Friday, 9 May 2025
ECONBIZ NEWS

‘วีริศ’ หารือ ‘ผู้ว่าฯ - นายด่านอรัญประเทศ’ ดึง ‘นักลงทุน’ เพิ่ม!! ในนิคมฯ สระแก้ว

‘วีริศ’ ลงพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว หารือผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว นายด่านอรัญประเทศ หวังดึงนักลงทุนในพื้นที่ พร้อมหาแนวทางการบูรณาการความร่วมมือ ให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมร่วมกันอย่างยั่งยืน

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยถึงการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของนิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา (20-21 ม.ค. 65) ว่า ปัจจุบันนิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว อยู่ระหว่างการขอปรับเปลี่ยนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA: Environmental Impact Assessment) โดยเพิ่มหัวข้อประเภทโรงงานอุตสาหกรรมที่มีระบบการระบายออกทางปล่อง (Stack) เข้ามาประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมได้ ซึ่งอุตสาหกรรมในลักษณะเช่นนี้ ได้แก่ อุตสาหกรรมแปรรูป, ผลผลิตทางการเกษตร เป็นต้น ประกอบกับเป็นการสนับสนุนให้เกิดระบบเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG Economy) ซึ่งสามารถสร้างโอกาสทางการแข่งขันให้กับนักลงทุน และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับผู้ผลิตเดิม เช่น เกษตรกร และชุมชน ให้เป็นผู้ประกอบการที่สามารถผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงได้

รอเลย รัฐลุย ‘เราเที่ยวด้วยกัน’ เฟส 4 ชงครม.เริ่ม ก.พ.นี้

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเตรียมเดินหน้าโครงการ เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 4 ในเร็วๆ นี้ เบื้องต้นจะเพิ่มสิทธิจำนวนห้องพัก 2 ล้านสิทธิหรือห้อง โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดว่า จะเริ่มให้ประชาชนจองสิทธิได้ภายในเดือนก.พ. 2565 และสิ้นสุดการใช้สิทธิภายในเดือนเม.ย. 2565 โดยความคืบหน้าล่าสุดอยู่ระหว่างเตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา 

ที่ผ่านมาโครงการ เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 และทัวร์เที่ยวไทย ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โดยโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 3 มีประชาชนใช้สิทธิ์ 637,171 คน ยอดการจอง โรงแรมสะสม 2,004,199 ห้อง สร้างมูลค่าการใช้จ่ายผ่านโครงการ 8,888 ล้านบาท และโครงการทัวร์เที่ยวไทย ที่รัฐบาลสนับสนุนค่าแพ็คเกจท่องเที่ยว 40% ไม่เกิน 5,000 บาทต่อสิทธิ จำนวน 1 ล้านสิทธิ ยอดรวมมูลค่าการเดินทางและค่าใช้จ่ายการสะสม 227.83 ล้านบาท โดยประชาชนสามารถใช้สิทธิทั้ง 2 โครงการได้ถึง 31 ม.ค.นี้ 

“นายกฯ” มั่นใจ ไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพเอเปคปี65 ชวนปชช.เป็นเจ้าภาพที่ดี ส่งเสริมเศรษฐกิจ-เพิ่มศักยภาพธุรกิจ

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเตรียมการเป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้องตลอดปี 2565 ว่า เป็นโอกาสที่ไทยจะเวทีหารือเรื่องส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างเขตเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้วยความร่วมมือจากผู้นำ 21 เขตเศรษฐกิจ มีการประชุมกว่า 250 การประชุม แบ่งเป็นสองระดับหลัก คือ ระดับนโยบายและระดับรัฐมนตรี รวมไปถึงการประชุมย่อย มีผู้เข้าร่วมตั้งแต่ระดับเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากภาครัฐ นักธุรกิจจากภาคเอกชน สื่อมวลชนจากทั่วโลก มีจุดมุ่งหมายเพื่อทบทวนการดำเนินงานที่ผ่านมา เสนอความคิดเห็นผ่านการแลกเปลี่ยนหารือร่วมกันเพื่อกำหนดเป้าหมายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม

