Tuesday, 24 June 2025
NEWS FEED

มุกดาหาร-สัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ 42 “อนุทิน” แสดงวิสัยทัศน์ ตั้ง รองผวจ.เศรษฐกิจ ส่งออกสินค้าไทยทุกชายแดนเฟื่อง หนุนอุตสาหกรรมไทยรุ่ง

(28 พ.ย. 67) นายกานต์พนธ์ เตชะเดชอภิพัฒน์ ประธานหอการค้าจังหวัดมุกดาหาร เปิดเผยว่า คณะกรรมการหอการค้าจังหวัดมุกดาหาร ร่วมสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ณ สวนนงนุช จ.ชลบุรี ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย เป็นประธานมอบรางวัลสำเภาทอง แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัด 22 รางวัล ในการสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 42 ของหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พร้อมมอบ รางวัลผู้ว่าราชการจังหวัดสำเภาทอง ประจำปี 2567 ณ NICE HALL สวนนงนุช 

นายอนุทิน ได้กล่าวในตอนหนึ่งว่า รัฐบาลจะพัฒนาระบบบริการเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน โดยมีเป้าหมายหนุนภาคเอกชนกลุ่มผู้ค้า ผู้จำหน่วย ผู้ผลิตทุกแห่ง สามารถส่งสินค้าออกไปจำหน่ายได้ทั่วโลกภายใต้การบริหารในรูปแบบใหม่ที่ภาครัฐจะดำเนินการอำนวยความสะดวกในทุกช่องทางแก่ผู้ประกอบการ ส่วนของกระทรวงมหาดไทยจะต้องเน้นย้ำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกแห่ง เรียนรู้ ทราบถึงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในแต่ละท้องถิ่นของจังหวัดนั้น ดังเช่นเมืองชายแดนที่อยู่ติดประเทศเพื่อนบ้านทุกแห่ง จะต้องเน้นให้ส่งออกสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านให้ได้ในทุกรูปแบบ โดยไม่มีเงื่อนไขไม่ติดขัดเรื่องการส่งออกสินค้าแต่อย่างใด เพื่อความเจริญเติบโตทางด้านการผลิต เมื่อโรงงานมีใบสั่ง แรงงานก็มีงานทำ คนไทยทุกคนจะมีเงิน มีงานสร้างเศรษฐกิจพื้นฐานภายในครัวเรือน สร้างเศรษฐกิจการค้าให้โตขึ้นในทุกจังหวัด 

โดยภาครัฐจะสนับสนุนอำนวยความสะดวกให้ภาคเอกชนในการประกอบธุรกิจทุกรูปแบบ ส่งเสริมให้ให้มีการเติบโตด้านเศรษฐกิจให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จังหวัดจะต้องร่วมผลักดันขับเคลื่อนอำนวยความสะดวกให้เต็มที่ โดยเฉพาะการตั้งรองผู้ว่าราชการจังหวัดด้านเศรษฐกิจโดยเฉพาะ จากในปัจจุบันที่ผู้ว่าราชการจังหวัดจะต้องเป็นผู้ดูแล ดังนั้นรองผู้ว่าฯ ด้านเศรษฐกิจจะมาช่วยดูแลการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ประเทศกำลังต้องการฟื้นฟูระบบการค้าเพื่อให้เงินไหลเข้าประเทศ ดังที่ทางหอการค้าระบุว่าเศรษฐกิจไทยต้องโตอย่างน้อย 3% ดังนั้น ภาครัฐจะต้องมีส่วนผลักดันที่สำคัญ 

นายกานต์พนธ์ กล่าวตอนท้ายว่า จากนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดจะเป็นผู้ดูแลเศรษฐกิจของจังหวัดทุกด้าน ทั้งอุตสาหกรรมการผลิต แรงงาน นโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล การเงินการคลัง ซึ่งรัฐบาลในทุกภาคส่วนในจังหวัดจะต้องพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ตามเป้าหมายหอการค้าไทยตั้งเป้าไว้ใน ปี 2568 เศรษฐกิจ จะโตมากกว่า 3% ภาครัฐจะฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs

ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​

รมว.พาณิชย์ ถกสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย เตรียมตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนฯ แก้ไขปัญหากรณีขนส่งศูนย์เหรียญ และนอมินี สร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจโลจิสติกส์ไทย 

(28 พ.ย. 67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา ดร.ทองอยู่คงขันธ์ ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยสมาชิกและที่ปรึกษาสหพันธ์ ได้เข้าพบตนที่กระทรวงพาณิชย์ เพื่อหารือนโยบายเกี่ยวกับการสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจโลจิสติกส์ไทย รวมถึงแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีขนส่งศูนย์เหรียญจีน โอกาสนี้ นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ เข้าร่วมด้วย

