Sunday, 29 June 2025
NEWS FEED

แท็กซี่ 4 สมาคมตื้นตันใจ ลุงตู่ รมว.เฮ้ง ยื่นมือเยียวยาทุกข์ร้อนจากโควิด ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้นายกสมาคมแท็กซี่ 4 สมาคม ประกอบด้วย นายพัลลภ ฉายินธุ นายกสมาคมประสานงานรถรับจ้างสุวรรณภูมิ นายศดิศ ใจเที่ยง นายกสมาคมแท็กซี่สาธารณะไทย นายอนุวัตร ยาวุฒิ นายกสมาคมแท็กซี่ยานยนต์ไฟฟ้า และนายบุญเสริม สมพงษ์ นายกสมาคมผู้ขับรถแท็กซี่สาธารณะ เข้าพบ รมว.แรงงาน เพื่อหารือเกี่ยวกับการเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ด้านการช่วยเหลือเยียวยาและสิทธิประโยชน์รวมถึงการพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยมี นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย

ณ ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยนายกสมาคมฯ ได้ยื่นหนังสือขอความช่วยเหลือจาก รมว.แรงงาน 4 ประเด็น ได้แก่ ขอให้ผู้ประกอบการแท็กซี่รายย่อยได้รับเงินเยียวยา 5,000 บาท นำอาชีพแท็กซี่เข้าเป็นแรงงานนอกระบบ เพิ่มทางเลือกให้ผู้ประกอบการแท็กซี่รายย่อย เข้าไปอยู่ในระบบประกันสังคมมาตรา 39 รวมทั้งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์

นายสุชาติ กล่าวว่า รัฐบาล โดยท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เล็งเห็นถึงความลำบากและให้ความห่วงใยพี่น้องอาชีพอิสระ เช่น คนขับรถแท็กซี่ หาบเร่แผงลอย มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ขับรถสามล้อ อาชีพธุรกิจกลางคืน อย่างพนักงานเสิร์ฟ นักร้อง นักดนตรี ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อคดาวน์ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงมีดำริให้สมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 เพื่อช่วยเหลือเยียวยาจากผลกระทบโควิด-19 คนละ 5,000 บาท โดยพี่น้องแรงงานกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไม่ตกหล่น 

ด้าน นายพัลลภ ฉายินธุ นายกสมาคมประสานงานรถรับจ้างสุวรรณภูมิ กล่าวว่า ในวันนี้พวกเราสมาชิกคนขับรถแท็กซี่ทั้ง 4 สมาคม รู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างยิ่งที่ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และท่านรัฐมนตรีสุชาติ ชมกลิ่น ช่วยแก้ไขปัญหาและให้โอกาสคนอายุเยอะอย่างพวกเราได้สมัครมาตรา 40 เพื่อให้ได้รับเงินเยียวยาจากรัฐบาล ท่านยังได้มอบข้าวสารอาหารแห้ง ปลากระป๋อง หน้ากากอนามัย อีกจำนวนหนึ่ง เพื่อช่วยบรรเทาความทุกข์ร้อน ยามไม่มีรายได้ ให้ลืมตาอ้าปากได้

“อนุชา” ส่งลำไยปลอดสาร ถึงมือบุคลากรด่านหน้า-ช่วยชาวสวนผลผลิตราคาตก จากโควิด-19 

นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนที่ประสบปัญหาผลผลิตล้นตลาดราคาตกต่ำ เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้การกระจายผลไม้ทำได้ยากขึ้น รวมถึงติดปัญหาการส่งออกไปตลาดต่างประเทศนั้น

ตนได้มอบให้ผู้แทนนำลำไยสดปลอดสารพิษ ที่ซื้อจากชาวสวนในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา นำไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่และจิตอาสาด่านหน้าตามสถานที่ต่าง ๆ อาทิ รพ.สงฆ์ รพ.รามาธิบดี รพ.นวมินทร์ 9 และสถาบันบำราศนราดูร เพื่อเป็นกำลังใจให้กับหมอ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงจิตอาสา และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน ที่เสียสละเวลาส่วนตัวมาทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยโควิด-19อย่างทุ่มเทมาโดยตลอดเวลา ถือเป็นด่านหน้าในการปฏิบัติหน้าที่ที่มีความเสี่ยง พร้อมกับขอให้ทุกคนมีสุขภาพที่แข็งแรงก้าวผ่านวิกฤตในครั้งนี้ไปด้วยกัน

