Saturday, 31 May 2025
POLITICS NEWS

‘อ.ไชยันต์’ ย้อนคำพูดทูตอังกฤษวิจารณ์บางคนใน ‘คณะราษฎร’ “มีความสามารถ อยากตั้งสาธารณรัฐ แต่ดิบและขาดประสบการณ์”

เมื่อวานนี้ (23 มิ.ย. 67) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Chaiyan Chaiyaporn' ระบุว่า…

“ทูตอังกฤษเป็นสลิ่ม (วาทะ ลุงมะเขือ) ว่าด้วยวาทกรรม ต่อต้าน 2475 : ใครเอ่ย กล่าวในปี 2475 ถึง “บางคน” ในคณะราษฎรว่า”

“ส่วนกลุ่มหัวรุนแรงนั้นเชื่อกันว่า ต้องการจัดตั้งสาธารณรัฐ ระบบโซเวียต หรือระบบที่ใกล้เคียงอย่างใดอย่างหนึ่งที่จะเป็นไปได้ คนเหล่านี้เป็นคนกลุ่มน้อย และแม้บางคนจะกล่าวได้ว่าเป็นผู้มีความสามารถมากกว่าคนทั้งปวง แต่ก็มีลักษณะ “ดิบ” (raw) และขาดประสบการณ์?”

“เฉลย : นายซีซิล ดอร์เมอร์ (Cecil Dormer) อัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ระหว่าง พ ศ 2472-2477”

“อ้างอิง ( [F 7857/4260/40] “Mr. Dormer to Sir John Simon, 7 October 1932, British Documents.)”

“แม้แต่ทูตอังกฤษก็ร่วมขบวน “แซะ” ไปกับเขาด้วยหรือ ?!”

'โซเชียล' วิจารณ์ยับ!! 'แก้ว ธิษะณา' ไลฟ์สดไฟไหม้บ้าน  โวย!! จนท.มาช้า เจอหน้าตะคอกสั่งไม่ยั้ง ล่าสุดลบคลิปเกลี้ยง

(24 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เต็มโซเชียล หลังจากที่ นางสาวธิษะณา ชุณหะวัณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล หลานของ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘ธิษะณา ชุณหะวัณ – แก้วตา – Tisana Choonhavan’ โดยระบุเกิดเหตุไฟไหม้ในบ้านของตัวเอง ซึ่งอยู่ที่ซอยพหลโยธิน 5 หรือซอยราชครู เขตพญาไท กทม. พร้อมอ้างว่า “เรียกรถดับเพลิงไปนาน 20 นาที แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัย เดินทางมาควบคุมเพลิงเลย” อีกทั้งในบางช่วงยังอ้างอีกว่า “ฝากช่วยกันเรียกรถดับเพลิงมาเพิ่มด้วย เพราะว่าเรียกไปนานเป็นชั่วโมง ยังไม่มีใครมาเลย จนระเบิดไปทั้งหลังแล้ว ขนาดนี้ดิฉันเป็นสส.นะ ดิฉันยังทำอะไรไม่ได้เลย”

ต่อมาในโลกออนไลน์ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงกรณีดังกล่าว อาทิ 

‘ขนาดนี้ยังไม่รู้จักกาลเทศะเลยเหรอว่าต้องทำอะไรที่มันสำคัญก่อนหลัง โลกในโซเชียลฯนะเพลาๆบ้างก็ได้’

‘ดับเพลิงมาตามปกติ ไปตะคอกใส่เขาอีก ไม่ฟังเหตุผลนักดับเพลิงบ้างไฟฟ้าก็ยังไม่ตัดจะให้เขารีบฉีดน้ำ จะให้เขาตายไง อยากจะมาเปลี่ยนแปลงประเทศแต่นิสัยมีอำนาจแล้วเป็นแบบนี้’

‘เราอยู่ในซอยนั้นพอดี ทานข้าวอยู่ พอเห็นไฟอยู่ ไม่เกิน 10-15 นาที ดับเพลิงก็มานะ มาเยอะด้วยทั้งแบบเล็กแบบใหญ่ ณ ตอนนั้นลุ้นอยู่ว่าจะลามมั้ย แต่ก็จะเข้าออกลำบากหน่อยเพราะเป็นซอยแคบ และรถเจ้าหน้าที่ต่างๆ มาเยอะมาก เลยพยายามไม่ขับรถหนีออกเพราะกลัวไปขวางการจราจรเค้า เพราะแรกๆเลยคิดว่าเจ้าหน้าที่ต้องเคลียร์ถนนให้รถที่ขับหนีออกไปก่อนล่ะ แต่เจ้าหน้าที่คุมไฟได้เร็วมาก เพราะมาถึง แปบนึงตัดไฟฟ้า แล้วคุมเพลิง ค่อนข้างไวเลย’