นายพิชัย กล่าวว่า รัฐบาล โดยท่านนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมายอย่างเร่งด่วน ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 25 ต.ค. ที่ผ่านมา เพื่อดำเนินการเชิงรุกในการติดตามและเร่งรัดมาตรการในการแก้ไขปัญหาให้ผู้ประกอบการในประเทศ โดยที่ประชุมได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการฯ ซึ่งนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์ เป็นประธานคณะอนุกรรมการป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว (Nominee) เพื่อกำหนดแนวทางการกำกับดูแลและป้องปราม รวมถึงสืบสวน สอบสวนหรือตรวจสอบพฤติกรรมของบุคคลและนิติบุคคลที่อาจมีพฤติกรรมเป็นนอมินี โดยเร็วและเป็นรูปธรรมซึ่งคณะอนุกรรมการฯ มีผู้แทนจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมสอบสวนคดีพิเศษ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กรมการจัดหางาน กรมการท่องเที่ยว กรมที่ดิน และกรมสรรพากร ร่วมแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง โปร่งใส เพราะถือว่านอมินีทำลายธุรกิจ และเศรษฐกิจไทย

ซึ่งในส่วนของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้กำหนดแผนมาตรการสำหรับการตรวจสอบธุรกิจที่มีความเสี่ยงจะเป็นนอมินีอย่างเข้มงวดและเป็นรูปธรรม กำหนดพื้นที่กลุ่มเสี่ยง แนวทางการตรวจสอบ และแผนการตรวจสอบ โดยในระยะเร่งด่วน กรมได้ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจและคัดกรองข้อมูลนิติบุคคล ซึ่งเน้นธุรกิจที่เกี่ยวกับการขนส่ง (โลจิสติกส์) แพลตฟอร์มออนไลน์ การให้เช่าโกดังสินค้าที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและมีคนสัญชาติจีนร่วมถือหุ้นกับคนไทย ซึ่งกรมเริ่มดำเนินการลงพื้นที่ตรวจสอบตามมาตรการดังกล่าวตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 โดยมีหนังสือให้ธุรกิจที่มีความเสี่ยงจะเป็นนอมินีในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (15 เขต) อาทิ เขตสัมพันธวงศ์ คลองสาน สาทร บางรัก ห้วยขวาง คลองเตย เป็นต้น ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจและการลงทุน

และระยะที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้หารือและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย โดยสหพันธ์ฯ ได้มีหนังสือแจ้งประเด็นปัญหาและข้อหารือในระบบโลจิสติกส์ พร้อมนำส่งสรุปประเด็นการจดทะเบียน “นอมินี” ของทุนจีน และแจ้งข้อมูลรายชื่อบริษัทกลุ่มทุนจีน ซึ่งเป็นนิติบุคคลต้องสงสัยเป็น “นอมินี” เพื่อให้กรมฯดำเนินการตรวจสอบ จากนี้ กรมฯจะได้เพิ่มการตรวจสอบในธุรกิจ e-commerce การขนส่ง และคลังสินค้า ที่คาดว่านักธุรกิจชาวต่างชาติจะมีการใช้นอมินีในการประกอบธุรกิจ จากเดิมที่เน้นธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โรงแรมและรีสอร์ท โดยจากการคัดกรองธุรกิจที่มีคนต่างด้าวร่วมถือหุ้นกับคนไทยทั่วประเทศ

“ตามที่ตนได้มอบหมายให้ นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์ เป็นประธานคณะอนุกรรมการป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว (Nominee) ล่าสุดได้มีการจัดประชุมฯ ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 27 พ.ย. ที่ผ่านมา ร่วมกับ 10 หน่วยงาน สรุปแนวทางการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว (Nominee) เป็นแผน 3 ระยะ บูรณาการการทำงานร่วมกันของคณะอนุกรรมการฯ อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง พร้อมทั้งจะมีการจัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว (Nominee) ซึ่งจะทำให้การแก้ไขปัญหาดังกล่าวมีประสิทธิภาพและมีผลการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม ที่สำคัญจะทำให้ประชาชนและนักลงทุนไทยเกิดความมั่นใจในการดำเนินธุรกิจและไม่ตกเป็นเหยื่อของผู้กระทำผิดอีกด้วย” รมว.พาณิชย์ กล่าว 

ท่าเรือมาบตาพุด เฟส 3 Gulf MTP ต้อนรับคณะศึกษาดูงานจาก สนพท. และ สมาคมนักข่าวแห่งประเทศจีน