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับมอบอาหารจากโรงแรมบันยันทรี กรุงเทพฯ และถุงปันสุขจากทีมมะหาคัท เพื่อมอบเป็นขวัญกำลังใจให้ข้าราชการตำรวจและประชาชนเขตทุ่งมหาเมฆ

วันที่ 9 สิงหาคม 64 เวลา 10.30 น. พันตำรวจเอกหญิงศิริกุล กฤตพิทยบูรณ์ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ พันตำรวจเอกชัยพันธุ์ เพ็ชรสดศิลป์ ผกก.สน.ทุ่งมหาเมฆ รับมอบอาหารจากโรงแรมบันยันทรี กรุงเทพฯ ในโครงการ "Banyan Tree Caring By Sharing" 

โดยมี น.ส.นพรัตน์ อำภา ผู้จัดการทั่วไป นายอำนาจ กฤตพิทยบูรณ์ ผู้จัดการแผนกอาหารและเครื่องดื่มและนายสมเกียรติ ธนชูทิพย์ ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป เป็นตัวแทนมอบอาหารกลางวันเมนู ปลากระพง 3 รส จำนวน 250 กล่อง เพื่อนำไปมอบแก่ข้าราชการตำรวจและประชาชนในเขตสน.ทุ่งมหาเมฆ ซึ่งทางโรงแรมบันยันทรี กรุงเทพฯต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคม โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ด่านหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลประชาชนและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยให้ตำรวจ สถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆเป็นสื่อกลาง ในการช่วยเหลือชาวบ้านในเขตทุ่งมหาเมฆต่อไป

นอกจากนี้ทางทีม "ช่างช่วยช่าง ช่างช่วยชาติ" โดยมีคุณเจเจ(พนิดา แซ่จิว) ประธานกรรมการบริษัทมะหาคัท มอบถุงปันสุขจำนวน 10 ถุง ให้กับข้าราชการตำรวจเพื่อนำไปใช้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อีกด้วย

หาบเร่แผงลอยซึ้ง 'ลุงตู่ รมว.เฮ้ง' ช่วยปันน้ำใจทำข้าวกล่องร้านค้าสู่แรงงาน มีรายได้ สู้โควิด-19

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้ นางสาวญาดา พรเพชรรัมภา ประธานชมรมหาบเร่แผงลอยกรุงเทพมหานคร และสมาชิก เข้าพบเพื่อมอบกระเช้าให้กำลังใจและขอบคุณ นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผ่าน รมว.แรงงาน ที่ได้ให้ความช่วยเหลือสมาชิกชมรมหาบเร่แผงลอยกรุงเทพมหานครในการทำข้าวกล่องส่งแคมป์คนงานในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตามโครงการปันน้ำใจร้านค้าสู่แรงงาน ณ ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นายจำลอง ช่วยรอด คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า โครงการปันน้ำใจร้านค้าสู่แรงงาน กรมการจัดหางานจะให้ความช่วยเหลือด้านอาหารวันละ 1 มื้อ ตั้งแต่วันที่ 12 – 27 กรกฎาคม 2564 เป้าหมายแคมป์คนงานในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 520 แห่ง 750,000 กล่อง และปริมณฑล จังหวัดปทุมธานี นนทบุรี สมุทรสาคร นครปฐม สมุทรปราการ รวมจำนวน 797 แห่ง 500,000 กล่อง โดยมีผู้ร่วมโครงการ ได้แก่ ชมรมหาบเร่แผงลอยกรุงเทพมหานคร สมาคมผู้ขับขี่รถรับจ้างแห่งประเทศไทย สมาคมภัตตาคารไทย และร้านค้าบริเวณแคมป์ก่อสร้าง รวม 132 แห่ง

นางสาวญาดา พรเพชรรัมภา ประธานชมรมหาบเร่แผงลอยกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ในวันนี้ดิฉันและสมาชิกชมรมหาบเร่แผงลอยได้เดินทางมามอบกระเช้าเพื่อขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรี ผ่านท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ท่านเมตตาและเห็นความสำคัญแม่ค้าหาบเร่แผงลอยที่ได้ช่วยเหลือชมรมให้ได้เข้าร่วมโครงการปันน้ำใจร้านค้าสู่แรงงาน โดยการจัดทำข้าวกล่องส่งแคมป์คนงาน ซึ่งสมาชิกที่ได้เข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันที่ 12-27 กรกฎาคมที่ผ่านมา รวมทั้งสิ้น 16 วัน ทุกคนต่างพ้นวิกฤตจากความทุกข์ร้อนไปได้ และในวันนี้ดิฉันในฐานะประธานชมรมหาบเร่แผงลอยได้พูดคุยกับสมาชิกในชมรมและให้แรงบันดาลใจว่า เมื่อเราได้มีโอกาสได้รับการช่วยเหลือแล้ววันหนึ่งเราควรจะคืนโอกาสให้สังคม โดยหลังเสร็จสิ้นโครงการเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคมแล้ว ชมรมได้จัดทำข้าวกล่องเพื่อแจกจ่ายให้กับคนเร่ร่อน จำนวน 5,500 กล่อง 