ขณะที่ นางสาวธิษะณา ลบไลฟ์สดดังกล่าวแล้ว ล่าสุดโพสต์ภาพพร้อมข้อความระบุว่า “ขอบพระคุณทุกคนสำหรับกำลังใจจากทุกท่าน ทุกหน่วยงานที่เข้าช่วยเหลือ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ดับเพลิง เจ้าหน้าที่ตำรวจสน.พญาไท ผอ.เขตพญาไท จนท. สำนักงานเขตพญาไท ญาติๆทุกคนที่มาที่เกิดเหตุช่วยเหลือกับเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่เข้าช่วยเหลือค่ะ”

“ขอบพระคุณ ส.ส. กัณตภณ ดวงอัมพร แรมโบ้ ก้าวไกล พญาไท ดินแดง ส.ส. ปวิตรา จิตตกิจ – Pavitra Jittakit ส.ส. กานต์ ภัสริน รามวงศ์ – Patsarin Ramwong ส.ส. เอกราช อุดมอำนวย – ทนายจอจาน – Ekkarach Udomumnouy ส.ส.ฟลิ้นท์ ที่มาหาแก้วถึงที่เกิดเหตุ”“ขอบพระคุณหัวหน้า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และ ส.ส. ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ – ทนายแจม – Sasinan Thamnithinan ที่โทรหาคนแรกๆและทุกหน่วยงานที่เข้าช่วยเหลือค่ะ”

“ตอนนี้ทุกชีวิตปลอดภัย แต่บ้านส่วนที่เป็นไม้ถูกไฟไหม้ประมาณ 50% ค่ะ”

จาก 24 มิถุนายน 2475 ถึง 24 มิถุนายน 2567 ตลกร้าย 92 ปี ที่ 'โจรห้าร้อย' บางคนสร้างไว้

คนทั่วไปที่ไม่จำเป็นต้องมีการศึกษาสูง ก็คงจะแปลความหมายของคนที่เป็น 'โจรห้าร้อย' กับ 'นักปฏิวัติ' ได้ง่าย ๆ ด้วยความหมายของคนสองประเภทนี้แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว 

'นักปฏิวัติ' คือ คนที่จะลงมือสร้างความเปลี่ยนแปลงจากแบบหนึ่งไปเป็นอีกแบบตามความเชื่อของตนเองที่คิดว่าจะดีกว่า เช่น การปฏิวัติระบอบการปกครอง เพื่อยกเลิกระบอบเดิมไปใช้ระบอบใหม่ 

สำหรับประเทศไทย เกิดการปฏิวัติทางการเมืองขึ้นเพียงครั้งเดียวนั่นคือ ‘การปฏิวัติสยาม’ โดยเกิดขึ้นในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติการปกครองโดยเปลี่ยนระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กลายเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแทน 

อย่างไรเสีย ตามความเชื่อของนักปฏิวัติแต่ละยุคสมัย จะถูกหรือผิด? จะทำสำเร็จตามเป้าหมายหรือไม่? นักปฏิวัติที่ดีจริงก็จะไม่มีทางมีพฤติกรรมเช่น 'โจรห้าร้อย' ยกเว้นจะอาศัยการปฏิวัติเป็นฉากหน้า แต่พฤติกรรมลับ ๆ ต่ำ ๆ อันแสนจะไร้เกียรติที่ซ่อนเนียน ๆ อยู่ฉากหลังคือ 'ความโลภ' การกระหายในทรัพย์สินเงินทอง เพชรนิลจินดา รวมถึงที่ดินของบุคคลอื่น

'โจรห้าร้อย' จะมีแต่ความตะกละตะกลาม ทะเยอทะยาน มักใหญ่ใฝ่สูง มองหาแต่ความมั่งคั่งร่ำรวยจากการปล้นสมบัติของคนอื่นมาเป็นของตน 

นานถึง 92 ปีแล้ว ที่เราต่างเข้าใจกันดีว่าประเทศไทยของเราถูก 'นักปฏิวัติ' กลุ่มหนึ่งร่วมมือกันสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับระบอบการปกครองของไทยมาจนถึงปัจจุบัน และแน่นอนว่าเหตุการณ์ดังกล่าวได้แบ่งแยกผู้คนออกเป็นสองฝั่งตลอดมา ทั้งฝั่งที่เห็นดีงามกับนักปฏิวัติ กับอีกฝั่งที่คิดว่าเป็นการกระทำที่ไม่น่าให้อภัย 

