Monday, 24 June 2024
POLITICS

วิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียนรางวัลซีไรต์ ประจำปี พ.ศ. 2543 จากนวนิยายเรื่อง ‘อมตะ’ ได้โพสต์ข้อความถึงเรื่อง “คุณธรรมกับกฎหมาย” ในเฟซบุ๊กส่วนตัวให้รู้สึกกังวล ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายไทยที่เริ่มถูกความเมตตามาแทรกแซงกฎระเบียบ

ม็อบหรือการต่อสู้ครั้งนี้มีเป้าหมายอยู่ที่การ “ล้มเจ้า” อาวุธหลักที่พวกเขาใช้ คือ การใช้ถ้อยคำที่ต่ำช้าสามานย์ที่สุดเท่าที่จะนึกหรือคิดขึ้นได้ รวมทั้งพูดเรื่องเพศอย่างโจ่งแจ้ง พวกเขามีหลักคิดและเชื่อว่าถ้อยคำพวกนี้จะสามารถ “ทำลายชนชั้น” ได้ ดังที่ศาสตราจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ใช้คำว่า “ทำลายช่วงชั้น” ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้ “คนเท่ากัน”

…แต่ผลของวิธีนี้ ก็ทำให้ผิดกฎหมายมาตรา 112

แม้มาตรา 112 จะเป็นคดีอาญา แต่ก็มองเป็นคดีแพ่งได้ เพราะเป็นเรื่องการเมือง - เป็นความคิดเห็นทางการเมือง ดังนั้นจึงมีเรื่อง “ความเมตตา” เข้ามาประนีประนอม

ผลที่ตามมาก็คือ การเผชิญหน้ากันระหว่าง “คุณธรรม” (ความเมตตา) กับ “กฎหมาย”

ถ้ากฎหมายถูก “ยกไว้” หรือ “ชะลอไว้” ก็อาจจะส่งผลให้ผิดกฎหมายมาตราอื่นตามมา คือ เจ้าหน้ารัฐไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย

กฎหมายก็คลายความศักดิ์สิทธิ์ เจ้าหน้าที่รัฐก็ขาดความเชื่อถือ เมื่อมีคนทำผิดกฎหมายมาตราอื่นๆ ก็จะอ้างถึงคดีในมาตรา 112 และอ้างถึงความเมตตาบ้าง

นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม ขอลายชื่อสาธารณชนเพื่อคัดค้านการยกเลิกมาตรา 112 จึงเป็นเรื่องที่ขำขื่น เพราะปัจจุบันยังมีมาตรา 112 อยู่ ก็ยังคาราคาซังและกังขาว่าจะเอาอย่างไรแน่

ท่านนายกฯ ออกมาประกาศขึงขังว่าจะเอาจริงนั้น >> ยังไม่มีผลมากนัก

ทางออกของเรื่องนี้ในมุมของ วิมล จึงมีดังนี้

ทางออกที่ 1 ให้ดำเนินคดีไปตามปรกติเช่นเดียวกับคดีอื่นๆ ศาลตัดสินแล้วจึงผ่อนโทษหรืออภัยโทษ

ทางออกที่ 2 แก้ไขมาตรา 112 ให้เหมาะสมกับคุณธรรม

ทางออกที่ 3 ยกเลิกมาตรานี้ แล้วมีมาตราใหม่ขึ้นมา

ทางออกที่ 2 กับ 3 นั้นเป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร

วิมล มองว่า หากความชัดเจนของกฎหมาย เช่น ม.112 ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ก็จะเป็นตัวอย่างให้กฎหมายอื่นๆ ไม่น่าเชื่อถือ ประเทศก็สูญเสียหลักการปกครอง (ทุกคนเท่าเทียมกันตามกฎหมาย) สังคมก็จะสับสนจนมั่ว คนก็ไม่เกรงกลัวกฎหมาย เห็นได้จากม็อบครั้งนี้ ส่วนคนที่เคารพกฎหมายก็ด่ารัฐบาล และสุดท้ายก็จะไม่สนใจอีกต่อไป


ที่มา: https://www.facebook.com/100002386922271/posts/3731544303601764/

แม้จะออกมาขอโทษต่อสังคมไปแล้ว สำหรับ ‘แอน จักรพงษ์’ ผู้บริหาร บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จํากัด (มหาชน)หลังจากได้ไปออกรายการทีวีรายการหนึ่ง และมีการพูดจากพาดพิงนางงามจักรวาลคนดัง แคทรีโอนา เกร จนทำให้ถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในโลกออนไลน์

แต่ดูเหมือนประเด็นภาคต่อยังไม่จบ เมื่อ ‘ณวัฒน์ อิสรไกรศีล’ พิธีกรชื่อดัง ผู้จัดการประกวดนางงามเวทีมิสแกรนด์อินเตอร์เนชั่นแนล ทนไม่ไหวออกมาตอบโต้เรื่องนี้อย่างรุนแรง โดยประกาศขอแบน แอน จักรพงษ์ ด้วยการไม่ให้มาออกทุกรายการที่ตนทำอยู่ พร้อมประโยคทิ้งท้ายแรงๆ ว่า “ศัลยกรรมเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่างยกเว้นนิสัยและความคิด”

ล่าสุดแอน จักรพงษ์ ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวแฉถึงพฤติกรรมของ ณวัฒน์ อิสรไกรศีล พิธีกรชื่อดังอย่างดุเดือดโดยระบุว่า

เรียนคุณ ณ.... ดิฉันแอน จักรพงษ์ มีความรู้สึกเซอร์ไพรส์กับการกระทำของคุณที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์บุคคลสาธารณะที่มีชื่อเสียงอย่างไม่หยุดยั้ง รวมถึงตัวดิฉันซึ่งเป็นลูกค้าที่อุดหนุนคุณมาตลอดระยะเวลา 4 ปีและเป็นเงินหลายล้านบาท เพื่อการออกสื่อประชาสัมพันธ์ในรายการทอล์กโชว์ของคุณ ซึ่งดิฉันเป็นแขกรับเชิญมากกว่า 7 เทปแล้ว...รวมถึงการให้เกียรติไปเป็นกรรมการงานประกวดนางงามของคุณในหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา...

มากไปกว่านั้นคือ การที่เคยพาคุณไปแนะนำตัวกับคู่ค้าของดิฉันในต่างประเทศด้วยความรักและจริงใจเพื่อการขยายงานของคุณให้ประสบความสำเร็จดียิ่งขึ้น โดยดิฉันยกย่องให้คุณเป็นบุคคลที่มีคุณค่ากับเพื่อนฝูงนักธุรกิจของเจเคเอ็นตลอดมาและเราสองคนก็มีมิตรภาพที่ดีต่อกันเสมอ...

แต่อะไรคือ แรงจูงใจที่ทำให้คุณพักนี้ต้องออกมาพูดถึงคนดังหลายคนในเชิงลบตลอดเวลาคะ? คำว่ากตัญญูต่อลูกค้ามีความหมายสำหรับคุณไหมคะ? ดิฉันสร้างบริษัทขึ้นมาด้วยตัวเองตั้งแต่ปี 2014 จนเข้าตลาดหลักทรัพย์ มาถึงปัจจุบันนี้ก็มีรายรับรวมเกือบจะ 10,000 ล้านบาทแล้ว พร้อมกับกำไรและเงินสดนับพันล้าน ซึ่งปีนี้ผลประกอบการก็ยิ่งดีขึ้นไปอีกหลายเท่า...