 นางสาวศศิมล หุ้ย หรือ ป้าไก่ ผู้ค้าหาบเร่แผงลอยกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ในวันนี้พวกเรามาขอบคุณรัฐบาล ท่านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และท่านรัฐมนตรีสุชาติ ชมกลิ่น ที่ให้โอกาสพวกเรา ได้มีงานทำและมีรายได้ เพื่อเงินยังชีพ เลี้ยงครอบครัวได้

“มาตรการดังกล่าวเป็นมาตรการเสริมที่กระทรวงแรงงานขอความร่วมมือนายจ้าง เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด -19 นอกจากจะดูแลคนงานในแคมป์แล้ว ยังเป็นการช่วยเหลือแบ่งเบาภาระและบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประกอบการขนาดเล็ก หาบเร่แผงลอยที่ได้รับผลกระทบจากโควิดให้มีรายได้จุนเจือครอบครัว ก้าวข้ามสถานการณ์นี้ไปด้วยกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังตามนโยบายของรัฐบาล” นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด

กระทรวงแรงงาน รับมอบไข่ไก่ 56,440 ฟอง จากภาครัฐ เอกชน และเครือข่ายความปลอดภัยในการทำงาน เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19

เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน รับมอบไข่ไก่จากบริษัท เบทาโกร บริษัท ซันฟู๊ด ร่วมกับเครือข่ายความปลอดภัยในการทำงาน และสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา และสมุทรสาคร จำนวน 56,440 ฟอง เพื่อให้กระทรวงแรงงานนำไปช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยมี นายวรรณรัตน์ ศรีสุกใส รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย ณ บริเวณโถงชั้นล่าง อาคารกระทรวงแรงงาน

ทั้งนี้ อาหาร และสิ่งของที่จำเป็นที่กระทรวงแรงงานได้รับมอบจากภาคเอกชน และภาคีเครือข่ายเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน กระทรวงแรงงานจะได้นำไปช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อาทิ แคมป์คนงานต่าง ๆ ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล คนขับรถแท็กซี่ รวมทั้งสมาคม องค์กรสาธารณกุศล และผู้นำชุมชนต่าง ๆ เพื่อจะได้นำไปแจกจ่ายให้แก่พี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อีกทางหนึ่งด้วย

นายสุทธิ กล่าวว่า ในวันนี้กระทรวงแรงงาน โดยท่านสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ได้มอบหมายให้ผมรับมอบไข่ไก่จากภาคเอกชนอย่างบริษัท เบทาโกร บริษัท ซันฟู๊ด ร่วมกับเครือข่ายความปลอดภัยในการทำงาน และสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สมุทรสาคร นำไข่ไก่มามอบให้กระทรวงแรงงาน จำนวน 56,440 ฟอง เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทั้งนี้ ท่าน รมว.แรงงาน ยังได้ฝากขอบคุณภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ เอกชน และเครือข่ายความปลอดภัยในการทำงานที่ได้เห็นความตั้งใจในการช่วยเหลือพี่น้องผู้ใช้แรงงานในยามยากลำบาก ซึ่งสอดคล้องตามเจตนารมณ์ของท่านนายกรัฐมนตรีและนโยบายของรัฐบาล โดยจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังอีกด้วย

“ประวิตร” เร่งฟื้น "แสนแสบ" ให้ใสสะอาด กำชับแผนงานป้องน้ำท่วมให้ทันกรอบเวลา 

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหาร พัฒนา อนุรักษ์ และฟื้นฟูคลองแสนแสบ ครั้งที่ 4/2564  ผ่านระบบวิดีโอ คอนเฟอเรนซ์