แต่สิ่งที่สามารถสรุปได้ในทันทีก็คือ คนเรา ถ้าคิดว่าสิ่งที่เป็นอยู่มันไม่ดี และเราอยากรื้อถอนทำลาย เราก็ต้องทำเป็นให้เห็นว่า 'เราดีกว่า' โดยมิให้สังคมกังขาว่าเรานั้นดีจริงหรือไม่? แต่เท่าที่เห็นเป็นหลักฐานชัดที่สุดก็คือ การแฝงเป็นโจร เพื่อปล้นเอาทรัพย์สินที่ไม่ใช่ของเราใส่กระเป๋าของตัวเองเสียมากกว่า  

92 ปี แม้บางคน อาจจะคิดว่ามาจากน้ำมือของนักปฏิวัติที่คิดดีเพื่อชาติ แต่สำหรับคนจำนวนไม่น้อย มันเป็นแค่คนกลุ่มหนึ่งที่ อยากมั่ง อยากมี และอยากใหญ่ เหมือนคนที่สูงศักดิ์กว่า แต่ดันเกิดมาแล้ว 'มีบุญไม่เท่าเขา' เท่านั้น

การปล้นจึงเป็นทางออกของเหล่า 'โจรห้าร้อย' บางคน 

ไม่มีอะไรซับซ้อนให้ต้องคอยนึกย้อน 'สดุดี'

‘พีระพันธุ์’ นำทัพ 'รวมไทยสร้างชาติ' ชวนคนรักสถาบันสวมใส่เสื้อสีเหลือง  ร่วมดูหนัง ‘๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ รอบพิเศษ 24 มิ.ย.67 เต็มแล้วทุกที่นั่ง!!

ในวันที่ 24 มิถุนายน 2567 นี้ ‘นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรคพรรครวมไทยสร้างชาติ นำทัพพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เชิญชวนคนรักสถาบันสวมใส่เสื้อสีเหลือง เพื่อร่วมย้อนรอยประวัติศาสตร์ช่วงการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยผ่านภาพยนตร์แอนิเมชันที่เป็นกระแสโด่งดังแห่งยุคสมัยเรื่อง ‘๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ รอบพิเศษ ณ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ โรง 13 โดยกิจกรรมจะเริ่มต้นตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ในโอกาสวันครบรอบการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย

สำหรับภาพยนตร์เรื่อง ‘๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันไทยอิงประวัติศาสตร์ที่คนไทยควรรับชม ซึ่งจะพาย้อนประวัติศาสตร์ของประเทศสยามขณะนั้นโดยละเอียด ตั้งแต่การถือกำเนิดของคณะราษฎร การวางแผนปฏิวัติยึดอำนาจจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ตั้งแต่เหตุการณ์การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 เรื่อยมาจนถึงความวุ่นวายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ไปจนถึงการสละราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในปี พ.ศ. 2478

เรื่องราวของการปฏิวัติ 2475 ถือเป็นเรื่องราวอันเป็นประวัติศาสตร์ที่ถือได้ว่า ‘คณะราษฎร’ ซึ่งถือเป็นผู้ชนะในเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์บอกเล่าความเป็นมาถึงการได้มาซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยตามที่พวกตนต้องการตีไข่ใส่สีอย่างแท้จริง โดยอวยว่า คณะราษฎรของพวกตนนั้นได้เสียสละเสี่ยงชีวิตอย่างแท้จริง ทั้ง ๆ ที่พระมหากษัตริย์แห่งราชจักรีวงศ์ได้ทรงตระเตรียมการณ์เพื่อนำพาชาติบ้านเมืองสู่ความเป็นประชาธิปไตยตั้งแต่สมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 แล้ว จากการโปรดฯ ให้มีการจัดตั้งการปกครองส่วนท้องถิ่นขึ้นเป็นครั้งแรกในรูปแบบสุขาภิบาลที่ท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2441

ล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 5 ทรงตั้ง (1) สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน และ (2) สภาที่ปรึกษาในพระองค์ในปี พ.ศ. 2417 ทรงสร้างความเท่าเทียมเสมอภาคของประชาชนด้วยการเลิกทาสในปี พ.ศ. 2448 และทรงออกประกาศให้มีการนับถือศาสนาโดยอิสระในราชอาณาจักรสยาม ทรงใช้ระบบเขตการปกครองใหม่ เช่น มณฑลเทศาภิบาล จังหวัด และอำเภอ และทรงประกาศตั้งกระทรวงขึ้นอย่างเป็นทางการจำนวน 12 กระทรวง ต่อมาล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 6 ทรงตั้งดุสิตธานีเมืองจำลองขึ้นเพื่อเป็นแบบทดลอง นครตัวอย่างของการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยมีลักษณะเป็นการปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบของเทศบาลที่ดัดแปลงมาจากประเทศอังกฤษ