คำว่าลูกค้าและผู้มีพระคุณที่อุดหนุนเราคือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด...ไม่นานมานี้ ดิฉันพลาดพลั้งเกินเลยอะไรไปบนหน้าจอระหว่างการถ่ายทอดสด ในรายการแฉ ก็ออกมาขอโทษอย่างจริงใจกับคนไทยทั้งประเทศแล้วรวมถึงศิลปินท่านนั้น ภายใต้สังกัด TV 5 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ด้วยจดหมายอย่างเป็นทางการในฐานะที่เป็นคู่ค้าซื้อละครกัน

แต่หลังจากนั้นคุณกลับทับถมดิฉัน ด้วยคำเขียนที่ว่า ‘ผมขอแบนคนนี้...ศัลยกรรมเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่างยกเว้นนิสัยและความคิด’ วัตถุประสงค์ของคุณคืออะไรคะ? ได้อะไรจากการเหยียบย่ำซ้ำเติมนี้คะ? เราผิดใจอะไรกันหรือคะ? ลูกค้าทุกคนของคุณต่อไปจะกล้าอุดหนุนไหมคะ? ความเป็นสุภาพบุรุษของคุณที่ดิฉันเคยรู้จักมันหายไปไหนคะ? หวังว่าคุณจะรับฟังสิ่งที่แอนเขียนวันนี้เพราะมันจะดีต่อธุรกิจของคุณ ด้วยความห่วงใยและเคารพเหมือนเดิม แอน จักรพงษ์


แหล่งข่าว

https://www.facebook.com/annejkn.official/posts/2907308876204075

https://www.thaipost.net/main/detail/92331

https://www.thairath.co.th/entertain/news/2026599

https://www.thairath.co.th/entertain/news/2025873

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence และ Actuarial Science and Risk Management คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้โพสต์ลงเฟซบุ๊ก Arnond Sakworawich เล่าเรื่อง คนเนรคุณสองแผ่นดิน

"แม่รักลูกไม่เท่ากัน

ลูกชายคนเล็ก แม่รักมากที่สุด ได้ดั่งใจ สนใจทำมาค้าขายอย่างเดียว แต่งงานกับหญิงสาวลูกพ่อค้าตระกูลดังร่ำรวยอันดับต้น ๆ ของประเทศ

ปีแรกเปิดบริษัทค้าที่ดิน ทำกำไรเข้ากงสีได้ 800 ล้านบาท ปีสอง ทำกำไรได้อีก 800 ล้านบาท ปีที่ 3 ต้องการทำให้ได้ 1,000 ล้านบาท ทำสารพัดวิธี ตั้งแต่ให้สินบนเพื่อให้ได้ที่ดินของพระเจ้าแผ่นดิน ไม่ใช่แปลงนี้แปลงแรกหรอกที่ทำ เป็นแปลงที่สองที่พยายามจ่ายสินบน ยังมีปัญหาใช้คนยังกะขี้ข้ากดขี่แรงงาน ไม่ยอมจ่ายโบนัสพนักงานจนเดือนเมษายนก็ทำมาแล้ว

แม่รักลูกชายคนเล็กสุดนี้ดั่งแก้วตาดวงใจ ไม่สนใจการเมือง หาเงินเก่งสุด ๆ ว่านอนสอนง่าย หัวอ่อน

พอมีคดีขึ้นมา แม่ก็ทุกข์ใจหนักมาก ห่วงลูกชายคนเล็กคนนี้มากที่สุด รักสุดหัวใจ รักมากกว่าพี่น้องท้องเดียวกันที่ตัวเองคลอดออกมาทุกคน

"แม่" ไม่ได้คิดเลยว่า จริง ๆ แล้วคดีบุกรุกที่ป่าของชาติของตัวเองนั้น จะทำให้ตนเองได้เข้าคุกตอนแก่ได้โดยง่าย ๆ หลักฐานมัดแน่นมากที่สุด ทั้งภาษีดอกหญ้า ทั้ง น.ส.2 ก. แม่ยังคิดว่าตัวเองสบายๆ ส่วนหนึ่งอาจจะไม่มีสำนึกคิดว่าตัวเองคงวิ่งคดีในศาลได้ อย่างที่เคยทำมาเสมอ อีกส่วนหนึ่งก็อาจจะเกิดจากความรักและแสนห่วง กลัวลูกชายคนเล็กสุดที่รักจะต้องติดคุก ห่วงลูกรักลูกมากกว่ารักและห่วงตัวเอง

สำหรับลูกชายคนโต เป็นลูกชังที่แม่ไม่ชอบเลย แต่ในความเป็นแม่ลูก ก็ตัดไม่ได้ ขายไม่ขาดหรอก ลูกชายคนโตแม้จะเก่งในเชิงค้าขาย ไล่คนงานออกได้ทั้งโรงงานเพื่อให้ธุรกิจมีกำไรและอยู่รอด มีความอำมหิตผิดไปจากเตี่ยที่รักลูกน้องและดูแลลูกน้องเป็นอย่างดี

ไอ้ลูกชายคนโตคนนี้เวลาทะเลาะกับคนในบ้าน คนในบ้านหนีปิดประตู มันก็วิ่งเอาขวานมาจามประตูจะเข้าไปทะเลาะต่อ

แล้วก็มีความทะเยอทะยาน อยากเป็นฮีโร่ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ได้

ลูกคนนี้ ไม่ได้ดั่งใจ แต่ด้วยหัวอกคนเป็นแม่ ก็ต้องปกป้องลูก ไม่รัก แต่ก็ห่วง และตัดไม่ขาด แม่เองก็ต้องยอมรับเหมือนกันกับคนสนิทว่ารักลูกไม่เท่ากัน

พอลูกก่อเรื่องแต่ละที แม่ก็ต้องวิ่งเต้นเส้นสาย หาผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านในเมือง ให้มาช่วยลูกให้หลุดพ้นคดี ในความเป็นแม่ ลูกจะเลวอย่างไรก็ยังรัก และตัดไม่ขาดหรอก

เมื่อสิบปีก่อน ลูกชายทำหนังสือขาย แต่เป็นหนังสือผิดกฎหมาย เขาจะดำเนินคดี แม่ก็ไปหาผู้ใหญ่ให้ช่วย ผู้ใหญ่ท่านยอมช่วย แต่ขอสัญญาว่าจะไปสั่งสอนลูกชายคนโต ไม่ให้ล้มเจ้า

พอแม่ไปพูด ลูกชายคนโตผู้ก้าวร้าว ก็ "ตัดขาด" ความเป็นแม่ลูกทันที แล้วไม่พูดกับแม่เป็นปี ๆ ไม่ยอมให้แม่เข้าบ้านตัวเอง ไม่ยอมให้แม่พบหลาน สุดท้ายแม่ทนไม่ได้ มาขอโทษลูกชายบังเกิดเกล้า ขอคืนดี และต้องสนับสนุนลูกทุกทาง เพราะกลัวลูกจะตัดแม่ตัดลูก

เออ มันเนรคุณแม่มันได้ อย่าได้แปลกใจที่มันจะเนรคุณทุกแผ่นดิน ไม่ว่าจะแผ่นดินของบรรพบุรุษ หรือแผ่นดินเกิด

ไอ้คนเนรคุณสองแผ่นดินและเนรคุณมารดา ยังมีปมอะไรกับพ่อมันที่เป็นคนดีแต่อายุสั้น ไม่ทันได้เห็นความเลวระยำของลูกชาย รีบตายไปก่อนด้วยโรคมะเร็ง แต่พ่อตั้งโรงงานไว้ให้ ลูกก็แปลกเอาประวัติและคุณงามความดีของพ่อออกจากเว็บไซต์ของบริษัทที่พ่อตั้งมาเองออกจนหมด

เฮ้อ บ้านเมืองเรามีกรรม ได้คนเนรคุณบิดามารดา และคนเนรคุณสองแผ่นดิน มาปลุกปั่นยุยงให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง

กรรมหนักของประเทศจริง ๆ"


ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10159249623242728&id=784302727

https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000012149

รัฐธรรมนูญ พร่อง!! #เทพไทเสนพงษ์

รัฐธรรมนูญ พร่อง!! #เทพไทเสนพงษ์

.

คน ถูก ทิ้ง #เทพไทเสนพงษ์

คน ถูก ทิ้ง #เทพไทเสนพงษ์

.

‘คนสร้างยิ้ม’ ในช่วงจังหวะที่ทุก ‘วิกฤติ’ ถาโถมไม่พบวันสิ้นสุด กับ จิว จิวเวอรี่ | Contributor EP.6

รอยยิ้มข้าง ‘มุมปาก’ สะท้อนเสียง ‘คนสร้างยิ้ม’ ผู้สร้างความบันเทิงและความสนุกแห่งห้วงราตรี ในช่วงจังหวะที่ทุก ‘วิกฤติ’ ถาโถมแบบไม่พบวันสิ้นสุด

จิว จิวเวอรี่ (ยศภาคย์ จันทรศรี)

"หมออ๋อง ก้าวไกล" ย้ำ ก้าวไกลไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบัน ฯ ยันเร่งเครื่องฟ้องกลับหมอวรงค์ฐานหมิ่นประมาท ซัดแรง "หมอวรงค์" เอาสถาบันมาอ้าง เพื่อเอื้อตัวเองสู่เส้นทางการเมือง

นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก เขต 1 พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน เเละการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ชี้แจงจากกรณีที่นายเเพทย์ วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานกลุ่มไทยภักดี ล่ารายชื่อประชาชนคัดค้านแก้ม.112 ซึ่งเป็นญัตติที่พรรคก้าวไกลเสนอแก้ไขต่อสภาผู้แทนราษฎร ว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เเละล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น

นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า "พรรคก้าวไกลเเละตนในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เรายึดมั่นการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เราพูดเรื่องนี้ในหลายครั้ง ในการอภิปรายในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในจุดยืนของพรรค เราไม่มีความคิดที่จะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์เลยสักนิดเดียว

การที่นายแพทย์วรงค์ใส่ร้ายเเละแจ้งข้อกล่าวหามาตรา 112 ต่อพี่น้องประชาชน และพาดพิงต่อพรรคก้าวไกลว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองเเละล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น เรื่องที่เป็นการกล่าวข้อมูลเท็จ เป็นการหมิ่นประมาท ทำให้เสียชื่อเสียงทำให้พี่น้องประชาชนมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อพรรคก้าวไกล

โดยทางพรรคก้าวไกลเห็นด้วยที่จะฟ้องนายเเพทย์วรงค์ ในมาตรา 326 เกี่ยวกับการหมิ่นประมาท"

"สิ่งที่เราตั้งข้อสงสัยต่อการกระทำของนายเเพทย์วรงค์ จากการที่นายเเพทย์วรงค์เอาสถาบันพระมหากษัตริย์มากล่าวอ้างเช่นนี้ เป็นการนำเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อให้ตัวเองกลับเข้าสู่เส้นทางการเมืองใช่หรือไม่ นายเเพทย์วรงค์เจตนาดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จริงหรือไม่ หรือเป็นการนำเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องกำบังเพื่อให้ตัวเองเข้าสู่เส้นทางการเมือง

สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้มีผลดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เลยแม้เเต่น้อย หากนายเเพทย์วรงค์ยังเดินหน้ากระทำการเช่นนี้ต่อไป ประชาชนจะเข้าใจผิดว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ได้อยู่กับประชาธิปไตย ซึ่งไม่เป็นผลดีเลยแม้เเต่น้อย และในส่วนกรณีเจ้าหน้าที่ที่รับแจ้งความจากนายเเพทย์วรงค์ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นข้อมูลเท็จโดยเราจะพิจารณาต่อว่าจะดำเนินคดีอย่างไร ในคดีที่เจ้าหน้าที่รัฐประพฤติมิชอบต่อพรรคการเมืองเเละประชาชน ซึ่งเอาผิดตามมาตรา 200 หรือ 157 ในฐานะที่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถดำเนินคดีต่อพี่น้องประชาชนในเหตุที่เกินควรได้" ปดิพัทธ์ กล่าวทิ้งท้าย

คิกออฟ !! อาคารบังคับน้ำในแม่น้ำปิงท้ายเขื่อนภูมิพลเพิ่มรอยยิ้มเกษตรกรไทยอย่างยั่งยืน

ปัจจุบันประเทศไทยในหลายพื้นที่ ต้องพบกับปัญหา ขาดแคลนน้ำ ภัยแล้ง และน้ำท่วม ในบางช่วงเวลา โดยมีหนึ่งในสายน้ำที่เป็น ‘คอขวด’ ของปัญหาหนักแทบทุกปี บนช่วงพิกัดของ ‘แม่น้ำปิง’

ปัจจุบัน แม่น้ำปิง มีสภาพตื้นเขิน มีปัญหาตะกอนทรายเกาะแก่งอยู่ในลำน้ำ ทำให้ร่องน้ำเปลี่ยนทิศทาง ส่งผลให้เกษตรกรสูบน้ำไปใช้เพื่อการเกษตรไม่ได้ตามระยะเวลาที่ต้องการ รวมถึงโรงสูบน้ำของการประปาส่วนภูมิภาค การประปาของเทศบาลและท้องถิ่น ต้องเจอปัญหาการสูบน้ำเพื่อผลิตน้ำประปาสำหรับชุมชนเมือง

เหตุผลหลักๆ มาจากระดับน้ำในแม่น้ำปิง ณ ปัจจุบันต่ำมาก เนื่องจากการระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพล อยู่ในเกณฑ์น้อยในแต่ละวัน ซึ่งปัจจัยหลักๆ ก็มาจากปริมาณน้ำในอ่างฯ ที่อยู่ในเกณฑ์น้อยลงนั่นเอง ปัญหาดังกล่าว ทางกรมชลประทาน ได้นำมาพิจารณาอย่างต่อเนื่อง จนเกิดแนวคิดแก้ไขผ่านโครงการหนึ่ง ภายใต้ชื่อ ‘อาคารบังคับน้ำในแม่น้ำปิงท้ายเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก จังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดกำแพงเพชร’

โครงการนี้เป็นหนึ่งในโครงการที่ได้รับเสียงตอบรับดีหลังร่างแผนโครงการขึ้นมา ทั้งจากภาคประชาชน ภาครัฐ ภาคการเกษตร ภาคประชาสังคม ภาคอุตสาหกรรม หอการค้า คณะกรรมการภาครัฐและเอกชน โดยแต่ละภาคส่วนต่างต้องการให้มีการศึกษาและก่อสร้างอาคารบังคับน้ำในลำน้ำปิง ในบริเวณที่เหมาะสม เพื่อยกระดับน้ำให้สูงขึ้นเล็กน้อย สามารถชะลอน้ำไว้ เพื่อยืดระยะเวลาการสูบน้ำส่งให้กับพื้นที่ต่างๆ ได้อย่างทั่วถึง ช่วยเรื่องของการอุปโภคบริโภค การเกษตร การประมง และส่งเสริมการท่องเที่ยว หากโครงการก่อสร้างอาคารบังคับน้ำดังกล่าวดำเนินการได้จนแล้วเสร็จ . สำหรับแผนการดำเนินการคัดเลือกโครงการฯ เบื้องต้นมีการเลือกพิกัดจำนวน 3 แห่ง เพื่อนำไปดำเนินการศึกษาความเหมาะสม และประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม

• โครงการอาคารบังคับน้ำบ้านแม่ยะ อำเภอบ้านตาก จังหวัดตาก พื้นที่รับประโยชน์ 32,500 ไร่

• โครงการอาคารบังคับน้ำวังยางหนองขวัญ อำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร พื้นที่รับประโยชน์ 601,585 ไร่

• และโครงการอาคารบังคับน้ำคลองกระถินอำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ พื้นที่รับประโยชน์ 112,500 ไร่

โดยทั้ง 3 โครงมีลักษณะเป็นฝายคอนกรีตพร้อมบานระบาย

ทั้งนี้ โครงการอาคารบังคับน้ำในแม่น้ำปิงท้ายเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก จังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดกำแพงเพชร คาดว่า จะต้องดูรายละเอียดทั้งหมด พอทุกอย่างผ่านจะออกแบบให้แล้วเสร็จในปี 2565 จากนั้นก็จะเสนอไปกระทรวงการเกษตร เพื่อส่งเรื่องให้ ครม.พิจารณาต่ออีกที โดยคาดว่าหากโครงการดังกล่าวผ่านการพิจารณาของ ครม. ก็จะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2566 คาดสร้างเสร็จก็จะปี 2568

นายเฉลิมเกียรติ คงวิเชียรวัฒน์ รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า ปัจจุบันทางกรมฯ มีการลงพื้นที่ติดตามโครงการศึกษาความเหมาะสมและวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม อาคารบังคับน้ำในแม่น้ำปิงท้ายเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก จังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดกำแพงเพชร โดยเดินทางไปยังบริเวณพื้นที่ศึกษาโครงการอาคารบังคับน้ำคลองกระถิน อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ และบริเวณพื้นที่ศึกษาโครงการอาคารบังคับน้ำหนองขวัญ อำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร พร้อมพบปะพูดคุยรับฟังข้อเสนอแนะเพิ่มเติมจากผู้แทนประชาชนในพื้นที่

ซึ่งโครงการดังกล่าวหากสามารถเดินหน้าก่อสร้างได้จนแล้วเสร็จ จะช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำในการทำการเกษตร การอุปโภคบริโภค และควบคุมการส่งน้ำไปยังพื้นที่ชลประทานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“สำหรับ ‘โครงการอาคารบังคับน้ำในแม่น้ำปิงท้ายเขื่อนภูมิพล’ จังหวัดตาก กำแพงเพชร และนครสวรรค์ นั้น ทางกรมชลประทาน ได้เดินหน้าโครงการศึกษาความเหมาะสมและวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำประชา กลุ่มเกษตรกร กลุ่มผู้เลี้ยงปลากระชัง และประชาชน บริเวณพื้นที่ศึกษาโครงการอาคารบังคับในพื้นที่ต่างๆ รวมถึงผลกระทบจากฝุ่นต่างๆ หากเริ่มก่อสร้างเป็นที่เรียบร้อย

ส่วนบ้านเรือนใดที่มีส่วนติดกับพิกัดที่จะไปก่อสร้างอาคาร ก็จะมีการดูแล จ่ายค่าทดแทน ค่าผลอาสิน อย่างเป็นธรรม รวมถึงงบประมาณที่ดิน ค่าชดเชย ตอบแทน จะมาควบคู่ก่อนการก่อสร้างแก่ผู้ที่ต้องได้รับผลกระทบอย่างเป็นธรรมเช่นกัน โดยชาวบ้านในพื้นที่รอบเขตก่อสร้างที่ีทางกรมชลประทานได้เข้าไปประชาสัมพันธ์ ต่างเข้าใจ เพราะมองว่านี่คือแผนระยะยาว เพื่อแก้แล้ง-อุทกภัย ช่วยเกษตรกรไทยได้อย่างยั่งยืน”

.

รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ‘ศิริภา อินทวิเชียร’ สวนกลับ ‘สัณหพจน์ สุขศรีเมือง’ อย่าดูถูกเสียงประชาชน ลั่นไม่มีใครตีตราจอง นอกจากประชาชนเลือกเอง พร้อมยก ‘ประชาธิปัตย์’ เก่าแก่ควรค่าเป็นดัง ‘ไม้ยืนต้น’ ส่วนพรรคเกิดใหม่ยังเป็นได้แค่ไม้ล้มลุก

นางสาวศิริภา อินทวิเชียร รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึง กรณีที่นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.เขต 2 จ.นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ ได้กล่าวถีง การเลือกตั้งซ่อมในเขต 3 จ.นครศรีธรรมราช ว่า อย่าดูถูกประชาชน ว่าพรรคการเมืองใดตีตราจองในเขตเลือกตั้ง เพราะการที่พรรคการเมืองใดที่ได้รับการเลือกตั้งในเขตนั้นๆติดต่อกัน ไม่ใช่พรรคการเมืองตีตราจอง

แต่เป็นเพราะเสียงของประชาชนจองพรรคนั้น และไม่มีผู้แทนในพื้นที่ หรือพรรคการเมืองใดจะจองได้ หากประชาชนไม่เอาด้วยก็ไม่มีทางได้รับความไว้วางใจ ในจังหวัดนครศรีธรรมราชนั้นมีหลายเขตที่ต้องดูกันยาวๆ อย่าพยายามยกหางตัวเอง กลองที่ตีเสียงดังดีคือหนังแท้ กลองที่ตีได้ครั้งเดียวคือหนังเปื่อย

ส่วนเรื่องฮั้วกันในทางการเมือง พรรคการเมืองที่เป็นสถาบันจะทราบดี และเมื่อถึงวันเลือกตั้งก็จะรู้ว่าใครฮั้วกับพรรคไหน

ทั้งนี้ ตลอด 74 ปีที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์เป็นหลักให้กับประเทศ ยึดมั่นในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มุ่งมั่นทำงาน เคารพเสียงประชาชน พรรคของเรา คนของเรา เป็นความภูมิใจของประชาชนที่มีส่วนเป็นเจ้าของพรรค

เมื่อคัดเลือกคนที่ไปลงเลือกตั้งก็ต้องแน่นอนได้ว่าเป็นคนของพรรคและเป็นคนของประชาชน ดังนั้นอย่าดูถูกความรักความศรัทธาของประชาชน ในอนาคตจะมีอีกหลายพรรคที่เราจะรู้ได้ว่าเป็นพรรคที่ยั่งยืนหรือฉาบฉวยหรือไม่ เช่นเดียวกับนักการเมืองที่มีหลักการ ซื่อสัตย์สุจริต ก็ต้องใช้เวลาดูแบบไม้ยืนต้น เพราะถ้าเป็นไม้ล้มลุกจะใช้เวลาดูไม่นานก็จะรู้ว่าไม่ยั่งยืนเหมือนไม้ยืนต้น

เหรียญอีกด้านที่เผยเบื้องลึกอีกมุมจากการรัฐประหารในพม่า โดย ‘นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว’ นักเขียนสารคดีชื่อดังและนักเรียกร้องสิทธิมนุษยชนหญิง บุตรสาวอาจารย์ล้อม เพ็งแก้ว ปราชญ์ด้านภาษาไทย

…เพื่อนกลุ่มชาติพันธุ์ติดต่อส่งข่าวจาก Source: IQ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ | 1 Feb 2021 7:02 ว่า ‘อองซาน ซูจี’ ถูกทหารเมียนมาควบคุมตัว พร้อมเจ้าหน้าที่ระดับสูงพรรค NLD โดยการควบคุมตัวนางซูจีเกิดขึ้น หลังจากสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัฐบาลพลเรือนและกองทัพเมียนมาได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งทำให้หลายฝ่ายวิตกกังวลว่าอาจจะเกิดการรัฐประหารหลังจากกองทัพเมียนมาอ้างว่ามีการโกงการเลือกตั้งในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา

นายเมียว ยุนต์ โฆษกพรรค NLD เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวของรอยเตอร์ทางโทรศัพท์ว่า นางซูจี, นายอู วินมิ่นท์ ประธานาธิบดีเมียนมา และผู้นำคนอื่นๆ ของเมียนมา ได้ถูกควบคุมตัวในช่วงเช้านี้ “ผมต้องการจะบอกกับประชาชนของเราว่าอย่าตอบโต้อย่างผลีผลาม และผมต้องการให้พวกเขาทำตามกฏหมาย” นายเมียวกล่าวและคาดว่าตัวเขาก็คงจะถูกควบคุมตัวด้วยเช่นกัน

ดิฉันจึงเริ่มประสานงานตรวจเช็คจากเพื่อน ๆ แหล่งข่าวกลุ่มชาติพันธุ์หลายคนที่ทำงานอยู่ชายแดนไทย และในเมียนมา โดยในยามสายได้มีข่าวจากกลุ่มชาติพันธุ์ชัดเจนแล้วว่า นายพล มิน อ่อง หล่าย เป็นผู้นำรัฐประหาร ตอนนี้ทหารพม่าได้เข้าจับกุม นักการเมืองท้องถิ่นที่รัฐบาลซูจีของพรรค NLD แต่งตั้งให้ทำงานอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ดังที่ท่าขี้เหล็กผู้นำท้องถิ่นสังกัดพรรค NLD ของซูจีโดนรวบแล้ว และตามเมืองต่างๆ ทหารได้เข้าล็อคตัวผู้นำที่รัฐบาลซูจีแต่งตั้งไว้แล้ว แต่ผู้นำกลุ่มชาติพันธุ์ และคนของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ทำงานทางการเมืองโดยตรง ยังไม่โดนอะไร

สำหรับในประเทศเมียนมา ดิฉันได้ประสานงานกับเพื่อนสัญชาติพม่าที่อยู่ในเมียนมา เขาบอกชีวิตชาวบ้านและทุกอย่างยังสงบ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่เพิ่งมีประกาศเป็นทางการในทีวีพม่าว่า มีการแต่งตั้งอูมินส่วย รองประธานาธิบดีพม่าคนที่ 1 ขึ้นรักษาการประธานาธิบดีชั่วคราว ทั้งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในประเทศ 1 ปี ก่อนจะมีการเลือกตั้งใหม่ ให้โปร่งใสกว่านี้

ข้อมูลที่เป็นไฮไลท์จาก นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว ได้เผยว่า...

