Thursday, 26 June 2025
NEWS FEED

กองทัพเรือ เน้นครูฝึกทหารใหม่ ฝึกน้องเล็ก ต้องมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ตามนโยบาย ผบ.ทร. ปี 'NAVY-SAFETY 2025' 

ศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ เปิดการฝึกทบทวนผู้ปฏิบัติหน้าที่ครูฝึก เพื่อเตรียมรับพลทหารกองประจำการ ผลัด 3/67 เน้นการเป็นปีแห่งความปลอดภัยของกองทัพเรือ  'NAVY-SAFETY 2025' ให้น้องเล็กของกองทัพเรือ

(24 ต.ค.67) น.อ.ทิวา อ่อนละออ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ เป็นประธานเปิดการฝึกทบทวนผู้ปฏิบัติหน้าที่ครูฝึก โดยมีคณะผู้บังคับบัญชา และครูฝึก เข้าร่วมพิธี ณ อาคารฝึกอบรมรวม ศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

การฝึกอบรมดังกล่าว มีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ ให้ครูฝึกสามารถถ่ายทอดความรู้วิชาทหารราบ ตามคู่มือแบบฝึกพระราชทาน และอุดมการณ์ความรักชาติและยึดมั่นในสถาบันตามแนวทางโรงเรียนจิตอาสาพระราชทาน ตลอดจนความเข้าใจในแนวทางป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดต่อต่างๆ ให้แก่ทหารกองประจำการ ผลัด 3/67 ที่จะมารายงานตัวและฝึกอบรม ระหว่างวันที่ 1 พ.ย.67 - 1 ม.ค.68 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีหัวข้อการฝึกอบรมประกอบด้วย 
- วิชาทหารราบ บุคคลท่ามือเปล่า ท่าอาวุธ 
- การกู้ฟื้นคืนชีพ (CPR)
- การป้องกันโรคลมร้อน (Heat Stroke)
- พ.ร.บ.การป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565

ทั้งนี้ การฝึกทบทวนจะเน้นหัวข้อที่เกี่ยวเนื่องตั้งแต่ขั้นตอนการรับทหารใหม่ ตลอดจนหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในระหว่างการฝึกอบรมทหารใหม่ โดยสิ่งสำคัญที่สุดคือ การให้ครูฝึกฯ ทุกนายคำนึงอยู่เสมอในการดูแลเอาใจใส่พลทหารกองประจำการ ผลัด 3/67 ว่าเป็นน้องเล็กของกองทัพเรือ เป็นไปตามนโยบาย ผู้บัญชาการทหารเรือ ที่ได้กำหนดให้เป็นปีแห่งความปลอดภัยของกองทัพเรือ หรือ 'NAVY-SAFETY 2025' ในทุก ๆ ด้าน

บิ๊กบอสเมาไม่ขับหวังพึ่งสภา เสนอขอวันนอร์แก้กฎหมาย แบ่งค่าปรับจราจรให้คนแจ้ง

เมื่อวานนี้ (24 ต.ค.67) ที่รัฐสภา เขตดุสิต กรุงเทพฯ นายดำรง พุฒตาล ประธานมูลนิธิเมาไม่ขับ ได้มอบหมายให้นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ พร้อมเหยื่อผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุบนท้องถนน เข้ายื่นหนังสือต่อนายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา โดยมีนายกมลศักดิ์ ลีมาเมาะ ประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้แทน นายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เป็นผู้รับหนังสือ ทั้งนี้เนื้อหาในหนังสือที่ประธานมูลนิธิเมาไม่ขับได้ยื่นต่อประธานรัฐสภา 

มีใจความสำคัญว่าสถานการณ์ความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทยอยู่ในขั้นวิกฤตจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมบนท้องถนนที่ คนไทยต้องเผชิญ โดยในแต่ละวันจะมีคนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนเฉลี่ยวันละ 40 คน หรือคิดเป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจปีละประมาณ 5 แสนล้านบาท หากย้อนหลังไป 10 ปี ( 2556-2566 ) คนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนประมาณ 200,000 คน เท่ากับประชากรในจังหวัดเล็ก ๆ แห่งหนึ่งสูญหายไปหมดทั้งจังหวัด สำคัญที่สุดคนที่เสียชีวิต ส่วนใหญ่เป็นคนวัยทำงาน ซึ่งเป็นวัยที่เป็นกำลังสำคัญของชาติในการสร้างงาน สร้างเศรษฐกิจ ล่าสุดได้เกิดความสูญเสียของเด็กถึง 20 คน นับเป็นโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก

ปัจจุบันเทคโนโลยีและการสื่อสารโซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหา จนเกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายด้านที่ดีขึ้น ในลักษณะการกำกับควบคุมกันเองของคนในสังคมแตกต่างจากอดีตที่พึ่งพาเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้นในการนำผู้กระทำผิดบนท้องถนนมาลงโทษ ขณะที่ปัจจุบันการบันทึกหลักฐานเชิงประจักษ์สามารถทำได้จากกล้องหน้ารถ กล้องจากโทรศัพท์มือถือ หรือกล้องซีซีทีวี ที่ปรากฏโดยทั่วไป ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนสามารถนำหลักฐานนั้นมาใช้ประกอบการดำเนินคดีผู้กระทำผิดบนท้องถนนได้เนื่องจากไม่จำเป็นต้องอาศัยการเผชิญหน้าระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้กระทำผิดเสมอไป และบันทึกภาพหลักฐานได้แม้ไม่ได้เกิดซึ่งหน้าต่อหน้าเจ้าหน้าที่รัฐ นอกจากนี้ภาพเหตุการณ์ในโซเชียลมีเดียนำไปสู่การแสวงหาข้อเท็จจริงของคนในสังคมโดยไม่จำเป็นต้องรอกระบวนการทางกฎหมายเพียงอย่างเดียวทำให้หลายกรณีที่ผู้กระทำผิดยอมสารภาพต่อสังคม ซึ่งลดกระบวนการดำเนินการทางกฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐได้

นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ เปิดเผยว่า มูลนิธิเมาไม่ขับทำงานสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายและการรณรงค์ ลดปัจจัยเสี่ยงทางถนนมา 29 ปี มูลนิธิเมาไม่ขับเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่การจัดการปัญหาความปลอดภัยบนท้องถนนต้องเปลี่ยนแปลงให้ทันโลก โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเจ้าหน้าที่ในการจัดการคนที่ขับขี่รถบนท้องถนนโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายที่หนุนเสริมการจัดการปัญหานี้ มูลนิธิเมาไม่ขับเสนอผ่านประธานรัฐสภา ในฐานะประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ 

ขอให้แก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อสามารถนำเงินส่วนแบ่งค่าปรับจราจรจากผู้กระทำผิดบนท้องถนนส่วนหนึ่งมอบให้กับประชาชนที่แจ้งเบาะแส เนื่องจากปัจจุบันรถบนท้องถนนมีกล้องหน้ารถ ผู้ใช้รถใช้ถนน มีโทรศัพท์ที่สามารถถ่ายคลิปเหตุการณ์ได้ ตนเชื่อว่า ถ้ากฎหมายฉบับนี้มีการประกาศบังคับใช้ จะเป็นเครื่องมือช่วยเหลือเจ้าหน้าที่และลดพฤติกรรมของผู้ขับขี่บนท้องถนนที่ไม่เคารพกฎจราจรได้เป็นอย่างมาก เพราะจะมีสายตาคนคอยจ้องจับผู้กระทำความผิดตลอด 24 ชั่วโมง สำคัญที่สุดโอกาสลอยนวลยากขึ้น แม้อาจรอดพ้นจากการลงโทษทางกฎหมาย แต่การลงโทษทางสังคมจะรุนแรงกดดันจนเจ้าหน้าที่ต้องไปดำเนินการจับกุมตัวมาลงโทษ รวมไปถึงการถูกสังคมประณาม อาจส่งผลเสียถึงหน้าที่การงาน เนื่องจากต้นสังกัด หน่วยงาน มองว่าสร้างความเสื่อมเสียให้กับองค์กรที่มีบุคลากรที่ไม่รับผิดชอบต่อความปลอดภัยสาธารณอยู่ในองค์กร

‘อาจารย์สุวินัย’ โพสต์แสดงความอาลัย หลัง ‘โสภณ องค์การณ์’ เดินทางไกล

(25 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รองศาสตราจารย์ ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความแสดงความอาลัยแด่ ‘โสภณ องค์การณ์’ ผู้สื่อข่าวอาวุโส ซึ่งเสียชีวิตวานนี้ ว่า

แด่กัลยาณชน ผู้จากไป

ทุกคนมีกรรมเป็นของตัวเอง 

เหตุแห่งกรรม ส่วนใหญ่ล้วนมาจากการแยกดีแยกชั่วไม่ออก

'แยกแยะดีชั่วได้' เป็นพื้นฐานที่แยกคน (สัตว์ประเสริฐ) กับเดรัจฉาน

ไม่คบคนพาลที่เป็นเดรัจฉานในร่างคน

ไม่ยอมให้คนแบบนี้เข้ามาอยู่ในโลกของตนเด็ดขาด ไม่ว่าในโลกจริง หรือโลกโซเชียล

ก้าวพ้นดีชั่วได้ด้วยจิตที่ตื่นรู้ กับจิตที่รู้ทัน 

สามารถประคองจิตที่เฝ้าดูโดยไม่เข้าไปร่วมเล่นละครชีวิต คือเส้นแบ่งที่แยก 'ปุถุชน' กับ 'กัลยาณชน' ออกจากกัน

ใครที่ฝึกเจริญสติ เจริญปัญญา เราคือกัลยาณมิตรของกันและกัน

>>>กลไกแห่งอัตตา 

ความทุกข์ที่ร้าวรานใจที่สุดของคนเรา คือการที่ตัวเองรู้สึกว่าได้สูญเสียส่วนหนึ่งของตัวตนไป หรือรู้สึกว่าบางส่วนของตัวตนของตนได้ตายไปแล้ว

พวกเราเคยสังเกตเห็นบ้างหรือไม่ว่า โลกของความรู้สึกนึกคิดส่วนใหญ่มักไม่เกี่ยวข้องแม้แต่นิดเดียวกับความเป็นจริงที่แวดล้อมตัวเราในขณะนั้น

ความไม่รู้หรือความหลงผิดที่ใหญ่ที่สุดของคนส่วนใหญ่ คือการหลงเข้าใจผิดว่า การคิด หรือการที่กำลังคิดอยู่เป็นอย่างเดียวกับการมีสติ

แต่จริง ๆ แล้ว ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น สติมิได้ตั้งอยู่ด้วย ถ้าผู้นั้นมิได้ 'เห็น' ความคิดเป็นพัก ๆ

มนุษย์ส่วนใหญ่ก็จึง 'ขาดสติ' เหมือนกัน 'ไม่รู้' เหมือนกัน และตกอยู่ในอวิชชาเหมือนกัน

เพราะแต่ละคนล้วนถูกพัดพาไปตามกระแสของการ 'รู้สึกนึกคิด' ที่ไหลจากเรื่องหนึ่งไปอีกเรื่องหนึ่งอย่างแทบไม่หยุดหย่อน โดยแตกต่างกันก็แค่ในเนื้อหาและลีลาของอารมณ์เท่านั้น