ครั้นถึงรัชสมัยในล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 7 ทรงมีพระราชดำริให้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญขึ้น 2 ฉบับ คือ Outline of Preliminary Draft ของพระยากัลยาณไมตรี (Francis B. Sayre) และ An Outline of Changes in the Form of the Government ของนาย Raymond B. Stevens และพระยาศรีวิสารวาจา (เทียนเลี้ยง ฮุนตระกูล) ร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวซึ่งจะพระราชทานในวันที่ 6 เมษายน 2475 แต่ได้รับการคัดค้านจากอภิรัฐมนตรีสภา (คณะที่ปรึกษาชั้นสูงสุด) ด้วยเหตุผลสำคัญว่า ยังไม่ถึงเวลาอันสมควร อันเนื่องจากราษฎรยังมีการศึกษาไม่ดีพอ จึงเกรงว่าเมื่อพระราชทานรัฐธรรมนูญแล้วจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองในภายหลัง ซึ่งก็เป็นความจริงตามนั้น เพราะ 25 ปีต่อมาหลังจากการปฏิวัติ 2475 อำนาจในการปกครองบริหารบ้านเมืองถูกแย่งชิงในมือของสมาชิกคณะราษฎร (เป็น 25 ปีที่มีการรัฐประหารในหมู่คณะราษฎรกันเองถึง 5 ครั้ง) จนกระทั่งจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น (ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนนำของคณะราษฎร) ถูกจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำรัฐประหารซึ่งเป็นการตัดวงจรอำนาจทางเมืองของคณะราษฎรในปี พ.ศ. 2500 เป็น 25 ปีที่คณะราษฎรไม่เคยสนใจหรือใส่ใจในการให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องการปกครองระบอบประชาธิปไตยให้กับชาวบ้านประชาชนเลย จึงกลายเป็นผลกระทบในด้านลบทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทยมาจนทุกวันนี้

ความไม่จริงใจของคณะราษฎรปรากฏให้เห็นจากเอกสารผลสอบสวนของคณะกรรมการเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินของพระคลังข้างที่ หรือสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ในปัจจุบันเป็นรายงานที่ทำโดยสำนักนายกรัฐมนตรี ส่งถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร เมื่อปี พ.ศ.2480 เกี่ยวกับพฤติกรรมและวิธีการของสมาชิกคณะราษฎรซึ่งดำเนินการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ.2475 ในการซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ในราคาถูกมาเป็นกรรมสิทธิของตัวเองและพวกพ้อง ด้วยวิธีการที่ไม่สุจริต โดยมีการชี้ชัดเป็นวิธีการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งไม่มีการเปิดเผยมากว่า 80 ปี และพึ่งปรากฏเป็นข่าวในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา จึงเป็นข้อพิสูจน์ว่า กรณีการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี พ.ศ.2475 นั้น ‘ผู้ชนะเป็นเขียนประวัติศาสตร์’ จึงไม่ปรากฏเรื่องราวด้านลบของคณะราษฎรเลย มรดกบาปที่คณะราษฎรทิ้งให้ประชาชนคนไทยจนทุกวันนี้คือความไม่เข้าใจในการปกครองระบอบประขาธิปไตยในบริบทที่ถูกต้องและควรจะเป็นของประเทศไทย ดังนั้น การที่พรรครวมไทยสร้างชาติ เชิญชวนคนรักสถาบันสวมใส่เสื้อสีเหลือง ภาพยนตร์เรื่อง ‘๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ เพื่อจะให้พี่น้องประชาชนคนไทยได้รับข้อมูลความเป็นจริงที่แสดงให้เห็นถึงความผิดพลาด ความบกพร่อง ความไม่เข้าใจ ความอ่อนด้อย และเจตนาอันไม่สุจริตของคณะราษฎรหลายคน จึงเป็นเรื่องราวที่พี่น้องประขาชนคนไทยควรจะต้องได้ศึกษาเรียนรู้เพื่อให้เข้าใจถึงแก่นอันแท้จริงของการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง นั่นคือ “เสรีภาพ และการปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน” ซึ่งมิใช่ “เสรีภาพ และการปกครองของประชาชน โดยนักการเมือง เพื่อนักการเมือง (และพวกพ้อง)” เช่นที่เห็นและยังเป็นอยู่จนทุกวันนี้ 

‘พิธา’ ไม่กังวล กระแสแก้รัฐธรรมนูญให้เป็น สส. เขตล้วน 500 คน เพื่อสกัด ‘ก้าวไกล’ ลั่น!! ไม่ว่าเกมจะเป็นยังไง เราก็ชนะ ในเกมที่เขาดีไซน์ให้เราแพ้มาโดยตลอด