โดยที่ประชุมเห็นชอบให้เร่งขับเคลื่อนแผนงานที่สำคัญ อาทิ จัดหาเครื่องมือจัดการตะกอนท้องคลอง สร้างเขื่อนแนวคลอง การควบคุมคุณภาพน้ำทิ้ง โครงการบำบัดน้ำเสีย แก้ไขปัญหาการรุกล้ำริมคลอง จัดการจราจรทางน้ำให้ปลอดภัย ไร้มลพิษทางเสียงและกลิ่น ติดตั้งกล้องซีซีทีวีทุกท่าเรือ ใช้เรือไฟฟ้าแทนเรือน้ำมันดีเซล กำจัดสิ่งกีดขวางและระบายน้ำ รวมถึงส่งเสริมกิจกรรมกลุ่มเยาวชนรักษ์น้ำ คืนความใสให้ลำคลองให้ต่อเนื่อง ตามที่รัฐบาลให้ความสำคัญเพื่อฟื้นฟูคลองแสน แสบ ซึ่งขุดขึ้นมาตั้งแต่สมัย รัชกาลที่3 เพื่อใช้สัญจรและขนส่ง เชื่อมเส้นทางแม่น้ำบางปะกงและแม่น้ำเจ้าพระยา และปัจจุบันเป็นเส้นทางโดยสาร ให้กลับมาสวยงาม น้ำใสสะอาด มีความปลอดภัย และเป็นคลองระบายน้ำ ป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่กทม.และปริมณฑล 

นอกจากนั้นที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าแผนปฏิบัติการพัฒนา ฟื้นฟูสภาวะแวดล้อมคลองแสนแสบ จำนวน 84 โครงการ เพื่อเสนอครม.พิจารณาเห็นชอบต่อไป 

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.)และหน่วยงานที่รับผิดชอบ ได้แก่ กทม. กรมชลประทาน กรมเจ้าท่ากรมโยธาธิการและผังเมืองกรมควบคุมมลพิษ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และกรมโรงงานอุตสาหกรรม เร่งพัฒนาฟื้นฟูคลองแสนแสบ และบริหารจัดการน้ำให้เสร็จทันตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยปรับแผนให้รองรับตามมาตรการป้องกันโควิด-19

‘หมอยง’ ชี้ ไทยต้องฉีดวัคซีนอย่างน้อย 85% ย้ำ ต้องพัฒนาวัคซีนมาสู้ให้ทันเชื้อที่ระบาดหนัก

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวอธิบายถึงโควิด-19 ภูมิคุ้มกันหมู่ หรือ herd immunity ที่ต้องการเพื่อหยุดยั้งการระบาดว่า...

ถ้าประชากรส่วนใหญ่มีภูมิคุ้มกันป้องกันโรคเป็นจำนวนมาก ปัญหาการระบาดก็จะทุเลาลง และจะสามารถควบคุมได้ หรืออัตราการตายต้องน้อยลง ภูมิคุ้มกันหมู่ที่ต้องการ เราคำนวณมาจากความสามารถในการกระจายโรค แต่เดิมสายพันธุ์อู่ฮั่นการกระจายโรคจาก 1 คนติดไปสู่ผู้อื่นประมาณ 2-3 คน การคิดภูมิคุ้มกันหมู่ เรามีสูตร 1-1/อํานาจการกระจายโรค ถ้าอํานาจการกระจายโรคเป็น 3 ภูมิคุ้มกันหมู่ที่ต้องการยุติโรค 1-1/3 หรือเท่ากับ 66% เราจึงคิดจะให้วัคซีนกับประชากรไทยให้ครอบคลุมให้ได้ 70% หรือประมาณ 50 ล้านคน ต้องใช้วัคซีน 100 ล้าน dose

แต่เมื่อวันเวลาเปลี่ยนไปไวรัสตัวจากสายพันธุ์อู่ฮั่น ให้การกระจายโรคเท่ากับไข้หวัดใหญ่อยู่ที่ 2 ต่อมา เป็นสายพันธุ์ G ติดง่ายขึ้น สมมุติเป็น 1.5 เท่า และต่อมาเป็นสายพันธุ์ Alpha (อังกฤษ) ก็ติดต่อได้ง่ายขึ้นอีก สมมุติเป็น 1.5 เท่าอีก และเมื่อมาเป็นสายพันธุ์เดลตา (อินเดีย) ก็ติดได้ง่ายขึ้นอีกสมมุติเป็น 1.5 เท่าอีก เมื่อเป็นเช่นนี้การกระจายโรคตั้งแต่อยู่ที่จีนถ้ามีค่าเท่ากับ 2 เมื่อมาถึงสายพันธุ์เดลตาหรืออินเดีย ก็จะเท่ากับ 2X1.5X1.5X1.5 คือ 6.75 หรือกล่าวว่าผู้ป่วย 1 คนสามารถกระจายโรคไปให้ผู้อื่นได้ 7 คน จึงทำให้เห็นโรคนี้ติดต่อกันง่ายมากขึ้น หาต้นต่อการติดต่อไม่ได้เลย