นี่เป็นข้อมูลที่ดิฉันรวบรวมจากเพื่อนกลุ่มชาติพันธุ์ และติดต่อทางสื่อออนไลน์คุยกับเพื่อนในเมียนมา โดยได้รับทราบมาตลอดหลายปี และรวบรวมเหตุการณ์รัฐประหารวันนี้ มีดังนี้

1.) การรัฐประหารครั้งนี้ ทั้งประชาชนพม่าและกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมาก เป็นส่วนใหญ่ก็ว่าได้ ‘เห็นด้วยกับทหาร’ และประชาชนไม่เอาด้วยกับซูจีและนักการเมืองพรรค NLD

2.) สำหรับทางกลุ่มชาติพันธุ์แล้ว แม้หลายปีมานี้ ในช่วงรัฐบาลซูจี ทางซูจีจะช่วยชนกลุ่มน้อยหลายอย่าง แต่ก็เหยียบย่ำบีบคั้น ชนกลุ่มน้อยมาก โดยบังคับให้ผู้นำทุกกลุ่มชาติพันธุ์ต้องพูดภาษาพม่าในรัฐสภา, กระทั่งนักการเมืองพรรค NLD เองจะเสนอแนวคิดใดในสภา ก็ต้องนำเสนอประเด็นที่จะพูดในรัฐสภากับซูจีก่อน จึงจะได้รับโอกาสให้เสนอความเห็นในสภาได้

3.) นักการเมืองเมียนมาจำนวนมาก และกลุ่มชาติพันธุ์ทุกกลุ่มเจอเรื่องสุดแสบจากซูจีมาตลอด 5 ปี จนเข็ดขี้อ่อนขี้แก่ จนกระทั่งมีนักการเมืองรุ่นใหม่ทั้งของเมียนมาและชนกลุ่มน้อย ไม่เอากับ NLD และเข้ารวมตัวกันกับทหารรุ่นใหม่ เข้าสู่สนามเลือกตั้งในช่วงการเลือกตั้งปลายปีที่ผ่านมา

4.) เพื่อนกลุ่มชาติพันธุ์บอกกำลังตรวจเช็ค จะเป็นการรัฐประหารยาวหรือทำแค่ควบคุมระยะสั้น เพราะตอนนี้เป็นช่วงเลือกตั้งเสร็จใหม่ๆ เหลือเวลาให้ต้องเปิดรัฐสภาให้ได้ภายใน 10 วัน ถ้าเปิดสภาไม่ได้ ผลเลือกตั้งจะเป็นโมฆะ ทหารต้องการให้ผลเลือกตั้งเป็นโมฆะ เพราะโกงมาก และทางซูจีจะต้องเปลี่ยนรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่แน่ เนื่องจากรัฐธรรมนูญเอื้อกับการใช้อำนาจของทหารมาก ดังนั้นทหารต้องยึดอำนาจ ตรงนี้กลุ่มชาติพันธุ์ก็ต้องการที่สุดในการแก้ รธน. แต่ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา กลุ่มชาติพันธุ์ก็ถูกบีบบังคับอย่างที่สุดจากซูจีด้วย และกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมากได้เมินเฉยไม่เอากับรัฐบาลซูจีไปมากแล้วด้วย

5.) ดิฉันได้สัมภาษณ์ออนไลน์กับเพื่อนสัญชาติเมียนมา เขาอยู่กลางเมืองใหญ่ในเมียนมา เขาให้รายละเอียดว่า ขณะนี้ทั้งประเทศไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ มีแต่ WIFI ธนาคารก็หยุดชั่วคราว เมื่อเช้านักการเมืองถูกคุมตัวที่เนปิดอว์ 31 คน ทั้งหมดเป็นคน NLD ของซูจี และพรรคอื่นๆ ซูจีก็โดนด้วย นักการเมืองมาชุมนุมกันที่เนปีดอว์ตอนเช้า เพราะวันนี้เป็นวันเริ่มประชุมสภาผู้แทนราษฎร ตอนนี้ในประเทศเมียนมายังไม่มีประกาศอะไร ทีวีช่องต่างๆ ในเมียนมาไม่เปิด มีแต่ทีวีช่องทหารอันเดียว ซึ่งที่ออกอากาศให้ประชาชนดูกันอยู่ก็ไม่มีข่าวปัจจุบัน ไม่มีข่าวใหม่ มีแต่ข่าวเมื่อ 2 - 3 วันก่อน

ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเมียนมาและผู้ใหญ่ในกลุ่มชาติพันธุ์ที่พบปะติดต่อกัน มีความเห็นว่า ‘ดีที่มีการรัฐประหาร’ เพราะNLDของซูจี โกงเลือกตั้งมาก คนตายแล้วยังมีชื่อไปเลือกตั้ง บางคนชื่อมีสิทธิ์เลือกตั้งอยู่ถึง 3-4 เมือง และมีการไปเลือกตั้งทุกเมือง, คนไม่มีบัตรประชาชน คนอายุไม่ถึงเกณฑ์ ยังเข้าไปเลือกตั้งได้ หลายเมืองมากที่เสียงคนลงคะแนนเกินจำนวนคนมีสิทธิ์จริง การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาในพม่า มีการโกงอย่างโจ่งแจ้ง เละเทะมาก

กระทั่งทหารเอง นายพล มิน อ่อง หล่าย ออกมาบอกหลายครั้ง ให้ตรวจสอบการโกงเลือกตั้ง เพื่อให้เกิดความยุติธรรมก่อนเปิดสภา เพราะไม่เป็นประชาธิปไตยจริง ไม่สะอาด ไม่ถูกต้อง มิน อ่อง หล่าย ออกมาบอกหลายครั้ง ซูจีและNLD ก็ไม่ฟัง จะเปิดสภาให้ได้

จนเมื่อ 3 - 4 วันก่อน ทหารกับNLD ประชุมกันที่เนปีดอว์ ทหารขอให้มีการตรวจสอบการเลือกตั้งก่อน ให้ประชาชนได้เห็นความยุติธรรม ความสะอาดโปร่งใสก่อนค่อยเปิดสภา แต่ซูจีและNLD ไม่ยอม ยืนยันจะเปิดสภาให้ได้

6.) การรัฐประหารครั้งนี้ คนเมียนมาและผู้นำทางความคิดของกลุ่มชาติพันธุ์เห็นด้วย เพื่อนดิฉันที่เคยถูกทหารพม่าจับติดคุก และต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาตลอด ยืนยันว่า ดีที่มีการรัฐประหาร เขาเห็นด้วยกับการรัฐประหาร เพราะทหารไม่ได้มายึดอำนาจเหมือนครั้งก่อน แต่ทหารมาเป็นนายกสภา อูมินส่วย มารักษาการประธานาธิบดี ภายใน 1 ปีจะมีการเลือกตั้งใหม่

ที่คนจำนวนมาก ผู้นำทางความคิดของกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมากเห็นด้วยกับการยึดอำนาจของทหารครั้งนี้ เพราะตลอดหลายปีในการปกครองของซูจีและรัฐบาลพรรคNLD ซูจีได้ทำในหลายสิ่งที่ประชาชนต่อต้าน ไม่เห็นด้วย เป็นการกระทำที่แย่มากๆ ตัวอย่างเช่น ซูจีไปเอาคนยุโรป ฝรั่งต่างประเทศมาเป็นที่ปรึกษาประเทศจำนวนถึงประมาณ 90 กว่าคน แต่ละคนต้องจ่ายเงินเดือนเขาอย่างน้อยเดือนละ 2000 USดอลลาร์ (60,000บาท) ทั้งที่ประเทศเมียนมาร์ยากจนมาก ประชาชนยากจนมาก ไม่มีเงิน

แต่ซูจีเอางบประมาณชาติมาผลาญ ตลอด 5 ปีของรัฐบาลซูจีเสียเงินไปมาก ทั้งที่คนพม่าเองที่เก่งๆ มีความรู้ในเมืองก็มีมาก ซูจีไม่เอาไปปรึกษา เธอเห็นแก่ชาติตะวันตก ประเทศเมียนมาของเราจะเอาแบบตะวันตกไม่ได้ เราไม่เหมือนกัน ชนกลุ่มน้อยก็มีมาก คนไม่มีการศึกษาก็มาก ตลอด 5 ปีของการปกครองของซูจี บ้านเมืองไม่ได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาเลย งบประมาณที่ซูจีเอาไปให้ที่ปรึกษาฝรั่ง เอามาช่วยการศึกษาดีกว่า แต่ซูจีและNLD ไม่ทำ

ที่สำคัญซูจีไม่เห็นหัวชนกลุ่มชาติพันธุ์ ไม่อยากร่วมมือกับกลุ่มชาติพันธุ์ ไม่อยากเอาคนของกลุ่มชาติพันธุ์เข้าร่วมทำงานการเมืองในสภา ซูจีไม่เอาอย่างชัดเจนมาก ดังนั้นรัฐประหารครั้งนี้น่าจะดีกับประเทศของเรา มากกว่าปล่อยให้ซูจีเปิดสภาแล้วตั้งรัฐบาลปกครองประเทศต่อไป

ทั้งหมดนี้ดิฉันรวบรวมจากการสัมภาษณ์เพื่อนสัญชาติพม่า และคนของกลุ่มชาติพันธุ์ในช่วงครึ่งวันที่ผ่านมา


ที่มา:

https://www.facebook.com/1190754654403357/posts/2485003138311829/

https://www.thaipost.net/main/detail/91873

ส.ส.พลังประชารัฐ ขอพรรคการเมือง เลิกตีตราจอง แสดงความเป็นเจ้าของพื้นที่ ชี้ควรเคารพเสียงของประชาชน เป็นผู้ตัดสินใจเลือกคนมาทำงานเป็นตัวแทน แนะพรรคการเมืองควรทำหน้าที่เป็นตัวเลือก ไม่ใช่ผู้ชี้ขาด

นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.เขต 2 จ.นครศรีธรรมราช และรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยถึง กรณีที่พรรคพลังประชารัฐ ส่งตัวแทน คือ นายอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ลงรับสมัครเลือกตั้งซ่อมในเขต 3 จ.นครศรีธรรมราช แทน นายเทพไท เสนพงศ์ ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตัดสิทธิทางการเมือง ว่า เป็นเพราะตนเคารพการตัดสินใจของพี่น้องประชาชนในพื้นที่

การที่พรรคส่งตัวแทนผู้สมัคร นั่นหมายความว่า พรรคไม่สนับสนุนให้มี “การตีตราจอง” ว่าใครเป็นเจ้าของพื้นที่ และ ยืนยันว่า จะไม่มี “การฮั้วกันทางการเมือง” แต่เป็นการเพิ่มช่องทางตัวเลือกที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับประชาชน

“30 ปี ที่ผ่านมา พี่น้องประชาชนในพื้นที่จ.นครศรีธรรมราช ต้องเผชิญกับคำว่า "พรรคของเรา คนของเรา" มาโดยตลอด คนภายนอกอาจมองว่า พื้นที่นี้มีแต่พรรคการเมือง พรรคเดียวเป็นเจ้าของพื้นที่ แต่สถานการณ์ปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว ในสนามเลือกตั้งไม่มีใครเป็นเจ้าของพื้นที่ที่แท้จริงนอกจากพี่น้องประชาชน”

สำหรับวันนี้บ้านเมืองอยู่ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การเลือกตั้งซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในระบอบประชาธิปไตย จึงควรที่จะต้องมาจากคะแนนเสียงที่บริสุทธิ์ของพี่น้องประชาชน ในฐานะพรรคการเมือง เราเป็นเพียงตัวเลือกของพี่น้องประชาชน ในการเสนอตัวรับใช้ ไม่ใช่ “การตีตราจอง” ว่า พื้นที่นี้เป็นของฉัน หรือพื้นที่นี้เป็นของพรรคใดพรรคหนึ่ง

และ ผมเชื่อว่า “การฮั้ว” กัน ไม่ใช่หนทางของการสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง และยังขัดต่อหลักการอย่างที่สุด นอกจากนี้ยังเป็นการกระทำที่ปิดโอกาสทางเลือกให้พี่น้องประชาชนได้ตัดสินใจเลือกผู้แทนที่เขาอยากเลือก เพื่อมาทำงานรับใช้เขา

“สิ่งที่พรรคพลังประชารัฐ ยืนยันในหลักการมาโดยตลอดคือ เราต้องให้ความเคารพต่อคะแนนเสียงของพี่น้องประชาชน แม้ว่าเขาไม่ได้เลือกเรา แม้ว่าพรรคพลังประชารัฐจะต้องพ่ายแพ้ในเขตเลือกตั้งนั้นๆ เราไม่เคยตีโพยตีพาย แต่เราต้องใช้สถานการณ์ดังกล่าวในการคิดทบทวน และปรับปรุงตัวเราเอง”

อย่างไรก็ตาม พรรคพลังประชารัฐ เคารพและถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูงสุดที่พี่น้องประชาชน ได้ลงคะแนนเสียงเลือกตัวแทนของพรรค เราเชื่อว่าทุกคะแนนเสียงที่ได้รับ คือ “คะแนนบริสุทธิ์” ที่พี่น้องประชาชนได้ตัดสินใจเลือกตัวแทนของเขาแล้ว และคือผู้ให้โอกาสเราได้ทำงานตอบแทนความไว้เนื้อเชื่อใจนั้น โดยเราพร้อมที่จะยอมรับกติกาที่ถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

หลายท่านคงได้เห็นการเปิดตัวของ ‘Top News TV’ นำทีมโดย ‘สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม’ และอดีตทีมงาน ‘เนชั่นทีวี’ โดยมีธงในการนำเสนอที่ชัดเจนกันไปบ้างแล้ว

ทว่า ในบางมิติของสถานีข่าวดังกล่าว ก็เริ่มมีเสียงสะท้อนออกมาเชิงติติงถึงการนำเสนอที่อาจสร้างความขัดแย้งได้เบา ๆ โดย ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ ที่ได้ติดตามชมช่องนี้ ก็ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว Warat Karuchit ว่า...

ด้วยความปรารถนาดีต่อ Top News นะครับ...

ความเห็นส่วนตัวของผมคือ คุณไม่ต้องเน้นย้ำเรื่องการนำเสนอ "ความจริง" หรอกครับ (แถมยังเป็น "ที่สุดแห่งความจริง" อีกต่างหาก)

คนที่เป็นแฟนคลับ ก็เชื่ออยู่แล้ว ไม่ต้องบอกก็เชื่อ

คนที่ชิงชัง หมั่นไส้ บอกยังไงก็ไม่เชื่อ จะเอาไปล้อเลียนด้วยซ้ำ

และอันที่จริงสำนักข่าวชั้นนำทั่วโลก ไม่มีใครจำเป็นต้องบอกหรอกครับว่าเป็นสถานีที่นำเสนอความจริง

เพราะสำนักข่าวมีหน้าที่นำเสนอความจริงอยู่แล้ว และความจริงก็คือความจริง ไม่มีอะไรจริงมากจริงน้อย จริงน้อยก็คือบิดเบือน หรือไม่จริงนั่นเอง

ยิ่งเน้นย้ำเรื่องความจริง ยิ่งรู้สึกเหมือนพยายามจะปกปิดอะไรไปเสียอีก

การยิ่งย้ำเรื่องความจริง ในความคิดเห็นผม ยิ่งเป็นการผลักให้ Top News มีจุดยืน "ยึดครองความจริง" ชุดเดียวที่มีอยู่ ซึ่งผมไม่เห็นด้วย

ทุกสำนักข่าวสามารถใช้ความจริงได้ แต่แบบนี้เหมือนว่าสำนักข่าวอื่นนั้นจริงไม่เท่า ทำให้ตัวเองแปลกแยกออกมาและถูกหมั่นไส้โดยไม่จำเป็น ยิ่งเป็นเป้าให้จับผิดด้วย

ดังนั้นในแง่แบรนด์ดิ้ง ลองขยายจุดยืนไปให้มากกว่า "ความจริง" และ "รักชาติ" อาจจะขยายฐานผู้ชมได้มากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมอยากเห็น มากกว่าจะเป็นผู้ชมกลุ่มเดิม ๆ ที่เหนียวแน่น แต่จำนวนเท่าเดิม

ผมว่าในยามนี้สร้างมิตรดีกว่าศัตรู ทั้งในเรื่องผู้ชมและสปอนเซอร์ด้วย ตั้งใจทำดีต่อไป ให้ผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์ดีกว่าครับ ว่าสำนักข่าวนี้จะสร้างประโยชน์ให้สังคมได้อย่างไรบ้าง


ที่มา: https://m.facebook.com/story.phpstory_fbid=4275680352447571&id=100000169455098

‘ทักษิณ - มินอ่องหล่าย’ รู้จักกันเป็นอย่างดี!! เปิดปมสัมพันธ์ (ไม่) ลับ ที่จับแต่ผลประโยชน์ทางธุรกิจล้วนๆ

เปิดสัมพันธ์ ‘ทักษิณ’ นักโทษหนีคดี กับ ‘มิน อ่อง หล่าย’ ผู้ทำรัฐประหารเมียนมา พบลึกซึ้งตั้งแต่ยุค ‘ยิ่งลักษณ์’ เป็นนายกฯ สนิทถึงขั้นเรียก ‘ไอ้’ ได้ในคลิปถั่งเช่าฉาว และสามารถบุกไปดูโครงการท่าเรือทวาย พักบ้านหรูเชิงเขามัณฑะเลย์ ก่อนจะยกที่ดินใจกลางเมืองย่างกุ้งให้ แถมสุดท้ายได้บ่อน้ำมันสมใจ หลังเคยปล่อยเงินกู้ 4 พันล้าน ดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน ในยุคตัวเองเป็นผู้นำ จนถูกตัดสิน 3 ปี และหนีคดี