นายธนกร กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ยืนยันความพร้อมของไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคในปีนี้ ขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้ประสานการทำงานร่วมกัน ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน และความร่วมมือในระดับท้องถิ่นเพื่อเตรียมความพร้อมต้อนรับผู้เข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้องตลอดปีนี้ ล่าสุดมีการประชุมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อ “การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับ MSMEs เพื่อภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกที่ครอบคลุมและยั่งยืน การลดขยะภาคอาหารในห่วงโซ่อุปทานโดยกระทรวงการต่างประเทศร่วมกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)และสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปคของไทย ซึ่งได้นำข้อเสนอต่าง ๆ มาจัดทำเป็นคู่มือการลดขยะภาคอาหารของ MSMEs เพื่อความครอบคลุมและยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกต่อไป

นายธนกร กล่าวว่า ไทยได้จัดการประชุมครั้งนี้ภายใต้แนวคิด “เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล” (Open. Connect. Balance.) ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ในเวทีระหว่างประเทศ โดยนายกฯรัฐมนตรีพร้อมที่จะนำเสนอบทบาทของไทยในสามประเด็นหลัก ได้แก่ Open การเปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ต่อทุกโอกาส สร้างโอกาสด้านการค้าการลงทุนในทุกมิติ รวมทั้ง วางแผนเศรษฐกิจในอนาคตจากบทเรียนสถานการณ์โควิด-19 Connect การฟื้นฟูความเชื่อมโยงในทุกมิติ เน้นการฟื้นฟูด้านการเดินทาง การท่องเที่ยว และความสะดวกด้านการค้า การลงทุน 

กลางปีเจอกัน!! เผยภาพ รถไฟบริจาคจากญี่ปุ่น ลงราง คาดเปิดใช้ในเส้นทางท่องเที่ยวกลางปีนี้

รถ KIHA 183 ลงรางเรียบร้อย มุ่งหน้าสู่โรงงานมักกะสัน การรถไฟฯ เร่งปรับปรุงรถไฟ Kiha-HOKKAIDO ตามแผน เพื่อใช้หนุนเส้นทางการท่องเที่ยว คาดกลางปีนี้เริ่มทดลองใช้ได้ 4 คันในเส้นทางท่องเที่ยวระยะสั้น 

นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวถึงความคืบหน้าในการบริหารจัดการรถไฟดีเซลราง JR Hokkaido Kiha 183 จากญี่ปุ่น จำนวน 17 คัน ที่ไทยได้รับมอบจากบริษัท Hokkaido Railway Company (JR HOKKAIDO) ประเทศญี่ปุ่น เมื่อช่วงกลางเดือนธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา ว่าขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุงอุปกรณ์หลักของตัวรถ พร้อมดัดแปลงสิ่งอำนวยความสะดวกภายในตู้โดยสารให้พร้อมรองรับการให้บริการนักท่องเที่ยวเพื่อสนับสนุนการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถไฟ พร้อมกระตุ้นรายได้ให้กับท้องถิ่น ฟื้นฟูเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวในภาพรวมให้กลับมาคึกคัก 

ทั้งนี้ ภายหลังจากการรถไฟฯ ได้ดำเนินการปรับขนาดเพลาล้อ จาก 1.067 เมตร (มาตรฐานญี่ปุ่น) เป็น 1 เมตร (มาตรฐานไทย) เสร็จเรียบร้อยและนำรถไฟลงรางที่สถานีแหลมฉบังแล้ว โดยในวันนี้ (21 มกราคม 2565) ขบวนรถ Kiha-HOKKAIDO ได้เคลื่อนขบวนออกจากสถานีแหลมฉบัง เมื่อเวลา 09.00 น. เพื่อเตรียมนำไปปรับปรุงสีใหม่ ที่โรงงานมักกะสัน เพื่อจะกลับมาให้บริการภายในปีนี้  

รมว.แรงงาน แจงผลการดำเนินการโครงการส่งเสริมการจ้างงานคนพิการเชิงสังคม ปี 65 จ้างงานเกินเป้า 40%

กระทรวงแรงงาน ร่วมมือสถานประกอบการภาคเอกชน ส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม สร้างโอกาสมีงานทำให้คนพิการ มีงานทำ 1,400 คน สร้างรายได้ร่วม 160 ล้าน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนประเทศอย่าง "มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยกระทรวงแรงงานพร้อมสนองต่อนโยบายรัฐบาล โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ และด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม โดยเน้นสร้างโอกาสแก่ประชาชนที่เป็นกลุ่มเปราะบาง คนพิการ เพื่อให้มีหลักประกันทางสังคม ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนกลุ่มเปราะบาง ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถพึ่งพาตนเองได้ ลดความเหลื่อมล้ำ และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

“ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้มอบหมายให้กรมการจัดหางานจัดทำโครงการส่งเสริมการจ้างงานคนพิการเชิงสังคม ประเภทจ้างเหมาบริการ เพื่อเชิญชวนนายจ้าง สถานประกอบการที่ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตามมาตรา 34 ให้ดำเนินการให้สิทธิแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการตามมาตรา 35 โดยจ้างงานคนพิการเป็นพนักงานเพื่อปฏิบัติงานสนับสนุนในหน่วยบริการสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ชุมชนใกล้บ้าน เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงเรียน/ศูนย์เด็กเล็ก ศูนย์ฟื้นฟูอาชีพคนพิการ ศูนย์บริการคนพิการของเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งช่วยให้คนพิการในพื้นที่ห่างไกล ได้รับโอกาสมีอาชีพ มีงานทำอย่างทั่วถึง สามารถพึ่งพาตนเองได้ทัดเทียมคนทั่วไป โดยมีการกำหนดเป้าหมายการจ้างงานคนพิการเชิงสังคม ปี 2565 ไว้ จำนวน 1,000 คน และเตรียมขยายการมีงานทำให้คนพิการฯ มีงานและรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 20% ภายใน 4 ปี 

อย่างไรก็ดีต้องขอบคุณความร่วมมือของสถานประกอบการภาคเอกชน จำนวน 181 แห่ง อาทิ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนท์ บมจ.แคล - คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) สาขาเพชรบุรีและสาขาสมุทรสาคร กลุ่มบริษัท อเด็กโก้ ประเทศไทย และบริษัท รักษาความปลอดภัย การ์ดฟอร์ซ (ประเทศไทย) จำกัด  ที่ได้ให้สิทธิคนพิการฯ ตามโครงการส่งเสริมจ้างงานคนพิการเชิงสังคมในปีนี้ ถึง 1,400 คน เพิ่มจากเป้าหมายร้อยละ 40 ก่อให้เกิดรายได้ 159,943,425 บาทต่อปี” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว

‘พาณิชย์’ เผยส่งออกปี 64 โต 17.1% มองปี 65 คาดขยายตัวเพิ่มอีก 3-4%

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงตัวเลขการส่งออกของประเทศในเดือนธ.ค. 64 ว่า การส่งออกของไทยในเดือนธ.ค. ยังเป็นบวกอยู่ที่ 24.2% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นมูลค่ากว่า 24,930 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ทำให้ตัวเลขการส่งออกทั้งปีเติบโตถึง 17.1% โดยเป็นยอดส่งออกทั้งสิ้น 271,173 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินบาท 8.5 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ตัวเลขการส่งออกที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเดือนธ.ค. ถือว่า เป็นไปตามทิศทางเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว ทำให้การส่งออกของโลกดีขึ้นตาม แม้ปัญหาโควิดในเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนจะแพร่ระบาดแต่ไม่น่าจะรุนแรงไปมากกว่านี้ ทำให้ภาครัฐและเอกชนยังคงเดินหน้าร่วมกันแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่างๆ รวมถึงเร่งเจาะตลาดในหลายประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งตลาดเก่าและตลาดใหม่ โดยเฉพาะในตลาดรัสเซียในกลุ่มซีไอเอส เอเชียใต้ อาเซียน ตะวันออกกลาง แอฟริกา เกาหลีใต้ กลุ่มซีแอลเอ็มอี สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น และยุโรป 

‘เบทาโกร’ แจงไม่ได้กักตุนหมูห้องเย็นสงขลา ชี้สำรองสินค้าปกติ รอจัดส่ง 8 จังหวัดภาคใต้

เครือเบทาโกรปฏิเสธไม่ได้กักตุนเนื้อหมูกว่า 2 แสนกิโลกรัมที่ห้องเย็นในจังหวัดสงขลา ระบุเป็นคลังสำรองสินค้ารองรับการจัดส่ง 5-7 วัน ก่อนส่งถึงลูกค้าภาคใต้ตอนล่างมากกว่า 8 จังหวัด ย้ำประสานพาณิชย์ลดราคาช่วยประชาชน กิโลกรัมละ 150 บาท 667 แห่งทั่วประเทศ