ภูมิคุ้มกันหมู่ที่ต้องการ ก็จะเปลี่ยนไปเป็น 1-1/7 หรือเท่ากับ 85% แสดงว่าเราต้องการให้วัคซีน ในประชากรเพิ่มสูงขึ้นอย่างน้อย 85 เปอร์เซ็นต์ และถ้าทั่วโลกต้องการเพิ่มกันหมดทุกประเทศ ในการควบคุมการระบาดของโรค ปริมาณวัคซีนที่ขณะนี้ก็มีไม่เพียงพออยู่แล้วก็จะยิ่งไม่เพียงพอใหญ่ และบางประเทศจะเริ่มให้เข็ม 3 อีก ก็จะทำให้ยิ่งขาดแคลนมากขึ้น

ประเทศสหรัฐอเมริกา เจอสายพันธุ์ที่ติดง่ายขึ้น เดลตา แบบที่เราเจอ ก็มีผู้ป่วยร่วมแสนต่อวัน ฝรั่งเศส อังกฤษ ประชากรใกล้เคียงกับไทยมีการติดเชื้อต่อวัน ไม่น้อยกว่าประเทศไทย ถึงแม้ว่าจะฉีดวัคซีนมากกว่าประเทศไทยมาก อัตราตายที่เกิดจากการฉีดวัคซีนแล้วจะน้อยกว่า

ประชากรเด็กจะเป็นประชากรอีกกลุ่มหนึ่ง ที่จะต้องกระตุ้นให้มีภูมิต้านทานเกิดขึ้นเหมือนกัน ถึงแม้ว่าเด็กจะไม่มีอาการมาก แต่ก็จะแพร่กระจายเชื้อได้เป็นอย่างดี ถ้าต้องการให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ตามเป้าหมาย และวัคซีนในยุคต่อไปจะต้องพัฒนาให้ตรงกับสายพันธุ์ที่ระบาดใหญ่อยู่ตลอดเวลา


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=6093988397310393&id=100000978797641


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

บรูไนฟังเสียงประชาชน เบรกเรือรบอินเดียขึ้นฝั่ง เหตุเป็นห่วงเสี่ยงเชื้อระบาด

ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Nina Nutthinee ซึ่งเป็นคนไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศบรูไน ได้โพสต์ข้อความถึงความเด็ดขาดในการรับมือกับเชื้อโควิดของบรูไนว่า...

ทราบข่าวว่าเรือรบจากอินเดีย 2 ลำ จะมาถึงบรูไน

บอกว่ามาเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างกองทัพเรือ 2 ประเทศ

แต่คนเข้าไปคอมเมนต์ต่อว่ากันใหญ่

จนกระทรวงกลาโหมบรูไน ต้องออกมาบอกว่า

จะไม่มีการร่วมฝึกใด ๆ

และจะไม่อนุญาตให้ลงมาจากเรือด้วยค่ะ

เรื่องนี้ถือเป็นอีกตัวอย่างของมาตรการป้องกันโควิดสายพันธุ์เดลตา

ดีนะฟังเสียงประชาชน และ Take Action, Very Fast.


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

หมอสันต์ ใจยอดศิลป์ ย้ำอย่าตื่น ถอนงานวิจัยฟ้าทะลายโจร ระบุเป็นการถอนต้นฉบับ เพื่อแก้ไขตัวเลขที่คำนวณผิดพลาดเท่านั้น ไม่ได้มีข้อสรุปเลยว่าใช้รักษาโควิดไม่ได้ผล ชี้ขนาดยาฟาวิพิราเวียร์ที่ใช้รักษาโควิดก็ยังมีข้อมูลวิจัยน้อยมาก

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ศัลยแพทย์หัวใจและผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ครอบครัว โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 8 ส.ค. 64 โดยระบุ "เมื่อวานนี้ผมเล่าเรื่องคณะผู้วิจัยชาวไทย ที่ทำวิจัยฟ้าทะลายโจรรักษาโควิดได้ขอถอนต้นฉบับของตัวเองกลับออกมาจากเว็บไซต์งานวิจัยรอตีพิมพ์ (medRxiv) เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดในการคำนวณเชิงสถิติในประเด็นการคิดค่านัยสำคัญทางสถิติ (p-value) คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้ตัดเอาบทความของผมครึ่งบรรทัดไปโพนทะนาผ่านทางหนังสือพิมพ์และสื่อต่าง ๆ ว่าฟ้าทะลายโจรใช้รักษาโควิดไม่ได้ผลเสียแล้วควรต้องเลิกใช้...ไปโน่นเลย ผู้คนก็พากันกระต๊าก กระต๊ากต่อ ๆ กันไป ซึ่งเป็นการตัดบทความของผมเอาไปแค่บรรทัดเดียวแล้วเอาไปกระเดียดที่ได้ผลแบบอะเมซซิ่งทิงนองนอยมากส์