(27 พ.ย. 67)  ณ สำนักงานท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด (สทร.) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) นำโดย นายอาณัติ จันดี ผอ.สทร. และ บริษัทกัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินอล จำกัด (Gulf MTP)  นำโดย ดร.กฤษณ์ พงษ์เทพิน ผช.ผอ.ฝ่ายชุมชนสัมพันธ์ /ประชาสัมพันธ์ และนายศุภฤกษ์ โสภณราพงษ์ ผช.ผจก.ฝ่ายชุมชนสัมพันธ์  บริษัทที่ปรึกษาการก่อสร้างท่าเรือฯ ( PMSC ) และ คณะเจ้าหน้าที่จาก สทร. ร่วมต้อนรับ คณะผู้มาศึกษาดูงานจาก สมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย (สนพท)  นำโดย นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นายกสมาคมฯ และ สมาชิกวุฒิสภา ฯ นายนพดล แสงวิไล กรรมการ สนพท. จ.ระยอง และคณะ พร้อมด้วย สมาคมนักข่าวแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน นำโดย นายหลี่ เจียนหมิน ผอ. สำนักข่าวซินหัว  นายซู่ ลี่จวิน  ผอ.สถานีวิทยุเฮยหลงเจียง  นายจางผิงจ้าว บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ เปาอันเดลี่  นายหวาง หย่งโป รองผู้อำนวยการ สมาคมนักข่าวสาธารณรัฐประชาชนจีน เข้าร่วมกิจกรรม รวมกว่า 20 คน
บรรยากาศของกิจกรรม มีการกล่าวต้อนรับและบรรยาย โดย นายอาณัติ จันดี ผู้อำนวยการสำนักงานท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด (สทร)  ที่มาและความสำคัญของโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะ ที่ 3 ตามนโยบายรัฐบาล และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก  เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ  รายละเอียดของโครงการก่อสร้างและความก้าวหน้าของโครงการถึงปัจจุบัน ซึ่งทางคณะผู้มาศึกษาดูงานจากประเทศจีน ให้ความสนใจเป็นอย่างมากและมีการซักถามแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน หลังจากการบรรยายแล้วได้นำคณะขึ้นไปชมภาพมุมสูงที่หอควบคุมของสำนักงาน สทร. ได้ชมภาพสถานที่จริงในการก่อสร้างท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะ ที่ 3 ที่ดำเนินการก่อสร้างแล้ว ก้าหน้าไปกว่า 90 % แล้ว
หลังจากนั้น คณะผู้ศึกษาดูงาน ได้เดินทางไปเยี่ยมคารวะนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง และจะไปศึกษาดูงานที่จังหวัดชลบุรี และ กรุงเทพมหานครต่อไป

น้ำท่วมภาคใต้ 6 จังหวัด ยังอ่วม 'ตชด.' เร่งช่วยเหลือ ขนย้ายของ ส่งเสบียงช่วยชาวสะเดา เคลื่อนย้ายหญิงป่วยติดเตียงหนีน้ำ  

(28 พ.ย.67) กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ( บช.ตชด. ) โดย กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 4 ได้ดำเนินการตามสั่งการของพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้ดูแลช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยอย่างเต็มที่ในทุกด้าน จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่สภาวะปกติ จึงสั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัดเข้าช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุอุทกภัย น้ำท่วมภาคใต้ ทั้ง 6 จังหวัด ได้แก่ นครศรีธรรมราช สงขลา พัทลุง สตูล ยะลา และนราธิวาส โดยให้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าช่วยเหลือประชาชนได้อย่างรวดเร็วเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่พี่น้องประชาชน

เมื่อช่วงเช้าวันนี้ ( 28 พฤศจิกายน 2567 ) กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 437 ร่วมกับเทศบาลเมืองสะเดา ออกช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ชุมชนสะพานม้า ต.สะเดา อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งติดอยู่ในบ้าน 4 ราย ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีอาหาร โดยได้เข้าไปแจกจ่ายข้าวกล่อง น้ำดื่ม เครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ให้กับผู้ที่ติดอยู่ในพื้นที่เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น ขณะเดียวกัน ชุดเฝ้าตรวจชายแดน 4303 ได้เข้าช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ บ.นา ม.5 ต.ปาดังเบซาร์, บ้านร็อก ม.2, บ้านบางควาย ม.7 ต.ทุ่งหมอ มีน้ำเข้าท่วมบ้านเรือนประมาณ 10 ครัวเรือน ได้ให้การช่วยเหลือประชาชน เคลื่อนย้ายสิ่งของไว้ที่สูง มีการตั้งศูนย์ช่วยเหลือชั่วคราว ที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน ม.7 และได้มอบเงินจำนวนหนึ่ง เพื่อซื้อของอุปโภค บริโภค ในแก่ประชาชน  ซึ่งขณะนี้ระดับน้ำในพื้นที่ยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันตชด.สังกัด กองกำกับการ 9 กองบังคับการฝึกพิเศษ รับแจ้งมีหญิงป่วยติดเตียงติดอยู่ในบ้าน ในพื้นที่บ้านวังปริง ต.เขามีเกียรติ อ.สะเดา จว.สงขลา ซึ่งระดับน้ำรอบบ้านสูงขึ้นเรื่อย ๆ จึงเข้าช่วยเหลือพาขึ้นรถ 6 ล้อ ออกจากพื้นที่น้ำท่วมได้อย่างปลอดภัย

