Saturday, 31 May 2025
POLITICS NEWS

‘เพื่อไทย’ เฮ!! ทวงเก้าอี้นายก อบจ.ปทุมธานี คืนได้สำเร็จ ตอกย้ำมนต์ขลัง ’ทักษิณ‘ ไม่เสื่อม แม้คู่แข่งไม่ธรรมดา

(1 ก.ค. 67) ที่ จ.นครราชสีมา นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายชาญ พวงเพ็ชร์ ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปทุมธานี ในนามของพรรค พท. ชนะการเลือกตั้งซ่อมนายก อบจ. ว่า ถือโอกาสนี้ขอบคุณประชาชนชาวปทุมธานีทุกคนที่ยังให้ความไว้วางใจเลือกผู้สมัครของพรรค พท. ซึ่งจากการนับคะแนนไม่เป็นทางการ ผลปรากฏว่านายชาญชนะการเลือกตั้ง 

“ถือเป็นการหักล้างคำสบประมาทว่ากระแสของพรรคเพื่อไทยยังครองใจประชาชน ซึ่งการแข่งขันครั้งนี้เป็นการแข่งขันที่สมศักดิ์ศรี และผลออกมาก็แสดงว่าพี่น้องทั้งจังหวัดยังให้ความชื่นชอบพรรคเพื่อไทยอยู่” นายประเสริฐ กล่าว

เมื่อถามว่า ผลการเลือกตั้งครั้งนี้สะท้อนว่านายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยังไม่เสื่อมมนต์ขลังใช่หรือไม่ นายประเสริฐ ตอบทันทีว่า “ไม่เสื่อมครับ ไม่เสื่อม นี่เห็นได้ชัดเลยว่า แม้เราจะต้องทำตามนโยบายหลายอย่าง แต่เราก็สามารถคว้าชัยมาได้” 

เมื่อถามว่า การได้ชัยชนะในพื้นที่ปริมณฑล จะเป็นการล้างภาพที่พรรค พท. เคยแพ้การเลือกตั้งในพื้นที่ปริมณฑลหรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า จ.ปทุมธานีเป็นพื้นที่สำคัญ เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่กรุงเทพฯ เลยก็ว่าได้ 

เมื่อถามว่า มองว่าจะเป็นโดมิโนให้พรรคพท. คว้าชัยในปริมณฑลอื่นหรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า เราต้องทำการเมืองอย่างต่อเนื่อง และชัยชนะครั้งนี้ทำให้เราต้องทำงานหนัก 

เมื่อถามย้ำว่า การชนะแค่คะแนนไม่ถึงหลักพันต้องทำการบ้านหนักขึ้นใช่หรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า ใช่ เพราะคู่ต่อสู้ไม่ธรรมดา ซึ่งการชนะเขตปริมณฑล และการที่จะมีการเลือกตั้งนายกอบจ.ในต้นปีหน้า พรรคคงต้องปรับกระบวนการยุทธศาสตร์เพื่อการต่อสู้ในครั้งต่อไป

เมื่อถามว่า ที่จ.ปทุมธานีสะท้อนภาพบ้านใหญ่ร่วมแรงกัน จังหวัดอื่นจะมีการรวมบ้านใหญ่เพื่อมาชูพรรค พท. หรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า ไม่อยากใช้คำว่าไปรวบรวมอะไร แต่ตนคิดว่านี่คือเสียงของประชาชนที่ยังไว้ใจพรรค พท. แล้วเชื่อว่ากระแสเหล่านี้ยังมีอยู่ และจะสามารถทำให้พรรค พท.คว้าชัยชนะได้

เมื่อถามว่า ผลการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นที่ยอมรับแล้วใช่หรือไม่ว่า จ.ปทุมธานียังเป็นหัวใจของคนเสื้อแดง นายประเสริฐ กล่าวว่า ผลการเลือกตั้งชี้เช่นนั้น และขอรอให้การเลือกตั้งที่เป็นทางการก่อน

โดนแล้ว!! 'สื่อตะวันตก' ปั่นกระแส '2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ รับเงินหลวง ปฏิบัติข่าวสารเลือกข้าง แบบที่ฟอกขาวอิสราเอล แต่ดิสเครดิตจีนปมอุยกูร์

มีเรื่องราวอันเป็นข่าวเกี่ยวกับ ‘2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ ด้วยมีข่าวปรากฏออกมาว่า วันที่ 7 พ.ค. 2567 สื่อต่างประเทศรายหนึ่ง (ขอสงวนชื่อ) ได้สัมภาษณ์ ‘วิวัธน์ จิโรจน์กุล’ ผู้กำกับ ‘2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’  ด้วยการเริ่มคำถามทั่วไปเกี่ยวกับ ภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องนี้ ซึ่งสื่อต่างประเทศรายนั้นถามว่า งบประมาณที่ใช้ทำแอนิเมชันเรื่องนี้มาจากกองทัพ ใช่หรือไม่ หรือการที่ ‘วิวัธน์ จิโรจน์กุล’ ในฐานะผู้กำกับตัดสินใจทำแอนิเมชันเรื่องนี้มาจากม็อบเยาวชนออกมาเคลื่อนไหวเรื่องภารกิจคณะราษฎร ใช่หรือไม่

ตามด้วยคำถามที่เกี่ยวกับการเมืองไทยในปัจจุบัน อาทิ คุณไม่อยากให้ก้าวไกลเป็นรัฐบาลใช่หรือไม่, คุณคิดเห็นอย่างไรกับการยุบพรรคก้าวไกล, คุณเห็นว่า มาตรา 112 มีปัญหาหรือไม่, คุณคิดว่าบทลงโทษ 3-15 ปี ไม่รุนแรงไปหรือ?, แล้วการที่แค่วิจารณ์แล้วต้องติดคุก มันเหมาะสมหรือไม่?, แล้วคุณคิดเห็นอย่างไร? ที่หลายฝ่ายมองว่า ม.112 ละเมิดสิทธิมนุษยชน และ แล้ว มุมมองประชาธิปไตยของคุณเป็นอย่างไร? 

(***สามารถอ่านคำถามและคำตอบของ ‘วิวัธน์ จิโรจน์กุล’ ได้ที่ >> https://www.facebook.com/2475animation/posts/pfbid0tkoXHrYutYW3RfNYzGTSAUdRmxQxMvsd6B1aYcuVYr8jPuvSomjKssMw9ujRGXm6l)

จะเห็นได้ว่าคำถามต่าง ๆ ของสื่อต่างประเทศรายนั้นที่ถามต่อสัมภาษณ์ ‘วิวัธน์ จิโรจน์กุล’ ผู้กำกับ ‘2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ เป็นคำถามที่มีลักษณะชี้นำแกมบังคับเพื่อให้ผู้ตอบได้แสดงออกถึงจุดยืนทางการเมืองฟากฝ่ายใดฟากฝ่ายหนึ่ง แต่ ‘วิวัธน์ จิโรจน์กุล’ สามารถตอบคำถามต่าง ๆ เหล่านั้นได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม แสดงถึงความเป็นกลางทางการเมือง และความถูกต้องตามมาตรฐานของคุณธรรมและจริยธรรมได้อย่างชัดเจน สมควรที่จะได้รับคำชื่นชมจากพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนที่รักในความเป็นธรรมและยึดถือในความถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง

หลายปีที่ผ่านมา ‘สื่อตะวันตก’ ได้เปลี่ยนบทบาทท่าทีจากความเป็นสื่อมวลชนที่มีคุณภาพและจรรยาบรรณ ยึดถือความเป็นกลาง นำเสนอข่าวสารข้อมูลอันเป็นจริงด้วยความเป็นธรรม ไม่เอนเอียงไปทางฟากฝ่ายใดฟากฟากหนึ่งของความขัดแย้ง แต่กาลปัจจุบันกลับไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว สื่อมวลชน โดยเฉพาะสื่อตะวันตกจะนำเสนอข่าวสารข้อมูลที่มีลักษณะเลือกข้าง ราวกับรับงานจากรัฐบาลและนายทุนฟากฝ่ายตะวันตกมา ‘ปฏิบัติการด้านข้อมูลข่าวสาร’ (Information Operation : IO) โจมตีประเทศต่าง ๆ ที่เป็นคู่ขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็น จีน รัสเซีย อิหร่าน ฯลฯ

ในขณะที่ประเทศที่โลกตะวันตกสนับสนุนอย่างเช่น อิสราเอล ซึ่งไม่ว่าจะก่ออาชญากรรมเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ชาวปาเลสไตน์ไปมากมายขนาดไหน ก็ไม่เคยถูก ‘สื่อตะวันตก’ ประณามหรือกล่าวร้ายเลย โดย ‘สื่อตะวันตก’ เหล่านั้นต่างพยายามให้ข้อมูลกับชาวโลกว่า อิสราเอลป้องกันตนเองอย่างชอบธรรม ทั้ง ๆ ที่พฤติการณ์และพฤติกรรมที่อิสราเอลทำกับชาวปาเลสไตน์นั้น โหดร้ายและป่าเถื่อน เกินกว่าการป้องกันตัวเองไปจนมากมายเกินไปแล้วก็ตาม 

แต่ในกรณีของการปฏิบัติของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนต่อชาวอุยกูร์ ทั้ง ๆ ที่เมืองต่าง ๆ ในดินแดนซินเกียงที่ชาวอุยกูร์อาศัยอยู่นั้นได้รับการพัฒนาความเจริญมากมายในทุก ๆ ด้าน และเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับเขตกาซ่าหรือเขตเวสต์แบงก์ของชาวปาเลสไตน์ซึ่งถูกอิสราเอลปิดล้อมอยู่นั้น ภาพที่ปรากฏเปรียบเทียบความแตกต่างได้ว่ามากกว่าฟ้ากับเหวเสียด้วยซ้ำไป แต่ ‘สื่อตะวันตก’ ยังคงประณาม กล่าวร้าย จีนว่ากดขี่และละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวอุยกูร์ จนมีการแบนผลิตภัณฑ์จากฝ้ายที่เป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของซินเกียง โดยรัฐบาลของประเทศมหาอำนาจตะวันตก

จากภาพยนตร์แอนิเมชัน ‘2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ หากนำเรื่องราวต่าง ๆ มาศึกษาติดตามต่อแล้วจะค้นพบถึงสัจธรรมและปรัชญาทางพุทธศาสนาอย่างน้อย 2 ประการคือ ‘ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย’ (สจจ เว อมตวาจา) และ ‘สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม’ (กมฺมุนา วตฺตตี โลโก) โดยเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย’ ได้แก่สิ่งต่าง ๆ ที่คณะราษฎรได้ทำแต่ถูกปิดเงียบเก็บงำเป็นความลับมายาวนานกว่า 80 ปีนั้น ปรากฎโดยเอกสารผลสอบสวนของคณะกรรมการเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินของพระคลังข้างที่ หรือสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ในปัจจุบัน (ในขณะนั้น) ซึ่งเป็นรายงานที่ทำโดยสำนักนายกรัฐมนตรี ส่งถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร เมื่อปี พ.ศ.2480 ได้บอกเล่าอธิบายเกี่ยวกับพฤติกรรมและวิธีการของสมาชิกคณะราษฎรซึ่งดำเนินการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ.2475 ในการซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ในราคาถูกมาเป็นกรรมสิทธิของตัวเองและพวกพ้อง ด้วยวิธีการที่ไม่สุจริต ซึ่งถูกชี้ชัดว่าเป็นวิธีการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

ส่วนเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม’ นั้น มาจากการที่ ‘แกนนำคณะราษฎร’ เกือบทั้งหมดเป็นข้าราชการทหารและพลเรือน เคยเป็นนักเรียนต่างประเทศจึงได้รับการอุปถัมภ์ดูแลจากล้นเกล้าฯ ในหลวง รัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 7 ตลอดจนเหล่าบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งหลาย แต่การปฏิวัติสยาม 2475 นั้น ‘แกนนำคณะราษฎร’ กลับใช้กำลังบังคับจับกุมเหล่าบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งหลาย ซึ่งหลายพระองค์ได้ทรงให้ความเมตตาเอ็นดูต่อ ‘แกนนำคณะราษฎร’ ตั้งแต่ยังศึกษาเล่าเรียนหรือเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย การกระทำดังกล่าวจึงเปรียบเสมือนการเนรคุณต่อผู้มีพระคุณ ซึ่งผลแห่งกรรมของบรรดา ‘แกนนำคณะราษฎร’ เกิดขึ้นอย่างมากมายในภายหลัง แม้คนรุ่นใหม่ในยุคสมัยนี้อาจไม่เชื่อ แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า บรรดา ‘แกนนำคณะราษฎร’ หลายคนนั้นจบชีวิตลงด้วยความทุกข์ทรมาน ยากลำบาก ไม่ด้วยทางกาย ก็ทางใจ และบางคนก็ไม่สามารถมากลับมาสิ้นสุดหยุดชีวิตบนแผ่นดินเกิดได้ 

ดังนั้น ‘2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ นอกจากจะเป็นภาพยนตร์ที่สะท้อนความเป็นจริงที่ถูกต้องของประวัติศาสตร์ชาติไทยแล้ว ยังให้ข้อคิด อุทาหรณ์ บทเรียนมากมายแก่ผู้ที่เข้าใจต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยเพียงแค่ ‘กระพี้’ แต่กลับปฏิบัติตัวเช่นผู้ที่บรรลุถึง ‘แก่นแท้’ ของประชาธิปไตยแล้ว ซึ่งทำให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทยไม่เคยสมบูรณ์แบบ ทำให้เกิดปัญหาเรื่อยมา ‘2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ ได้แสดงให้เห็นถึงความหมายที่แท้จริงและชัดเจนของประโยคที่ว่า ‘เมื่อกลัดกระดุมเม็ดแรกผิดแล้ว กระดุมเม็ดต่อ ๆ ไปก็กลัดผิดหมด’ ขอขอบคุณคณะผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ แม้จะพบพานปัญหาอุปสรรคเยอะแยะมากมาย แต่ก็ไม่ได้ย่อท้อ บุคคลเหล่านี้ถือได้ว่ามีคุณสมบัติเป็นทองอย่างแท้จริง และเมื่อเป็นทองแล้ว...ย่อมไม่กลัวไฟ!!!

'สว.สีน้ำเงิน-บิ๊กเกรียง' ผงาด!! จับตาเกมเปลี่ยน ขั้วสีแดงดิ้นเร่า!!

เป็นไปตามที่ 'เล็ก เลียบด่วน' วิเคราะห์เอาไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนแทบทุกประการว่า สุดท้ายแล้วสมาชิกวุฒิสภาชุดใหม่ เครือข่ายพรรคสีน้ำเงินกับสีแดงจะยึดสภาสูง...

มือกราฟิก ก็ออกแบบได้เห็นภาพ อักษร ส.สีน้ำเงิน อักษร ว.สีแดง...

อย่างไรก็ตาม ที่คาดหมายพลาดไปบ้างก็ตรงเครือข่ายพรรคสีแดงที่ไม่เป็นไปตามเป้า เดิมคาดว่าอย่างน้อยต้อง 40 คน เอาเข้าจริงตัวเลขคร่าวๆ ขณะนี้มีประมาณ 15-18 คนเท่านั้น

ภาพสรุปที่คำนวณจัดกลุ่มผลเลือก สว.ขณะนี้ประมาณว่า...

