Monday, 24 June 2024
POLITICS

นายอัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “อัษฎางค์ ยมนาค” ชี้ชวนให้คนไทย “มาร่วมภูมิใจในความเป็นไทยกัน” ว่า...

อยากมาชวนให้ชมคลิปนี้ โดยเฉพาะคนไทยที่ไม่รักเมืองไทย หรือจะใช้คำว่าชังชาติก็ได้ และถูกแหกตาด้วยการพูดกรอกหูว่า เมืองไทยมีแต่สิ่งไม่ดีและล้าหลัง

คลิปนี้โรซี่ ครูสอนภาษาอังกฤษ ที่หลงรักเมืองไทยและเรียนภาษาไทยตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยที่อังกฤษ ปัจจุบันอยู่เมืองไทยมา 7 ปีแล้ว

โรซี่: สัมภาษณ์ชาวอังกฤษด้วยกัน ที่อพยพมาอยู่เมืองไทยถาวร ผู้ชายคนนี้ชื่อ ญวน

ซึ่งชื่อเขาเป็นภาษาที่ค่อนข้างแปลกหูเพราะเขาเป็นชาวอังกฤษที่มีเชื้อสายไอริชและสก๊อต

ญวน: เล่าว่าเขามาเมืองไทยเมื่อ 10 ปีที่แล้วตอนเขาอายุ 17 ปี

โดยแวะเข้ามาในเมืองไทยแค่ 2 วันเท่านั้นก็ตกหลุมรักเมืองไทยทันที และบอกตัวเองว่าจะกลับมาที่เมืองไทยอีก

ปัจจุบันเขาอาศัยอยู่ที่จังหวัดเชียงรายและกำลังเรียนปริญญาตรีอยู่ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เอกภาษาไทย ซึ่งเค้าบอกว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่สวยที่สุด

เขามีลูกอายุ 8 เดือนและภรรยาเป็นสาวใต้

เขาบอกว่าเขาสามารถพูดไทยกลางได้ดี แต่ภาษาเหนือฟังได้รู้เรื่องแต่พูดไม่ได้

นอกจากนี้เขายังได้ฟังภาษาใต้จากภรรยาซึ่งเป็นคนใต้อีกด้วย

เขาเลยอยากได้เพื่อนเป็นคนอีสานเพื่อจะได้รู้ภาษาไทยครบทุกภาค

โรซี่: บอกว่า 4 ภาคของไทย มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทั้งภาษาและอาหารเป็นต้น ซึ่งต่างจากสหราชอาณาจักร ที่ประกอบด้วยสี่ประเทศ ได้แก่ อังกฤษ สกอตแลนด์ ไอร์แลนด์ และเวลส์ นั้นกลับไม่ได้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนเหมือนสี่ภาคของไทย

โรซี่: ถามว่าเรียกใครว่าพี่หรือน้องบ้างหรือไม่

ญวน: ตอบว่าจะเรียกเฉพาะคนที่อายุมากกว่าหรือน้อยกว่ามากๆ เท่านั้นส่วนคนที่อายุใกล้กันจะไม่เรียกพี่เล่นหรือน้อง

และจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจถ้าจะต้องเรียกใครว่าลุงหรือป้าเพราะรู้สึกว่ากำลังไปว่าเขาเป็น ”คนแก่”

เพราะวัฒนธรรมของฝรั่งจะไม่เรียกคนโดยการแบ่งตามอายุ

โรซี่: บอกว่าการที่เรียกลุงป้าน้าอาพี่น้องคือการแสดงความเคารพนับถือของผู้ใหญ่และเด็กซึ่งเป็นวัฒนธรรมของไทยที่งดงามมาก

โรซี่: ถามญวนว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ตกหลุมรักเมืองไทย และชอบอะไรในเมืองไทย

ญวน: ตอบว่า

1 อาหารไทย

2 วัฒนธรรมไทย

3 ความเป็นธรรมชาติอันสวยงามของเมืองไทย

เขายังยกตัวอย่างว่าขนาดเที่ยงคืนยังสามารถออกมาหาอาหารข้างทางที่เอร็ดอร่อยกินได้

ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าประทับใจมาก

จำกันได้ใช่มั้ยว่า ใครบอกให้คนไทยเลิกเรียกกันว่า พี่น้อง ลุงป้าน้าอา เพื่อความเสมอภาค

ใครบอกให้เลิกยกมือไหว้ ใครบอกว่าการยิ้ม คือคนที่โง่เพราะไม่รู้จะพูดอะไรก็ยิ้มไว้ก่อน

แต่ความจริงจารีตประเพณีของไทยเรากลับถูกฝรั่งชื่นชม ยกย่อง สรรเสริญ

ทำไมต้องชังชาติ

ทำไมต้องดูถูกความเป็นไทย

ทำไมต่อต้านความเป็นไทย

ทำไมถึงคิดว่าต้องต่อต้านและยกเลิกความเป็นไทยเพื่อให้ได้มาซึ่งความเสมอภาค และการเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้า

เราภูมิใจในความเป็นไทยไม่ได้หรือ

อัษฎางค์ ยมนาค

ชมคลิปตามลิงค์นี้ https://fb.watch/4glo-khURq/


ที่มา: https://www.facebook.com/1234993066616474/posts/3924271071021980/

“ทิพานัน” ซัด “ธนาธร” เรื่องการรุกป่าขอให้พูดความจริง ทั้งที่มีประสบการณ์โชกโชน วอนหยุดสร้างความเข้าใจผิดให้สังคม - ชาวบางกลอย ย้ำเชื่อมั่นรัฐบาลจริงใจแก้ปัญหา ไม่เหมือนเอ็มโอยูบลายทรัสต์ปาหี่

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตจอมทอง - ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ขึ้นเวทีของกลุ่มพีมูฟและภาคีเซฟบางกลอยและกล่าวว่าป่าใดที่มีชุมชนก็จะเป็นป่าที่ยั่งยืน ป่าใดที่ไม่มีชุมชนก็มักจะเป็นป่าที่ไม่ยั่งยืน ว่า นายธนาธรคงสับสนประเภทป่าต่าง ๆ

และความหมายของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน จึงแสดงความคิดเห็นออกมาว่าป่าที่มีชุมชนเป็นป่าที่ยั่งยืน และแนวความคิดนี้อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้นายธนาธรและครอบครัวมีประสบการณ์โชกโชน กำลังถูกดำเนินคดีฐานบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติกว่า 2,000 ไร่ ดังนั้นนายธนาธรจึงไม่ควรไปให้ความเห็นผิด ๆ กับสังคมและชาวบางกลอย

“ที่นายธนาธรพูดนั้นเป็นความหมายของ ‘ป่าชุมชน’ ตาม พรบ. ป่าชุมชน 2562 มาตรา 4 ที่บัญญัติว่า ‘ป่าชุมชนโดยชุมชนร่วมกับรัฐในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู จัดการ บำรุงรักษาตลอดจนใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพในป่าชุมชนอย่างสมดุลและยั่งยืน’ แต่ป่าชุมชนต้องเป็นป่านอกเขตอนุรักษ์ ดังนั้นบริเวณใจแผ่นดิน พื้นที่บางกลอยไม่สามารถจัดการในรูปแบบป่าชุมชนได้เพราะอยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ เป็นป่าต้นน้ำ

ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความโดดเด่นสวยงามทางธรรมชาติเป็นพิเศษหรือมีความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และสัตว์ป่า ที่สมควรสงวนหรืออนุรักษ์ไว้เพื่อประโยชน์ของคนในชาติหรือเพื่อเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ทางธรรมชาติหรือนันทนาการของประชาชนอย่างยั่งยืน” น.ส ทิพานัน กล่าว

นอกจากนี้ รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะอนุรักษ์ผืนป่าแก่งกระจานเพื่อประโยชน์ทางนิเวศน์และเพื่อประโยชน์ของคนรุ่นถัดไปในอนาคตไม่เพียงแต่เพื่อคนไทย แต่ต้องการเพื่อให้เป็นสมบัติของมวลมนุษยชาติจึงผลักดันให้แก่งกระจานเป็นมรดกโลก ซึ่งคณะกรรมการมรดกโลกเห็นว่ามีความเป็นไปได้สูงและยังอยู่ในระหว่างการดำเนินการ ดังนั้นรัฐบาลไทยจึงมีความจริงใจที่จะอนุรักษ์ผืนป่าและคุ้มครองดูแลให้กลุ่มชาติพันธุ์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี

โดยที่ผ่านมากลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่บ้านโป่งลึก - บางกลอยได้รับการจัดสรรที่ดินครอบครัวละ 7 ไร่ 3 งาน มีผู้ถือครองที่ดินจำนวน 260 ราย 337 แปลง คิดเป็นพื้นที่ 1,890 ไร่ และจากการเชิญทูตจาก 10 ประเทศประจำประเทศไทย IUCN ผู้แทนรัฐภาคีสมาชิกในคณะกรรมการมรดกโลก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่ก็ได้เห็นการจัดการของเจ้าหน้าที่ การทำงาน และความเป็นอยู่ของชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งทุกประเทศต่างก็มีความพอใจการทำงานที่ได้ไปพบเห็นมาและชื่นชมในความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติของพื้นที่บริเวณอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน

น.ส ทิพานัน กล่าวว่า "สิ่งที่นายธนาธรพูดว่า รัฐบาลไม่เห็นคุณค่าของประชาชน คนกะเหรี่ยงบางกลอยเขาอยู่ในพื้นที่มานานก่อนที่จะมีกฎหมาย ก่อนที่จะมีอุทยานเสียอีก ก็เป็นการพูดที่ขาดข้อมูลความจริง ความจุสมองและความสามารถในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของนายธนาธรคงมีจำกัดจึงไม่ทราบว่า รัฐบาลกำลังดำเนินการตรวจพิสูจน์สิทธิ์ในที่ทำกินในพื้นที่บางกลอยบน-ใจแผ่นดิน โดยดูแต่ละช่วงปีตามหลักฐานภาพถ่ายดาวเทียม เพราะก่อนจะประกาศเป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ก็เป็นพื้นที่ป่าตาม พรบ.ป่าไม้ 2484 และ พรบ.รักษาป่า 2456 ด้วย และหากพบว่าประชาชนอยู่มาก่อนก็จะเป็นสิทธิ์ของประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว นอกจากนี้ยังจะจัดสรรที่ทำกินที่เหมาะสมให้ชาวบ้านที่ยังไม่มีที่ทำกิน ส่วนพื้นที่ที่จัดสรรแล้วแต่ทำกินไม่ได้ ก็กำลังพัฒนาที่ดิน จัดระบบสาธารณูปโภคให้ ดังนั้นรัฐบาลให้ความสำคัญกับประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมทั้งกลุ่มชาวบ้านที่ต้องการใช้ประโยชน์ และประชาชนทั่วไปที่ได้ประโยชน์จากป่าแก่งกระจาน ทั้งเพื่อคนรุ่นปัจจุบันและคนรุ่นถัดไปในอนาคตด้วย"

สำหรับที่นายธนาธรสื่อสารว่ากลุ่มชาวบ้านบางกลอยไม่ต้องการทำบันทึกความเข้าใจ หรือ MOU กับรัฐเพราะคิดว่าจะฉีกเมื่อไหร่ก็ได้นั้น อาจเป็นเพราะกลุ่มชาวบ้านเคยได้ยินการจัดทำ MOU ปาหี่เรื่อง "บลายทรัสต์" มาแน่นอน ทั้งนี้ขอให้ชาวบ้านมั่นใจว่ารัฐบาลแตกต่างจากนายธนาธรที่พูดแล้วไม่ทำ และเหตุที่ต้องสื่อสารย้ำอีกครั้งหนึ่งเพื่อไม่ให้ประชาชนบางกลุ่มหลงเชื่อข้อมูลผิด ๆ จากนายธนาธร

ส.ส. ก้าวไกล บุกกรมราชทัณฑ์ จี้ตอบกรณีคุกคามผู้ต้องขังกลุ่ม ‘ม็อบ 3 นิ้ว’ กลางดึกในเรือนจำ ด้านรองอธิบดีฯแจง การตรวจโรคกลางดึกเป็น ‘เรื่องปกติ’ ส่วนชายชุดน้ำเงินไม่ติดป้ายชื่อ เป็นเรื่องของ ‘โอกาส’ ในการแต่งเครื่องแบบ

เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2564 ที่กรมราชทัณฑ์ ท่าน้ำนนท์ นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยนางสาวเบญจา แสงจันทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล, นายประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล, และนายปริญญา ช่วยเกตุ คีรีรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล เดินทางมาเพื่อยื่นหนังสือขอทราบข้อเท็จจริงต่อกรมราชทัณฑ์ ในกรณีเหตุการณ์คุกคามนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา “ไผ่ ดาวดิน” และนายภานุพงศ์ จาดนอก “ไมค์ ระยอง” สองผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กรณีการชุมนุมของกลุ่มราษฎร

โดยมีความพยายามนำตัวทั้งสองออกจากแดนคุมขังที่ 2 ในเรือนจำพิเศษ กรุงเทพมหานคร ออกจากแดนคุมขังกลางดึก โดยอ้างว่าจะนำไปตรวจโรคโควิด-19 โดยเป็นการกระทำหลายระลอก มีการใช้เจ้าหน้าที่พร้อมกระบองเสริมกำลังเข้ามากดดัน และมีการนำตัวบุคคลที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ใส่ชุดสีน้ำเงิน ไม่ระบุชื่อและสังกัด เข้ามาร่วมปฏิบัติการ ต่อเนื่องตั้งแต่เวลา 20.00 น. ของคืนวันที่ 15 มีนาคม 2564 ไปจนถึงเวลา 03.00 น.ของเช้าวันที่ 16 มีนาคม 2564 แต่ทั้งสองปฏิเสธที่จะปฏิบัติตาม เนื่องจากเป็นการปฏิบัติที่ผิดปกติวิสัย ท่ามกลางข่าวลือว่าจะมีการทำร้ายร่างกายผู้ต้องขังคดีการชุมนุมกลุ่มราษฎรในเรือนจำ