ตัวผมเองไม่ถือสานะครับ เพราะเรื่องก็ดี ชื่อก็ดี ภาพของผมก็ดี มักมีคนชอบเอาไปทำยำใหญ่ใส่สาระพัดเป็นประจำอยู่แล้ว เอาไปขายยาสีฟันก็ยังเคยมีเลย หิ หิ ครั้งนี้ผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่กลับมองเห็นเป็นโอกาสดีที่จะทำให้ผู้คนได้หันมาสนใจและพยายามทำความเข้าใจงานวิจัยทางการแพทย์ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น จะได้ไม่ถูกคนกระเดียดข้อมูลให้ตื่นตกใจได้ง่าย ๆ

ขอย้อนไปเริ่มต้นที่สนามหลวงก่อนนะ

เมื่อมีโรคโควิด-19 มา ได้มีการทำวิจัยในห้องทดลองที่ไต้หวันและในเมืองไทย แล้วสรุปผลได้ตรงกันว่าฟ้าทะลายโจรระงับยับยั้งเชื้อไวรัสซาร์สโค วี2 ซึ่งเป็นเชื้อต้นเหตุของโรคโควิด-19 ทั้งนอกเซลและในเซลได้ [1,2]

ต่อมาก็ได้มีการทดลองใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด-19 ในคนกลุ่มเล็ก (case series) จำนวน 6 คน ซึ่งสรุปผลได้ว่าฟ้าทะลายโจรในขนาดที่ใช้ (180 มก. ของแอนโดรกราฟโฟไลด์ต่อวัน นาน 5 วัน) สัมพันธ์กับการที่ไวรัสลดจำนวนลงและหมดไปจากตัว (viral shedding) ได้ โดยที่ไม่มีผลข้างเคียงที่มีนัยสำคัญ งานวิจัยนี้ไม่ได้ตีพิมพ์ แต่นำเสนอในที่ประชุมวิชาการโดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก

ต่อมาพัฒนาการทางวิชาการในเรื่องนี้ก็แยกกันทำไปสองทาง ทางหนึ่งคือได้มีการทำวิจัยแบบย้อนหลังตามดู (retrospective cohort study) กลุ่มคนไข้โควิด-19 ที่ได้รับการรักษาต่างกันสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งใช้ฟ้าทลายโจร 309 คน อีกกลุ่มหนึ่งไม่ได้ใช้ฟ้าทลายโจร 526 คน แล้วพบว่ากลุ่มที่ได้ฟ้าทลายโจรเป็นปอดบวม 3 คน (0.9%) กลุ่มที่ไม่ได้ฟ้าทลายโจรเป็นปอดบวม 77 คน (14.64%) ซึ่งเป็นความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.001) งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในรูปของรายงานสรุป (short communication) ในวารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก

อีกด้านหนึ่งก็มีการทำวิจัยการใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโควิด-19 ในรูปของการวิจัยแบบสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบ (RCT) ซึ่งถือว่าเป็นระดับหลักฐานชั้นสูงสุดของการวิจัยทางการแพทย์ รายละเอียดของงานวิจัยมีอยู่ว่าผู้วิจัยได้ใช้ผู้ป่วย 57 คน สุ่มตัวอย่างแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่ง 29 คน ให้กินฟ้าทะลายโจรซึ่งมีเนื้อยาแอนโดรกราฟโฟไลด์ 180 มก.ต่อวัน กินนาน 5 วัน อีกกลุ่มหนึ่ง 28 คน ให้กินยาหลอก โดยใช้การเกิดปอดอักเสบ (pneumonia) เป็นตัวชี้วัด

พบว่ากลุ่มที่กินยาหลอกเกิดปอดอักเสบ 3 คน (10.7%) ขณะที่กลุ่มที่กินฟ้าทะลายโจรไม่เกิดปอดอักเสบเลย (0 คน) เป็นความแตกต่างที่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.039) ซึ่งคณะผู้วิจัยได้ส่งผลไปตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ โดยเผยแพร่นิพนธ์ต้นฉบับล่วงหน้าในเว็บไซท์งานวิจัยรอการตีพิมพ์ (medRxiv) [5] แต่ต่อมาคณะผู้วิจัยพบความผิดพลาดในการคำนวณค่า p-value ว่าที่คำนวณได้ p = 0.039 นั้นผิดไป ที่ถูกต้องเป็น p = 0.1 จึงได้ขอถอนนิพนธ์ต้นฉบับกลับมาแก้ไขความผิดพลาดดังกล่าว