วันนี้ (20 ม.ค.) จากกรณีที่จังหวัดสงขลา พร้อมทั้งปศุสัตว์จังหวัดสงขลา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบห้องเย็นภายในบริษัท ปิติซีฟูดส์ จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 125/1 ม.5 ถ.สงขลา-ปัตตานี ต.บ้านนา อ.จะนะ จ.สงขลา ตามแผนการปฏิบัติงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ในการตรวจสอบห้องเย็นกรณีที่อาจมีการกักตุนสินค้าประเภทเนื้อสุกรพบว่าในระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา มีการนำเนื้อสุกรจากบริษัท เบทาโกร เกษตรอุตสาหกรรมใน จ.พัทลุง เข้ามาเก็บรักษาไว้ที่ห้องเย็นดังกล่าว จำนวน 211,361 กิโลกรัม จากการลงพื้นที่ตรวจสอบวานนี้ (19 ม.ค.) พบว่า มีเนื้อสุกรคงคลัง 201,650 กิโลกรัม ปศุสัตว์จังหวัดจึงได้สั่งอายัดไว้เพื่อรอการตรวจสอบที่ชัดเจนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกักตุนทำให้เนื้อหมูมีราคาแพงด้วยหรือไม่

ล่าสุด เครือเบทาโกร (BETAGRO) ชี้แจงว่า จากกรณีที่ปรากฏรายงานข่าวการเข้าตรวจสอบบริษัทห้องเย็นแห่งหนึ่งในจังหวัดสงขลา และพบว่ามีการเก็บรักษาเนื้อสุกรจากบริษัท เบทาโกร เกษตรอุตสาหกรรม พัทลุง จำนวน 201,650 กิโลกรัมในห้องเย็นดังกล่าวนั้น บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงว่า การจัดเก็บรักษาเนื้อสุกรของบริษัท เบทาโกร เกษตรอุตสาหกรรม พัทลุง และสาขาในกลุ่ม ในบริษัทห้องเย็นตามที่ระบุในรายงานข่าว เป็นการจัดการสินค้าคงคลังตามแนวทาง การปฏิบัติโดยปกติ ภายใต้มาตรฐานการจัดส่งสินค้า เพื่อการสำรองสินค้ารองรับการจัดส่ง 5-7 วันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สินค้ามีความสดใหม่จนถึงมือผู้บริโภค โดยครอบคลุมพื้นที่จัดส่งในภาคใต้ตอนล่างมากกว่า 8 จังหวัด

‘จุรินทร์’ ชู ‘เกษตรผลิต - พาณิชย์ขาย’ ดันส่งออกผลไม้ โกยเงินแสนล้านเข้าปท.

แม้จะมีปัญหาอุปสรรคในช่วงสถานการณ์โควิด-19 และมีปัญหาจากการที่ประเทศจีนปิดด่านบางช่วง แต่ในปี 2564 ที่ผ่านมา การส่งออกผลไม้ไทยยังคงเติบโตได้ถึง 86% (ม.ค.-ต.ค.) โดยมีจีนเป็นตลาดที่สำคัญ เพราะมีสัดส่วนสูงถึง 85% 

ดังนั้น หากจีนปิดด่าน จะส่งผลกระทบต่อตลาดส่งออกผลไม้ไทยทันที แต่อย่างไรก็ดี จากความร่วมมือกันอย่างลงตัว ระหว่างกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มี ‘จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์’ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นหัวเรือใหญ่ ควงคู่ผสานกับ ‘เฉลิมชัย ศรีอ่อน’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมขับเคลื่อนคอนเซปต์ ‘เกษตรผลิต - พาณิชย์ขาย’ ได้อย่างกลมเกลียว

ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีของรัฐบาลชุดนี้ จะเห็นว่าทั้งสองกระทรวง ได้บูรณาการแก้ปัญหาส่งออกผลไม้เฉพาะหน้าร่วมกันหลายครั้ง โดยเฉพาะปัญหาจากประเทศจีนปิดด่าน เพื่อคุมการระบาดโควิด-19 โดยมีด่านสำคัญ คือ ด่านโหย่วอี้กวนกับด่านโม่ฮาน ซึ่งโม่ฮานเป็นด่านใหญ่ เป็นด่านสำรองในการช่วยเวลาเกิดปัญหาที่ด่านโหย่วอี้กวน ให้สามารถมีช่องทางส่งผลไม้เข้าจีนได้เพิ่มขึ้น