ขณะที่ในพื้นที่ อ.เบตง จ.ยะลา ร้อย ตชด.445 ได้เข้าช่วยเหลือประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากเหตุดินสไลด์ไหลเข้าบ้านเรือน ได้สำรวจความเสียหายเบื้องต้นและทำความสะอาดบ้านเรือนจนสามารถเข้าพักอาศัยได้ และร่วมกับเทศบาลเมืองเบตง ซ่อมแซมถนนในหมู่บ้านแกรนด์วิลล่า ซ.8 ที่ทรุดตัวจากเหตุฝนตกหนักต่อเนื่องหลายวัน ให้สามารถใช้สัญจรได้ชั่วคราว

และในพื้นที่ อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช ที่โรงเรียนบ้านต้นจันทน์ ร้อยตชด.424 ได้ช่วยขนย้าย หนังสือ อุปกรณ์การเรียน หลังจากได้รับความเสียหายจากฝนตกหนักลมกรรโชกแรงเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาทำให้ กระเบื้องหลังคา ฝ้าเพดานได้รับความเสียหายทั้งอาคาร โดยจะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าช่วยเหลือต่อไป

และในพื้นที่ ต.ท่าหมอไทร และ ต.สะพานไม้แก่น อ.จะนะ จ.สงขลา ร้อย ตชด.432  ได้รับการประสานขอความช่วยเหลือ จากผู้ประสบภัย เพื่อช่วยอพยพผู้ป่วยติดเตียง และช่วยเหลือประชาชนที่มีน้ำท่วมและระดับน้ำยังเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากฝนตกอย่างต่อเนื่อง

คิกออฟ 1 ธ.ค.!! สแกนใบหน้าขึ้นเครื่อง ทั้งในประเทศ-ระหว่างประเทศ ไม่ต้องโชว์พาสปอร์ต-บัตรโดยสาร

(28 พ.ย.67) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เปิดเผยว่า พร้อมให้บริการระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (Biometric) สำหรับผู้โดยสารทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567 ที่สนามบินทั้ง 6 แห่งของ AOT ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, ท่าอากาศยานดอนเมือง, ท่าอากาศยานเชียงใหม่, ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย, ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสาร โดยลดเวลาการใช้บริการที่แต่ละจุดบริการเหลือเพียง 1 นาที จากเดิมที่ใช้เวลา 3 นาที

ผู้โดยสารที่ต้องการใช้งานระบบ Biometric สามารถลงทะเบียนได้เมื่อเช็กอินที่สนามบินใน 2 วิธี คือ 
1. เช็กอินที่เคาน์เตอร์สายการบิน โดยแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ลงทะเบียนใบหน้าในระบบ Biometric ผ่านเครื่องตรวจบัตรโดยสาร ซึ่งระบบจะบันทึกข้อมูลใบหน้าและเอกสารการเดินทาง
2. เช็กอินที่เครื่องเช็กอินอัตโนมัติ (CUSS: Common Use Self Service) โดยเลือกสายการบินและยินยอมลงทะเบียนใบหน้าในระบบ (Consent Notice) แล้วดำเนินการเช็กอินจนได้รับบัตรโดยสารขึ้นเครื่อง (Boarding Pass) หลังจากนั้น ผู้โดยสารจะทำการสแกนบาร์โค้ดในบัตรโดยสารและทำการเสียบหนังสือเดินทางหรือบัตรประชาชน ก่อนสแกนใบหน้าเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการลงทะเบียน

หลังจากเสร็จสิ้นการลงทะเบียน ผู้โดยสารสามารถโหลดกระเป๋าสัมภาระผ่านเครื่องรับกระเป๋าอัตโนมัติ (CUBD: Common Use Bag Drop) และผ่านจุดตรวจค้นต่างๆ โดยไม่ต้องแสดงพาสปอร์ตและบัตรโดยสารอีกต่อไป ข้อมูลผู้โดยสารที่ถูกบันทึกจะถูกลบทิ้งภายใน 48 ชั่วโมง ตามมาตรฐานความปลอดภัยและกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ของประเทศไทย