ผมได้เล่าเรื่องการขอถอนต้นฉบับกลับมาแก้ไขให้แฟนบล็อกฟัง และแจ้งเปลี่ยนข้อสรุปของผมเองที่เคยพูดว่าหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนให้ใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด-19 มีมากพอแล้วนั้น ผมต้องขอแก้ไขคำพูดใหม่ เป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนให้ใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด-19 ในคนยังมีไม่มากพอ (เพราะยังขาดงานวิจัยระดับ RCT) จึงต้องทำวิจัยซ้ำโดยการขยายกลุ่มตัวอย่างให้ใหญ่ขึ้น

เพราะการที่กลุ่มตัวอย่างเล็กได้ค่า p มากกว่า 0.05 ก็บอกได้แค่ว่ายังบอกไม่ได้ว่าความแตกต่างในผลการรักษา (คือการเกิดปอดบวม) ในทั้งสองกลุ่มมันต่างกันจริงหรือไม่ การจะรู้ได้ก็ต้องมีกลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่กว่านี้

ทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรสักแอะเดียวที่จะบ่งชี้ว่าการใช้ฟ้าทลายโจรรักษาโรคโควิด-19 ไม่ได้ผล ฟังให้ดีนะ “ยังไม่มั่นใจว่ามันได้ผลจริงหรือเปล่า” ไม่เหมือนกับ “ใช้แล้วไม่ได้ผล”

ซึ่งยาคู่แข่งกันที่ใช้ในเมืองไทยอีกตัวคือ Favipiravir ก็มีข้อมูลน้อยประมาณเดียวกัน คือทุกอย่างติดอยู่ที่ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือนับถึงวันนี้การใช้ Favipiravir แล้วจะทำให้ไวรัสโควิด-19 หายไปจากตัวเร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ..รึก็เปล่า จะทำให้ใช้ออกซิเจนน้อยลง..รึก็เปล่า จะทำให้ต้องเข้าไอซียู.น้อยลง..รึก็เปล่า และที่สำคัญจะทำให้คนป่วยตายน้อยลง..รึก็เปล่า

แต่ฟ้าทะลายโจรมันมีความพิเศษกว่า Favipiravir ตรงที่แค่ทำวิจัยซ้ำขยายกลุ่มตัวอย่างให้ใหญ่ขึ้นอีกนิดเดียว ก็จะเห็นดำเห็นแดงแล้วว่าได้ผลหรือไม่ได้ผลต่างจากยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ เท่าที่ผู้รู้ทางสถิติคำนวณให้คร่าว ๆ หากพิจารณาจากอัตราการเป็นปอดบวมของผู้ใช้และผู้ไม่ใช้ฟ้าทะลายโจรในงานวิจัย retrospective cohort ที่ได้รายงานไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แค่ขยายกลุ่มตัวอย่างในงานวิจัย RCT ไปให้ได้กลุ่มละ 40 คน คือขยายอีกกลุ่มละ 10 คน ก็จะเห็นดำเห็นแดงกันแล้ว

อีกทั้งฟ้าทะลายโจรเป็นพืชสามัญในท้องถิ่น หาง่ายกว่า ราคาถูกกว่า มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของชาติมากกว่าไปซื้อยาเขามาทั้ง ๆ ที่ผลการรักษาก็แปะเอี้ย ในแง่การค้าขายระดับนานาชาติ หากจะขายฟ้าทะลายโจร ก็ต้องมีงานวิจัยระดับ RCT สนับสนุน ตัวหมอสันต์จึงลุ้นตัวโก่งให้ทำงานวิจัยนี้ต่อให้เบ็ดเสร็จสะเด็ดน้ำโดยยินดีช่วยทุกอย่างเท่าที่หมอแก่คนหนึ่งจะช่วยได้"


ที่มา : https://drsant.com/2021/08/อย่าเพิ่งกระต๊ากตามเขา.html?