ในชั่วขณะที่ 'คิด' ได้พลิกมาเป็น 'สติ' เป็นพัก ๆ ด้วยการดูจิต เห็นจิต 

ชั่วขณะนั้นจะเป็นห้วงยามที่ตัวเราตระหนักรู้ได้ว่า ชีวิตไม่จริงจัง ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอย่างที่ความนึกคิดปรุงปั้นให้เราหลงเชื่อ 

ในห้วงยามแห่งสัจจะนั้นเอง คนเราสามารถได้ลิ้มรสอิสรภาพที่แท้จริงช่วงสั้น ๆ เป็นการชั่วคราว... รสชาติของอิสรภาพจากการได้เห็นอุปทานของอัตตาตัวตน

การคิดด้วยสมองอาจเป็นสมบัติที่วิเศษสุดของมนุษย์ แต่มันไม่เพียงพอที่จะทำให้คนเราเข้าถึงความรู้แจ้งได้จริง

ความคิดสารพันที่วิ่งวนในความคิดของคนเรานั้น เกือบทั้งหมดเป็นกลไกของอัตตาซึ่งก็คือ “ตัวกู ของกู” อันเป็นต้นเหตุพื้นฐานความทุกข์ใจทั้งสิ้นทั้งปวง 

อุบายของอัตตาที่จองจำคนเราให้ 'ขาดสติ' นั้นมีมากมายไม่ว่าจะในเรื่อง ลัทธิบริโภคนิยม การยึดติดกับหัวโขนของตน การเก็บกดบาดแผลทางใจในอดีตจนกลืนกลายเป็นส่วนหนึ่งของทัศนคติและบุคลิกภาพที่บิดเบี้ยว การยึดมั่นในมุมมองและความเชื่อของตนและพรรคพวกตนอย่างสุดโต่ง การติดสวยติดหล่อ การติดสนุก การติดอร่อย ฯลฯ

นอกจากนี้ความไม่อิ่มไม่พอของอัตตายังทำให้มันต้องแสวงหาอะไรต่อมิอะไรมาเติมแต้มตัวมันให้เต็มที่อย่างไม่รู้จบ 

แต่เติมเท่าไรก็ไม่เคยพอเคยเต็ม มันจึงต้องดึงเอาสารพัดสิ่ง เช่น อำนาจ ทรัพย์สิน เงินทอง สิ่งของ การท่องเที่ยว บันเทิง ความรัก ภาพลักษณ์ ความโด่งดัง ความสวย ความสำเร็จ ความทรงจำ ความผูกพัน หรือแม้กระทั่งความรวดร้าว ความเจ็บปวดทรมานใจ ความรู้สึกผิดในใจ ความพ่ายแพ้ ความล้มเหลวมาเป็นส่วนหนึ่งของตัวมัน เพื่อให้ตัวมันเองคงอยู่อย่างเหนียวแน่นยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ

กลไกการเสริมสร้างตัวเองของอัตตานั้นสามารถแบ่งได้ เป็นสองส่วน คือส่วนโครงสร้างของทุกข์ กับส่วนเนื้อหาของทุกข์ 

ความรู้สึกเจ็บปวดโกรธเกรี้ยวระทมทุกข์เชิงโครงสร้างของคนเรานั้นมักจะทัดเทียมกัน ถึงแม้สิ่งที่สูญเสียไปจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในเชิงเนื้อหาก็ตาม 

ส่วนของ 'เนื้อหาของทุกข์' ที่สูญเสียจนทำให้ทรมานใจนั้นอาจเป็น ของเล่น รถยนต์ ชื่อเสียง คนรัก ตำแหน่ง ทรัพย์สิน บุคคลอันเป็นที่รัก หรืออะไรก็ได้ที่ผิดหวัง เพราะเนื้อหาของความทุกข์มันเปลี่ยนแปลงไปตามเรื่องราว แต่ 'โครงสร้างของทุกข์' ไม่เคยเปลี่ยนแปลง 

ความทุกข์ที่ร้าวรานใจที่สุดของคนเรา คือการที่ตัวเองรู้สึกว่าได้สูญเสียส่วนหนึ่งของตัวตนไป หรือว่าตัวเองรู้สึกว่าบางส่วนของตัวตนของตนได้ตายไปแล้ว

แต่ความจริงก็คือว่า มีบางอย่างได้สูญเสียไปแล้วจริง เพียงแต่ถ้าตอนนี้เราตั้งสติ ปล่อยวางความคิด มาอยู่กับความรู้สึกตัว ณ ปัจจุบันของลมหายใจ ของกาย ของใจเราได้ 

ไม่ช้าเราจะรู้สึกสงบ เบาสบายอย่างประหลาด และยังอิ่มเต็มในตัวของตัวเอง โดยที่สิ่งที่สูญเสียไปแล้วมันเป็นคนละส่วนไม่เกี่ยวกันเลย มันไม่เกี่ยวกับกายใจที่เราสัมผัสในความเป็นจริง ณ ปัจจุบันนี้แม้แต่นิดเดียว

การสลายตัวตนของคนเราทำได้แบบนี้ และด้วยวิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้น นี่เป็นกระบวนการที่เราต้องฝึกต้องทำให้ช่ำชองชั่วชีวิต

~ สุวินัย ภรณวลัย
Suvinai Pornavalai

D-PREP International Schoolเฉลิมฉลองหมุดหมายใหม่แห่งการเรียนรู้ผ่านการเปิด Secondary Campus สุดยิ่งใหญ่

