Saturday, 21 June 2025
NEWS FEED

สหรัฐออกคำสั่งด่วน!!! ระงับการใช้วัคซีน ‘จอห์นสัน & จอห์นสัน’ หลังพบผลข้างเคียง อาการลิ่มเลือดอุดตัน

องค์การอาหารและยา และ กรมควบคุมโรคแห่งสหรัฐอเมริกาประกาศด่วน ให้ระงับการใช้วัคซีน Covid-19 จากบริษัทจอห์นสัน & จอห์นสันชั่วคราว เนื่องจากพบผู้รับวัคซีนบางรายเกิดอาการลิ่มเลือดอุดตัน และเสียชีวิตแล้ว 1 ราย

โดยผู้ที่เกิดอาการลิ่มเลือดอุดตัน เป็นผู้หญิงทั้งหมดจำนวน 6 ราย อายุระหว่าง 18 - 48 ปี รับวัคซีนจอห์นสันไปแล้วในระยะเวลาตั้งแต่ 6 -13 วันจึงเกิดอาการไม่พึงประสงค์ ซึ่งบริเวณที่เกิดอาการลิ่มเลือดอุดตัน พบในเส้นเลือดสมอง และมีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 1 ราย ทำให้สหรัฐจำเป็นต้องระงับการฉีดวัคซีนของจอห์นสันก่อนเพื่อตรวจสอบ

สหรัฐได้รับรองการใช้วัคซีน Covid-19 ของบริษัทจอห์นสัน เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2021 และเป็นวัคซีนที่เป็นที่พูดถึงอย่างมากเพราะฉีดเพียงแค่เข็มเดียวเท่านั้น ซึ่งต่างจากวัคซีนตัวอื่นๆ ที่ต้องฉีดถึง 2 เข็ม จึงกลายเป็นหนึ่งในวัคซีนที่ได้รับการคาดหวังมาก

จนถึงตอนนี้สหรัฐได้ฉีดวัคซีนจอห์นสันให้กับชาวอเมริกันไปแล้วกว่า 6.8 ล้านเข็ม และพบอาการลิ่มเลือดอุดตัน 6 เคส ถึงแม้จะเป็นผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นน้อยมากๆ หากเทียบกับจำนวนวัคซีนที่ฉีดไป แต่ก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่าผลข้างเคียงนี้จะเชื่อมโยงกับตัววัคซีนจริงหรือไม่.

นับเป็นการตัดสินใจที่รวดเร็วมากของ CDC และ FDA ของสหรัฐ แต่ข่าวนี้ก็มีผลกับความเชื่อมั่นของวัคซีนของจอห์นสันไม่น้อย ที่ส่งผลให้หุ้นของจอห์นสันตกลงทันทีถึง 3% ซึ่งตรงกันข้ามกับหุ้นของบริษัทคู่แข่งอย่าง Moderna ที่พุ่งขึ้นเกือบ 8% ส่วนหุ้นของ Pfizer และ BioNTech ก็เพิ่มขึ้นอีก 1% เช่นกัน.

แหล่งข้อมูล

https://edition.cnn.com/.../johnson-vaccine.../index.html

https://apnews.com/.../us-pause-j-and-j-vaccine-blood...

https://www.bbc.com/news/world-us-canada-56733715

https://www.barrons.com/.../johnson-johnson-vaccine...

ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=280966790195213&id=104132041212023

กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานปรับปรุงประกาศ หลักเกณฑ์และวิธีการยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานตามมาตรา 123 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อยกระดับการให้บริการภาครัฐในระบบดิจิทัล พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการใช้

นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวว่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้ยกเลิกประกาศ เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานตามมาตรา 123 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ฉบับวันที่ 15 ธันวาคม 2560 โดยปรับปรุงและออกประกาศฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นไป ซึ่งการปรับปรุงประกาศในครั้งนี้เพื่อยกระดับการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐให้อยู่ในระบบดิจิทัล ประชาชนได้รับความสะดวกในการรับบริการและสามารถตรวจสอบการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐได้