'เฉลิมชัย-ประชาธิปัตย์' ห่วงปัญหาเหลื่อมล้ำยากจนจัดเวทีนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจเดโมแครต ฟอรั่ม 'ขจัดการผูกขาด: ลดเหลื่อมล้ำแก้จน'

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าววันนี้ว่า ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยมีความรุนแรงขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเป็นผลมาจากการผูกขาด ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมส่งผลกระทบต่อประเทศและประชาชน ด้วยการตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาดังกล่าวพรรคประชาธิปัตย์จึงได้จัดงานเสวนา เดโมแครต ฟอรั่ม (Democrat Forum) ครั้งที่ 3 ในหัวข้อ 'ขจัดการผูกขาด: ปฏิรูปเศรษฐกิจลดเหลื่อมล้ำแก้จน' ในวันจันทร์ที่ 2 ธันวาคมนี้ เวลา 09.00 - 12.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 3 อาคาร ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช พรรคประชาธิปัตย์ 

การจัดเสวนาครั้งนี้จึงมุ่งนำเสนอแนวทางในการขจัดการผูกขาดเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ผ่านการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ และการพัฒนานโยบายที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ทุกคนในสังคมสามารถเข้าถึงโอกาสในการพัฒนาตนเอง และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

โดยมี กำหนดการ ในการจัดงาน ดังนี้
8.30 - 9.00 ลงทะเบียน
9.00 - 9.30 พิธีเปิด 

กล่าวรายงานโดย ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
พิธีเปิดและปาฐกถาพิเศษโดย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
9.30 - 11.15 เสวนา 'ขจัดการผูกขาดทางเศรษฐกิจ: ต้นเหตุความเหลื่อมล้ำและยากจน' โดยวิทยากร
1.ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)
2.ผศ.ดร.พรเทพ เบญญาอภิกุล ผู้อำนวยการโครงการเศรษฐศาสตรบัณฑิต หลักสูตรนานาชาติ อดีตรองคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,
3.นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์และอดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศคนที่ 1และ
4.รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ
ข้อสังเกตต่อความเห็น : เพื่อส่งต่อสังคมการเมือง ปัจจุบัน
11.00 - 11.45 เปิดเวทีแสดงความคิดเห็น
11.45 - 12.00 สรุปการเสวนา
โดยดร.เจนจิรา รัตนเพียร โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ทำหน้าที่พิธีกร

สำหรับผู้สนใจร่วมงานเดโมแครต ฟอรั่ม สามารถลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่: https://form.democrat.or.th/democrat-forum3 (50 ท่านแรกที่ลงทะเบียนจะได้รับต้นกล้าไม้คนละ 2 ต้นเพื่อช่วยกันเพิ่มพื้นที่สีเขียวลดโลกร้อน ตามนโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
ทั้งนี้มีการถ่ายทอดสดผ่าน Facebook Live พรรคประชาธิปัตย์ หรือสอบถามเพิ่มเติม โทร: 065 714 6725

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสั่งตำรวจ ภ.8 และ ภ.9 ดูแลช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อุทกภัยอย่างเต็มที่ นำแนวทางที่สั่งถอดบทเรียนในพื้นที่ประสบภัยที่ผ่านมา มาปรับใช้

(28 พ.ย.67) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ประสบเหตุได้อย่างทันท่วงที พร้อมดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน อำนวยความสะดวกการจราจรในพื้นที่ประสบอุทกภัย รวมทั้งดูแลในส่วนของข้าราชการตำรวจ และสถานที่ราชการของตำรวจที่ได้รับผลกระทบด้วย

สถานการณ์อุทกภัยล่าสุดยังคงมีสถานการณ์ 6 จังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ ได้แก่ 
1. จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2 อำเภอ คือ กาญจนดิษฐ์ , ดอนสัก ระดับน้ำลดลง 
2. จังหวัดนครศรีธรรมราช 5 อำเภอ คือ ชะอวด , เฉลิมพระเกียรติ , พระพรหม , เมืองฯ , ร่อนพิบูลย์ ระดับน้ำลดลง 
3. จังหวัดสงขลา 1 อำเภอ คือ ระโนด ระดับน้ำทรงตัว 
4. จังหวัดปัตตานี 2 อำเภอ คือ มายอ , ทุ่งยางแดง ระดับน้ำเพิ่มขึ้น
5. จังหวัดยะลา 1 อำเภอ คือ บันนังสตา ระดับน้ำเพิ่มขึ้น
6. จังหวัดนราธิวาส 5 อำเภอ คือ บาเจาะ , แว้ง , รือเสาะ , เจาะไอร้อง , สุคิริน ระดับน้ำเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้แจ้ง 13 จังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ เฝ้าระวังสถานการณ์ท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขัง ดินถล่ม น้ำล้นอ่างเก็บน้ำ น้ำล้นตลิ่ง และคลื่นลมแรง ในช่วงวันที่ 27 พฤศจิกายน ถึง 4 ธันวาคม 2567