เมื่อวานนี้ (24 ต.ค.67) โรงเรียนนานาชาติ D-PREP International School เฉลิมฉลองพิธีเปิด Secondary Campus สุดยิ่งใหญ่ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของการส่งมอบประสบการณ์การเรียนรู้ครั้งใหม่ สำหรับนักเรียนในระดับ Middle & High School (เกรด 6-12) โดยการเปิดแคมปัสแห่งใหม่ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกสุดล้ำสมัยในครั้งนี้ เกิดขึ้นเพื่อสานต่อเจตนารมณ์ของทางโรงเรียน สำหรับการส่งมอบหลักสูตรการศึกษาที่ครอบคลุม ร่วมกับการพัฒนาทักษะการเป็นผู้นำ ภายใต้บรรยากาศการเรียนรู้ที่ทันสมัย

นอกจากนี้ ทางโรงเรียนนานาชาติ D-PREP International School เป็นหนึ่งในสมาชิกอันทรงเกียรติของ XCL Education กลุ่มการศึกษาระดับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่พร้อมส่งมอบการศึกษาที่มุ่งเน้นอนาคตแก่นักเรียนมาแล้วกว่า 29,000 คน และยังเป็นโรงเรียนในเครือเดียวกับโรงเรียนนานาชาติ XCL American School of Bangkok, Sukhumvit อีกเช่นเดียวกัน

โดยพิธีเปิด D-PREP Secondary Campus ในครั้งนี้ จัดขึ้นในวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2567 เวลา 9:00 น. เริ่มต้นโดยการกล่าวต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ และสมาชิกผู้ทรงคุณวุฒิในวงการการศึกษา โดย คุณ Gilles Mahe ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มการศึกษา XCL Education และ คุณเลดี้ ดิษยะศริน ตะเวทิกุล ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการโรงเรียนนานาชาติ D-PREP International School

งานในครั้งนี้ได้รับเกียรติการเข้าร่วมจากหลากหลายองค์กรชั้นนำของประเทศไทย อาทิ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสมุทรปราการ แสนสิริ ท็อปกอล์ฟ โรงพยาบาลสมิติเวช เมกาบางนา และธนาคารกสิกรไทย เป็นต้น โดยคณะผู้บริหารของโรงเรียนยังได้แบ่งปันวิสัยทัศน์สำหรับการสร้างโรงเรียนนานาชาติ D-PREP International School ขึ้น ตามด้วยมอบรางวัลแก่ช่างภาพผู้ชนะการประกวดถ่ายภาพ D-PREP Secondary Campus ‘Dream Capture Photo Contest’ ที่ผ่านมา พร้อมปิดงานด้วยการนำแขกผู้มีเกียรติทุกท่านเข้าเยี่ยมชมพื้นที่การเรียนรู้ภายในโรงเรียน รวมถึงพิธีเปิดสุดเซอร์ไพรส์ในตอนท้าย

หลักสูตรที่ครอบคลุมและล้ำสมัยของ D-PREP International School โรงเรียนนานาชาติ D-PREP International School มุ่งมั่นในการส่งมอบการศึกษาหลักสูตรอเมริกัน พร้อมผสานแนวทางการเรียนรู้ชั้นนำจากทั่วโลก ไม่ใช่เพียงเพื่อให้เกิดความแตกต่าง แต่เป็นไปเพื่อให้เหมาะกับการเสริมสร้างพัฒนาการของนักเรียนในแต่ละช่วงวัยได้อย่างเหมาะสมที่สุด

• Early Years (เตรียมอนุบาล-อนุบาล): Reggio Emilia และ International Baccalaureate (IB PYP)
หลักสูตรสำหรับนักเรียนระดับ Early Years ได้รับแรงบันดาลใจจากปรัชญาการเรียนรู้แบบ Reggio Emilia ซึ่งพร้อมเปิดโอกาสให้นักเรียนในวัยเด็กได้สำรวจโลกอย่างอิสระ ผ่านการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ และการรู้จักสงสัยและสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ
• Primary Years (เกรด 1-5): IB Primary Years Programme (PYP)

หลักสูตรสำหรับนักเรียนระดับ Primary Years จะกระตุ้นให้นักเรียนอายุระหว่าง 7-11 ปี เกิดความสงสัยและพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ ผ่านการรู้จักตั้งคำถาม และการพยายามค้นพบคำตอบด้วยตนเอง เพื่อเป็นรากฐานด้านวิชาการต่อไปในอนาคต
• Middle School (เกรด 6-8): Expeditionary Learning (EL)
นักเรียนในระดับ Middle School จะได้เรียนรู้ผ่าน “การออกสำรวจ” เพื่อเปิดโอกาสในการประยุกต์ใช้ความรู้ที่ได้รับจากในห้องเรียน สู่ประสบการณ์ในชีวิตจริง โดยแนวทางการเรียนรู้ดังกล่าวจะช่วยให้นักเรียนได้ค้นพบความชอบ ตัวตน และความโดดเด่นของตนเอง

• High School (เกรด 9-12): Advanced Placement (AP) Program
หลักสูตรสำหรับนักเรียนระดับ High School จะมุ่งเน้นในการเตรียมพร้อมนักเรียนสู่การเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ผ่านการเลือกเรียนรายวิชาต่างๆ ใน Advanced Placement (AP) Program ซึ่งยังเป็นโอกาสที่นักเรียนจะสามารถแลกเปลี่ยนเป็นหน่วยกิตเมื่อเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ ทางโรงเรียนยังมี 3 โปรแกรมการศึกษาให้นักเรียนได้เลือกเรียนตามความสนใจ ได้แก่ โปรแกรม STEAM (มุ่งเน้นด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ ศิลปะ และคณิตศาสตร์), โปรแกรม Global Leadership and Entrepreneurship, และโปรแกรม Individualized Passion Program