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“เฉลิมชัย” ปลื้มโครงการ”เกษตรกรแฮปปี้” ขายมังคุดวันที่ 8 เดือน 8 เกินคาด เตรียม!! คิกออฟซูเปอร์เซลล์ลำไย - ลองกอง

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในวาระเป็นประธานเปิดโครงการเกษตรกรแฮปปี้ 8.8 (วันที่ 8 เดือน 8) ในวันที่ (8 สิงหาคม 2564) ว่า ภายใต้แนวคิด ”คนกินยิ้มได้ เกษตรกรไทยแฮปปี้” ที่ฟรุ้ทบอร์ด โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ริเริ่มขึ้น เป็นแคมเปญมังคุดดี 4 โล 100 ส่งตรงถึงบ้านจากเมืองใต้ นับเป็นโปรโมชั่นพิเศษสำหรับมังคุด ราชินีแห่งผลไม้ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหลากหลายภาคส่วน

“ภายใต้วิกฤตที่เกิดขึ้นสิ่งสำคัญที่สุดคือความร่วมมือร่วมใจที่คนไทยทุกคนต้องช่วยกัน และช่วยกันบริโภคผลไม้ไทย เราต้องดูแลชาวสวนทุกจังหวัดพาฝ่าวิกฤตโควิดไปด้วยกัน แม้วันนี้จะมีสัญญาณที่ดีว่าราคามังคุดทั้งหน้าแผงและหน้าล้งปรับตัวสูงขึ้น แต่ยังมีความไม่แน่นอนของเสถียรภาพราคา จึงต้องมีมาตรการเสริมเพื่อช่วยกระตุ้นการบริโภค โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคในประเทศในภาวะที่การส่งออกยังมีอุปสรรคจากสถานการณ์โควิด-19 จากการเปิดสั่งซื้อล่วงหน้าจนถึงวันนี้มีปริมาณเกินคาด

“ขอขอบคุณทุกภาคส่วน ที่ช่วยกันสนับสนุนเกษตรกรไทย และขอเชิญชวนทุกท่านให้ช่วยกันสั่งซื้อมังคุดดี สดจากต้น อร่อย ส่งตรงจากสวนเมืองใต้ ที่ตั้งใจปลูกโดยชาวสวนแท้ ๆ รับประกันคุณภาพโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ท่านจะมีส่วนสำคัญในการสร้างรอยยิ้ม และส่งกำลังใจให้ชาวสวนมังคุดด้วย นอกจากนี้ยังมอบหมายทีมงานให้เตรียมการคิกออฟรายการโปรโมชั่นจำหน่ายลำไยและลองกองในเร็ว ๆ นี้” นายเฉลิมชัย กล่าว

ในขณะที่นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะหัวหน้าทีมพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) เฉพาะกิจ กล่าวรายงานว่า โครงการ ”เกษตรกรแฮปปี้”เป็น 1 ในหลายโครงการตามมาตรการเร่งด่วนเป็นการปรับกลยุทธ์ใหม่ของFruit Board จากผลกระทบโควิดเป็นโครงการเสริมจากแผนบริหารจัดการผลไม้ภาคใต้และภาคเหนือฤดูการผลิตปี 2564

โดยเร่งจำหน่ายขายในประเทศเพิ่มขึ้น ในระหว่างที่ระบบขนส่งไปต่างประเทศติดขัดจากผลกระทบโควิด-19 ตามข้อสั่งการของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ Fruit board และรองนายกรัฐมนตรี จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีพาณิชย์ โดยความร่วมมือระหว่างภาครัฐภาคเอกชนภาคเกษตรกรเช่น กระทรวงเกษตร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงดีอี กระทรวงมหาดไทยบริษัทไปรษณีย์ไทย / บริษัทเซนทรัลพัฒนาในเครือเซนทรัลกรุ๊ป / บริษัทแกร็บประเทศไทย / ร้านธงฟ้า / Top / คณะอนุกรรมการอีคอมเมิร์ซ และคณะอนุกรรมการธุรกิจเกษตร กระทรวงเกษตรฯเป็นต้นโดยร่วมแรงร่วมใจช่วยเกษตรกรไทยฝ่าวิกฤติโควิดไปด้วยกัน

วัตถุประสงค์หลักของโครงการเกษตรกรแฮปปี้ มีดังนี้

1. เพื่อช่วยชาวสวนผลไม้ในช่วโดยเฉพาะในช่วงที่ผลผลิตออกมามาก มีผลทำให้ราคาลดต่ำลง ผนวกกับสถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อราคาโดยตรง

2. สร้างกลไกการระบายออกจากแหล่งผลิตด้วยแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์

3. ยกระดับราคามังคุด และผลไม้อื่นเช่น ลำไย เงาะ ลองกอง และ

4. รักษาระดับราคาเพื่อให้เกิดเสถียรภาพ เพื่อให้ชาวสวนมีรายได้เพิ่มมากขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top