- เครือข่ายพรรคสีน้ำเงิน 120-125 คน
- เครือข่ายพรรคสีส้ม 15-20
- เครือข่ายพรรคสีแดง 15-18
- เครือข่ายพรรคบ้านในป่า 10 คน
- กลุ่มทุน+อื่นๆ 30-35 คน

ศึกใหญ่ครั้งนี้ต้องยอมรับว่า...บ้านใหญ่บุรีรัมย์เผด็จศึกได้อย่างราบคาบราบเรียบ เข้าเป้าแทบทุกอำเภอ, จังหวัด, ภาค และประเทศ...เพราะชัดเจนในการเล่นบทวางตัวโหวตเตอร์ วางตัว ว่าที่ สว.ไม่แตกแถว-ทรยศหักหลัง ศึกษากฎกติกามารยาทการลอดช่องกฎหมายและช่องทางธนาธิปไตยแบบไร้รอยต่อ...

กลุ่ม สว.สมชาย แสวงการ ที่พยายามรวบรวมหลักฐานการฮั้วการทุจริตทำผิดหน้าที่ของใครต่อใครคงจะมีเป็นสิบแฟ้มในขณะนี้ แต่ไม่แน่ว่าจะหยุดการเดินหน้าประกาศผลในวันที่ 2 ก.ค.ได้หรือไม่...

ล่าสุดท่าน สว.กล้าณรงค์ จันทิก แห่ง กมธ.องค์กรอิสระ ออกมาช่วยอีกแรงทำหนังสือถึงประธานกกต.ชี้ทางสวรรค์ให้ กกต.รอดตาย ด้วยการเสนอแนะให้ใช้อำนาจตาม พ.ร.ป.ด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ. 2561 มาตรา 59 ซึ่งกำหนดว่า...

"ก่อนประกาศผลการเลือก หากมีเหตุอันควรสงสัยว่าการเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ให้คณะกรรมการมีอำนาจสั่งระงับ ยับยั้ง แก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกการเลือกและสั่งให้ดำเนินการเลือกใหม่ หรือนับคะแนนใหม่..."

ไม่ทราบว่าจะเข้าตา กกต.หรือไม่...แต่ว่ากันว่าถ้ากกต.ดูแคลน หรือไม่นำพางานนี้สนุกแน่...

อย่างไรก็ตาม...สมมติ ว่าทุกอย่างเดินหน้าไปได้ สว.ชุดใหม่ได้เข้าแทนที่ชุดเก่า ก็ต้องยอมรับว่าสถานการณ์การเมืองจะเปลี่ยนไป ดุลยภาพของสว.ชุดใหม่จะไหลไปทางสีน้ำเงิน...ดังนั้นจึงไม่แปลกที่นาทีนี้จะมีการพูดถึงชื่อว่าที่ ประธานวุฒิสภาคนใหม่ ว่าน่าจะเป็น 'บิ๊กเกรียง' พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ อดีต ผช.ผบ.ทบ. และรองประธานสภา จะเป็น มงคล สุระสัจจะ อดีตอธิบดีกรมการปกครอง/ผู้ว่าบุรีรัมย์ กันแล้ว...

โดยเฉพาะ พล.อ.เกรียงไกร หรือ 'บิ๊กเกรียง' นั้น จัดเป็นนายทหารที่ครบเครื่อง โปรไฟล์ดี นอกจากจะเป็นอดีตประธานที่ปรึกษา รมว.มหาดไทย (อนุทิน  ชาญวีรกูล) แล้ว ยังเป็นคนนักเรียน วปอ.รุ่นที่ 61 รุ่นเดียวกับอนุทิน อีกด้วย ขณะเดียวกันก็ยังเป็นนักเรียนเตรียมทหาร (ตท.) รุ่นที่ 22 และ จปร.33 รุ่นเดียวกับ 'บิ๊กบี้' พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ นายทหารคอแดง อดีต ผบ.ทบ.คนก่อน อีกตะหาก...

ส่งท้าย...โดยนัยการผงาดยึดสภาสูงได้ในครั้งนี้ ทำให้ดุลอำนาจของพรรคสีน้ำเงินกดทับพรรคสีแดงอย่างมีนัยสำคัญ...วันก่อนทักษิณ ชินวัตร ออกอาการแบบเห็นๆ เมื่อนักข่าวถามถึงกรณีเลือกสว.ที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สอบตก...โดยพลิ้วไปโจมตีว่าคณะปฏิวัติออกกฎกติกาแบบไม่เคารพประชาชน ไปโน่นเลย...

ไปสภากาแฟวงไหนวันนี้ เริ่มพูดถึงตัวเลข สส.สมัยหน้า ว่าพรรคเพื่อไทย อาจเหลือตัวเลขสองหลัก (ต่ำร้อย) ส่วนภูมิใจไทยผงาดเป็นสามหลัก (ร้อยขึ้น)...บางวงก็พูดถึงขั้นว่า อาจมีการเปลี่ยนนายกฯ เป็นหัวหน้าพรรคสีน้ำเงิน หากเดือนสิงหา ศาลรธน.วินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกล และชี้ว่า เศรษฐา ทวีสิน สิ้นคุณสมบัติที่จะเป็นนายกฯ เพราะผิดตามที่ 40 สว.ร้อง...

ความพยายามบ่มแก๊ส 'อุ๊งอิ๊ง' ให้สุกงอมโดยเร็ว  ดำเนินไปแบบรัวๆ ในขณะนี้ น่าจับตาเป็นยิ่งนัก!!

‘พล.ท.นันทเดช’ มอง!! ‘ประเทศไทย’ ไปได้ไกลกว่านี้ แต่กลับถูกบอนไซ ด้วยการปกครองแบบที่คณะราษฎรตั้งใจ

เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 67 พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘ผลจากการปฏิวัติ 24 มิ.ย. 2475 ทำให้ประเทศไทยไม่ก้าวหน้า (ตอนที่ 2)’ โดยระบุว่า…

1️⃣ จากกรณีที่ในหลวงรัชกาลที่ 7 ทรงยอมชะลอการพระราชทานรัฐธรรมนูญ ตามคำท้วงติงว่า “ประชาชนยังไม่พร้อม“ แต่คณะราษฎรได้ชิงตัดหน้าทำการปฏิวัติไปก่อน ทั้งที่ พ.อ.พระยาพหล หัวหน้าคณะราษฎร ก็ทราบดีอยู่แล้ว แต่ทำไมถึงไม่บอกให้สมาชิกคณะราษฎรรู้ด้วย ขอให้มาดูที่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ซึ่ง อ.ปรีดี เป็นผู้ร่างเองนั้นได้มีการตัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ออกไปทั้งหมด โดยระบุไว้ให้อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน แต่กลับมีที่มาของ สส. ที่จะเข้ามาใช้อำนาจแทนประชาชนไม่ได้มาจากประชาชน โดยให้คณะราษฎรแต่งตั้งเองทั้งหมด และวาระการดำรงตำแหน่งก็ถูกขยายยาวไปถึง 10 ปี โดยแบ่งออกเป็น 3 ช่วงระยะเวลาดังนี้

▪️ช่วงแรก▪️ คณะราษฎร ตั้ง สส. เองทั้งหมด ตามเนื้อความใน รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่ระบุว่า “นับตั้งแต่วันใช้รัฐธรรมนูญ จนกว่าจะถึงเวลาที่สมาชิกในสมัยที่ 2 จะเข้ารับตำแหน่งให้คณะราษฎร ซึ่งมีคณะผู้รักษาพระนคร ฝ่ายทหารเป็นผู้ใช้อำนาจแทน จัดตั้ง สส.ชั่วคราวขึ้นมา 70 นาย”