สิ่งอำนวยความสะดวกสุดล้ำสมัยที่ Secondary Campus แห่งใหม่ พื้นที่การเรียนรู้จะครบครันไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่พร้อมสนับสนุนนักเรียนทุกคน ทั้งในด้านวิชาการและกิจกรรมภายนอกห้องเรียน
• ห้องเรียนสุดล้ำสมัย: ออกแบบขึ้นเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกัน ผ่านอุปกรณ์การเรียนรู้และการออกแบบห้องเรียนให้มีความยืดหยุ่นและทันสมัย
• ห้องเรียน Design Technology: ออกแบบขึ้นเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิศวกรรมศาสตร์ การออกแบบ และการเรียนรู้แบบ STEAM
• ห้อง Esports และ ICT: ออกแบบขึ้นเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และตอบรับกับความสนใจของนักเรียนในด้านเกมและนวัตกรรมดิจิทัล
• สวนบนดาดฟ้า และพื้นที่การเรียนรู้นอกห้องเรียน: พื้นที่สีเขียวทั่วบริเวณโรงเรียน ออกแบบขึ้นเพื่อปลูกฝังความรักต่อธรรมชาติ และการเรียนรู้สุดสร้างสรรค์ภายนอกห้องเรียน

• พื้นที่สำหรับการกีฬา: ครบครันด้วยพื้นที่สำหรับการกีฬา ทั้งภายในและภายนอกตัวอาคาร เพื่อสนับสนุนการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางด้านร่างกาย และกิจกรรมกีฬาอื่นๆ เช่น กีฬากายกรรม เป็นต้น
ส่งมอบการศึกษามากคุณภาพด้วยความมุ่งมั่น
นอกจากนี้ ที่ Secondary Campus ของโรงเรียนนานาชาติ D-PREP International School ไม่เพียงแต่พร้อมส่งมอบการศึกษาที่เข้มข้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างการพัฒนาตัวตน ทักษะการเป็นผู้นำ และทักษะด้านการเข้าสังคมอย่างรอบด้าน ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่หลากหลาย เพื่อให้นักเรียนทุกคนตระหนักรู้ต่อการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม และพร้อมสู่การเป็นประชาคมโลกที่มีคุณภาพต่อไป

เกี่ยวกับโรงเรียนนานาชาติ D-PREP International School:
D-PREP International School หนึ่งในสมาชิกของ XCL Education และเครือข่ายเดียวกับ American School of Bangkok มุ่งมั่นในการส่งมอบการศึกษาที่ล้ำสมัย ผ่านการประยุกต์ใช้หลากหลายแนวทางการสอน ไม่ว่าจะเป็น Reggio Emilia Approach, Project-based Learning, หลักสูตร IB PYP เข้ากับหลักสูตรอเมริกันสุดล้ำสมัย เพื่อช่วยให้นักเรียนในระดับชั้น Nursery จนถึง High School ได้ค้นพบศักยภาพและความฝัน พร้อมส่งมอบสิ่งดีๆ ให้กับสังคมรอบข้างและโลกของเรา นอกจากนี้ ทางโรงเรียนยังพร้อมปลูกฝังความรักในการเรียนรู้ และการเป็นพลเมืองโลก ผ่านค่านิยมหลัก CO-CREATORS อีกด้วย

ผู้สื่อข่าวอาวุโส ‘โสภณ องค์การณ์’ เสียชีวิตวานนี้ รวมอายุ 75 ปี

(25 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้เฟซบุ๊กบัญชี ‘Sopon Onkgara’ ได้โพสต์แจ้งข่าวว่า

เรียนผู้ชมและ fc ของคุณโสภณ องค์การณ์

เมื่อช่วงค่ำของวันนี้ วันพฤหัสบดีที่ 24 ตค.2567 เวลา 22.29 น. คุณพ่อได้จากไปโดยสงบ 

คุณพ่อหลับสบายแล้วครับ ผมและคุณแม่ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ส่งกำลังใจมาให้คุณพ่อและครอบครัวตลอดมา

ผมจะแจ้งกำหนดการสวดพระอภิธรรมอีกครั้งเมื่อทราบรายละเอียดครบถ้วนแล้ว
ขอบพระคุณทุกท่านครับ

น้องบิ๊ก

สำหรับนายโสภณ องค์การณ์ เกิดเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2492 เป็นชาวตำบลแม่ข้าวต้ม อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนบพิตรพิมุข แผนกภาษาต่างประเทศ ปี 2511 เริ่มทำงานเป็นล่ามในปี 2512 ให้นักศึกษาชาวอเมริกันทำวิจัยที่จังหวัดลำปางและเชียงรายเป็นเวลา 1 ปี เพื่อทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกที่สถาบันเอ็มไอที

นายโสภณเข้าสู่วงการสื่อมวลชน โดยเริ่มงานกับหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น ที่มีนายสุทธิชัย หยุ่น เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง ในตำแหน่งพนักงานพิสูจน์อักษร ก่อนเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้สื่อข่าว นักเขียน และบรรณาธิการต่อมาเป็นผู้ดำเนินรายการ Face The Nation รายการสัมภาษณ์ภาคภาษาอังกฤษ ออกอากาศทางช่อง 9 อสมท. และเป็นผู้ดูแลแผนกโทรทัศน์ของเครือเนชั่น ได้รับทุน Nieman Fellowship ไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด บอสตัน สหรัฐอเมริกา

ที่ผ่านมานายโสภณมีงานเขียนภาษาไทย ในนิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์ หนังสือพิมพ์คมชัดลึก รวมถึงการจัดรายการโทรทัศน์ทางสถานีโทรทัศน์เนชั่นแชนเนล ขณะออกอากาศทางเคเบิลทีวี ยูบีซี 8 และรายการวิทยุ พูดนอกสภา ทางสถานีวิทยุกรมการพลังงานทหาร วิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์การเมืองอย่างตรงไปตรงมา มีแฟนคลับที่สนใจการเมืองในยุคนั้นติดตามอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับ สุทธิชัย หยุ่น เทพชัย หย่อง สรยุทธ สุทัศนะจินดา กนก รัตน์วงศ์สกุล กฤษณะ ละไล ฯลฯ