โดยมีสาระสำคัญได้แก่ ลูกจ้างหรือทายาทโดยธรรมของลูกจ้างซึ่งถึงแก่ความตายสามารถยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานตามมาตรา 123 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยลงทะเบียนขอรหัสผู้ใช้และรหัสผ่านทางเว็บไซต์ระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (eservice.labour.go.th) เมื่อได้รับรหัสดังกล่าวแล้วสามารถยื่นคำร้องตามขั้นตอนในระบบการให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ได้ ทั้งนี้ขอให้เก็บรักษารหัสผู้ใช้และรหัสผ่านไว้เป็นความลับ เนื่องจากเป็นข้อมูลในการยืนยันตัวตนของผู้ใช้ระบบ และถือเป็นหลักฐานในการแสดงการลงลายมือชื่อของผู้ใช้ระบบในการติดต่อกับพนักงานตรวจแรงงานผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์

อธิบดี กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า การยื่นคำร้องผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของผู้ใช้ระบบถือเป็นหลักฐานการยื่นคำร้องเป็นหนังสือตามแบบที่อธิบดีกำหนด โดยผู้ใช้ระบบสามารถติดตามผล ส่งเอกสารเพิ่มเติม หรือยกเลิกคำร้องตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในระบบการให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ได้ ในส่วนของบรรดาคำร้องที่ได้ยื่นตามประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานตามมาตรา 123 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ลงวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2560 ที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานตรวจแรงงานก่อนประกาศนี้ใช้บังคับ ให้ดำเนินการต่อไปจนกว่าคำร้องที่ยื่นไว้จะถึงที่สุด

‘ตรีนุช เทียนทอง’ สั่งปลัดกระทรวงศึกษาฯ ออกประกาศด่วน! ขยาย Work from Home -หน่วยงานในสังกัดงดจัดกิจกรรมทุกชนิดถึง 30 เม.ย.64 เข้มรับสมัครนักเรียนปีการศึกษา 2564 ยับยั้งการแพร่ระบาด โควิด – 19

น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เปิดเผยว่า ตามที่ในปัจจุบันได้มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) และมีผู้ติดเชื้อภายในประเทศเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีการแพร่ระบาดกระจายในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความห่วงใย และขอความร่วมมืองดการจัดกิจกรรมที่ไม่จำเป็น นั้น ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ ตนได้สั่งการให้ ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปรับปรุงประกาศ ศธ.เรื่อง การป้องกันและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 โดยการปรับลดเวลาและวันทำงานของบุคลากรในสังกัด ศธ. ใหม่ โดยให้บุคลากรและหน่วยงานในสังกัดปฏิบัติงานภายในที่พัก (Work from Home) ต่อเนื่องจากประกาศฉบับเดิม ตั้งแต่วันที่ 9 ถึงวันที่ 23 เมษายน ขยายเป็นถึงวันที่ 30 เมษายน 2564 และจัดบุคลากรหมุนเวียนมาปฏิบัติงาน ณ สถานที่ทำงานไม่เกินร้อยละ 10 หรือ ให้ Work from Home จำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของบุคลากรทั้งหมด พร้อมทั้งให้ออกแนวทางปฏิบัติงาน เพื่อไม่ให้การทำงานพัฒนาการศึกษาของชาติสะดุด

“มาตรการที่ได้เน้นย้ำให้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เช่น งดการจัดประชุม อบรม สัมมนา ของข้าราชการ นักเรียน และนักศึกษาในสังกัด ศธ. ตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2564 ถ้าจำเป็นให้ใช้รูปแบบออนไลน์ งดจัดกิจกรรมใดๆ ที่มีการรวมกลุ่มของนักเรียน นักศึกษา ในช่วงปิดภาคเรียนนี้ ส่วนการดำเนินการรับสมัครนักเรียน นักศึกษา เข้าศึกษาต่อในสถานศึกษา ทั้งในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) รวมถึงการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และ อื่นๆ ทราบว่าแต่ละสังกัด ก็มีการเปิดรับสมัครแบบออนไลน์แล้ว แต่ถ้ามีการรับสมัครในพื้นที่ด้วย หรือ จำเป็นต้องมีการสอบ การสัมภาษณ์ จะต้องดำเนินการตามมาตรการและขั้นตอนที่เข้มข้นสูงสุด