ซึ่งนางอมรัตน์ ได้เดินทางมาถึงกรมราชทัณฑ์ในเวลาประมาณ 14.00 น. พร้อมกับมีประชาชนผู้มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เข้าร่วมสังเกตการณ์และขอรับทราบข้อเท็จจริงร่วมกับนางอมรัตน์ด้วย โดยทางกรมราชทัณฑ์ ได้ส่งนายแพทย์วีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เข้าพบเพื่อรับหนังสือและอธิบายข้อเท็จจริงต่อนางอมรัตน์

โดยหนังสือของ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ได้เรียกร้องให้มีการตรวจสองกล้องวงจรปิดในห้องขังเรือนจำ และตรวจสอบบุคคลแปลกหน้าที่เข้าออกเรือนจำกลางดึกเมื่อคืนนี้ และขอให้ชี้แจงกับประชาชนให้เกิดความกระจ่างและความเชื่อมั่นต่อการปฏิบัติหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์

ด้านนายแพทย์วีระกิตติ์ ผู้ลงมารับหนังสือ ได้พยายามอธิบายข้อเท็จจริงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยระบุว่ากรณีดังกล่าว ทางกรมราชทัณฑ์ได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงขึ้นมาแล้ว การตรวจหาเชื้อโควิด-19 กลางดึกในลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับผู้ต้องขังกลุ่มดังกล่าว รวมทั้งผู้ต้องขังในกลุ่มอื่นๆด้วย ความพยายามนำตัวผู้ต้องขังกลุ่มราษฎรทั้งสองออกจากแดน ไม่ใช่การนำออกไปที่อื่น แต่เป็นการนำไปรับการตรวจในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครเอง ซึ่งมีสถานที่ตรวจหาเชื้อโควิด-19 อยู่แล้ว

การมีหลายระลอก เพราะระลอกแรกผู้ต้องขังเข้ามาถึงเรือนจำในเวลาประมาณ 19.00 น. เข้าไปห้องกักเดียวกันกับผู้ต้องขังที่มาจากพื้นที่เสี่ยงโดยบังเอิญ จึงได้ขอเจรจาว่าจะนำผู้ต้องขังกลุ่มราษฎรแยกไปอยู่ในห้องกักอื่นที่ยังว่างอยู่

เมื่อมีการปฏิเสธจึงต้องมีการป้องกันความปลอดภัยทางสุขภาพของผู้ต้องขัง คือการตรวจหาโรคโควิด-19 โดยเร็วที่สุด จึงได้มีการส่งกำลังเจ้าหน้าที่เพิ่มเติมเพื่อเข้าไปขอทำ swab เป็นเจ้าหน้าที่ ๆ มีใบประกอบโรคศิลป์ ซึ่งทั้งสองคนได้ปฏิเสธ ในขณะที่ผู้ต้องขังรายอื่นๆให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

ทั้งหมดเป็นไปตามความชอบธรรมของนโยบายการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ที่มีการปฏิบัติกันเป็นปกติอยู่แล้ว แต่เมื่อทั้งหมดไม่ยอมตรวจ ทางกรมราชทัณฑ์ก็ไม่ได้ดำเนินการอะไรอีก เพราะไม่ต้องการที่จะเผชิญหน้า มีเพียงการนำผู้ต้องขังรายอื่นที่ได้ตรวจหาเชื้อโควิด-19 แล้วออกจากห้องขังนั้นไป

ส่วนบุคคลชุดน้ำเงินที่เข้ามา เป็นชุดปฏิบัติการปกติของกรมราชทัณฑ์ เพื่อนำผู้ต้องขังอื่นๆที่อยู่ร่วมกันและให้ความร่วมมือออกไปจากห้องขัง ไม่ได้มีการทำร้ายร่างกายหรือการกระทำอื่นใดผู้ต้องขังทั้งสิ้น

“เรื่องป้ายชื่อเนี่ยมันเป็นโอกาสที่เขาจะใส่ชุดใดๆ ซึ่งเครื่องแบบชุดนั้นผมไม่ได้สังเกต แต่ที่แน่ ๆ ไม่มีการทำร้ายหรืออะไรใดๆทั้งสิ้น เราได้บันทึกภาพ บันทึกอะไรต่าง ๆ ไว้หมด แล้วในกรณีนำไปเปรียบเทียบกับหมอหยองไม่ได้ เพราะหมอหยองไม่ได้อยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพก่อนเกิดเหตุ มันเป็นความชอบธรรมในเรื่องนโยบายโควิด เพราะคุกมันมีความแออัด มีคนตั้ง 3 - 4 พันคน การตรวจโควิดเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับ” นายแพทย์วีระกิตติ์กล่าว

จากนั้น นางอมรัตน์จึงได้ซักถามเพิ่มเติม กรณีนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ผู้ต้องขังระหว่างการดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อีกรายหนึ่งจากกรณีการชุมนุมกลุ่มราษฎร ถูกแยกตัวออกไปคุมขังร่วมกับนักโทษเด็ดขาด (นักโทษประหาร) ว่าเป็นความปกติหรือไม่

นายแพทย์วีระกิตต์ ตอบเพียงว่าเป็นความปกติ เรื่องนี้เป็นเรื่องในทางปฏิบัติและทัณฑวิทยา โดยไม่อาจให้รายละเอียดของเหตุผลได้ เมื่อความพยายามอธิบายของนายแพทย์วีระกิตติ์ ยังคงไม่สามารถทำให้ประชาชนที่มาร่วมรับฟังข้อเท็จจริงเกิดความสิ้นสงสัยได้ ทั้งในกรณีข้ออ้างการตรวจโรคโควิด-19 กลางดึก และกรณีของนายพริษฐ์ จึงเกิดการโต้แย้งแสดงความไม่พอใจออกมา จนทำให้นายแพทย์วีระกิตต์รับหนังสือจากนางอมรัตน์และเดินกลับเข้าไปในกรมราชทัณฑ์ทันที

หลังจากการยื่นหนังสือ นางอมรัตน์ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน และประชาชนที่มาร่วมชุมนุมติดตามการชี้แจงจากกรมราชทัณฑ์ในวันนี้ โดยระบุว่าทางเจ้าหน้าที่ได้อธิบายเบื้องต้นแล้ว ยังคงไม่มีการแสดงหลักฐานอื่นใดจากทางกรมราชทัณฑ์ แม้ทางรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์จะระบุว่ามีภาพหลักฐานทุกอย่างที่พร้อมนำมาแสดง ส่วนที่ยังไม่ได้รับความกระจ่างนักคือกรณีเจ้าหน้าที่ในชุดสีน้ำเงินที่ไม่ได้ติดป้ายระบุชื่อและสังกัด ซึ่งทางกรมราชทัณฑ์ก็คงจะต้องออกมาแถลงสร้างความกระจ่างให้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่งให้สิ้นความสงสัยต่อไป