▪️ช่วงที่ 2▪️ ภายใน 6 เดือน หรือจนกว่า ‘การจัดประเทศเป็นปกติเรียบร้อย’ (92 ปีผ่านมาบ้านเมืองก็ยังไม่เรียบร้อย) สมาชิกสภาจะต้องมีบุคคล 2 ประเภท ทำกิจกรรมร่วมกัน คือ ‘ประเภทที่ 1’ ให้ราษฎรเลือกผู้แทนขึ้นมาจังหวัดละ 1 คน (เกินแสนคนได้อีก 1 คน ) ‘ประเภทที่ 2’ ให้สมาชิกในช่วงแรกที่คณะราษฎรแต่งตั้งไว้ เลือกกันเองมีจำนวนเท่ากับ ส.ส.ประเภทที่ 1 

▪️ช่วงที่ 3▪️ เมื่อราษฎรทั่วประเทศสอบไล่ได้ชั้นประถมศึกษาเกินครึ่ง และไม่เกิน 10 ปี ให้มีแต่ สส.ที่ราษฎรเลือกเข้ามาทั้งหมด

รัฐธรรมนูญที่ อ.ปรีดีเขียนนั้น เห็นได้ว่ามีเจตนาถ่วงเวลาที่ประชาชนจะต้องมีความรู้ไว้นานถึง 10 ปี ซึ่งก็แสดงว่าคณะราษฎรเอง ก็ทราบดีว่าถ้าประชาชนยังไม่พร้อม ประชาธิปไตยเละแน่ ซึ่งก็ตรงกับเหตุผลที่รัชกาลที่ 7 ทรงยอมชะลอการพระราชทานรัฐธรรมนูญไว้ก่อน แต่ในขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็จะทำให้คณะราษฎร มี สส.เสียงข้างมากอยู่ในสภาตลอดมา จึงอ้างอิงมติของสภา ทำอะไรก็ได้ทุกเรื่อง 
อย่างไรก็ตาม อ.ปรีดี ได้พูดถึงเรื่องนี้ในรายงานสภาครั้งที่ 40/2475, ลง 27 พ.ย. 2475 เหมือนกัน ดังนี้ครับ 

“การที่มีสมาชิกผสมในสมัยที่ 2 นั้น ไม่ใช่ประสงค์ที่จะหวงอำนาจ ความข้อนี้มีผู้เข้าใจไปต่างๆ  สุดแต่เขาจะกล่าวหาว่า ประสงค์จะเป็นดิกเตเตอร์ (เผด็จการ) บ้าง อะไรบ้าง ความจริงไม่ใช่เป็นเช่นนั้นเลย การที่เราจำเป็นต้องมีสมาชิกประเภทที่ 2ไว้กึ่งหนึ่ง ก็เพื่อช่วยเหลือ ส.ส.ในขณะนั้นที่เพิ่งเริ่มมีการปกครองแบบรัฐธรรมนูญ เราย่อมทราบอยู่แล้วว่า มีราษฎรอีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการศึกษาเพียงพอที่จะจัดการปกครองป้องกันผลประโยชน์ของตนเองได้บริบูรณ์ ถ้าขืนปล่อยมือให้ราษฎรเลือกผู้แทนโดยลำพังในเวลานี้แล้ว ผลร้ายก็จะตกอยู่กับราษฎรเอง…” 

▪️หลังการปฏิวัติ คณะราษฎรไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนมากนัก จึงพยายามหาทางประนีประนอม กับสถาบันฯ ซึ่งคาดเดาได้ 2 ทาง 

(1) ในทางที่ดี คณะราษฎรเห็นพ้องกับในหลวงรัชกาลที่ 7 ว่าประชาชนยังไม่พร้อมจริง ซึ่งกรณีนี้ เป็นแนวคิดของคณะราษฎรสายทหารเกือบทั้งหมด รวมทั้ง อ.ปรีดีด้วย 

และ (2) ในทางไม่ดี คณะราษฎรเห็นว่าอำนาจของฝ่ายตน ยังไม่มั่นคง เพราะคณะราษฎรในสายทหารส่วนหนึ่งหันกลับมาสนับสนุนการคืนบทบาทให้พระมหากษัตริย์จึงควรหาทางประนีประนอมชะลอเวลาไว้ก่อน 

ดังนั้น รัฐธรรมนูญฉบับถาวร จึงมีการประนีประนอม ถวายพระเกียรติแก่องค์พระมหากษัตริย์เพิ่มขึ้น เช่น มีการทำพิธีขอพระราชทานอภัยโทษ ของคณะราษฎรอย่างเต็มรูปแบบขึ้น, รัฐธรรมนูญชั่วคราวของคณะราษฎร ใช้คำว่า ‘กษัตริย์’ เฉย ๆ แต่ฉบับถาวรใช้คำว่า ‘พระมหากษัตริย์’, การให้สิทธิคัดค้านของพระมหากษัตริย์ (สิทธิ VETO) ถ้าพระองค์ไม่เห็นด้วยกับ พระราชบัญญัติ และ เมื่อครบ 10 ปีแล้ว จะมีการเลือกตั้ง สส.ใหม่ทั้งหมด โดยแบ่ง สส.ออกเป็น 2 ประเภท คือ (1) สส.ประเภทที่ 1 มาจากการเลือกตั้งของราษฎร และ (2) สส.ประเภทที่ 2 มาจากการแต่งตั้งของพระมหากษัตริย์ 

▪️ สรุป การปฏิวัติของคณะราษฎร จึงเป็นการกระทำที่นักวิชาการหลายคนเรียกว่า ‘ชิงสุกก่อนห่าม’ เมื่อประชาชนไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องการเมือง ความสับสนวุ่นวายจึงเกิดขึ้นเกือบทุกปี จนกลายเป็นเรื่องที่ผลักดันให้ คณะราษฎร แตกแยกกันอย่างรุนแรง จนต้องแก้ไขปัญหา โดยการ ‘ใช้อำนาจจากกระบอกปืนแทนอำนาจตามระบอบประชาธิปไตย’ เป็นวงล้อหมุนเวียนกันไปมาตลอด 25 ปี ที่สมาชิกคณะราษฎร ครอบครองอำนาจอยู่ 

ตามข้อเท็จจริงแล้ว คณะราษฎรเป็นเพียงคนกลุ่มหนึ่ง ประมาณ 100 คน ไม่ใช่องค์กรการต่อสู้เพื่อเรียกร้องอิสรภาพ แบบประเทศเพื่อนบ้าน เพราะประเทศไทยเป็นเอกราชเจริญรุ่งเรืองคู่กันมากับญี่ปุ่น จึงทำให้คณะราษฎร มีฐานการสนับสนุนจากประชาชนอย่างจำกัดมาก การเร่งร้อนออกมาจัดตั้งสมาชิกของคณะราษฎรจึงล้มเหลว รวมไปถึงการโหมโฆษณาเรื่องความดีของรัฐธรรมนูญด้วย การเอารถถังไปวิ่งที่ รร.สวนกุหลาบ หรือที่จุฬา การฟ้องร้องกลุ่มเจ้าฯ ยาวไปถึงองค์ในหลวงรัชกาลที่ 7 ฯลฯ ก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น เพราะคนไทยชอบอยู่กันอย่างสงบ ๆ สบาย ๆ ไม่ได้วิตกกังวลว่าจะปกครองระบอบอะไร และไม่ชอบให้ใครมาข่มขู่อีกด้วย ดังนั้นการสูญเสียเวลาไปเกือบ 25 ปีของคณะราษฎร ก็เท่ากับการชะลอความก้าวหน้าของประเทศไทยไว้ด้วย 