 

ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นจริงๆที่ต้องจัดกิจกรรมในระหว่างนี้ ต้องขอความเห็นชอบจากสาธารณสุขในพื้นที่ก่อน และต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อโควิด -19 ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด และขอให้บุคลากรในสังกัด ศธ.ทุกคน ดูแลตัวเองอย่างเข้มงวด หากพบว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง หรือ มีอาการที่อาจจะเข้าข่ายเป็นผู้ติดเชื้อจะต้องแจ้งผู้เกี่ยวข้องทันที รวมทั้งสื่อสารกับนักเรียนและผู้ปกครองให้ตระหนักถึงการดูแลตัวเองด้วย ” รมว.ศธ.กล่าว..

ที่มา : https://mgronline.com/qol/detail/9640000035467

 

ฤาถึงคราวที่จีนจะหนุน CRPH?

ข่าวดังรับสงกรานต์ของวันที่ 12 เมษายน คงหนีไม่พ้นเรื่องที่จีนยกหูติดต่อรัฐบาล CRPH เพื่อตกลงเจรจาผลประโยชน์ของจีนในเมียนมา  แต่ก่อนจะมาถึงข่าวนี้หลายคนคงได้ทราบแล้วว่า รัฐบาลเงา CRPH นั้นจะเรียกได้ว่ามีความเป็นไปได้ที่อยู่เบื้องหลังการประท้วงและการปล่อยข่าวต่างๆออกมา  ซึ่งหนึ่งในข่าวเหล่านั้นคือข่าวที่ว่าจีนเป็นผู้ให้การสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่กองทัพเมียนมา

และเรื่องราวก็ลุกลามใหญ่โตจนไปถึงเรื่องของการเผาโรงงานและธุรกิจของชาวจีนในเมียนมาหลายแห่งรวมถึงธุรกิจตามนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ แต่สิ่งที่ทางจีนห่วงที่สุดก็น่าจะเป็นท่อก๊าซในเมียนมาที่ต่อตรงจากเมืองเจาท์ผิ่วไปยังชายแดนจีน  โดยมีระยะทางยาวมากกว่า 2,500 กิโลเมตร ซึ่งลงทุนโดย บริษัทปิโตรเลียมแห่งชาติจีน (China National Petroleum Corp : CNPC) และนั่นก็น่าจะเป็นสิ่งที่ทางจีนมองว่าได้ไม่คุ้มเสียหากไม่หาทางป้องกัน  

เพราะจีนน่าจะรู้ดีที่สุดว่างานนี้ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังและการที่จีนยกหูถึงรัฐบาล CRPH ครั้งนี้ก็อาจจะเป็นการแสดงให้เห็นว่าจีนเลือกหนทางแบบพ่อค้าดีกว่าหนทางแบบมาเฟียคือดีลกับทุกค่าย  ใครแพ้ ใครชนะ  จีนก็ไม่มีวันแพ้   แต่ถ้างานนี้รัฐบาล CRPH ยอมซูเอี๋ยกับทางรัฐบาลจีน อาจจะถึงคราวกลืนน้ำลายตัวเอง  และนี่อาจจะเป็นจุดที่ทาง CRPH ต้องเลือกก็เป็นได้  เพราะทุกวันนี้แม้ชาติตะวันตกจะให้การรับรู้ว่ามีรัฐบาลพลัดถิ่นของ CRPH แต่ก็ไม่มีประเทศไหนได้ให้การรับรองรัฐบาล CRPH แม้แต่สหรัฐอเมริกาเองก็ตาม  นั่นแสดงให้เห็นถึงความไม่จริงใจต่อสหรัฐอเมริกาที่มีต่อเมียนมาในยามวิกฤตและถ้าหากรัฐบาลจีนยอมรับรองรัฐบาลพลัดถิ่น CRPH แล้วละก็ งานนี้กลุ่มผู้ประท้วงผู้รักประชาธิปไตยคงได้หันตัวแบบ 365 องศากันเลยทีเดียว หรือไม่ก็อาจจะเกิดกระแสตีกลับก็เป็นได้ เพราะจากคนที่เคยเกลียดจีนเข้าไส้  ต้องหันมาจูบปากกันอย่างดูดดื่มซึ่งเชื่อได้ว่าถ้าออกรูปนี้จริงเอย่าว่าดูไม่จืดแน่นอน