หลังเกิดเหตุรัฐประหาร ยึดอำนาจในประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา นำโดย ‘พล.อ.มิน อ่อง หล่าย’ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา ที่อยู่ในอำนาจ มานานถึง 10 ปี ด้วยวัย 64 ปี เข้าทำการยึดอำนาจจากนางอองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐและรัฐมนตรีต่างประเทศเมียนมา และประธานาธิบดีวิน มินต์ พร้อมกับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเวลา 1 ปี เพื่อจัดระเบียบต่างๆ ก่อนจะให้มีการเลือกตั้งใหม่นั้น ชื่อของ ‘พล.อ.มิน อ่อง หล่าย’ ก็โดดเด้งขึ้นมาในสายตาของใครหลายๆ คน

สำหรับ ‘พล.อ.มิน อ่อง หล่าย’ นั้นปรากฎพบชัดว่ามีความสนิทชิดเชื้อกับประเทศไทยในหลายมิติ โดย เพจ ‘Wassana Nanuam’ ของน.ส.วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวอาวุโสสายทหาร ระบุว่า พล.อ.มิน อ่อง หล่าย มาเยือนไทยหลายครั้ง อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อมาประชุม GBC คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-เมียนมา ในฐานะแขกของผบ.ทหารสูงสุดของไทย และก่อนหน้านี้ เมื่อมาไทย ก็มักจะไปพบกับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ โดยมีความสนิทสนมกันมากถึงกับ ขอเป็นลูกบุญธรรมพล.อ.เปรม เพราะรู้สึกว่า เหมือนพ่อของตนเอง เนื่องจากพล.อ.เปรมอายุห่างจากพ่อของพล.อ.มิน อ่อง หล่าย เพียง 1 ปี กระทั่งพล.อ.เปรม ถึงแก่กรรม พล.อ.มิ่น อ่อง หล่าย ก็ยังเดินทางมาเคารพศพ ที่วัดเบญจมบพิตร และไปลงนาม ที่วังสราญรมย์ด้วย

อย่างไรก็ตาม ในโลกออนไลน์ กลับมีเรื่องที่น่าสนใจหนึ่ง โดยมีการขุดคุ้ยความสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา และหัวหน้าคณะรัฐประหาร กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้หนีคดีของไทย โดยนำ ‘คลิปถั่งเช่า’ ในอดีตที่โด่งดัง เมื่อปี 2556 ในยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ มาถอดความ ซึ่งในนั้นมีเสียงสนทนาของชายที่เสียงคล้ายพล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมช.กลาโหม (ในขณะนั้น) กับนายทักษิณ ชินวัตร

ช่วงหนึ่งในคลิปถั่งเช่านี้ มีการพูดถึงคนชื่อ ‘มิน อ่อง หล่าย’ ว่า “…เรื่องของพม่า ผมบอกกับนายกฯ ไปแล้วนะครับบอกว่าใช้ ‘ผบ.สูงสุด’ ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุดเลย เพราะ “ไอ้มิน อ่อง หล่าย” ซึ่งเป็น ผบ.สูงสุด ของพม่า มันเป็นมือหนึ่งของท่านประธานาธิบดีเต็งเส่งเลย แล้ว ‘เต็งเส่ง’ ให้ความเกรงใจมากที่สุด และทีนี้ ‘ไอ้ผบ.สูงสุด’ เขากับ ‘ผบ.สูงสุดไทย’ นี่ มันมาเป็นเคาน์เตอร์พาร์ตกัน ผลัดกันกินข้าวคนละเดือน คนละเดือน เพราะฉะนั้นถ้าจะบีบอะไรเรื่อง ‘ทวาย’ นายกฯ เรียกผบ.สูงสุดมาใช้ได้อีกงานหนึ่ง เป็นงานต่างประเทศ

ชายที่เสียงคล้ายนายทักษิณ กล่าวตอบหลายประโยคที่สะท้อนถึงความแนบแน่นว่า “ผมก็ไปสงกรานต์กับมัน กับ ไอ้เนี่ย ผบ.สูงสุด!! … พวกผมทั้งนั้นแหละ มันยกที่ให้ผมแปลงนึง ใจกลางเมืองย่างกุ้ง

ชายที่เสียงคล้ายพล.อ.ศศิประภา ตอบว่า “ไอ้นี่ต้องเอาไว้นะครับ ถ้าได้ พม่านี่เสร็จเราหมดเลย ต้องเอาให้ได้ … ไอ้มิน อ่อง หล่าย และไอ้รัฐมนตรีกีฬากับโฮเต็ลอีกคนหนึ่ง ไอ้นี่ก็มหาศาลเหมือนกันนะ ผมจะเรียกให้มาพบท่าน มันสร้างทำเนียบรัฐบาลให้ประธานาธิบดี มันสร้างรัฐสภาให้ ขณะนี้มันกำลังสร้าง Sport Complex ให้ มันรวยมหาศาลเลย เจ้าของบ่อหยก

อีกด้านหนึ่ง เพจ Dr.X ได้แฉถึงสายสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.มิน อ่อง หล่าย กับ นายทักษิณ ชินวัตร โดยอธิบายว่า…”ย้อนดูข่าวช่วงปี 2556 พบว่า นายทักษิณเดินทางเข้าพม่า 2 ครั้ง ครั้งแรก…เดือนมีนาคม 2556 และ ช่วงสงกรานต์ปี 2556 โดยในเดือนมีนาคม 2556 สำนักข่าวประเทศพม่า Eleven media group รายงานว่า นายทักษิณเดินทางไปที่เมืองทวายเพื่อเข้าดูท่าเรือของโครงการทวาย ขณะที่ในช่วงสงกรานต์ ปี 2556 นายทักษิณก็เดินทางไปยังเมืองเมย์เมียว โดยพบกับ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของพม่า ที่บ้านพักหรูเชิงเขาในเขตมัณฑะเลย์ และปี 2557 ก่อนการรัฐประหารในไทย นายทักษิณก็ปรากฏตัวที่เมียนมาอีกครั้ง ข่าวว่าไปทำบุญแก้กรรม โดยเข้าพักที่ชั้น 10 โรงแรมชาเทรียม ในย่างกุ้ง แล้วแกนนำพรรคเพื่อไทย, รัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และข้าราชการระดับสูง แห่ไปพบกันเพียบ”

ทั้งนี้หากจับปรากฏการณ์ดังกล่าวจะพบว่า สายสัมพันธ์ของทั้ง พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ผู้หนีคดีของไทยนั้น พบว่า หลังเดือนมีนาคม 2556 ที่นายทักษิณเดินทางไปดูโครงการท่าเรือทวาย และช่วงสงกรานต์ 2556 ที่มีการเจรจาลับกันที่บ้านพักหรู เชิงเขาในเขตมัณฑะเลย์นั้น จากปากคำของนายทักษิณ ยอมรับเองว่า มีการยกที่ดินใจกลางเมืองย่างกุ้งให้ตนเอง ขณะเดียวกันมีการวิจารณ์กันด้วยว่า หลังเหตุการณ์ดังกล่าว คาดว่านายทักษิณจะมีบ่อน้ำมันในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย สมความตั้งใจที่ต้องการได้สิทธิมานาน

สำหรับโครงการลงทุนในทวายนั้น ตั้งอยู่ทางตอนใต้ประเทศเมียนมาร์ และอยู่ทางตะวันตกจากกรุงเทพฯ โดยมีระยะทางประมาณ 350 กิโลเมตร รัฐบาลสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาได้ให้สิทธิในการพัฒนาพื้นที่ของโครงการทวายแก่บริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เป็นการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งแบ่งเป็น 6 เขตอุตสาหกรรม ได้แก่ เขตที่อยู่อาศัย เขตการค้าและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องภายในนิคมอุตสาหกรรม ถนนและทางรถไฟเชื่อมโยงไปสู่ประเทศไทย รวมไปถึง น้ำมันและท่อส่งก๊าซธรรมชาติจากอ่าวมะตะบันไปยังชายแดนไทย-สหภาพเมียนมา

ท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ตั้งอยู่ห่างจากจังหวัดทวายประมาณ 28 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ในตอนเหนือของอ่าวเมืองมะกัน มีการลงทุนสร้างท่าเรือน้ำลึก นิคมอุตสาหกรรม ปิโตรเคมี ถนนเชื่อมโยงจากทวายไปยังประเทศไทย และด้วยการสนับสนุนของรัฐบาลสหภาพเมียนมาร์ในการเชื่อมโยงทางรถไฟจากทวาย ย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ มูเซ เชื่อมต่อไปยังทางรถไฟจีนที่คุนหมิง ทำให้โครงการนี้ได้รับการเสนอให้เป็นจุดศูนย์กลางการขนส่งที่สำคัญของภูมิภาค