“เป็นเหตุการณ์ที่ดูแล้วไม่ปกติ เราห่วงใยในความปลอดภัยของผู้บริสุทธิ์ที่ยังอยู่ในระหว่างพิจารณาคดี ยังไม่ได้ถูกตัดสิน ยังไม่ได้เป็นนักโทษ วันนี้จึงมายื่นหนังสือต่ออธิบดีกรมราชทัณฑ์ให้ท่านช่วยตรวจสอบกล้องวงจรปิด และตรวจสองการเข้าออก และให้ท่านได้ชี้แจงให้สังคงกระจ่างด้วยว่าเหตุการณ์นี้มันปกติหรือไม่ เพราะในยามวิกาลจะมีคนแปลกหน้าในชุดสีน้ำเงินมาพยายามนำตัวผู้ถูกคุมขังออกไป ก็ขอให้ท่านชี้แจงกับสังคมให้กระจ่างด้วย ว่าเหตุการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?” นางอมรัตน์กล่าว

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ.2564

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน

ประจำวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ.2564

คนไทย “พร้อม” หรือ “ยังไม่พร้อม” ใช้รถยนต์ไฟฟ้า | PoliticsQuiZ EP.4

Politics QuiZ อีพีนี้จะพาทุกคนมาสำรวจความคิดเห็นคนไทยบางกลุ่ม ว่าพวกเขา “พร้อม” หรือ “ยังไม่พร้อม” ที่จะใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยตอนนี้!! 

.

รมว.ยุติธรรม ปัด ไม่เคยเห็นจดหมาย ‘ทนายอานนท์’ ขอความช่วยเหลือ ชี้! ให้เจ้าหน้าที่แจงรายละเอียด ปมนำผู้ต้องขังออกนอกแดน ยามวิกาล

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการเผยแพร่จดหมายของนายอานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชน และแกนนำราษฎร เพื่อขอความช่วยเหลือเนื่องจากจากเกรงว่าจะได้รับอันตรายถึงชีวิต หลังถูกเจ้าหน้าที่คุมตัวออกนอกเเดนในยามวิกาล ว่า เรื่องดังกล่าวยังไม่ทราบและยังไม่ได้รับรายงาน เพราะเป็นเรื่องรายละเอียดที่ตนไม่ได้ติดตามและยังไม่เคยได้ยิน เพราะตั้งแต่เช้าก็เตรียมตัวที่จะมาฉีดวัคซีนและประชุมครม. ดังนั้นคงต้องให้เจ้าหน้าที่ว่ากันไป

ผู้สื่อข่าวถามว่าตามกฎของเรือนจำสามารถนำตัวผู้ต้องขังออกไปนอกแดนในยามวิกาลได้หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า "ไม่ได้ยิน และไม่ทราบเรื่องระเบียบของเรือนจำ แต่ถ้ามีความจำเป็นก็เห็นยังเข้าออกในเวลากลางคืนได้ เช่น เวลาฝากขังก็เห็นทำได้ แต่ส่วนใหญ่เขาไม่ทำกันในยามวิกาล เพราะหากเกี่ยวกับรายละเอียดต่าง ๆ ก็ควรจะทำกลางวัน เว้นแต่มีกรณีจำเป็นเท่านั้น"

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงที่มีการนำจดหมายดังกล่าวมาเปิดเผยอย่างไร นายสมศักดิ์ กล่าวว่า "ยังไม่ได้ตรวจสอบ ที่ผ่านมาก็มีประเด็นแบบนี้เรื่อย ๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เขาก็ทราบว่าเรื่องอะไรที่ควรจะชี้แจงบ้าง แต่ตนไม่ได้สั่งการอะไรเป็นพิเศษ"

เมื่อถามว่าในเรือนจำสามารถเขียนจดหมาย และส่งออกมาเผยแพร่ทางโซเชียลได้หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า "ก็ต้องผ่านผู้คุม แต่ในกรณีนี้ไม่ทราบว่าผ่านหรือไม่ ส่วนเนื้อหาจดหมายตอนหนึ่งอ้างว่าเจ้าหน้าที่จะนำตัวออกไปตรวจโควิด-19 เรื่องนี้ตนไม่ทราบจริงๆ ถ้าเอารายละเอียดทุกประเด็นมาพูดก็คงสับสน ขอให้เจ้าหน้าที่เขาตอบถ้ามีกรณีดังกล่าวจริงเพราะถือเป็นหน้าที่ของเขา"

ประกันสังคม เผยโครงการ ม33เรารักกัน ตรวจสอบสิทธิ 15 - 28 มี.ค.64 กดยืนยัน 15 - 21 มี.ค.64 สำหรับผู้ยื่นทบทวนสิทธิยื่นได้ตั้งแต่ 15-28 มี.ค.64 ผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com

นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน กล่าวถึง การดูแลผู้ประกันตนมาตรา 33 ในระบบประกันสังคม ที่ลงทะเบียนรับสิทธิเงินเยียวยาจากรัฐบาล ผ่านโครงการ ม33เรารักกัน เข้าตรวจสอบสิทธิการรับเงินได้ตั้งแต่วันที่ 15 - 28 มี.ค. 64 ผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com และกดยืนยันตัวตนผ่านช่องทาง Application “เป๋าตัง” ในวันที่ 15 - 21 มี.ค.64

ซึ่งผู้ประกันตนจะได้รับวงเงินผ่าน Application “เป๋าตัง” ในวันที่ 22 , 29 มี.ค. 64 และ 5 ,12 เม.ย. 64 ครั้งละ 1,000 บาท จนครบ 4,000 บาท โดยจะสามารถเริ่มใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการผ่านร้านค้า/ผู้ประกอบการ/บริการ ในร้านธงฟ้าที่ใช้ Application “ถุงเงิน” หรือภายใต้โครงการ “คนละครึ่ง” และโครงการ “เราชนะ” ได้ในวันที่ 22 มี.ค. - 31 พ.ค.64

สำหรับกรณีที่ผู้ประกันตนตรวจสอบสิทธิแล้วไม่ได้รับสิทธิตามโครงการ ม33เรารักกัน สามารถขอทบทวนสิทธิผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com ได้ตั้งแต่ 15 - 28 มี.ค.64 ในเวลา 06.00 - 23.00 น. โดยขอให้ผู้ประกันตนกดเข้าไปที่เมนู “ทบทวนสิทธิ” (ปุ่มสีเหลือง) หลังจากนั้นกรอกข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อใช้ในการทบทวนสิทธิให้ละเอียดชัดเจน เช่น ชื่อสกุล เลขบัตรประจำตัวประชาชน และรหัสหลังบัตร วันเดือนปีเกิด จังหวัดที่พักอาศัย เบอร์โทรศัพท์