แต่อย่างไรก็ตามถามว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นแผนดึงเมียนมากลับมาเป็นมหามิตรของจีนอีกครั้งได้หรือไม่ก็ต้องบอกตรง ๆ ว่าเป็นไปได้   งานนี้คงต้องขึ้นกับรัฐบาล CRPH แล้วละว่าหากมีการต่อสายตรงถึงกันจริงจะยังชังกันอยู่หรือยอมกลืนน้ำลายตัวเองเสียเครดิตกับมวลชนนิดหน่อยแต่ได้ประเทศใหญ่และมีศักยภาพอย่างจีนมาเป็นมิตรเช่นเดิม   สุดท้ายรัฐบาล CRPH อาจจะต้องประเมินว่าหากกลับไปจูบปากกับจีนคนเมียนมาปัจจุบันที่เป็นมวลชนของ CRPH จะรับได้ไหมหรือรัฐบาล CRPH จะแก้ลำอย่างไร แล้วคนเมียนมาจะเชื่อไหม  หรือสุดท้ายคนเมียนมาจะตื่นรู้ว่าสุดท้ายพวกเขาก็คือเบี้ยของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองที่เมื่อสมยอมตกลงกันได้  อะไรที่ผ่านมาก็เหมือนไม่เคยเกิดขึ้น

ที่มา: AYA IRRAWADEE

คนแห่ใช้มอเตอร์เวย์โคราชสายใหม่!!รถใช้บริการแล้วเกือบ 9 หมื่นคัน

กรมทางหลวง รายงานสถานการณ์การเดินทางบนทางหลวงสายหลักในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ว่า ตั้งแต่วันที่ 9-12 เมษายน 2564 รวม 4 วัน บริเวณมอเตอร์เวย์สายใหม่ สายบางปะอิน-นครราชสีมา ช่วงปากช่อง-สีคิ้ว ระยะทาง 35.75 กม. ซึ่งเปิดให้วิ่งชั่วคราว โดยให้บริการเดินทางทางแบบวันเวย์ในขาออกจากกรุงเทพฯ พบว่า มีปริมาณรถมาใช้บริการสะสมถึง 89,877 คัน โดยเฉพาะวันที่ 12 เมษายน ที่ผ่านมา มีปริมาณรถวิ่งมากถึง 19,685 คัน

ส่วนในวันที่ 13 เมษายนนี้  เมื่อเวลา 08.50 น.  สำนักอำนวยความปลอดภัย ได้รายงานข้อมูลปริมาณจราจรเข้าออกกรุงเทพฯ ของวันที่ 12 เม.ย. บนทางหลวงสายหลัก 10 สาย และทางหลวงพิเศษ (มอเตอร์เวย์) สาย M7 รวมทั้งหมด 884,475 คัน แบ่งเป็นปริมาณจราจรขาออก 505,697 คัน และปริมาณจราจรขาเข้า 378,778 คัน ลดลง 16.1% เทียบกับสงกรานต์ปี 2562 ขาออก 505,697 คัน ลดลง 16.4%

จากประท้วงเงียบ สู่ สงกรานต์เงียบ

การประท้วงในเมียนมาเริ่มมีการปรับเปลี่ยนจากการเคลื่อนไหวที่เรียกว่าอารยะขัดขืนจนมาถึงการตอบโต้กับเจ้าหน้าที่จนวันหนึ่งมีการผุดไอเดียประท้วงเงียบ 1 วันโดยใครที่ไม่เอากับกองทัพให้ทำการ CDM หรืออารยะขัดขืนโดยการปิดห้างร้านไม่ออกไปทำงาน ไม่ขายของ  แต่นั่นคือ 1 วันแต่ล่าสุดมีการประชาสัมพันธ์มาอีกแล้วว่าให้ประท้วงเงียบในช่วงสงกรานต์ (Thingyan Silent Strike) โดยอ้างว่าเป็นการไว้อาลัยแก่คนที่เสียชีวิตไปในการประท้วงไปจนถึงบางคนบอกว่าหากใครเล่นน้ำจะเป็นพวกสนับสนุนเผด็จการ……เอาอย่างนี้กันเลยเหรอ