ต่อมานายโสภณได้ร่วมงานกับเครือผู้จัดการ ปี 2552 เป็นผู้ดำเนินรายการผ่านสถานีโทรทัศน์เครือข่ายเอเอสทีวี เช่น รายการ News Hour สุดสัปดาห์ ทาง ASTV News 1 และรายการเคาะข่าวริมโขง ทาง ASTV 3 อีสานทีวี แต่ยังคงเขียนคอลัมน์ เล่นนอกสภา และ เกาที่คันวันเสาร์ ให้กับหนังสือพิมพ์คมชัดลึก 

อย่างไรก็ตาม นายโสภณได้หยุดเขียนคอลัมน์ให้กับสื่อในเครือเนชั่นมาตั้งแต่สิ้นปี 2553 หลังอยู่กับเครือเนชั่นมานานกว่า 30 ปี สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กรณีปราสาทพระวิหาร และเริ่มเขียนบทความให้กับหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน มาตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ. 2554 เป็นต้นมา เริ่มจากคอลัมน์หน้ากระดานเรียงห้า ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น ป้อมพระอาทิตย์ และมีคอลัมน์ข่าวต่างประเทศ ชื่อว่า มองต่างแดน ส่วนนิตยสารผู้จัดการสุดสัปดาห์ มีคอลัมน์ โสภณ องค์การณ์ ตีพิมพ์ครั้งแรก เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2554 พร้อมกับจัดรายการทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมนิวส์วันหลายรายการ เช่น News Hour Weekend, ชวนคิดชวนคุย, เคาะไข่ใส่ข่าว ฯลฯ และรายการวิทยุ พูดนอกสภา ทางสถานีวิทยุ เอฟเอ็ม 90.5 MHz

'มาริษ' ร่วมเฟรม 'ปูติน-สี จิ้นผิง' ระหว่างเข้าร่วมประชุม  BRICS Plus Summit ที่รัสเซีย 

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรงงการต่างประเทศ ในฐานะผู้แทนของนายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าร่วมการประชุมระดับผู้นำระหว่างกลุ่มประเทศ BRICS กับกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา หรือ BRICS Plus Summit ครั้งที่ 4 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองคาซาน รัสเซีย

ก่อนเริ่ม นายมาริษ ได้ร่วมถ่ายภาพหมู่กับผู้นำ  BRICS นำโดย นายวลาดีมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย และ นายสี จิ้น ผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน  ซึ่งช่วงหนึ่ง ประธานาธิบดีรัสเซีย ในฐานะเจ้าภาพ ได้เดินเข้ามาจับมือทักทาย นายมาริษ ด้วย 

ทั้งนี้ นายมาริษ มีกำหนดกล่าวถ้อยแถลง ในการประชุม จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ 'BRICS and the Global South: Building a Better World Together' เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาความท้าทายในระดับภูมิภาคและระดับโลก และแนวทางการส่งเสริมระบบพหุภาคีเพื่อการสร้างระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เป็นธรรมและเป็นประโยชน์ต่อประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น 

ปทุมธานี ปิดโครงการ 'สานใจไทย สู่ใจใต้' รุ่นที่ 43  พร้อมส่งเยาวชนกลับภูมิลำเนา ให้นำทักษะประสบการณ์ความรู้ กลับไปพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างความสุขสมานฉันท์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

(24 ต.ค.67) เวลา 10.30 น พล.เอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกมูลนิธิ 'สานใจไทย สู่ใจใต้' เป็นประธานในพิธีปิดโครงการ 'สานใจไทย สู่ใจใต้' รุ่นที่ 43 ณ ห้องแสงเดือน อาคารพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ แห่งชาติ เทคโนธานี ตำบลคลองห้า อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี โดยมี นายองครักษ์ ทองนิรมล  รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี  เข้าร่วมพิธี

โอกาสนี้ พลเอกสุรยุทธ์  จุลานนท์  ได้กล่าวให้โอวาทแก่เยาวชนว่า การที่เยาวชนได้มาร่วมกิจกรรมโครงการ 'สานใจไทย สู่ใจใต้' ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นโอกาสที่มีความสำคัญยิ่ง เพราะมีโอกาสได้เรียนรู้ ทักษะประสบการณ์ในกิจกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้มีโอกาสพำนักกับครอบครัวอุปถัมภ์ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อนำไปเสริมสร้างทัศนคติของตน ตลอดระยะเวลาเกือบ 1 เดือน อย่างไรก็ตามเมื่อเยาวชน กลับสู่ภูมิลำเนาแล้ว ขอให้นำทักษะ ประสบการณ์ความรู้ที่ได้รับ กลับไปพัฒนาครอบครัว ชุมชนและสังคมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น สร้างความสุขสมานฉันท์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป

สำหรับ โครงการ 'สานใจไทย สู่ใจใต้' รุ่นที่ 43 ได้นำเยาวชนจากพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ได้แก่ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และสงขลา จำนวน 320 คน มาร่วมกิจกรรมเรียนรู้ เสริมสร้างทักษะประสบการณ์การอยู่ร่วมกันในพหุวัฒนธรรม ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดใกล้เคียง ระหว่างวันที่ 24 กันยายน – 26 ตุลาคม 2567

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมกับ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร จัดพิธีทิ้งกระจาด แจกเครื่องอุปโภคบริโภคและชุดยาสามัญประจำบ้านแก่ผู้ยากไร้ รวม 1,388 ชุด 