(23 มิ.ย.67) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.แบบบัญชีรายชื่อและประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทยระบุว่ามีความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ สส. มีที่มาจากระบบเขตทั้งหมด 500 ที่นั่ง ตัดระบบบัญชีรายชื่อออกไปทั้งหมดเพื่อสกัดพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งเป็นข้อมูลจากเพื่อนฝูงในพรรคเพื่อไทย

นายพิธา กล่าวว่า ก่อนจะตอบต้องบอกว่า เมื่อวานนี้ตนปฎิบัติภารกิจที่จังหวัดอุดรธานี และยังไม่มีโอกาสได้ฟังข้อมูลดังกล่าว จึงยังไม่ทราบบริบททั้งหมด แต่ในหลักการคือการแก้รัฐธรรมนูญจะต้องแก้โดยให้ประโยชน์ตกอยู่ที่ประชาชน ไม่ควรแก้เพื่อให้ประโยชน์ตกอยู่ที่นักการเมือง เป็นหลักที่สำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นต้องเน้นว่า “การแก้รัฐธรรมนูญคือการคืนอำนาจให้กับประชาชนในระยะยาว” และทำให้ประชาชนมีสิทธิ์มีเสียงมากที่สุด ไม่ใช่แก้เพื่อให้พรรคหนึ่งได้ประโยชน์กับการแก้รัฐธรรมนูญ

เมื่อถามว่าการแก้ไขไปในทิศทางดังกล่าว มีความเป็นไปได้มากน้อยขนาดไหน นายพิธา กล่าวว่า สิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริงในสมัยที่แล้ว คือการแก้ไขสัดส่วน สส.แบบแบ่งเขต จาก 350 คนเป็น 400 คน และปรับสัดส่วน สส.แบบบัญชีรายชื่อจาก 150 คน เหลือ 100 คน และมีการปรับวิธีการคำนวณ 

“เพราะฉะนั้นผมไม่ได้กล่าวหาว่าจะทำให้พรรคได้พรรคหนึ่งได้ประโยชน์ เพราะยังไงที่ผ่านมาพรรคของเราก็ชนะอยู่ดีถึงแม้ว่าจะมีการแก้ ดังนั้นถ้าหลังจากนี้จะมีการปรับสัดส่วนจาก 400 คนให้มีมากขึ้นไปอีก ผมมองว่ามีความเป็นไปได้ในสภา” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวว่า ตนขอยึดหลักสำคัญว่าการแก้รัฐธรรมนูญมีความจำเป็น รัฐธรรมนูญปี 2560 คือระเบิดเวลา หากจะแก้ต่อไปต้องเอาประชาชนเป็นตัวหลักและให้ประชาชนได้ประโยชน์ อย่าให้พรรคใดพรรคหนึ่งได้ประโยชน์มากกว่ากัน หากกฎหมายสูงสุดของประเทศทำให้การเลือกตั้งหรือการเข้าสู่อำนาจไม่ยุติธรรมและเอนเอียง จะกลายเป็นระเบิดเวลาลูกต่อไป แทนที่จะสามารถแก้ระเบิดเวลาได้ก็จะก่อให้เกิดความขัดแย้งใหม่ในที่สุด

นายพิธา กล่าวว่า สำหรับพรรคก้าวไกล ไม่กังวลใจอะไร เพราะเอาประชาชนและประเทศเป็นที่ตั้งมาก่อนความสามารถในการแข่งขันของพรรคเสมอ

“เราเชื่อในตัวเราว่า ในอดีตที่ผ่านมาไม่ว่ารูปแบบเกมจะเป็นยังไง เราก็ชนะในเกมที่เค้าดีไซน์ให้เราแพ้มาโดยตลอด” นายพิธา กล่าวทิ้งท้ายes

'ก้าวไกล' ใกล้จอด!! 'เศรษฐา' น่ารอด สว.ใหม่ 'สีน้ำเงินปนแดง' ฟาก 'โจ๊ก' ยังยุ่ง

ผ่านสัปดาห์อันว้าวุ่น...ว่าด้วย 4 คดีดังจากศาลรัฐธรรมนูญฯ / ศาลอาญา และการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ 18 -21 มิ.ย. แถมด้วยเรื่องแทรกกรณีศึกบิ๊กสีกากี...วันนี้ 'เล็ก เลียบด่วน' ขอทำหน้าที่กรองข่าวเรื่องราวเบื้องต้น เพื่อสาธุชนจะได้ติดตามกันด้วยความระทึกต่อไป...ดังนี้...

1) กรณีการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เดินหน้าต่อเพราะมติศาลรธน.วินิจฉัยว่า พ.ร.ป.การได้มาซึ่งสว.2561 ไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญมาตรา 107  แนวโน้มผลการเลือกรอบประเทศ (รอบสุดท้าย) ชิง 200 ที่นั่ง จาก 20 อาชีพ ๆ ละ 10 คนในวันที่ 26 มิ.ย. ขอฟันธงว่า...ผู้สมัครที่เป็นเครือข่ายของพรรคใหญ่ บ้านใหญ่ กลุ่มทุน จะกวาดเรียบอย่างน้อย 80% หน้าตาของสว.ชุดใหม่จะเป็นสีน้ำเงินปนแดง...ส่วนสว.สีส้ม ต้องเสียใจด้วย...ไม่เข้าเป้า...

2) เดือน ก.ค.เป็นเดือนมงคล ยังจะไม่มีการตัดสินคดีใหญ่ทางการเมือง...โดยคดีถอดถอนนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน มีแนวโน้มที่จะตัดสินก่อนคดียุบพรรคก้าวไกล

คาดว่า คดีนายกฯ เดือนส.ค. ก็จะรู้หมู่หรือจ่า...50/50 แต่ถ้าไปบีบคอบรรดาเกจิอาจารย์ให้ทำนาย เสียงข้างมากจะออกมาว่า...น่าจะรอดได้ไปต่อ

ส่วนพรรคก้าวไกลนั้น น่าสังเกตว่า ศาลรธน. "มีคำสั่งให้นำพยานเอกสารในสำนวนการไต่สวนคดีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 มารวมไว้ในสำนวนคดีนี้ เพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรธน." ซึ่งคดีที่ 3/2567 ก็คือคดีล้มล้างฯ ที่ศาลรธน.วินิจฉัยเมื่อ 31 ม.ค.2567 ว่าพรรคก้าวไกลผิดและให้ยุติการกระทำ นั่นเอง...

ดังนั้นก้าวไกลน่าจะใกล้ปิดฉาก แต่ต้องลากไปยาวกว่าคดีนายกฯ เพราะละเอียดอ่อน

3) พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 จำนวน 3.75 ล้านล้านบาท ผ่านสภาฯ วาระแรกไปเรียบร้อยด้วยคะแนน 311ต่อ173 งดออกเสียง 2 โชว์ความปึ๊กของ 314 เสียง 'รัฐบาลเพื่อไทย' ส่วนที่มีการปล่อยข่าวว่าจะดีดพรรคพปชร.ออกนั้น เป็นความพยายามเขี่ยข่าวของฝ่ายค้านบางพรรค...ซึ่งตอนนี้ยังไม่มี!!

เรื่องงบประมาณ พ.ศ.นี้ ค่อนข้างยุ่งเหยิง เพราะต้องจัดงบปี 2567 , 2568 ไปใช้ในนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต...งบฯ 68 ไม่ยุ่งมาก เพราะกำลังพิจารณา  แต่งบฯ 67 นั้นบังคับใช้ไปแล้ว ดังนั้นต้องไปแก้ไขเพิ่มเติมเป็นงบกลางปีขอกู้เงินเพิ่ม 1.22 แสนล้านบาท ซึ่งจะเข้าสภาประมาณ 17-18 ก.ค. ส่วนอนาคตของดิจิทัลวอลเล็ต จะเป็นจริงหรือจะเป็นเจ๊งอย่างที่ฝ่ายค้านกล่าวหา เดือน ต.ค.รู้กัน!!

4) กรณีศึกสีกากี...จบแต่ยังไม่จบ...ที่ชัดเจน ณ ชั้นนี้คือ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล 'บิ๊กต่อ' ได้กลับไปปฏิบัติหน้าที่ ผบ.ตร.เหมือนเดิม ส่วนพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล 'บิ๊กโจ๊ก' นั้น มีเพียงถ้อยแถลงของนายวิษณุ เครืองาม เท่านั้น ที่อ้างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนโดยมิชอบ เพราะกรรมการสอบวินัยยังไม่ได้สอบบิ๊กโจ๊กแม้แต่น้อยนิด...

งานนี้ 'เนติบริกร' ถูกย้อนศรจากนักวิชาการ อดีตตำรวจหลายคนว่าอ่านกฎหมายตำรวจไม่แตกฉาน...กรณีของบิ๊กโจ๊กจึงยังไม่เคลียร์คัท...เห็นทีจะต้องรอการพิจารณาของคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) หรือถ้าจะวัดใจกันก็ต้องให้ 'บิ๊กต่อ' ยกเลิกคำสั่ง 'บิ๊กต่าย' พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ คนที่สั่งตั้งกรรมการสอบและให้บิ๊กโจ๊กออกจากราชการไว้ก่อน...