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ได้สั่งการให้ ภ.8 และ ภ.9 ดูแลช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยอย่างเต็มที่ในทุกด้าน จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่สภาวะปกติ โดยให้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าช่วยเหลือประชาชนได้อย่างรวดเร็วเมื่อเกิดสถานการณ์ และจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ตรวจสภาพน้ำท่วมในพื้นที่รับผิดชอบ ประชาสัมพันธ์หลีกเลี่ยงเส้นทางที่ประสบปัญหา พร้อมทั้งออกลาดตระเวนดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ป้องกันมิจฉาชีพก่อเหตุซ้ำเติม หากพบให้ดำเนินคดีทุกราย และให้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ตำรวจทางหลวง ตำรวจน้ำ) , กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน , กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , สำนักงานส่งกำลังบำรุง สนับสนุนทั้งกำลังพล เครื่องมือ ยานพาหนะ และกองบินตำรวจ ให้เตรียมความพร้อมการอพยพช่วยเหลือประชาชน ตำรวจ รวมทั้งสนับสนุนช่วยเหลือทางการแพทย์

นอกจากนี้ ให้นำแนวทางการปฏิบัติกรณีเกิดอุทกภัย ภัยพิบัติ ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ผ่านมา มาปรับใช้ ซึ่งได้สั่งการให้ถอดบทเรียนเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติในพื้นที่ต่างๆ ต่อไปไว้แล้ว และเน้นย้ำให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นดูแลข้าราชการตำรวจที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยด้วย โดยเน้นเรื่องความเป็นอยู่และสวัสดิการอย่างเต็มที่ 

ทั้งนี้ หากประชาชนต้องการความช่วยเหลือ สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ที่สายด่วน 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ รับมอบตำแหน่งประธานคณะมนตรี MRC ประจำปี 2568 บูรณาการความร่วมมือประเทศสมาชิก ผลักดันพัฒนาลุ่มน้ำโขง สู่ ‘ศูนย์กลางความรู้และข้อมูลของอนุภูมิภาค’ เตรียมความพร้อมเผชิญความท้าทายทุกรูปแบบ

เมื่อวานนี้ (27 พ.ย.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยได้นำคณะเข้าร่วมการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ครั้งที่ 31 และการประชุมระหว่างคณะมนตรี กับกลุ่มหุ้นส่วนการพัฒนา ครั้งที่ 29 ณ เมืองหลวงพระบาง สปป.ลาว ร่วมกับคณะผู้แทนจาก สปป.ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ผู้แทนหุ้นส่วนการพัฒนา ประเทศคู่เจรจา และผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศ พร้อมด้วยคณะผู้แทนฝ่ายไทย ประกอบด้วย นายฉัตริน จันทร์หอม รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) นางพัชรวีร์ สุวรรณิก ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ รักษาราชการแทน รองเลขาธิการ สทนช. ผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่ สทนช. โดย ฯพณฯ ดร.บุนคำ วอละจิด รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สปป.ลาว ประธานคณะมนตรี MRC ประจำปี 2567 กล่าวเปิดการประชุม

นายประเสริฐ เปิดเผยว่า การประชุมในวันนี้เป็นโอกาสอันดีที่ได้ร่วมหารือและกำหนดแนวทางความร่วมมือในการพัฒนาแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน โดยได้พิจารณาแผนการดำเนินงาน ปี 2568 - 2569 และรับทราบการดำเนินงานตามแผนฯ ปี 2567 เพื่อรับมือกับความท้าทายในลุ่มแม่น้ำโขงที่มีความรุนแรงและความถี่มากขึ้น ทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศทางน้ำ ความเหลื่อมล้ำทางสังคมอันเกิดจากการพัฒนา ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ และภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยมีประชาชนกว่าหลายล้านคนในอนุภูมิภาคต้องเผชิญกับอุทกภัย ในช่วง 2 - 3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งปัญหาต่าง ๆ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและความยั่งยืนของระบบนิเวศ 