จากนั้นคลิ๊กปุ่ม “ขอทบทวนสิทธิ” ซึ่งผู้ประกันตนสามารถตรวจสอบสถานะผู้ได้รับสิทธิผ่านทางเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com พร้อมกดยืนยันตัวตนผ่าน Application “เป๋าตัง” ในวันที่ 5 - 11 เม.ย. 64 ผู้ประกันตนจะได้รับวงเงินเข้า Application “เป๋าตัง” ในวันที่ 12 เม.ย. 64 จำนวนเงิน 4,000 บาท เพื่อให้ผู้ประกันตนเริ่มใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการผ่านร้านค้า/ผู้ประกอบการ/บริการ ในร้านธงฟ้าที่ใช้ Application “ถุงเงิน” หรือภายใต้โครงการ “คนละครึ่ง” และโครงการ “เราชนะ” ในวันที่ 12 เม.ย. - 31 พ.ค. 64

นายทศพล กล่าวในตอนท้ายว่า "สำนักงานประกันสังคมได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานทบทวนสิทธิ ม33เรารักกัน ที่สำนักงานประกันสังคม ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่รับเรื่องประสานงานทบทวนสิทธิและอำนวยความสะดวกพร้อมให้คำแนะนำปรึกษารับเรื่องการลงทะเบียน ให้ผู้ประกันตนในโครงการ ม33เรารักกัน ตั้งแต่เวลา 08.00 - 17.00 น. ทุกวัน หากมีข้อสงสัยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ ทั้ง 12 แห่ง สำนักงานประกันสังคมจังหวัด/ สาขา/ ที่ท่านสะดวก หรือโทรสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 (เจ้าหน้าที่ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง)"

รมว.สาธารณสุข การระบาดของเชื้อโควิด-19 คลัสเตอร์บางแค แต่ไม่กล้ารับปาก ได้เล่นสงกรานต์หรือไม่ รอ ทีมแพทย์รายงาน ศบค.ใหญ่ก่อนเคาะอีกที วอนประชาชนอย่าการ์ดตก

รมว.สาธารณสุข การระบาดของเชื้อโควิด-19 คลัสเตอร์บางแค แต่ไม่กล้ารับปาก ได้เล่นสงกรานต์หรือไม่ รอ ทีมแพทย์รายงาน ศบค.ใหญ่ก่อนเคาะอีกที วอนประชาชนอย่าการ์ดตก

นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิด-19 คลัสเตอร์บางแค ว่า ขณะนี้ได้ให้ทีมแพทย์ลงไปตรวจเชิงรุกที่ตลาด และตามไปตรวจผู้ที่สัมผัสใกล้ชิด รวมถึงชุมชนที่มีการติดเชื้อมากเป็นพิเศษ และนำผู้ที่ติดเชื้อไปเข้ารับการรักษา ที่โรงพยาบาลหลักคือโรงพยาบาลบางขุนเทียนของกทม. และในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ได้เตรียมพร้อมให้การสนับสนุน เผื่อกรณีที่กทม. เริ่มเต็ม ก็ได้มีการจัดเตรียมสถานที่เพื่อสนับสนุนเอาไว้พร้อมแล้ว แต่ยังเชื่อว่าเราจะสามารถควบคุมอยู่ในวงจำกัดได้

ผู้สื่อข่าวถามว่าคลัสตเตอร์บางแค จะส่งผลกระทบ ต่อการพิจารณาผ่อนคลายในช่วงของเทศกาลสงกรานต์หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า "ทุกอย่างจะส่งผลหรือไม่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และอยู่ที่ความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก การพิจารณาอะไรก็ตามต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชน ไม่ใช่พิจารณาอยู่บนความสนุก ที่เราทำมาทั้งหมดทุกวันนี้ก็เพื่อให้ประชาชนปลอดภัย และยังต้องยึดหลักนี้อยู่

ทั้งนี้ต้องดูว่าจากช่วงนี้ไปจนถึงสงกรานต์ ที่เหลือระยะเวลาอยู่ประมาณ 1 เดือนนี้ การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะสามารถควบคุมได้หรือไม่ เพราะที่ผ่านมาเราก็สามารถควบคุมได้ แต่ว่าช่วงนี้ อาจจะการ์ดตกกันบ้าง ก็ขอให้กลับมาที่เราเคยทำ คือสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างล้างมือ หากเราปฏิบัติตามหลักนี้ได้ การแพร่เชื้อก็จะถูกจำกัดวง ให้แคบมาก ๆ ซึ่งเป็นประโยชน์"

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าแสดงว่าถึงเวลานี้ยังไม่กล้ารับปากประชาชนใช่หรือไม่ว่าจะได้เล่นน้ำสงกรานต์หรือไม่นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานความปลอดภัยแต่ถ้าถามอย่างนี้ตนไม่ตอบดีกว่า เพราะไม่มีการรับปากรับคำอะไรทั้งสิ้น เราทำทุกอย่าง อยู่บนความตั้งใจที่ดีที่สุด แล้วอยู่บนความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก เมื่อถามว่า ในการประชุมศบค.วันที่ 19 มีนาคมนี้ประเด็นเรื่องการผ่อนคลายเทศกาลสงกรานต์จะถูกหยิบยกเข้าไปหารือด้วยหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า "ไม่ทราบ ทางศบค.จะเป็นผู้นำเสนอ เราต้องดูสถานการณ์ แต่ก็จะทำให้ดีที่สุด"

‘ศรีนวน พิลาดี’ ผู้อยู่เบื้องหลังโปรเจ็กต์ยักษ์อย่าง ‘มารีน่า เบย์แซนด์’ | Contributor EP.11

ไต่เต้าสตอรี่!!

ศรีนวน พิลาดี ผู้อยู่เบื้องหลัง ‘มารีน่า เบย์แซนด์’ จากเด็กนักเรียนไร้กางเกง สู่ผู้บรรเลงงานก่อสร้างระดับพระกาฬของเมืองไทย ใครจะคิดว่าคนธรรมดาที่ (ชีวิต) ไม่ธรรมดา จากเด็กแบกข้าวสาร สู่ตำแหน่ง Site Supervisor . จากเด็กบ้านนอกในฝั่งชายแดนไทย - เขมร ครอบครัวยากจน . หัวดี แต่ต้นทุนชีวิต ทำให้จบการศึกษาได้เพียงแค่ ม.3

สิ่งที่ทำได้ คือ ดิ้นรนเข้าเมืองกรุง เพียงเพื่อลืมตาอ้าปากได้แบบผู้อื่น . เริ่มต้นอาชีพแบกข้าวสาร และกรรมกรหลากรูปแบบ ด้วยความไม่ท้อ ไม่ท้อ และไม่ท้อ ทำให้วันนี้ เขาก้าวสู่ตำแหน่ง Site Supervisor ผู้คุมโปรเจ็กต์งานก่อสร้างขนาดใหญ่ทั้งไทยและต่างประเทศ อะไรที่ทำให้เขาก้าวขึ้นมาสู่จุดนี้ได้ จุดเขาพูดเต็มปากว่า ‘ต้นทุนแบบเดียวกับเขา ก็ยากที่จะเป็นได้แบบเขา’ 

.