เทศกาลสงกรานต์หรือเทศกาลตะจ่านในเมียนมาเป็นวันหยุดยาวและมีความหมายของคนเมียนมามาก    แต่ไม่ใช่เพราะการเล่นน้ำแต่เป็นการกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวและมีกิจกรรมทางศาสนา  หลายครอบครัวมีกิจกรรมร่วมกันในการเดินทางไปเที่ยวยังสถานที่อื่น ๆ หรือเข้าวัดทำบุญหรือไปนั่งวิปัสสนากรรมฐาน  การเล่นน้ำนั้นถือเป็นหนึ่งกิจกรรมในครอบครัวและเป็นหนึ่งกิจกรรมของเพื่อนที่เล่นสนุกกัน  แม้วันที่เขียนนี้วันที่ 12 เมษายนในเมียนมาตามเมืองใหญ่ ๆ จะมีการตั้งเวทีให้เล่นน้ำแต่ปีนี้ก็ยังไม่เห็นมีการตั้งเวทีกิจกรรมแต่อย่างใด

เอาเป็นว่าแม้จะมีกระแสข่าวที่บอกว่ากองทัพจะไม่มีการใช้อาวุธตราบใดที่ไม่มีการประท้วงแต่กองทัพก็ไม่ได้อำนวยความสะดวกให้มีเวทีเล่นน้ำเหมือนที่เคยเป็นในช่วงก่อนโควิดเช่นกัน  ดังนั้นการประท้วงสงกรานต์เงียบครั้งนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากช่วงสงกรานต์โควิดเมื่อปีที่แล้วที่ทำให้เมืองใหญ่ ๆ ในเมียนมาเสมือนเมืองร้างไร้ผู้คน 

คำถามคือไม่ใช่คนทุกคนที่เอาด้วยกับการประท้วงแม้จะไม่เห็นด้วยกับกองทัพก็ตาม  แต่การที่จะเล่นน้ำสงกรานต์ในปีนี้  ในภาวะการณ์แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่สมควรที่จะเอาตัวเองหรือครอบครัวเข้ามาเสี่ยงเพราะในเมียนมาการแจกจ่ายวัคซีนโควิด-19 ก็ยังไม่ได้ครอบคลุมและคนส่วนใหญ่ในเมียนมาก็เลือกแล้วที่จะไม่ฉีดวัคซีน  ดังนั้นไม่มีทางใดที่จะป้องกันอันตรายทั้งจากทหารและโควิด-19 ได้ดีกเท่ากับการอยู่บ้านซึ่งดูเหมือนว่าฝ่ายกองทัพก็ต้องการแบบนั้นเช่นกัน  เพราะไม่เช่นนั้นกองทัพคงให้ในแต่ละเขตทำการสร้างเวทีสำหรับเล่นน้ำสงกรานต์ไปแล้ว

ที่มา: AYA IRRAWADEE

 

การบินไทย ตั้ง “ศูนย์ TG ร่วมใจ ป้องกันภัยโควิด” เฝ้าระวังสุขภาพพนักงาน

วันนี้ (12 เมษายน พ.ศ.2564) รายงานข่าวจากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ที่มีการแพร่กระจายในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในขณะนี้ บริษัท การบินไทยฯ มีความห่วงใยความปลอดภัยด้านสุขอนามัยของพนักงานและผู้ใช้บริการ จึงได้จัดตั้ง “ศูนย์ TG ร่วมใจ ป้องกันภัยโควิด” มีภารกิจหลักในการติดตามและเฝ้าระวัง โดยมุ่งเน้นการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและเฝ้าระวังสุขอนามัยของพนักงานให้เป็นไปอย่างเคร่งครัด 

เช่น อาทิ สวมหน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่าง และล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ รวมทั้งมาตรการทำความสะอาด โดยพ่นสเปรย์ฆ่าเชื้อภายในสถานประกอบการของการบินไทย เพื่อให้สอดคล้องกับประกาศของกระทรวงสาธารณสุขในการป้องกันโรคระบาดดังกล่าว โดยคำนึงถึงการให้บริการและความปลอดภัยสูงสุด 