นายประเสริฐ กล่าวว่า เชื่อมั่นว่าความร่วมมือและความมุ่งมั่นร่วมกันจะเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้มีความพร้อมในการเผชิญกับความท้าทาย เพื่อสร้างโลกที่ดีกว่าสำหรับวันพรุ่งนี้ และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และในโอกาสนี้ ยังได้รับมอบตำแหน่งประธานคณะมนตรี MRC ประจำปี 2568 ซึ่งเป็นวาระการดำรงตำแหน่งของประเทศไทย โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการบูรณาการความร่วมมือ ภายใต้กรอบ MRC ซึ่งเป็นกรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน ค.ศ. 1995 และยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำโขงอย่างยั่งยืน ค.ศ. 2021 - 2030 โดยเชื่อมโยงสอดคล้องกับกรอบความร่วมมืออาเซียน วาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ของสหประชาชาติ และความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมีจุดมุ่งหมายสำคัญในการสร้างประโยชน์ร่วมกัน ผ่านการมีกลไกการเจรจาหารือและการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกระดับ ส่งเสริมการรับฟังความคิดเห็นจากองค์กรต่าง ๆ การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน คำนึงถึงกลุ่มผู้ด้อยโอกาสและผู้ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้เกิดการรับทราบข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นธรรม รวมถึงการพัฒนาโดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งจะเป็นแนวทางในการสร้างความยั่งยืนที่แท้จริง

นอกจากนี้ รัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ รักษาสมดุลของระบบนิเวศท้องถิ่น และการพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศ รวมถึงสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศสมาชิกอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการพัฒนาบุคลากรร่วมกับการแจ้งเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพและทันท่วงที เพื่อให้สามารถตัดสินใจบริหารจัดการน้ำและทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างสอดคล้องตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ พร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ทันเวลาอย่างเหมาะสม เพื่อลดและบรรเทาผลกระทบข้ามพรมแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม อีกทั้งได้ให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมความร่วมมือของทุกภาคส่วน ในด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความเข้มแข็งในการตั้งรับ ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและจากการพัฒนาโครงการต่างๆ ในลุ่มน้ำโขงในอนาคต 

“รัฐบาลไทยมุ่งมั่นและสนับสนุนการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างกรอบ MRC กับกลุ่มประเทศ องค์กรระหว่างประเทศ และกรอบความร่วมมืออื่นๆ ทั้งในระดับอนุภูมิภาค ภูมิภาค และนอกภูมิภาค เพื่อผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียวในการขับเคลื่อนการบริหารทรัพยากรน้ำข้ามพรมแดนอย่างยั่งยืน โดยประเทศไทยมุ่งหวังให้มีการประสานงานความร่วมมืออย่างใกล้ชิด และบูรณาการการดำเนินงานผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูล การศึกษา และวิจัยร่วมกัน ผ่านบทบาทของ MRC ในฐานะ ‘ศูนย์กลางความรู้และข้อมูลของอนุภูมิภาค’ เพื่อประโยชน์โดยตรงของประชาชน อันนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนโดยคำนึงถึงและยึดผลประโยชน์ของประเทศสมาชิกเป็นสำคัญ ยกระดับให้แม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำแห่งความมั่งคั่ง เชื่อมโยง และพร้อมที่จะเผชิญความท้าทายทุกรูปแบบ” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าว 

ขณะที่ ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า ที่ประชุมยังได้รับทราบเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ การรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานในภาพรวม การรายงานความก้าวหน้าของกิจกรรม/แผนงานที่สำคัญ ประกอบด้วย การรายงานการสรรหาและคัดเลือกตำแหน่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRCS) คนที่ 9 การรายงานการดำเนินการตามระเบียบปฏิบัติของ MRC การรายงานการติดตั้งสถานีใหม่แล้วเสร็จ และการดำเนินการเครือข่ายหลักในการติดตามสถานการณ์แม่น้ำโขง (Core River Monitoring Network: CRMN) การรายงานความร่วมมือกับหุ้นส่วนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การรายงานการวางแผนระดับภูมิภาคเชิงรุก (PRP) และความก้าวหน้าโครงการศึกษาร่วม การรายงานสถานการณ์สภาพอุตุ-อุทกวิทยาและสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำโขงตอนล่างของปี 2567 นอกจากนี้ ยังได้หารือเกี่ยวกับกำหนดการประชุมคณะมนตรี MRC ครั้งที่ 32 และการประชุมหุ้นส่วนการพัฒนา ครั้งที่ 30 ซึ่งประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมด้วย

“แอดมิน Pages ได้ทำการบล็อค Account ปลอมที่เข้ามาด่าทุกรายครับ ก็ขออนุญาตลากันเลยนะครับ ไม่ชอบก็เลื่อนผ่าน บล็อกทุกคนที่ด่าครับ”

เมื่อวันที่ (26 พ.ย. 67) นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘ทนายคลายทุกข์’ ว่า วันนี้แอดมิน Pages ได้ทำการบล็อค Account ปลอมที่เข้ามาด่าทุกรายครับ
ก็ขออนุญาตลากันเลยนะครับไม่ชอบก็เลื่อนผ่านครับบล็อกทุกคนที่ด่าครับ