.

.

‘เพนกวิน’ แถลงอึดอัดใจ ระหว่างศาลนัดพร้อมตรวจพยานหลักฐานคดีแกนนำราษฎรชุมนุม 19 กันยา ทำบรรยากาศส่อวุ่น ‘คนกรีดร้อง ปาขวดน้ำในศาล’ กร้าวจะขออดข้าวประท้วง

รายงานว่าระหว่างศาลนัดพร้อมตรวจพยานหลักฐานคดีแกนนำราษฎรชุมนุม 19 กันยายน ทวงอำนาจคืนราษฎร ซึ่งศาลไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวเข้าร่วมฟังการพิจารณาคดี แต่มีผู้เกี่ยวข้องในคดี ผู้สังเกตการณ์ และผู้เดินทางมาให้กำลังใจส่วนหนึ่งได้เข้าไปในห้องพิจารณาคดี

นายชินวัตร จันทร์กระจ่าง หรือไบร์ท แกนนำราษฎรนนทบุรี หนึ่งในจำเลย ให้สัมภาษณ์ถึงบรรยากาศการพิจารณาคดีว่า ภายในห้องพิจารณาคดี "เพนกวิน" นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ได้ขออนุญาตแถลงต่อศาลถึงความอึดอัดที่อยู่ในใจ แต่ศาลไม่อนุญาตให้พูดในที่เปิดเผย

จากนั้น มีเจ้าหน้าที่มาควบคุมตัว จึงเกิดความวุ่นวายขึ้น เพนกวินจึงประกาศความอึดอัดใจว่าเหตุใดศาลไม่ให้ประกันตัว ทั้งที่ยังไม่มีคำตัดสิน โดยเทียบเคียงกับคดี กปปส. ที่ตัดสินแล้วว่ามีความผิดแต่ได้ประกันตัว และไม่ต้องตัดผม พร้อมประกาศขอประท้วงด้วยการอดข้าว ดื่มแต่น้ำ จนกว่าจะได้รับการประกันตัว ซึ่งบรรยากาศภายในห้องพิจารณาคดีได้เกิดความวุ่นวาย มีมวลชนที่ได้เข้าไปร่วมฟังการพิจารณาระบายอารมณ์ด้วยการกรีดร้อง และเขวี้ยงขวดน้ำลงพื้น เจ้าหน้าที่จึงคุมตัวเพนกวินและจำเลย ลงไปควบคุมที่ห้องควบคุมจำเลยด้านหลัง

นายชินวัตร ระบุด้วยว่า หวังให้ศาลมีความยุติธรรม และป.อาญา มาตรา 112 เป็นข้อหาที่ทำร้ายประชาชน ส่วนตนเองในช่วงบ่าย จะถูกไต่สวนในคดีละเมิดอำนาจศาล กรณีถ่ายรูปร่วมกับนายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือครูใหญ่ ในห้องเวรชี้ และโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย อีกทั้งมีคดีละเมิดอำนาจศาลของนายอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ หรือฟอร์ด เส้นทางสีแดง ที่ถ่ายรูปนายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือแอมมี่ ผ่านหน้าจอแล้วไปโพสต์อีกด้วย ซึ่งในส่วนของตนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่เห็นเจ้าหน้าที่มาเตือน


ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/politic/2050476

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แกนนำกลุ่มไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ระบุว่า #อนุทินและธนาธรใครโกหกประชาชน มีเนื้อความว่า

ผมได้อ่านรายละเอียด ความขัดแย้งในคลับเฮาส์ ระหว่าง นายอนุทิน และนายธนาธร เรื่องการฉีดวัคซีน

โดยนายธนาธรกล่าวหานายอนุทินว่า โกหกประชาชน เรื่องแผนการฉีดวัคซีน ด้านนายอนุทินก็ชี้แจงไปว่า สิ่งที่นายธนาธรพูดนั้นข้อมูลเก่า

เมื่อผมติดตามศึกษา รายละเอียดเพิ่มเติมที่ทีมแพทย์แถลง ผมเชื่อนายอนุทินครับ เพราะแผนงานต่าง ๆ นั้นสามารถปรับได้ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์

ต่างจากโครงการเมย์เดย์ เมย์เดย์ 3,000 บาทถ้วนหน้า ไม่ต้องพิสูจน์ความจน มีประชาชนลงทะเบียนมา 3 ล้านคน จ่ายเงินจริงแค่ 2,427 คน ที่สำคัญ มีการเอาเงินบริจาคไปทำอย่างอื่นอีก แบบนี้ถึงจะเรียกว่า โกหกประชาชน

ขอรบกวนคุณหมอท่านใด ที่สนับสนุนนายธนาธร(เพราะหมออย่างผม เขาคงไม่ฟัง) ช่วยเตือนเขาด้วยว่า อย่าเอาการเมือง มายุ่งกับงานวิจัยทางการแพทย์ วัคซีนและการรักษาพยาบาล เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของจริยธรรม คนที่ไม่มีจริยธรรมจะไม่ค่อยเข้าใจ


ที่มา: https://www.facebook.com/1635406246730420/posts/2867414883529544/

อย่าปล่อยให้ ‘ม็อบ’ ไร้ ‘แกน’ (นำ) โดย 'พิชิต ไชยมงคล' | Contributor EP.10

แม้การชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมือง จะสะท้อนให้เห็นถึงความงดงามอย่างหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย เหตุเพราะทุกคนที่ออกมา สามารถส่งเสียงและแสดงพลัง ผ่านแนวร่วมที่มีใจเดียวกัน เพื่อบรรลุเป้าหมายบางอย่างที่ถูกจุดขึ้นมาจนติด

อย่างไรก็ตาม โลกของการเคลื่อนไหวต่อสู้ ก็ต้องการผู้ที่สามารถ ‘รวมใจ’ คนทั่วสารทิศให้มีจิตใจเป็นหนึ่งเดียว และทำให้เป้าหมายเดินหน้าได้ตามที่วางไว้ ไม่สะเปะสะปะ แบบต่างคนต่างลุย . แกนนำ สำคัญไฉน? หากการเคลื่อนไหว ‘ไร้แกนนำ’ ตัวจริง มาลงสนามรบบัญชาทัพด้วยตนเองแล้ว จะทำให้การเคลื่อนทัพและเป้าหมายที่ตั้งไว้ ‘ย่อยยับ’ หรือไม่? เรื่องนี้น่าสนใจ!!

พิชิต ไชยมงคล แกนนำกลุ่มประชาชนคนไทย อดีตโฆษกเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) แกนนำมวลชนรุ่นพี่ ผู้ที่เชื่อว่าพลังของประชาชนจะใช้อย่างถูกทิศ หากมี ‘แกนนำ’ ที่ปักธงให้ร่วมสู้ได้แบบไม่สะเปะสะปะ มีคำตอบเรื่องนี้ให้กับเรา!!

.

.