วันนี้ (24 ต.ค.67) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายสัก กอแสงเรือง รองประธานกรรมการฯ พร้อมด้วย นายสุหัทย์ ไพรสานฑ์กุล กรรมการฯ นายอรัณย์ โตทวด ผู้จัดการใหญ่มูลนิธิฯ  นายวันชิด ศิรสีห์ รองผู้จัดการใหญ่ และ นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ ร่วมกับวัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร นำโดย พระธรรมวชิรปาโมกข์ และ พระศรีวชิรธรรมถาวร รองอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส จัดชุดเครื่องอุปโภคบริโภค อาทิ ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง น้ำมันพืช น้ำตาล ซอสปรุงรส (ซอสถั่วเหลือง) นมกล่อง น้ำดื่ม ขนม ชุดยาสำเร็จรูป ฯลฯ รวมจำนวน 1,388 ชุด เพื่อประกอบพิธีทิ้งกระจาด (ซิโกว) นำแจกจ่ายให้แก่ผู้ยากไร้ ในการนี้ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้จัดทีมเจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัย และอาสาสมัคร อำนวยความสะดวกแก่วัดและประชาชนที่มาร่วมงาน ณ บริเวณเมรุด้านใต้ (สุสานหลวง) วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง www.facebook.com/pohtecktungofficial

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

‘ดีอี’ ล้างบาง SMS แนบลิงก์หลอกลวง-ดูดเงินประชาชน วางมาตรการจัดระเบียบ สั่งลงทะเบียน ‘Sender Name’ ทั้งระบบ พร้อมกำหนด ‘ผู้ให้บริการ’ ตรวจสอบลิงก์ก่อน หากพบผิดปกติแจ้ง ‘ตำรวจ’ เอาผิดตามกฎหมาย 

เมื่อวานนี้ (23 ต.ค.67) 67 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า กระทรวงดีอี ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งมาตรการป้องกันและปราบปรามการก่ออาชญากรรมออนไลน์ โดยเฉพาะกรณีของ SMS แนบลิงก์หลอกลวงจากการก่ออาชญากรรมออนไลน์ของมิจฉาชีพ ที่ผ่านมา พบว่ามีการใช้ช่องทางของ SMS หรือข้อความแนบลิงก์ ในโทรศัพท์มือถือของประชาชนเป็นจำนวนมาก โดยลิงก์ดังกล่าว อาจเป็นช่องทางที่มิจฉาชีพใช้ในการติดตั้งระบบดึงข้อมูลส่วนบุคคล หรือดูดเงินในบัญชีของประชาชน ซึ่งสร้างผลกระทบและความเสียหายให้กับประชาชน กระทรวงดีอี จึงร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคม เร่งดำเนินมาตรการป้องกันการส่ง SMS แนบลิงก์หลอกลวง ดังนี้

1. การลงทะเบียน Sender Name ใหม่ทั้งระบบ ภายในปี 2567 นี้ และต้องมีการลงทะเบียนทุกๆ ปี เพื่อให้สามารถระบุว่า ผู้ให้บริการ และ ผู้ส่ง SMS คือใคร , 2. มาตรการความปลอดภัยสำหรับการส่ง SMS แนบลิงค์ ดังนี้ 2.1 ผู้ส่งข้อความ (Sender Name) SMS แนบลิงก์ จะต้องลงทะเบียนกับผู้ให้บริการเครือข่ายทุกครั้ง , 2.2 สำหรับการลงทะเบียนการส่ง SMS แนบลิงก์ จะต้องระบุรายละเอียดของข้อความ และลิงก์ เพื่อให้ ผู้ให้บริการเครือข่าย ตรวจสอบลิงก์ ก่อนที่จะส่ง SMS ไปยังผู้ใช้บริการ (End user) และ 2.3 หากกรณีที่มีการตรวจพบ ข้อความแนบลิงก์หลอกลวง ข้อความแนบลิงก์ที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน หรือ ข้อความอื่นที่สามารถใช้เป็นช่องทางในการติดต่อถึงบุคคลอื่น เช่น ไอดี Line ทั้งนี้มอบหมายให้ตำรวจดำเนินการ โดยใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 โดยให้ดำเนินการแจ้งผู้ให้บริการเครือข่ายยกเลิกสัญญาบริการกับผู้ส่งข้อความ (Sender Name) และผู้ให้บริการต้องแจ้งข้อมูลการลงทะเบียนของผู้ส่งข้อความให้กับทางตำรวจเพื่อดำเนินคดีตากฎหมายกับผู้ส่งข้อความต่อไป

“สำหรับมาตรการ Cleansing Sender Name ดังกล่าวจะเป็นการป้องกันและปราบปรามมิจฉาชีพในการส่งข้อความ SMS แนบลิงก์หลอกลวงเพื่อใช้ในการติดตั้งระบบดูดเงิน หรือข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือ ซึ่งจะช่วยลดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชนได้เป็นจำนวนมาก โดยกำหนดลงทะเบียนให้ผู้ส่งข้อความจบภายในปี 2567 นี้” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าว 

นายประเสริฐ ย้ำว่า กระทรวงดีอีห่วงใยพี่น้องประชาชน โดยขอให้ตรวจสอบอย่างละเอียด หากมีการส่ง SMS แนบลิงก์ เข้ามาจากผู้ส่งข้อความ (เบอร์โทร) ที่น่าสงสัย หากมีการแอบอ้างในข้อความว่าเป็นหน่วยงานรัฐ เจ้าหน้าที่รัฐ หรือธนาคาร ขอให้ตั้งข้อสังเกตว่าหน่วยงานราชการ และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจต่างๆ ไม่มีนโยบายในการให้ ข้าราชการ พนักงานหรือเจ้าหน้าที่ ส่ง SMS ผ่านเบอร์โทรส่วนตัวถึงประชาชน โดยหากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามผ่านสายด่วน 1111 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมกันนี้ขอให้ประชาชน ยึด ‘หลัก 4 ไม่ คือ 1. ไม่กดลิงก์ 2.ไม่เชื่อ 3.ไม่รีบ และ 4.ไม่โอน’