ทั้งนี้จะเห็นว่า นายทักษิณพยายามสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับเมียนมามาโดยตลอด โดยเมื่อครั้งตัวเขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีการสั่งการให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (Exim Bank) อนุมัติเงินกู้สินเชื่อจำนวน 4,000 ล้านบาท แก่รัฐบาลสหภาพพม่า โดยมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน เพื่อนำเงินกู้ดังกล่าวไปใช้ในการซื้อสินค้าและบริการของบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) อันเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่น ซึ่งในเวลาต่อมา นายทักษิณถูกศาลตัดสินพิพากษา เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2562 ว่า มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 (เดิม) ให้จำคุก 3 ปี

เมื่อกรณีค่าโดยสารรถไฟฟ้าแพง กลายเป็นปัญหาใกล้ตัวที่คนกรุงเตรียมต้องเจอ หลังสเกลราคาเต็ม Max ตลอดสาย จะอยู่ที่ 104 บาท เริ่ม 16 ก.พ.2564 ทาง ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี จึงได้ออกมาเปิดแนวทางแนะวิธีช่วยลดค่าโดยสารให้ถูกลง

เมื่อกรณีค่าโดยสารรถไฟฟ้าแพง กลายเป็นปัญหาใกล้ตัวที่คนกรุงเตรียมต้องเจอ หลังสเกลราคาเต็ม Max ตลอดสาย จะอยู่ที่ 104 บาท เริ่ม 16 ก.พ.2564 ทาง ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี จึงได้ออกมาเปิดแนวทางแนะวิธีช่วยลดค่าโดยสารให้ถูกลงได้อย่างน่าสนใจผ่านเฟซบุ๊ก ‘ชัชชาติ สิทธิพันธุ์’ ว่า...

เรื่องอัตราค่าโดยสารใหม่ของ BTS คงเป็นเรื่องกังวลใจของพวกเราหลาย ๆ คน เพราะจำนวนคนที่ใช้รถไฟฟ้า BTS ก่อนโควิด มีถึงเกือบ 700,000 คนเที่ยวต่อวัน

แล้วมีทางไหนไหม ที่จะทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าถูกลง?

วิธีหนึ่งที่หลาย ๆ ประเทศในโลกใช้กัน คือ เพิ่มรายได้ในส่วนของ Non-Fare

รายได้จากกิจการรถไฟฟ้าหรือ กิจการขนส่งทั่วๆ ไป เราอาจมีรายได้ในสองรูปแบบ คือ...

1.) Fare Revenue รายได้จากค่าตั๋วโดยสาร

2.) Non-Fare Revenue รายได้จากกิจกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าโฆษณา ค่าเช่าพื้นที่ ประโยชน์จากการเชื่อมต่อสถานี

จำนวนผู้โดยสารที่ผ่านระบบมากถึง 700,000 คน - เที่ยวต่อวัน ทำให้พื้นที่ในสถานีรถไฟฟ้า ในขบวนรถไฟฟ้า ราวจับ รวมถึงรอบตัวรถไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งเสาโครงสร้างรถไฟฟ้า มีมูลค่าสำหรับการโฆษณาสูงมาก

เราคงจะไม่เห็นพื้นที่ไหนที่มีการโฆษณามากเท่ากับพื้นที่ในสถานีรถไฟฟ้าแล้ว

อย่างในกรณีของ MTR ของฮ่องกง ในปี 2017 มีรายได้จาก Fare Revenue 63% และ Non-Fare Revenue 37%

สำหรับในส่วนของกทม. ผมเชื่อว่าถ้าเราบริหารจัดการให้ดี ดูแลผลประโยชน์ของประชาชนให้ดี เราสามารถนำรายได้ในส่วนของ Non - Fare มาช่วยเสริมรายได้จากค่าโดยสารอีกไม่น้อยกว่า 20%

จากข้อมูลของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เราพอจะหารายละเอียดที่เกี่ยวข้องเพื่อเปรียบเทียบคร่าวๆ ได้ดังนี้

รายได้จากค่าโดยสารของรถไฟฟ้า BTS ในส่วนสายหลักระยะทาง 23.5 กิโลเมตร (สายสุขุมวิท จากสถานีหมอชิตถึงสถานีอ่อนนุชและสายสีลม จากสถานีสนามกีฬาแห่งชาติถึงสถานีสะพานตากสิน) ในปี 2562 - 2563 เก็บค่าโดยสารได้รวม 6,814.24 ล้านบาท

ในขณะที่รายได้จากการโฆษณาและให้เช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์ในสถานีรถไฟฟ้า BTS ในปี 2562 - 2563 สูงถึง 2,183.89 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 30% ของรายได้จากค่าโดยสาร

ในอนาคต เมื่อสัมปทานปัจจุบันสิ้นสุดลง ถ้าเรามีการประมูลที่โปร่งใส ยุติธรรมกับทุกฝ่าย มีการนำรายได้อื่นๆ จากรถไฟฟ้ามาช่วยสนับสนุนค่าโดยสาร จะช่วยทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าถูกลงได้ครับ


ที่มา: https://www.facebook.com/532747176786139/posts/3864920170235473/

หัวหน้าพรรคก้าวไกล ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ โต้ ‘ณฐพร โตประยุร’ เลอะเทอะ ไร้สาระ หลังยื่น กกต.ยุบพรรคก้าวไกล เหตุส.ส.ของพรรคใช้ตำแหน่งประกันตัวผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 ชี้เป็นแค่คนในระบอบสืบทอดอำนาจ คสช. ที่ออกมาหาเรื่องเท่านั้น

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Pita Limjaroenrat - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถึงกรณีที่นายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นกกต.ยุบพรรคก้าวไกล ประกันตัวผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 โดยระบุว่า

เลอะเทอะ

ผมได้ติดตามข่าวและได้อ่านเอกสารคำร้องที่คุณณฐพร โตประยูร ที่ได้ส่งให้ กกต. แล้ว ผมไม่มีอะไรจะพูดอะไรมาก นอกจากคำว่า ‘เลอะเทอะ’ และ ‘ไร้สาระ’

คุณณฐพร โตประยูร ชื่อคุ้นๆ เพราะเป็นหนึ่งในผู้เกี่ยวของกับคดีฟอกเงินที่ดินคลองจั่นเกือบ 5 ร้อยล้านบาท เป็นผู้สนับสนุนระบอบสืบทอดอำนาจ คสช. และเขาก็ยังเป็นคนเดียวกับที่เคยยื่นให้ยุบพรรคอนาคตใหม่คดี ‘อิลูมินาติ’ ด้วย ซึ่งในคดีนั้นก็จบลงที่ศาลวินิจฉัยไม่ยุบพรรคอนาคตใหม่ เนื่องจากไม่ได้มีการล้มล้างการปกครองหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครองแต่อย่างใด

คำร้องยุบพรรคที่คุณณฐพรเขียนมาวันนี้ ข้อเท็จจริงที่กล่าวอ้างมาก็ไม่มีส่วนไหนเลยที่สนับสนุนสิ่งที่ตัวเองกล่าวหา ซึ่งอ่านทั้งหมดแล้วก็รู้สึกว่าไร้สาระยิ่งกว่าคดี ‘อิลูมินาติ’ เสียอีก ดังนั้น ทางผมและพรรคกำลังพิจารณาฟ้องร้องดำเนินคดีกับคุณณฐพร โตประยูร ในความผิดมาตรา 101 แห่ง พ.ร.บ.พรรคการเมือง พ.ศ.2560

ในข้อหาที่ว่า “ผู้ใดแจ้งหรือกล่าวหาพรรคการเมืองหรือบุคคลใดว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อคณะกรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยรู้อยู่ว่าเป็นความเท็จต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น...”

สุดท้ายนี้ เมื่อดูภาพรวมประกอบบริบทสถานการณ์แล้ว การยื่นคำร้องยุบพรรคก้าวไกลแบบนี้ คิดเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากความตั้งใจก่อกวนให้พวกเราเสียสมาธิในการทำงาน และเบี่ยงประเด็นกลบเกลื่อนความผิดพลาดในการบริหารงานของรัฐบาล ที่จะถูกแฉในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะมีขึ้นใน 2 สัปดาห์ข้างหน้านี้

ขอเชิญชวนประชาชนทุกท่าน อย่าลืมติดตามการประชุมสภาเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งจะเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป พรรคก้าวไกลพร้อมอภิปรายอย่างสร้างสรรค์ พวกเรายืนยันจะทำเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน ภาษีทุกบาททุกสตางค์ต้องถูกใช้อย่างคุ้มค่าและโปร่งใส


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top