 

กระทรวงอุตสาหกรรม ยืนยัน ไทยไม่แพ้คดีเปิดปม 'คิงส์เกต' ฮุบ 'เหมืองทองอครา' หวังโกยกำไรแบบไม่แคร์

แม้จะมีภาคสังคมและขั้วตรงข้ามรัฐบาล หยิบยกกรณี ‘เหมือนทองอครา’ ที่มี บริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดตเต็ด ลิมิเต็ด บริษัทสัญชาติออสเตรเลีย เป็นคู่พิพาทกับทางรัฐบาลไทย โดยยืนยันความว่า ‘ประเทศไทยแพ้แน่นอน’

แต่สุดท้ายดูเหมือนว่า ‘ประเทศไทยจะไม่แพ้แน่นอน’ ในข้อพิพาทนี้ เหตุการณ์การฟ้องร้องโดยมี คิงส์เกต เป็นผู้เริ่มนั้น มีค่าเสียหายที่ต้องการได้รับจากรัฐบาลไทยมหาศาล โดยต้องการให้ทางรัฐบาลไทยชดเชยวงเงินกว่า 2 หมื่นล้าน หลังรัฐบาลสั่งยุติการดำเนินธุรกิจ

ทั้งนี้การสั่งยุติกิจการของคิงส์เกตในเหมืองทองอครา มาจากการที่รัฐบาลไทยใช้อำนาจ ม.44 สั่งระงับการดำเนินธุรกิจของคิงส์เกต หลังจากตรวจพบความไร้มาตรฐานในการดำเนินงาน ทำลายสิ่งแวดล้อม กระทบคุณภาพชีวิตคนไทยในพื้นที่ข้างเคียงอย่างหนัก

และนั่นก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลไทย ไม่สามารถยอมได้ แน่นอนว่าในมุมของขั้วตรงข้ามรัฐบาลพยายามจะทำให้เห็นว่า การตัดสินใจของรัฐบาลในครั้งนี้ผิดพลาด และไม่มีโอกาสชนะ อย่างไรก็ตาม สุดท้ายเรื่องนี้ก็พลิกจากคำว่า ‘แพ้’ มาสู่คำว่า ‘ไม่แพ้’ เมื่อ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม กลายเป็นหนึ่งในผู้ที่ทางรัฐบาลไทยวางใจให้เข้ามาจัดการปัญหาดังกล่าว

การลงมาเล่นเกมนี้ด้วยตัวเองของ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ ดูเหมือนจะไปได้สวย ชั้นเชิงของการเป็นนักธุรกิจเดิม เพิ่มเติมกับเกมการเมืองที่สั่งสมมานาน ทำให้มหากาพย์เหมืองทองอคราที่กำลังถูกมองว่า ‘ไทยแพ้ชัวร์’ เกิดพลิก และกล้าพูดออกมาได้เต็มปากจาก ‘สุริยะ’ ว่า “ถ้าแพ้แล้วเขาจะมาขอเจรจาหรือ”

นั่นก็เพราะการลงมารวบรวมหลักฐานในการประกอบธุรกิจที่ไร้มาตรฐานของคิงส์เกต ถูก ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ งัดออกมาแบบทุกท่วงท่า และในความเป็นจริง อาจจะมีเบื้องลึกที่เป็นไม้เด็ดยิ่งกว่า จนทำให้คิงส์เกตต้องหยุดเงียบ รวมไปถึงฝ่ายขั้วตรงข้ามรัฐบาล ที่เงียบหายไปกับฝุ่ง PM2.5 นี่คืออีกกรณีศึกษาของการพิทักษ์ศักดิ์ศรีไทย ที่คนไทยควรต้องรู้

.

คุยกับ​ 'ร.อ.ดร.จองชัย วงศ์ทรายทอง'​ ผู้อยู่เบื้องหลังบัตรประชาชน​ Smart Card ในมุมมองประชาชน​ ที่หวังให้บัตรนี้ Smart สมกับชื่อ

เชื่อว่าบัตรประชาชนที่อยู่ในมือของคนไทยหลายๆ​ คนตอนนี้​ น่าจะเป็นบัตรประชาชนอเนกประสงค์ หรือ บัตรประชาชน Smart Card กันเกือบทั้งนั้นแล้ว

โดยบัตรดังกล่าวมีลักษณะแตกต่างจากบัตรทุกรุ่นที่ผ่านมา นั่นคือ ตัวบัตรทำด้วยพลาสติกชนิดพิเศษ ซึ่งจะมีความแข็งแรงทนทาน แถมรายการในบัตรนี้จะมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษกำกับในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ เพื่อให้คุณได้ใช้งานได้แบบสากล

แต่ที่พิเศษ​ คือ​ ตัวบัตรจะมี​ 'ไอซี ชิป'​ สามารถเก็บข้อมูลหลายๆ​ อย่าง​ โดยจุได้มากถึง 80 กิโลไบต์​ พร้อมกับลายพิมพ์นิ้วมือเจ้าของบัตร​ เพื่อใช้ในการพิสูจน์ยืนยันตัวบุคคล ตอนไปขอรับบริการต่างๆ ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ช่วยตรวจสอบป้องกันการปลอมแปลงบัตรไปในตัว

บางคนอาจจะถามว่าแล้วบัตรประชาชน​ Smart​ Card​ มันมีอะไรดี?

มันมีอยู่แล้วครับ​ เพราะทางภาครัฐได้พัฒนามาเพื่อให้การเข้าถึงข้อมูลและการดำเนินธุรกิจธุรกรรมต่างๆ​ ในโลกยุคดิจิทัลเชื่อมโยงกันได้ง่ายขึ้น​แบบไม่วุ่นวายระหว่างประชาชน​-รัฐ-เอกชน

อย่างการใช้งานที่เป็นรูปธรรม​ แล้วก่อให้เกิดภาพชัดๆ​ ก็ ‘โครงการเราชนะ’ ที่เปิดให้คนไม่มีสมาร์ทโฟน ใช้จ่ายผ่านบัตรประชาชน Smart Cart โดยใช้รูดหรือสแกนกับร้านค้าที่ร่วมรายการ​ เป็นต้น

เพียงแต่ในความเป็นจริง​ ความฉลาดหรือ​ Smart​ ของบัตรอาจจะยังไม่เพียงพอ​และไม่ครอบคลุมกับชีวิตประจำวันของคน​ จึงทำให้ส่วนใหญ่ยังนึกภาพคุณประโยชน์ของมันแบบชัดๆ​ ไม่ได้มากเท่าไร

THE​ STATES​ TIMES​ เคยได้ถามเกี่ยวกับความ Smart​ ของบัตรประชาชนรูปแบบนี้​กับ​ ร.อ.ดร.จองชัย วงศ์ทรายทอง ส.ส.ชลบุรี พรรคพลังประชารัฐ หนึ่งในผู้ผลักดันให้โครงการบัตรประชาชน Smart Card เกิดและสามารถทำธุรกรรม - รับสวัสดิการต่าง ๆ​ ของรัฐได้อย่างสะดวก จนเข้าถึงคนทุกกลุ่ม​ ซึ่งเขาก็ได้บอกกับเราว่า...