▪️ผมอ่านประวัติศาสตร์ที่ อ.ชาญวิทย์ เขียนไว้ ตั้งแต่มียศร้อยเอก ก็นิยมชมชื่นว่า อ.เป็นนักวิชาการที่ทรงความรู้ แต่ปัจจุบัน เมื่อ 18 พ.ค. 67 นี้ไปอ่านเรื่องที่ อ.ชาญวิทย์ไปพูดไว้ที่ฝรั่งเศส พบว่า ก็อ่อมแอ่มพูดไป ข้ามข้อมูล ที่เป็นเรื่องสมควรจะนำมาพิจารณาในส่วนที่ดีไปแยะ น่าจะเป็น เพราะเกรงใจคนจัด (คุณธนาธร) เรื่องนี้ คงเก็บไว้เขียนถึงในตอนที่ 3 นะครับ ตอนนี้ขอให้ชวนกันไปดูภาพยนตร์ ‘แอนิเมชั่น 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ ตามยูทูปต่าง ๆ กันไปก่อนนะครับ เพื่อประกอบการทบทวนความจริงแบบย่อ ๆ น่ะครับ

'อัครเดช-รวมไทยสร้างชาติ' แนะ!! ให้ สว. ชุดใหม่พิสูจน์ผลงานก่อน ส่วนปมร้องเรียนการทุจริต ขอให้เป็นหน้าที่ กกต. เร่งหาความชัดเจน

(28 มิ.ย.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงผลการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ว่า ต้องให้โอกาส สว. ที่ได้รับการคัดเลือกมาทั้งหมดได้ทำงานก่อน เพราะได้รับการคัดเลือกมาตามกระบวนการที่รัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ดังนั้นคงต้องให้โอกาส สว.ทั้ง 200 คนได้ทำงานก่อน ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ของ สว. ชุดนี้ก็จะเป็นตัวชี้วัดว่ากระบวนการคัดเลือกด้วยวิธีนี้เหมาะสมหรือไม่ ถ้าผลงานไม่ดีก็อาจจะต้องนำไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญ แต่ถ้าผลงานออกมาดีก็ไม่จำเป็นต้องแก้

ส่วนกรณีที่มีบางจังหวัดไม่มี สว. นั้น นายอัครเดช กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่า สว.ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนตั้งแต่แรกมาอยู่แล้ว เพราะเจตนารมณ์ของอดีตกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ต้องการให้ สว. เป็นตัวแทนของกลุ่มสาขาอาชีพ เพื่อเข้ามาทำหน้าที่กลั่นกรองกฎหมาย และต้องการให้ สว. ปลอดการเมือง ดังนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมี สว. ทุกจังหวัด 

“เมื่อเจตนารมณ์ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญต้องการให้ สว. เป็นตัวแทนของกลุ่มอาชีพทุกกลุ่ม การที่บางจังหวัดไม่มี สว. ก็ไม่แปลกอะไร เพราะในทุกจังหวัดก็มีทุกอาชีพ ดังนั้น สว. ที่เข้าไปทำงานก็เป็นตัวแทนของทุกอาชีพในทุกจังหวัดอยู่แล้ว” นายอัครเดช กล่าว 

นายอัครเดช กล่าวต่อถึงกรณีที่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตในการคัดเลือก สว. ว่า เป็นหน้าที่ของ กกต. ที่ต้องชี้แจงให้ได้ถึงการปฏิบัติหน้าที่ของ กกต. และทุกประเด็นที่เป็นข่าวที่สังคมมีความเคลือบแคลงใจ รวมถึงต้องเร่งสืบสวนสอบสวนให้เกิดความชัดเจน เพื่อความโปร่งใสของ กกต. และเพื่อให้ภาพลักษณ์ของ สว. ที่ผ่านการคัดเลือกมาจะได้มีความสง่างาม

‘อนุทิน’ ปัด!! สว.หน้าใหม่ เชื่อมโยงภูมิใจไทย ลั่น!! ถึงวันนี้ยังไม่รู้เลย ว่าเขาเลือกกันอย่างไร

(28 มิ.ย.67) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์ถึง กรณีมีการตั้งข้อสังเกตถึงสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่ได้รับเลือกหลายคนมีความเชื่อมโยงกับพรรคภูมิใจไทย ว่า มันเชื่อมโยงไม่ได้ เพราะพรรคการเมืองยุ่งเรื่อง สว.ได้หรือไม่ มีการพูดให้ร้ายตนอยู่เรื่อย

ผู้สื่อข่าวถามว่า การมีข่าวเช่นนี้ออกมามองอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า จะให้ตนทำอย่างไร ความจริงคือความจริง ตนเป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ออกหนังสือถึงสองครั้งห้ามยุ่งเรื่องนี้ ตนทำหน้าที่ของตนไปหมดแล้ว ใครจะมาโยงก็โยงไม่ได้ แล้วถึงวันนี้ยังไม่รู้เลยว่าเขาเลือกกันอย่างไร เคยให้ที่ปรึกษามาอธิบายว่าเลือกกันอย่างไร จนถึงวันนี้ยังไม่เข้าใจ

เมื่อถามว่า เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ ที่มี สว.เกี่ยวโยงกับ จ.บุรีรัมย์ จำนวนมาก นายอนุทิน กล่าวว่า อย่างไรต้องไปดูวิธีการ ระบบเป็นอย่างไร และเท่าที่ตรวจสอบทุกคนที่เข้ามาก็เข้ามาตามระบบ เรื่องเลือก สว.ตนยุ่งเกี่ยวอย่างเดียวคือ ให้กลไกของกระทรวงมหาดไทย ในการคัดเลือกรอบแรกเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โปร่งใส ซึ่งต้องชื่นชมนายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด อธิบดีกรมการปกครอง ปลัดกระทรวงมหาดไทย ตนยุ่งเกี่ยวแค่เข้าไปบอกว่าให้ทำทุกอย่างให้เรียบร้อย เป็นไปตามไทม์ไลน์ ไม่ให้มีเรื่องร้องเรียน ตนชื่นชมนายอำเภอ ชื่นชม กกต. ตอนนี้พูดได้อย่างเดียวคือต้องแสดงความยินดีกับว่าที่ สว.

เมื่อถามอีกว่า เรื่องนี้พรรคภูมิใจไทยจะต้องชี้แจงอย่างเป็นทางการหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยชี้แจงไม่ได้ พรรคภูมิใจไทยไม่เกี่ยวข้องอะไรสักอย่าง

เมื่อถามย้ำว่า มีการเชื่อมโยงกับผู้ที่ได้รับเลือกเป็น สว.ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับบ้านใหญ่ชิดชอบ และเกี่ยวข้องกับการทำงานของนายอนุทินด้วย นายอนุทิน กล่าวว่า ตนรู้จักไม่เกิน 20 - 30 คน อย่าง พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ตนรู้จักตอนเรียน วปอ.61 ส่วนที่มีการระบุว่าเป็น สว.สายสีน้ำเงิน นั้น พูดไปเถอะ พูดอะไรก็พูดไปเรื่อย เกี่ยวอะไรกับตนล่ะ ขอย้ำว่า พล.อ.เกรียงไกร คือเพื่อน ส่วนที่ พล.อ.เกรียงไกร มีชื่อจะเป็นประธานวุฒิสภานั้น ตนเป็น ส.ส. เป็นพรรคการเมือง ไม่เกี่ยวกัน สว.ชุดเดิมตนก็มีเพื่อน ทั้งเพื่อน ทั้งพี่ เยอะแยะ แล้วทำอะไรได้บ้าง และเพิ่งทราบตอนที่ พล.อ.เกรียงไกร มาลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษา ไปสมัคร สว.