นอกจากนี้ บริษัทฯในฐานะสมาชิกคณะกรรมการดำเนินงานธุรกิจการบิน ประเทศไทย (Airline Operators Committee Thailand หรือ AOC) ได้ประสานกับคณะกรรมการ AOC ผ่านไปยังกระทรวงสาธารณสุข เพื่อดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของ บริษัท ซิโนแวค ไบโอเทค จำกัด ให้แก่พนักงานภายใต้สังกัดฝ่ายบริการลูกค้าภาคพื้น ฝ่ายบริการอุปกรณ์ภาคพื้น ฝ่ายครัวการบิน ฝ่ายการพาณิชย์สินค้าและไปรษณียภัณฑ์ และฝ่ายช่าง ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งจัดเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 รวมทั้งสิ้นประมาณ 4,500 คน ซึ่งต้องทำการฉีด 2 ครั้ง 

โดยจะเริ่มทยอยฉีดเข็มแรกระหว่างวันที่ 19 - 25 เมษายน 2564 และจะนัดฉีดเข็มที่ 2 หลังจากฉีดเข็มแรกเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ การบินไทยยังได้จัดทีมพนักงานจิตอาสาเพื่อไปประจำตามจุดคัดกรองของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อสนับสนุนกระทรวงสาธารณสุขในการดำเนินการฉีดวัคซีนป้องโรคโควิด-19 ให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นระยะเวลา 2 เดือน 

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เน้นย้ำให้ผู้ปฏิบัติงานปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะให้ผู้ปฏิบัติงานดูแลตนเองและสถานประกอบการ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้บริการและสังคมโดยรวม และผ่านพ้นช่วงวิกฤตการณ์นี้ไปได้ด้วยดี

ปัจจุบันการฝึกฝนให้สุนัขกลายเป็นสุนัขนำทางคนตาบอด เป็นงานที่ต้องใช้เวลามาก และพอฝึกมาก็มีอายุงานไม่เกิน 10 ปีก็ต้องเกษียณ แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า ทำให้วิทยาการหุ่นยนต์ที่จะมาช่วยแก้ปัญหานี้ ก็เริ่มผลิตอกชัดขึ้น

ปัจจุบันการฝึกฝนให้สุนัขกลายเป็นสุนัขนำทางคนตาบอด เป็นงานที่ต้องใช้เวลามาก และพอฝึกมาก็มีอายุงานไม่เกิน 10 ปีก็ต้องเกษียณ แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า ทำให้วิทยาการหุ่นยนต์ที่จะมาช่วยแก้ปัญหานี้ ก็เริ่มผลิดอกชัดขึ้น

เฟซบุ๊ก ‘ธุรกิจ4.0’ ได้นำเสนอถึงเรื่องราวของเทคโนโลยีที่จะมาแทนที่สุนัขนำทางคนตาบอดว่า…

สุนัขนำทางคนตาบอดแต่ละตัว กว่าจะฝึกฝนให้มันทำงานได้ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 18 เดือน ต้องฝึกให้มันดูแลคนตาบอดสำหรับการใช้ชีวิตประจำวันหลายอย่าง เช่น ไม่ส่งเสียงดังรบกวนคนรอบข้าง ไม่ขับถ่ายเรี่ยราด ไม่สร้างความเสียหายให้กับสถานที่ ฯลฯ

โดยปกติแล้ว สุนัขนำทางแต่ละตัวทำงานกับเจ้าของที่เป็นคนตาบอดเพียงคนเดียว จำกัดอายุในการทำงานประมาณ 7 - 10 ปี ก็จะเกษียณ และต้องหาตัวใหม่เข้ามาทำงานแทน

การฝึกฝนให้สุนัขกลายเป็นสุนัขนำทางคนตาบอด เป็นงานที่ต้องใช้เวลามาก ผู้ฝึกสอนต้องมีความอดทน มีขบวนการฝึกสอนซับซ้อน ทักษะของสุนัขตัวหนึ่งที่ผ่านการฝึกฝนแล้ว ไม่สามารถถ่ายทอดให้สุนัขอีกตัว