“บัตรประชาชนแบบ​ Smart​ Card​ ที่เรามีกันอยู่ในทุกวันนี้นั้น​ มันมีประโยชน์อย่างมาก​ ทำให้กลุ่มคนที่ขาดโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยี​ เช่น ไม่มีสมาร์ทโฟน​ ก็สามารถลงทะเบียนรับการช่วยเหลือจากรัฐได้

"เพราะมันถูกพัฒนามาเพื่อรองรับธุรกรรมได้หลากหลาย โดยเฉพาะกับธุรกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งบัตรใบเดียวควรจะเป็นได้ทั้งบัตรประชาชน ใบขับขี่ ประกันสังคม ประกันสุขภาพ และเป็นอีวอลเล็ตในตัว พอจะไปทำธุรกรรมใด​ ๆ ก็แค่ใช้ข้อมูลต่าง ๆ​ เชื่อมโยงเพื่อเข้าถึงธุรกรรมใหม่ ๆ​ ได้ถึงกันอย่างสะดวก

"ฉะนั้นหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าพัฒนาเรื่องนี้อย่างเต็มความสามารถ ผมเชื่อว่าผลสัมฤทธิ์จะทำให้เกิดความสะดวกหลายประการ ต่อการดำรงชีวิตของประชาชนทั้งในประเทศ และนักท่องเที่ยวต่างชาติ อีกทั้งเป็นการประหยัดต้นทุนในการที่ประเทศต้องผลิตเงินตราออกมาใช้อีกด้วยครับ

"และหากทุกหน่วยงานบูรณาการได้สำเร็จ​ จะส่งผลดีต่อประเทศจากจุดศูนย์กลาง​ คือ​ กรุงเทพมหานคร และจะเกิดผลกระทบในเชิงบวกต่อมายังหัวเมืองใหญ่อื่น ๆ​ ด้วย

"ผมรอวันที่บัตรนี้จะฉลาดสมชื่อจริง ๆ... "

อย่างไรก็ตาม​ เรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพของบัตรสมาร์ทการ์ดนั้น​ ทาง​ ร.อ.ดร.จองชัย​ เป็นหัวแรงสำคัญที่พยายามผลักดันแบบสุดซอย โดยเขาบอกว่าเคยได้นำเรียนผ่านสภาฯ​ เป็นครั้งที่ 2​ ไปแล้ว​

"ผมพยายามชี้ให้สภาฯ​ เห็นว่า​ เราต้องการพัฒนาบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ดในปัจจุบันให้ใช้งานให้ได้หลากหลายกว่านี้ เช่น รับเงินเยียวยาเข้าบัตรและสามารถไปกดเงินสดที่ตู้ ATM รวมถึงการทำธุรกรรมอื่น ๆ​ ทางราชการ​และเอกชนได้อย่างปลอดภัยและมีความเป็นส่วนตัว”

ร.อ.ดร.จองชัย​ ยังบอกอีกว่า​ บัตรประชาชน Smart Card ที่ทุกคนมี ต้องสมาร์ทให้สมกับชื่อ​ ต้องใช้งานได้หลากหลาย ให้คุ้มกับงบประมาณที่สร้างขึ้นมา​ เนื่องจากประเทศไทยใช้งบประมาณมหาศาล เพื่อเปลี่ยนมาเป็นบัตรฝังชิปไปแล้ว​ จะให้อยู่แค่การยืนยันตัวตนกับรับการเยียวยาโครงการที่มาเป็นระยะ ๆ​ คงไม่เพียงพอ​ แต่ต้องให้บัตรนี้เป็นบัตรที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของธุรกรรมในชีวิตประจำวันของคนให้ได้

"ถามว่าทุกวันนี้บัตรสมาร์ทการ์ดใช้ทำอะไรได้บ้าง ผมว่าหลายคนคงนึกออกยาก​ นอกจากมีวาระสำคัญใดๆ​ เข้ามาให้ต้องใช้​ ซึ่งผมว่ามันต้องเป็นได้มากกว่านั้น​ เอาง่าย ๆ​ ผมไม่คิดไปไกล​ ขอแค่ต่อยอดให้บัตรใบนี้พัฒนาฐานข้อมูลให้ดีและปลอดภัย​ แล้วตอนที่ได้รับเงินเยียวยามา​ สามารถไปกดเงินที่ตู้ ATM ได้เลย เอาแค่นี้ได้ก่อน​ คนก็จะรับรู้ได้ถึงประโยชน์จากการมีตัวตนของบัตรนี้”

“อีกประเด็นที่ผมเคยพูดถึงเรื่องบัตร Smart Card ต่อการใช้ในระบบขนส่งมวลชน ควรจะเป็นบัตรใบเดียว เชื่อมโยงทุกโครงข่าย"

"ยกตัวอย่างหันไปมองอังกฤษที่มี Oyster Card ส่วนญี่ปุ่น มี Pasmo และ Suica ขณะที่ ฮ่องกง ก็มี Octopus ซึ่งเป็นตัวอย่างหนึ่งของการใช้ Smart Card บัตรเดียวในระบบขนส่งมวลชน ซึ่งเกิดประสิทธิภาพอย่างมาก”

“แต่พอมองย้อนกลับมาที่ประเทศไทยแล้ว​ บัตรสมาร์ทการ์ด​ เติมเต็มชีวิตหรือสร้างความภาคภูมิใจใดต่อคนไทยได้บ้าง อันนี้น่าคิดจริง ๆ"

ทั้งนี้​ ร.อ.ดร.จองชัย คาดหวังที่จะเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลง​มาศึกษาถึงวิถีการดำเนินชีวิตอันหลากหลายของประชาชนในแต่ละวัน​ แล้วทำให้บัตรสมาร์ทการ์ดไปสร้างประโยชน์ได้ตรงจุด เช่น​ ทุกวันนี้ยังไม่สามารถใช้บัตรกับระบบขนส่งสาธารณะในไทยได้​ ไม่มีการพัฒนาความครอบคลุมเชื่อมใยงกันในหลากหลายบริการผ่านบัตรเดียว รวมไปถึงยังไม่สามารถนำไปใช้ในร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ​ เป็นต้น

"อันนี้น่าคิดนะ​ เพราะในวันที่เราพูดถึงสังคมยุค Cashless Society หรือสังคมไร้เงินสดบ่อยขึ้นทุกวัน แต่เรากลับใช้ประโยชน์ใด ๆ​ จากมันไม่ได้เลย​ ยิ่งช่วงโควิดที่ผ่านมา​ ประชาชนให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากขึ้น​ เพราะมองว่าเงินหรือธนบัตรก็เป็นแหล่งสะสมโรค แต่จนแล้วจนรอด​ ก็ยังไม่มีอะไรเกิด​ สรุปบัตรนี้ยังฉลาดไม่สมชื่อ"


ติดตามเฟสบุ๊ค ร้อยเอก ดร.จองชัย วงศ์ทรายทอง - ผู้กองเบิร์ด

ได้ที่ https://www.facebook.com/jongchai


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top