พร้อมกับโพสต์ข้อความในช่องคอมเมนท์ต่ออีกว่า ทุกคนที่ไม่ชอบผมก็เลื่อนผ่านไม่ต้องเข้ามาดูครับเพจทนายคลายทุกข์เป็นเพจให้ความรู้ทางด้านกฎหมาย

‘ดร.สุวินัย’ ซูฮก 'วอร์เรน บัฟเฟตต์' ไม่หลงในเงินตรา หลังบริจาคทรัพย์สินเกือบทั้งหมดให้การกุศล

(27 พ.ย. 67) ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่าบั้นปลายของ "เทพสมบัติ" อันดับหนึ่งของโลก

'วอร์เรน บัฟเฟตต์' ปิดฉากอาณาจักรความมั่งคั่งของเขา ด้วยการ บริจาคเงินทั้งหมดของเขาให้การกุศล โดยเขาได้บริจาคเงินให้การกุศลเพิ่มอีก 1.1 พันล้านดอลลาร์ และตั้งทรัสตี 3 คนรับไม้ต่อจากลูกทั้ง 3 เพื่อบริหารเงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะเขาไม่วางใจคนรุ่นต่อไปว่าจะบริหารสินทรัพย์ได้ดีแค่ไหน

วอร์เรน บัฟเฟตต์ หนึ่งในนักลงทุนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก และผู้ก่อตั้งบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ (Berkshire Hathaway) ได้แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่แตกต่างจากมหาเศรษฐีหลายคน ด้วยการตัดสินใจ ไม่สร้างอาณาจักรความมั่งคั่ง ให้กับทายาทของตนเอง

เพราะแทนที่จะส่งต่อทรัพย์สินมหาศาลให้ลูกหลานโดยตรง บัฟเฟตต์กลับเลือกที่จะแต่งตั้งผู้ดูแลทรัพย์สินอิสระ 3 คนเพื่อให้มั่นใจว่าทรัพย์สินของเขาจะถูกนำไปใช้เพื่อการกุศลอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง หลังจากที่เขาและภรรยาเสียชีวิตลง พร้อมกับบริจาคหุ้น Berkshire Hathaway เพิ่มอีก 1,100 ล้านดอลลาร์ให้กับมูลนิธิทั้ง 4 แห่งของครอบครัว เพื่อสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของเขา

ก่อนหน้านี้ บัฟเฟตต์ได้ให้สัญญามาโดยตลอดว่าจะบริจาคเงิน 99% ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่ได้มาตั้งแต่ปี 1965 แทนที่จะทิ้งเป็นมรดกให้กับลูกทั้ง 3 คน เพราะเขามองว่ามรดกอาจทำให้ขาดแรงผลักดันในการพัฒนาตนเอง และสร้างความแตกแยกในครอบครัว 

นอกจากนี้ การที่ทรัพย์สินมหาศาลตกทอดไปยังคนรุ่นหลัง อาจก่อให้เกิดความไม่แน่นอนทางสังคมได้เนื่องจากไม่สามารถคาดเดาได้ว่าคนรุ่นถัดไปจะเลือกกระจายทรัพย์สินเหล่านี้อย่างไร

บัฟเฟตต์ไม่ได้ต้องการสร้างอาณาจักรธุรกิจมอบให้ลูกหลาน แต่เลือกที่จะบริจาคทรัพย์สินให้กับการกุศลแทน เนื่องจากกังวลว่ารุ่นต่อ ๆ ไปอาจไม่สามารถบริหารจัดการความมั่งคั่งมหาศาลได้อย่างเหมาะสม

คนบางคนเกิดมาเพื่อเป็น "เทพสมบัติ" โดยแท้ 
คือเป็นผู้ที่มีอำนาจจิตที่เหนือเงินตรา เป็นนายของเงินตรา 
โดยที่เงินตราเป็นข้ารับใช้ที่ดีของเขาเท่านั้น
คนแบบนี้น่าจะมีแค่หนึ่งในพันล้าน
ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อเป็น "ผู้ชนะถาวร" อย่างชนิดอยู่เหนือเกมการเงิน
แต่กลับกินอยู่อย่างสมถะ ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ไม่ติดหรู ไม่อวดรวย ไม่ฟุ้งเฟ้อ 
เพราะมีปัญญาญาณที่มองทะลุถึง 'มายาของเงินตรา'
ภายหลังจากประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แล้ว กลับบริจาคเงินเกือบทั้งหมด (99%) ให้กับการกุศล เพื่อบำเพ็ญทานบารมีอันยิ่ง

นี่คือการใช้ชีวิตดุจ "เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง" อย่างแท้จริง
เพราะกระทำเช่นนี้ เรื่องราวของเขาจักเป็นตำนานตลอดไปอีกนานเท่านาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top