เมื่อถามว่า ได้ให้กำลังใจอะไรกันหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า "เพื่อนก็คือเพื่อน แต่ตนจะไปยุ่งเกี่ยวอะไรได้ เขาก็ไปสมัคร สว.ที่สุราษฎร์ธานี แต่เมียผมอยู่ระนอง"

ผู้สื่อข่าวถามว่า สว.หลายคนมีความสนิทสนมกับนายอนุทิน จนวิเคราะห์ว่ามีการวางหมากไว้ นายอนุทิน ปฏิเสธว่า ขนาดพี่สาวของนายเนวิน ชิดชอบ ยังตกรอบเลย เพราะฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะไปยุ่งเกี่ยว

เมื่อถามถึงกรณีที่มีชื่อคนขับรถของ นายชัย ชิดชอบ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้เป็น สว. นายอนุทิน กล่าวว่า ตนไม่รู้จักคนขับรถของปู่ชัย คนไหนตนยังไม่รู้จักเลย ย้ำว่าพรรคภูมิใจไทยไม่เกี่ยวข้อง เมื่อถามว่า เขาวิจารณ์เป็น สว.สายสีน้ำเงิน นายอนุทิน ร้องหึ พร้อมระบุว่า พูดอะไรก็พูดอยู่เรื่อย พูดกันไปเถอะ แล้วจะเกี่ยวอะไรกับตน

'Clean Politic' เตรียมยื่นไต่สวนฉุกเฉิน ปมรับรอง สว.ไม่ตรงปก ด้าน 'จรูญ หยูทอง' หนึ่งในผู้สมัครฯ พร้อมร่วมแฉการเลือกหนนี้

(28 มิ.ย. 67) นายจาตุรันต์ บุญเบ็ญจรัตน์ เลขาธิการกลุ่ม Clean Politic เปิดเผยว่า ตนเตรียมยื่นศาลปกครองสูงสุดในวันที่ 1 กรกฎาคม เวลา 10.00 น.เพื่อขอให้ศาลเปิดไต่สวนฉุกเฉินคุ้มครองชั่วคราวการประกาศรับรองผลการเลือกสว.ไม่ตรงปก หวั่นการเมืองสภาสูง เสียศูนย์ยิ่งกว่าสภาผัวเมีย 

นายจาตุรันต์ กล่าวว่า “จากการติดตามข้อมูลข่าวสาร และประสบการณ์ตรงในการเลือก สว. น่าจะเป็นการเลือกที่สกปรกทางการเมืองครั้งหนึ่ง ผู้สมัครกรอกประวัติอาชีพ ไม่ตรงกลุ่มก็มี กกต.ปล่อยมาได้อย่างไร และจากมีกลุ่มก้อนทางการเมืองเข้ามาจัดการ”

นายจาตุรันต์ กล่าวอีกว่า “อยากให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สร้างประวัติศาสตร์เร่งกู้ศักดิ์ศรี ความเชื่อมั่นต่อองค์กร ด้วยการสั่งฟันว่าที่สว.นกแล เหตุเส้นทางเชื่อมโยงพรรคการเมืองชัดเจน รวมถึงผู้สมัครแจ้งประวัติอาชีพกับกลุ่มที่สมัครไม่ตรงกัน ส่อเจตนาบางประการ”

“อยากให้ตรวจสอบบัญชีธนาคารรายรับรายจ่ายของผู้สมัครตั้งแต่กระบวนการสมัครจนถึงหลังเลือกระดับประเทศ มั่นใจกกต.มีหลักฐานเด็ดอยู่ที่ว่าจะกล้าใช้อำนาจทางที่ชอบหรือไม่”

นายจาตุรันต์ กล่าวอีกว่า “การเลือก สว.คราวนี้เต็มไปด้วยกลยุทธ์ หักเหลี่ยม เฉือนคม โกหก หลอกลวง หักหลังกันอย่างน่าเกลียด น่ากลัว แล้วถ้า สว.เป็นอย่างนี้ นึกไม่ออกว่าชาติบ้านเมืองจะเดินไปอย่างไร

จาตุรันต์ บอกว่า ไม่ได้มีเจตนาด้อยค่าอาชีพผู้สมัครท่านใดท่านหนึ่งหรอก แต่การเข้าไปทำหน้าที่เป็นสมาชิกวุฒิสภาซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์ มีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินใจ ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศชาติโดยตรง แล้วเป็นตำแหน่งที่กินเงินภาษีของพี่น้องประชาชน เรามีสิทธิ์ตรวจสอบที่มา ยิ่งถ้าได้คนที่ไร้วุฒิภาวะและขาดความรู้ขาดประสบการณ์ ในด้านนั้นจริงๆ นึกภาพไม่ออกครับประเทศชาติจะเป็นอย่างไร สุดท้ายการพิจารณากฎหมายก็ดีแต่งตั้งองค์กรอิสระก็ดีจะถูกสั่งซ้ายหันขวาหันจากพรรคหรือบุคคลเบื้องหลังที่หวังผลประโยชน์ทางการเมืองได้จัดตั้งเข้าไป ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ได้บัญญัติไว้ชัดเจนว่าสว.ต้องเป็นอิสระเป็นกลางปราศจากการครอบงำทางการเมือง ด้วยเหตุนี้”

“ผมในฐานะผู้เสียหายโดยตรง ซึ่งทั้งเป็นอดีตผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภาปี 67 ในครั้งนี้ และเสียหายโดยตรงอีกทางหนึ่งก็คือเป็นประชาชนผู้เสียภาษีเพื่อเป็นเงินประจำตำแหน่งให้กับสมาชิกวุฒิสภาและผู้ช่วยอีก 8 คนในชุดนี้”

“จึงขอให้ศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาไต่สวนฉุกเฉินคุ้มครองการประกาศรับรองผลสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งคาดว่ากกตจะประกาศรับรองในวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ออกไปก่อน”

“เพราะผมไม่ไว้วางใจว่าสมาชิกวุฒิสภาบางท่านในจำนวน 200 คนนี้ ให้เข้าไปทำหน้าที่ในสภาอันทรงเกียรติ ให้ปราศจากการครอบงำของบุคคลที่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังทางการเมืองได้อย่างไร”

ในขณะ ‘จรูญ หยูทอง’ เตรียมแฉ ความไม่สง่างาม ไม่เป็นสุภาพบุรุษ ของผู้สมัคร

เรื่องเล่า สองข้างทาง บนถนนสายหักหลังและหลอกลวง บทความหลายตอนจบ รออ่านที่นี่และในภาคใต้โฟกัสครับ

นายจรูญ หยูทอง (รูณ ระโนด) หนึ่งในผู้สมัครผ่านเข้ารอบประเทศ แต่สอบตก โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า…

‘ผมเสียค่าผ่านประตู 2,500 บาท ค่าถ่ายรูป ค่าใบรับรองแพทย์ ค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าอาหารหลายมื้อ เสียเวลาไปสมัคร ไปรับเอกสาร ไปเลือกที่อำเภอ ที่จังหวัด และที่เมืองทอง เพื่อสังเกตการณ์แบบมีส่วร่วม จึงได้พบเห็น พฤติกรรม วัฒนธรรมทางการเมืองของคนที่จะเป็นผู้ทรงเกียรติในสภาสูง ที่ไม่สมประกอบ ไม่สง่างาม ไม่เป็นสุภาพบุรุษ สุภาพสตรี บางคนอย่าว่าจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาเลย เป็นคนยังไม่ได้เลย ขอเวลาลำดับความคิด เรียบเรียงเรื่องราวตามข้อมูลเชิงประจักษ์ประกอบหลักวิชาการ ผมจะเล่าให้ฟังทุกแง่มุมที่ไม่ละเมิดสิทธิของใครต่อใครครับ ขอเวลาให้ผมหายเหนื่อยหลังจากกลับจากสนามรบใน ‘วันหักหลังและทรยศแห่งชาติ’ ที่ผ่านมา

‘เจ๊จุก’ ลั่น!! โชคดีของประเทศไทย หลัง ‘ตัวตึง 3 นิ้ว’ ตกรอบเลือก สว.

