้ง ไม่น่าเอามาเทียบกันแบบนี้

ก่อนที่ล่าสุด (18 ต.ค. 67) ผู้ดูแล หมูเด้ง จะแชร์โพสต์เรื่องที่ชาวเน็ตปกป้องลูกฮิปโปศรีสะเกษที่โดนบูลลี่ลงในเพจ ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง พร้อมข้อความว่า “โอ้ยย น้องพึ่งเกิด เดี๋ยวกินนมตัวบวมก็น่ารักเหมือนกัน หมูเด้งเกิดมาวันเเรกน่ากลัวกว่านี้อีก 555 เเล้วคือเป็นฮิปโปคนละสายพันธุ์กันด้วย”

อีกทั้งยังบอกด้วยว่า “สำหรับผม ลูกฮิปโปใหญ่น่าฟัดกว่าฮิปโปแคระ โตช้าด้วยเล่นกันสนุกมาก 555” และ “อีกหน่อยน้องจะเป็นแบบพี่ขาหมู แล้วจะหลงไม่ไหวน้า”

ชาวเน็ตยังจับสังเกตได้ว่า หลังจากที่มีดราม่าลูกฮิปโปศรีสะเกษโดนบูลลี่ พี่เบนซ์ ผู้ดูแล หมูเด้ง และเป็นคนทำเพจ ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง ก็กลับมาลงคลิปวิดีโอ ขาหมู ถี่ขึ้น โดยชาวเน็ตมองว่า พี่เบนซ์ พยายามให้คนเห็นว่า ฮิปโปโปเตมัส สายพันธุ์นี้น่ารักอย่างไร


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top