'ประเสริฐ' เผย 'บอร์ดดีอี' รับทราบขับเคลื่อนนโยบาย Cloud First Policy ยกระดับความมั่นคงปลอดภัยข้อมูลคนไทย เดินหน้า 'รัฐบาลดิจิทัล' ตั้งภาครัฐใช้งานระบบ e-office 3 ล้านคน

(24 ต.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (บอร์ดดีอี) ครั้งที่ 3/2567 เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2567 โดยมีนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เลขานุการคณะกรรมการฯ ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการฯ ตลอดจนกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ทรงคุณวุฒิ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 109 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เข้าร่วมประชุมว่า ที่ประชุมบอร์ดดีอี ได้รับทราบและพิจารณาประเด็นที่สำคัญที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ดังนี้

1.แนวทางการดำเนินการใช้งานเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ในระบบ e-Office ภายใต้บริการคลาวด์กลางภาครัฐ (Government Data Center and Cloud Service : GDCC) โดยมีแผนการดำเนินงานการเปลี่ยนเป็นรัฐบาลดิจิทัลในอนาคต จากความต้องการใช้งานระบบ e-Office ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้วิเคราะห์จากหน่วยงานภาครัฐทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ตั้งเป้าหมายผู้ใช้งานระบบได้ 3,000,000 คน ภายในปี 2570  

2.การดำเนินงานของคณะกรรมการภายใต้พระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2560 ได้แก่ คณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม คณะกรรมการเฉพาะด้านการขับเคลื่อนตามนโยบายการใช้คลาวด์เป็นหลัก (Cloud First Policy) (ร่าง) นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (พ.ศ. 2561 – 2580) ฉบับปรับปรุง ซึ่งผ่านการพิจารณาของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และได้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป ทั้งนี้คณะกรรมการเฉพาะด้าน Cloud First Policy ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจำนวน 2 คณะ ประกอบด้วย คณะอนุกรรมการด้านกฎหมายการจัดซื้อจัดจ้างบริการคลาวด์ภาครัฐ และคณะอนุกรรมการด้านบริหารจัดการความต้องการใช้บริการคลาวด์ (Demand) การให้บริการคลาวด์ (Supply) และมาตรฐานการบริหารจัดการบริการคลาวด์ภาครัฐ (Government Cloud Management) และได้เห็นชอบในหลักการกรอบแนวทางการบริหารจัดการระบบคลาวด์ภาครัฐ โดยมอบหมายผู้ที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดเสนอคณะกรรมการต่อไป

3.แนวทางการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างหรือเช่าใช้บริการระบบคลาวด์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยให้หน่วยงานภาครัฐ นำข้อกำหนดมาตรฐาน และเงื่อนไขสำหรับผู้ให้บริการระบบคลาวด์ประจำปี พ.ศ. 2567 ไปใช้พลางก่อน จนกว่าจะมีข้อกำหนดมาตรฐาน และเงื่อนไขสำหรับผู้ให้บริการระบบคลาวด์ใหม่ 

4.การเร่งรัดขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) โดยเห็นชอบให้ภารกิจการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) อยู่ภายใต้การดำเนินการของคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

5.การเร่งรัดบูรณาการและขับเคลื่อน CCTV  ซึ่งได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะด้านการประมวลผลและใช้ประโยชน์จากระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธาน เพื่อให้เกิดการบูรณาการ ลดความซ้ำซ้อน ลดค่าใช้จ่าย สามารถบริหารจัดการข้อมูล และใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างเป็นรูปธรรม ผลักดันให้เกิดการบูรณาการเชื่อมโยงระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ทั่วประเทศ สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 

6.เห็นชอบ (ร่าง) กรอบการขับเคลื่อนการส่งเสริมการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลประเทศไทย (Digital ID) ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2568 - 2570) และมอบหมายให้สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมขับเคลื่อนการดำเนินการตาม (ร่าง) กรอบการขับเคลื่อนฯ พร้อมทั้งติดตามและประเมินผลให้เป็นไปตามกรอบการขับเคลื่อนฯ ดังกล่าวต่อไป 

7.เห็นชอบ แนวทางการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์อย่างมีธรรมาภิบาล สำหรับผู้บริหารองค์กร (AI Governance Guideline for Executive) ของ ETDA โดยมอบหมายให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนนำไปปฏิบัติต่อไป

8.แนวทางการดำเนินการสร้างความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ให้กับหน่วยงานของรัฐ สำหรับการป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลไม่ให้เกิดการรั่วไหล และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) เสนอคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ และคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบและประกาศให้ทุกหน่วยงาน นำไปใช้เป็นแนวทางการดำเนินงานต่อไป

9.การดำเนินงานขยายความจุ (Capacity) ของระบบเคเบิลใต้น้ำ ADC (Asia Direct Cable) ในปี 2566 จำนวน 2 เส้นทาง ได้แก่ 1) เส้นทาง ไทย - ฮ่องกง จำนวน 300 Gbps และ 2) เส้นทางไทย - สิงคโปร์ จำนวน 700 Gbps 

10.ประกาศคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดนิยามและขอบเขตอุตสาหกรรมดิจิทัลของประเทศไทย โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งได้แจ้งเวียนประกาศดังกล่าวไปยังหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้หน่วยงานนำกรอบนิยามอุตสาหกรรมดิจิทัลไปใช้ประโยชน์ในการสำรวจ วิเคราะห์ข้อมูล เพื่อกำหนดนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top