เมื่อวานนี้ (26 มิ.ย.67) มีผู้สมัคร สว. ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่การเลือกระดับประเทศ ทยอยเดินทางมาเพื่อเข้ารายงานตัวนั้น มีผู้สมัคร สว. ชายรายหนึ่ง เดินเข้ามาถึงจุดที่มีสื่อมวลชนรอเก็บภาพ ได้ชูมือขึ้นเหนือหัว แสดงสัญลักษณ์ 3 นิ้ว ซึ่งกรณีดังกล่าว นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. ได้ให้สัมภาษณ์ว่า การชู 3 นิ้วโดยหลักแล้วไม่มีอะไรห้าม แต่เราไม่อยากให้ทำอะไรที่ทำให้เกิดคำถาม เราถ่ายรูปก็ชอบทำท่านั้น ท่านี้ อยู่แล้ว ซึ่งตนคิดว่า เป็นเรื่องปกติ

จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ชายที่ชู 3 นิ้ว นั้น คือผู้สมัครหมายเลข 48 กลุ่มที่ 17 นายธัชพงศ์ แกดำ จากจังหวัดปทุมธานี

ล่าสุด ‘เจ๊จุก คลองสาม’ โพสต์ภาพพร้อมข้อความระบุว่า “ชัดขนาดนี้ ปั๊ดโธ่ คิดว่าคนจะแXก ส้ม ทั้งประเทศเหรอคะ”

ต่อมาได้โพสต์ข้อความอีกครั้ง ระบุว่า…

“โชคดีของประเทศไทย ที่เราไม่ได้คนที่เคยชูนิ้วกลางใส่ สว. และโดนคดี 112 ไปเป็นผู้ทรงเกียรติในสภา ชาวบ้านเขาคงรู้กำพืดแหละคะ เขาถึงไม่เลือกมัน ซึ่งแม้กระทั่งส้มด้วยกันเองก็ยังยี้เลย”

‘ศาลอุทธรณ์’ ลดโทษ ‘สุเทพ-ถาวร’ เหลือจำคุก 1 ปี ปม กปปส. นำมวลชนชัตดาวน์กรุงเทพฯ ปี 57

(27 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีกบฏ กปปส.ชุดใหญ่ สำนวนหลัก หมายเลขดำ อ.247/2561 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส. กับพวกแกนนำและแนวร่วม กปปส.รวม 39 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันเป็นกบฏ, ก่อการร้าย, ยุยงให้หยุดงานฯ, กระทำให้ปรากฏด้วยวาจาหรือวิธีการอื่นใดฯ ทำให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องในราชอาณาจักรฯ, อั้งยี่, ซ่องโจร, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองฯ, บุกรุกในเวลากลางคืนฯ และร่วมกันขัดขวางการเลือกตั้งฯ 

คดีนี้อัยการโจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 23 พ.ย. 2556 - 1 พ.ค. 2557 ต่อเนื่องกัน นายสุเทพ จำเลยที่ 1 ได้จัดตั้งคณะบุคคล ชื่อ “คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” หรือกลุ่ม กปปส. มีนายสุเทพ เป็นเลขาธิการ โดยร่วมกันมั่วสุมเป็นอั้งยี่ ซ่องโจร กองกำลังแบ่งหน้าที่กันกระทำก่อความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ฐานเป็นกบฏเพื่อล้มล้างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ทั้งอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ โดยร่วมกันยุยง ปลุกระดมให้ประชาชนทั่วประเทศกระด้างกระเดื่องร่วมชุมนุมขับไล่ ก่อความไม่สงบเพื่อขับไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) ให้ออกจากตำแหน่ง รวมทั้งขัดขวางการเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วไป เพื่อมิให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่เข้าบริหารประเทศ ให้ข้าราชการระดับสูงรายงานตัวกับกลุ่ม กปปส. จากนั้นจะแต่งตั้งคณะบุคคลเข้าบริหารประเทศเป็นรัฐบาลประชาชน เป็นรัฏฐาธิปัตย์ ซึ่งจะออกคำสั่งแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และ ครม. โดยจะนำรายชื่อขึ้นกราบบังคมทูลเอง รวมทั้งจัดตั้งกองกำลังส่วนหนึ่งพร้อมอาวุธเข้าไปบุกยึดสถานที่ราชการและหน่วยงานสำคัญต่าง ๆ หลายแห่ง เช่น ทำเนียบรัฐบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานเขตหลักสี่ ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง) เพื่อไม่ให้รัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินได้ รวมทั้งการปิดกั้น ขัดขวางเส้นทางคมนาคมขนส่ง เป็นเหตุให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน

นอกจากนี้ ช่วงระหว่างวันที่ 13 ม.ค. - 2 มี.ค. 2557 พวกจำเลยได้บังอาจปิดกรุงเทพมหานครด้วยการตั้งเวทีปราศรัยทั่วกรุงเทพฯ รวม 7 จุด ปิดกั้นเส้นทางการจราจร จัดตั้งกองกำลังรักษาพื้นที่ วางเครื่องกีดขวาง ไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง การกระทำของพวกจำเลยล้วนไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 เพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงอำนาจบริหารตามรัฐธรรมนูญ

‘เหตุเกิดในกรุงเทพมหานคร และอีกหลายท้องที่ทั่วราชอาณาจักรเกี่ยวพันกัน
นายสุเทพกับพวกจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธต่อสู้คดี และได้รับการประกันตัว’

ต่อมาวันที่ 24 ก.พ. 2564 ศาลอาญามีคำพิพากษาจำคุกจำเลยรายสำคัญ โดยศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ในส่วนความผิดฐานกบฏและก่อการร้าย พฤติการณ์ชุมนุมไม่มีการใช้กำลังประทุษร้ายบุคคลใด เพื่อล้มล้างการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ นิติบัญญัติ อำนาจบริหาร จึงไม่เป็นความผิดฐานกบฏ และก่อการร้าย เเต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และจำเลยอื่นรวม 26 คน ศาลตัดสินจำคุกในความผิดฐานยุยงให้เกิดการหยุดงานเพื่อบังคับรัฐบาล, ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา, ร่วมกันมั่วสุม 10 คนขึ้นไป, ร่วมกันบุกรุกสำนักงานผู้อื่นในเวลากลางคืน, ร่วมกันบุกรุกอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น และร่วมกันกระทำการโดยไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย

ในช่วงเช้าวันนี้ นายสุเทพ อดีต เลขาธิการ กปปส.และแกนนำ กปปส.ทั้ง 37 คน ต่างทยอยเดินทางมาฟังคำพิพากษาตามนัด โดยมีมวลชนและบุคคลใกล้ชิดกว่า 100 คน เดินทางมาให้กำลังใจ

สำหรับการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันนี้ ศาลไม่ได้ให้สื่อมวลชนเข้าฟังการอ่านในช่วงเช้านี้เนื่องจากมีบุคคลจำนวนมากโดยจะมีการเเจ้งผลคำพิพากษาให้ทราบภายหลังกระบวนการอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น นายสุเทพ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ว่า ไม่รู้สึกกังวล ไม่ว่าคำพิพากษาจะออกมาเป็นอย่างไรก็พร้อมน้อมรับ ตอนที่มีคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งตนเองถูกสั่งจำคุก ก็ได้เข้าไปนอนเรือนจำ 2 คืนก่อนได้รับการประกันตัวออกมา หากคราวนี้ถูกสั่งจำคุกอีก ก็เตรียมเสื้อผ้า ชุดกางเกงขาสั้น มาไว้พร้อมแล้ว พร้อมยกมือไหว้ขอบคุณมวลชนที่ยังคงให้กำลังใจมาจนถึงทุกวันนี้