แต่ความก้าวหน้าล่าสุดในด้านวิทยาการหุ่นยนต์ ซึ่งได้พัฒนาเป็น ‘หุ่นยนต์อัตโนมัติ’ (Autonomous robots) นั้น ดูเหมือนจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาความขาดแคลนสุนัขนำทางคนตาบอดให้เข้ามารับหน้าที่รับผิดชอบนี้มากขึ้น

โดยทีมนักวิทยาศาสตร์จาก ‘มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์’ ได้พัฒนาหุ่นยนต์อัตโนมัติ 4 ขาเหมือนสุนัขขึ้นมา ภายใต้จุดประสงค์หลักเพื่อใช้แทนสุนัขนำทาง ซึ่งสามารถนำทางและหลีกหนีสิ่งกีดขวางต่างๆ เวลาเดินได้แล้ว

สำหรับแพลตฟอร์มฮาร์ดแวร์หุ่นยนต์สุนัช 4 ขา ใช้ Mini Cheetah จาก MIT มีเลเซอร์ในตัวเพื่อสร้างแผนที่สภาพแวดล้อมที่ถูกต้อง ส่วนกล้องของหุ่นยนต์ทำหน้าที่แทนตาของคนตาบอด

ทั้งนี้หากเป็นสุนัขนำทางตัวเป็น ๆ ต้องใช้เวลาฝึกฝนประมาณหนึ่งปีครึ่ง แต่เจ้าหุ่นยนต์สุนัขนำทางอัตโนมัตินี้ ใช้วิธีการดาวน์โหลดข้อมูลลงในเครื่องโดยอัตโนมัติ และสามารถอัปเดตได้ตลอดเวลา หมายถึงการถ่ายทอดประสบการณ์ทุกอย่างจากสุนัขหุ่นยนต์ทุกตัวได้

ทางทีมนักวิทยาศาสตร์ผู้พัฒนาโครงการได้ เผยด้วยว่า ต่อไปจะมีการซิงค์คอมพิวเตอร์หรือปฏิทินที่อยู่ในสมาร์ทโฟนให้กับสุนัขหุ่นยนต์ พร้อมติด GPS เพื่อช่วยนำทางจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งได้เองด้วย

อย่างไรก็ตามฮาร์ดแวร์หรือตัวสุนัขหุ่นยนต์ยังมีราคาค่อนข้างสูง แต่ในอนาคตเชื่อว่าจะมีราคาลดต่ำลง และทำให้คนตาบอดจำนวนมากสามารถหาซื้อมาใช้งานเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของตัวเองได้ง่ายขึ้น

คลิปสาธิตการทำงานของสุนัขหุ่นยนต์อัตโนมัติ >> https://www.youtube.com/watch?v=FySXRzmji8Y


ที่มา: https://www.facebook.com/698124263678932/posts/1915426945281985/

https://techxplore.com/news/2021-04-laser-equipped-robotic-dog-people.html

https://www.republicworld.com/technology-news/science/robotic-guide-dogs-could-help-visually-impaired-people-navigate-the-world-heres-how.html

สั่งพาณิชย์ตรวจตลาดกันคนโกงขายของแพงช่วงสงกรานต์

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้สั่งให้กรมการค้าภายใน และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ ออกตรวจสอบและติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด และเพิ่มความเข้มงวดมากเป็นพิเศษ แม้จะเป็นช่วงสถานการณ์โควิด-19 แต่ก็ยังมีการเดินทางออกต่างจังหวัด เพื่อป้องกันไม่ให้พ่อค้าแม่ค้าฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบประชาชน ตลอดจนให้ช่วยตรวจสอบดูแลร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการของรัฐด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้มีการฉวยโอกาสใช้โครงการของรัฐหาประโยชน์หรือมาเอาเปรียบจนได้รับความเดือดร้อน 