ขณะที่ ส่วนหนึ่งนั้น มาจากการป้องกันการปนเปื้อนโควิด-19 ในการส่งออกผลไม้ไปจีน ที่ถือเป็นมาตรการสำคัญ ที่ทำให้จีนยอมรับให้นำเข้าผลไม้จากไทยได้อย่างไม่ติดขัด ส่งผลให้ตัวเลขการส่งออกผลไม้ไทย เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เพราะนโยบายซีโร่โควิด-19 ที่เข้มงวด ทำให้สินค้าไทยได้รับความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ในปี 2565 ยังคงเป็นปีที่ท้าทายสำหรับการส่งออกของไทย เพราะประเทศคู่ค้าหลายประเทศยังคงเผชิญกับการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง แต่เชื่อว่า สินค้าไทยโดยเฉพาะผลไม้ยังคงเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก 

SME D Bank อัดแคมเปญ ‘SMEs Happy’ อุ้มหมื่นแรงงาน สานต่อ 2 พันลมหายใจเอสเอ็มอี

ข่าวดี!! ที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยไม่ควรพลาด!! 

ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank จัดแคมเปญกระตุ้นเศรษฐกิจ อัดทุนเสริมสภาพคล่องเป็นของขวัญชิ้นใหญ่ให้เอสเอ็มอีไทย ผ่านแคมเปญ “SMEs Happy” ประกอบไปด้วย “บริการเติมทุนผ่านผลิตภัณฑ์สินเชื่อ” วงเงินรวมกว่า 15,000 ล้านบาท เพื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยนำไปใช้ขยายกิจการ เสริมสภาพคล่อง รักษาการจ้างงาน และฟื้นฟูกิจการหลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย 

พิเศษ!! เมื่อยื่นขอสินเชื่อตามเงื่อนไขธนาคาร ระหว่างวันที่ 4 ม.ค. 65 - 31 มี.ค. 65  ได้รับสิทธิ ฟรี!! ค่าประเมินหลักประกัน ซึ่งโดยปกติจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 15,000 บาท ช่วยให้ผู้ประกอบการ ลดต้นทุน เดินหน้าธุรกิจได้เต็มศักยภาพ

สำหรับแคมเปญ “SMEs Happy” นับเป็นอีกแคมเปญจาก SME D Bank ที่เปิดกว้างครอบคลุม “ทุกกลุ่มธุรกิจ” ผ่านผลิตภัณฑ์สินเชื่อต่างๆ ได้แก่... 

>> สินเชื่อ “SMEs D Plus” เปิดรับรีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินเดิม ช่วยลดต้นทุนทางการเงิน รองรับการลงทุน ขยาย ปรับปรุงกิจการ และเป็นทุนหมุนเวียน อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 4.5% ต่อปี ปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 18 เดือน ผ่อนนานสูงสุด 10 ปี  

พาณิชย์เปิดแผนปั้นสินค้าจีไอไทยทั้งระบบ

นายสินิตย์ เลิศไกร รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ เร่งออกมาตรการเชิงรุกในปี 2565 เพื่อส่งเสริมสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จีไอ) ของประเทศไทย โดยกำหนดลงพื้นที่ให้ความรู้การขอรับความคุ้มครองสินค้าจีไอให้กับชุมชนกว่า 20 แห่งทั่วประเทศ ผลักดันการจัดทำคำขอขึ้นทะเบียนและเร่งรัดการตรวจสอบคำขอทั้งในและต่างประเทศจัดทำระบบควบคุมคุณภาพให้กับสินค้าจีไอที่ขึ้นทะเบียนแล้ว เพื่อรักษามาตรฐานสินค้าและสามารถส่งออกไปต่างประเทศ พร้อมส่งเสริมผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายกว่า 800 ราย ให้นำตราสัญลักษณ์จีไอ ไปใช้ในเชิงพาณิชย์มากขึ้น 

ขณะเดียวกันยังเร่งโปรโมตสินค้าจีไอไทย ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างผ่านทั้งสื่อออนไลน์และออฟไลน์ การจัดพื้นที่จำหน่ายสินค้าในห้างสรรพสินค้าชั้นนำใจกลางเมือง จัดแสดงสินค้าในงานระดับนานาชาติ อาทิ  ไทยเฟ็กซ์ 2022, สไตล์ 2022, ไรซ์ แมทชิง2022 รวมทั้ง การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้กับสินค้าจีไอ เพื่อสร้างความโดดเด่นตรงความต้องการของตลาด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top