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว พิพากษาแก้โทษ รวมโทษจำคุก นายสุเทพ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 1 ปี ,จำคุก นายชุมพล จำเลยที่ 3 เป็นเวลา 1 ปี 8 เดือน ,จำคุกนายพุทธิพงษ์ จำเลยที่ 4 เป็นเวลา 1 ปี ,จำคุกนายอิสสระ จำเลยที่ 5 เป็นเวลา 1 ปี 8 เดือน ,จำคุกนายถาวร จำเลยที่ 7 เป็นเวลา 1 ปี ,จำคุกนายณัฎฐพล จำเลยที่ 8 เป็นเวลา 1 ปี 8 เดือน ,จำคุกนายสมศักดิ์ จำเลยที่ 15 เป็นเวลา 1 ปี ,จำคุกนายสุวิทย์ จำเลยที่ 16 เป็นเวลา 1 ปี 8 เดือน ,จำคุกเรือตรีแซมดิน จำเลยที่ 24 เป็นเวลา 1 ปี 8 เดือน,จำคุกนายคมสัน จำเลยที่ 26 เป็นเวลา 1 ปี ,จำคุกนายสาวิทย์ จำเลยที่ 29 เป็นเวลา 1 ปี ,จำคุกนายสำราญ จำเลยที่ 33 เป็นเวลา 8 เดือน, จำคุกนายอมร จำเลยที่ 34 เป็นเวลา 1 ปี ,จำคุกนายกิตติชัย จำเลยที่ 37 เป็นเวลา 1 ปี ,จำคุกน.ส.อัญชะลี จำเลยที่ 10 เป็นเวลา 1 ปี ปรับ 8,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา ,จำคุกนายถนอม จำเลยที่ 14 เป็นเวลา 1 ปี ปรับ 8,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา,จำคุกนายสาธิต จำเลยที่ 17 เป็นเวลา 1 ปี โทษจำคุกให้รอลงอาญา ปรับ 8,000 บาท ,จำคุกนางทยา จำเลยที่ 38 เป็นเวลา 8 เดือน ปรับ13,333 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา (รวมไม่รอลงอาญา 14 คน รอลงอาญา 4 คน) ส่วนจำเลยที่เหลืออีก 19 คนให้ยกฟ้อง

ภายหลังคำพิพากษา นายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความของ สุเทพ เทือกสุบรรณ เผยว่าวันนี้ศาลอุทธรณ์อ่านคำพิพากษามีรายละเอียดค่อนข้างมากเเต่เท่าที่จดมาทันคือศาลอุทธรณ์ยกฟ้องในข้อหากบฏเเละก่อการร้ายพิพากษาลดโทษจำคุก นายสุเทพกับพวก ที่เดิมโดนตั้งเเต่ 4 -9ปีกว่าก็ลดกันมาเหลือคนละ 1 ปี -1ปีเศษ เเบบนายสุเทพกับนายถาวร เสนเนียม เหลือคนละ 1 ปี เเต่ไม่รอลงอาญา เหตุผลที่ศาลอุทธรณ์ลดโทษเนื่องจากมองว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวเหตุต่อเนื่องกัน ต่างจากศาลชั้นต้นที่มองเป็นการกระทำหลายกรรมโทษเลยสูง โดยที่พิพากษาจำคุกไม่รอลงอาญาทั้งหมด 14 คน ส่วนรายอื่นก็มีพิพากษาเเก้ยกฟ้อง เเละมีเพิ่มโทษ จำเลยที่ไม่รอลงอาญาขณะนี้อยู่ระหว่างยื่นประกันในชั้นฎีกา ซึ่งคาดว่าศาลจะมีคำสั่งได้ในวันนี้เลยเรื่องจากศาลชั้นต้นสามารถสั่งเองได้เเต่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจว่าจะส่งศาลฎีกาหรือไม่ หลักทรัพย์เดิมเราเตรียมไว้พร้อมเเล้ว

สำหรับรายชื่อจำเลยทั้งหมดในคดี กปปส.ชุดใหญ่ในวันนี้ 39 รายประกอบด้วย

1.นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
2.นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย
3.นายชุมพล จุลใส
4.นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์
5.นายอิสสระ สมชัย
6.นายวิทยา แก้วภราดัย
7.นายถาวร เสนเนียม
8.นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ
9.นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์
10.น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก
11.พลเอกปรีชา เอี่ยมสุพรรณ
12.นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์
13.นายยศศักดิ์ โกไศยกานนท์
14.นายถนอม อ่อนเกตุพล
15.นายสมศักดิ์ โกศัยสุข
16.พระพุทธะอิสระ หรือนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ
17.นายสาธิต เซกัล
18.นางสาวรังสิมา รอดรัศมี
19.พลอากาศโทวัชระ ฤทธาคนี
20.พลเรือเอกชัย สุวรรณภาพ
21.นายแก้วสรร อติโพธิ
22.นายไพบูลย์ นิติตะวัน
23.นายถวิล เปลี่ยนศรี
24.เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์
25.นายมั่นแม่น กะการดี
26.นายคมสัน ทองศิริ
27.พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์
28.นายนายพิภพ ธงไชย
29.นายสาวิทย์ แก้วหวาน
30.นายสุริยะใส กตะศิลา
31.นายสุริยันต์ ทองหนูเอียด
32.พ.ต.ท.ภัทรพงศ์ สุปิยะพาณิชย์
33.นายสำราญ รอดเพชร
34.อมร อมรรัตนานนท์
35.นายพิเชษฐ พัฒนโชติ
36.นายสมบูรณ์ ทองบุราณ 3
37.นายกิตติชัย ใสสะอาด
38.นางทยา ทีปสุวรรณ
39.นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง

'โบว์-ณัฏฐา' ซัด!! ตอนจัดตั้ง 'สว.' ไม่บ่น พอผลออกมา 'หลุดลุ่ย' ทำโวยกันใหญ่

(27 มิ.ย. 67) น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือ โบว์ พิธีกรรายการวิเคราะห์ข่าว และนักกิจกรรมเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า...

#สว67 แนวร่วมค่ายส้มทั้งสื่อทั้ง NGO โวยกันใหญ่เรื่องกลุ่มจัดตั้งรอบประเทศ รีบเอาผลคะแนนออกมาฟ้องคนดู

ทำไมไม่ทำแบบนี้และบ่นแบบนี้ในรอบเลือกกันเองในกลุ่มจังหวัด กทม.บ้างคะ?

ตอนนั้นก็เป็นแบบนี้เลย ชัดกว่านี้อีก บางกลุ่มมีคนไม่โหวตตัวเองเกิน 30 คน คะแนนไปอยู่ตรงไหนก็เห็นชัด ๆ โพยส้มว่อนเลย แต่ตอนนั้นไม่มีใครคิดจะเอามาแฉ 

เพราะเมื่อเป็นการจัดตั้งของพรรคพวกเดียวกันก็ไม่เดือดร้อน แต่พอทำต่อแล้วไม่สำเร็จกลับรับผลไม่ได้

อันที่จริงปัจจัยที่ทำให้ผลออกมาหลุดลุ่ยขนาดนี้ไม่ได้มีแค่การจัดตั้งของค่ายการเมืองอื่น แต่คุณเสียเบี้ยไปเยอะตอนรอบไขว้ระดับจังหวัด เพราะลืมคิดถึงคุณสมบัติของเบี้ยที่เลือกมา 

คนส่วนใหญ่ในกระดานเขาไม่ได้ส้มด้วย เมื่อคุณคัดคนเพียงเพราะความเป็นส้ม เหมือนส่งเสาไฟฟ้ามา เขาเลยเลือกไม่ลง 

มันคือ ความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์ จากความใจแคบล้วน ๆ

กติกามันแย่ แต่วิธีการคุณก็ไม่ได้เรื่อง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top