ขณะเดียวกันยังขอให้กรมการค้าภายในและสำนักงานพาณิชย์จังหวัดรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการตามสถานีขนส่ง ต้องปิดป้ายแสดงราคาสินค้าและค่าบริการให้ชัดเจน เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้  หรือหากประชาชน พบเห็นการกระทำผิด จำหน่ายสินค้าราคาสูงเกินสมควร หรือจำหน่ายในราคาไม่ตรงกับที่แจ้งไว้ สามารถร้องเรียนได้ 1569 ตลอด 24 ชั่วโมง 

โดยกรณีไม่ปิดป้ายแสดงราคามีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท กรณีจำหน่ายสินค้าราคาสูงเกินสมควร กักตุนสินค้าและปฏิเสธ การจำหน่ายต้องโทษจำคุก 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

“บิ๊กบี้” ตรวจความพร้อม รพ. สนาม 12 พื้นที่ รวม 2,220 พร้อมรับการแพร่ระบาดโควิด-19 

เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2564 ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก ในฐานะ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กองทัพบก เปิดเผยว่า ตามสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้ กระทรวงมหาดไทย ร่วมกับกระทรวงกลาโหม ดำเนินการเตรียมโรงพยาบาลสนาม เพื่อรองรับการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่พบคลัสเตอร์ใหม่ในหลายพื้นที่ และมีความรุนแรงกระจายเป็นวงกว้าง ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลต่อปริมาณเตียงในสถานพยาบาลไม่เพียงพอต่อการรองรับผู้ป่วย

ในการนี้ กองทัพบกซึ่งเป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงได้เตรียมความพร้อม โดยจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ทั่วประเทศ สอดคล้องตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อดูแลรักษาผู้ติดเชื้อและเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดให้อยู่ในวงจำกัด

ทั้งนี้กองทัพบกได้จัดตั้งโรงพยาบาลสนามระยะที่ 1 ใน 12 พื้นที่ รวม 2,220 เตียง โดยพิจารณาจัดตั้งในพื้นที่โล่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก, ห่างไกลจากแหล่งชุมชน อาทิ กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1 ถ.แจ้งวัฒนะ กทม. จำนวน 200 นาย,กรมพลาธิการทหารบก จ.นนทบุรี 50 เตียง, ค่ายฝึกนักศึกษาวิชาทหารเขาชนไก่ จ.กาญจนบุรี 300 เตียง, กรมการทหารช่าง จ.ราชบุรี 740 เตียง และกองพันทหารเสนารักษ์ในทุกกองทัพภาค อีก 930 เตียง

ซึ่งเป็นการนำศักยภาพของกองทัพ ทั้งด้านบุคลากร ยานพาหนะและสิ่งอุปกรณ์ เตียงสนาม พร้อมเครื่องนอน หมอนมุ้ง ในการจัดการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ พร้อมกันนี้ในปัจจุบันโรงพยาบาลค่ายในสังกัดกองทัพบกทั้ง 37 แห่ง ก็ได้สนับสนุนสาธารณสุขในพื้นที่ บริการคัดกรอง ดูแลรักษาประชาชน รวมทั้งสร้างการรับรู้ ให้คำแนะนำในการปฏิบัติตนตามมาตรการป้อง COVID-19 เพื่อให้ประชาชนได้ปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง มีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อสังคม ลดการแพร่กระจายเชื้อไปในพื้นที่ต่าง ๆ อีกทางหนึ่งด้วย

ซึ่งในวันนี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้เดินทางไปตรวจความพร้อมการเตรียมการโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับกรณีสถานการณ์การแพร่ระบาดของCOVID-19 สนับสนุนรัฐบาล และกระทรวงสาธารณสุข โดยมุ่งเน้นการดูแลและสิ่งอำนวยความสะดวก เครื่องมือและอุปกรณ์ที่จำเป็นใน 2 พื้นที่ ได้แก่ กรมพลาธิการทหารบก, กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1

“กองทัพบกยืนยันความพร้อม และพร้อมสนับสนุนทุกภาคส่วนในการดูแลพี่น้องประชาชน ซึ่งได้เตรียมการวางแผนมาตั้งแต่แรกเริ่มที่พบการระบาดในประเทศ ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เพื่อสามารถรับมือต่อสถานการณ์ บริหารจัดการได้อย่างทันท่วงที และเป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกโอกาส” พล.ท.สันติพงศ์ กล่าว


 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top