หักลบกลบหนี้ โอกาสที่ 'บิ๊กโจ๊ก' จะมาต่อคิวเป็นผบ.ตร.เบอร์หนึ่งยังไม่ง่าย ถึงแม้จะมี แต่โอกาสก็ใช่จะมาก ตราบที่บาดแผลคดีเทา ๆ ยังเต็มตัว!!

‘เจี๊ยบ อมรัตน์’ ฟาด ‘สส.รักชนก’ แสดงภาษากาย ไม่เหมาะสม ชี้!! ขนาดรองประธานสภาฯ อดีตพรรคเดียวกัน ยังไม่ให้เกียรติ

(22 มิ.ย.67) สืบเนื่องจากการอภิปรายพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ช่วงที่น.ส.รักชนก ศรีนอก สส. กรุงเทพ พรรคก้าวไกล ได้นำภาพตัดต่อรูปภาพนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มาประกอบในการอภิปรายดังกล่าว โดยนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯคนที่ 1 ได้ตักเตือน น.ส.รักชนก ว่า เป็นการเสียดสี และได้ชี้แจงประเด็นเรื่องการเปลี่ยนสไลด์ของผู้อภิปราย ว่าไม่เกี่ยวกับรัฐบาล แต่เป็นกรรมการตรวจสไลด์ของรัฐสภา ทำให้น.ส.รักชนกแสดงออกด้วยท่าทีไม่พอใจ

ต่อมามีผู้นำคลิปช่วงดังกล่าวมาเผยแพร่ในแพลตฟอร์ม X โดย นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล หรือเจี๊ยบ ที่ปรึกษารองประธานสภาผู้แทนราษฎร และอดีตสส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้แชร์คลิปนี้พร้อมแสดงความคิดเห็นประกอบว่า 

"ดิฉันเห็นด้วยว่า move นี้ไม่ ok รวมถึงการใช้ภาษากายไม่สุภาพ"

‘เด็จพี่’ ฟาด ‘ก้าวไกล’ ค้านแบบขวางโลก ชี้!! กลัวรัฐบาล ‘เพื่อไทย’ จะได้ผลงาน

(22 มิ.ย.67) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ที่ปรึกษาของรองนายกฯ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีฝ่ายค้านก้าวไกล มีมติไม่รับหลักการร่างงบฯ ปี 68 วาระแรก อ้างเหตุรัฐบาลเบียดบังงบดัน ดิจิทัลวอลเล็ต เกินไป แถมขู่ร้องศาลระงับไม่ให้โครงการแจกเงินดิจิทัลให้ประชาชนเกิด เป็นการค้านแบบไม่มีสติหรือไม่ เหมือนไม่อยากให้ประเทศเจริญ ทั้งที่ตามระบอบประชาธิปไตย เสียงประชาชนเป็นใหญ่ วันนี้เมื่อเพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาล ก็สมควรที่จะทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้กับประชาชน

ประกอบกับวันนี้เศรษฐกิจกำลังแย่ หุ้นตก เพราะพิษการเมือง ประชาชนลำบากยากจน เป็นหนี้ ไม่มีรายได้ ไม่มีเงิน ในการดำรงชีพ ขาดสภาพคล่อง ขาดเงินสดหมุนเวียนในระบบ ภาคธุรกิจได้รับผลกระทบรุนแรง ทำให้โรงงานทยอยปิดตัวไปเยอะ คนต้องตกงาน ครอบครัวต้องลำบาก ยากจน รัฐบาลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยไว โดยอัดฉีดตรงให้ประชาชนเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจพร้อมกันทั่วประเทศ เติมเงินในระบบ โดยเงินดิจิทัลวอลเล็ตให้ประชาชนโดยตรง คนละหมื่นบาท 50 ล้านคน ถ้าโครงการสำเร็จ จะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัว ประชาชนมีเงิน กำลังซื้อจำนวนมหาศาลจะกลับมา รัฐบาลเชื่อมั่นว่าสิ่งที่คิดทำจะสำเร็จอย่างแน่นอน

"แต่วันนี้ก้าวไกลค้านสุดขั้ว ค้านแบบขวางโลก น่าจะเป็นเพราะกลัวรัฐบาลที่เพื่อไทยเป็นแกนนำจะได้ผลงาน ได้คะแนน โดยไม่สนความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน ก้าวไกลอ้างการเมืองใหม่ รับฟังเสียงประชาชน ก็ควรให้ประชาชนตัดสิน โครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตดีไม่ดี อีก 3 ปี ประชาชนจะให้คำตอบผ่านการเลือกตั้ง ถ้าดิจิทัลวอลเล็ตไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ประชาชนต้องจดจำว่าพรรคไหนบ้าง มีส่วนค้านการช่วยเหลือประชาชน ที่กำลังลำบาก ยากจน สมัยหน้าควรพิจารณาลงโทษ ให้เป็นฝ่ายค้านตลอดไป" นายพร้อมพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย

‘อนุชา รวมไทยสร้างชาติ' แนะรัฐใช้นโยบาย 'กึ่งการคลัง' หนุนเฉพาะกลุ่มที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือเท่านั้น

เมื่อวานนี้ (21 มิ.ย.67) นายอนุชา บูรพชัยศรี สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ร่วมอภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยระบุว่า ตนอยากจะเสนอรัฐบาลให้ความสําคัญกับเรื่องของการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ตามแนวทางของสหประชาชาติที่เน้นย้ำในเรื่องเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGs ดังนั้น รัฐบาลจะต้องพิจารณาจัดลําดับความสําคัญและความจําเป็นในการใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันครอบคลุมทุกการใช้จ่ายภาครัฐ ควบคู่ไปกับการทบทวนและยกเลิกมาตรการลดและยกเว้นภาษี ๆ โดยให้มีเพียงเท่าที่จําเป็นเท่านั้น

นอกจากนั้น ยังอยากเห็นรัฐบาลดําเนินการปฏิรูปโครงสร้างและการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการบริหารจัดการหนี้สาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดขนาดของการขาดดุลการคลัง เตรียมการไว้สําหรับดําเนินนโยบายที่จำเป็นในสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด รวมถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

“เราไม่มีทางทราบได้เลยว่า จะเกิดอะไรขึ้นอีกในอนาคต เหมือนเช่นกับสถานการณ์ของโควิด-19  ซึ่งทำให้เราต้องปิดประเทศ ไม่สามารถเดินทางทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ต้อง Work form home มีการปิดห้างร้าน รวมถึงรัฐบาลต้องเร่งจัดหาวัคซีนให้กับพี่น้องประชาชนเพื่อมาฉีดป้องกัน แต่ที่เราผ่านมาได้ ต้องบอกว่าประเทศไทยเรามีเสถียรภาพทางการเงินและมีความมั่นคงทางการคลัง ซึ่งเป็นเกราะป้องกันที่ดีเยี่ยม เพราะฉะนั้นในอนาคตจะเกิดอะไรไม่มีใครตอบได้ แต่เราจะต้องเตรียมการให้พร้อมไว้ตั้งแต่วันนี้”

นายอนุชา กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนเห็นด้วยกับรัฐบาลที่จัดทํางบประมาณแบบขาดดุลในปีนี้ เพื่อที่จะสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยได้มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ แต่อย่างไรก็ดี ก็ยังอยากเห็นการปรับลดขนาดการขาดดุลในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป โดยหวังว่าหากภาวะเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องเต็มศักยภาพ รัฐบาลสามารถสร้างความเข้มแข็งทางการคลัง ทั้งทางด้านรายได้และรายจ่าย รวมถึงการบริหารหนี้สาธารณะได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสุดท้ายแล้วรัฐบาลจะสามารถจัดทํางบประมาณสมดุลในระยะที่เหมาะสมได้ในอนาคตอันใกล้นี้ 

นอกจากนี้ นายอนุชา ยังได้เสนอแนะให้รัฐบาลดําเนินนโยบายที่เรียกว่า กึ่งการคลัง ซึ่งหมายถึงการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อสนับสนุนกลุ่มประชาชนที่ควรได้รับการสนับสนุนและช่วยเหลือในกรณีที่มีความจําเป็นฉุกเฉินเร่งด่วนเท่านั้น และหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องไม่ได้ขอตั้งงบประมาณไว้ล่วงหน้า โดยภายหลังจากดําเนินโครงการแล้วหน่วยงานของรัฐก็สามารถยื่นคําขอจัดสรรงบประมาณโดยตรงกับสํานักงบประมาณต่อไปได้

ทั้งนี้ ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาได้ดําเนินนโยบายกึ่งการคลังมาโดยตลอด และที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือในช่วงที่เกิดโควิด-19 ซึ่งรัฐบาลขณะนั้น มีความจําเป็นเร่งด่วนในการช่วยเหลือและสนับสนุนเกษตรกร ในช่วงที่ราคาสินค้า สินค้าการเกษตรตกต่ำ โดยปีงบประมาณปี 2565 ทางรัฐบาลได้อนุมัติวงเงินโครงการเพื่อสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรกว่า 186,000 ล้านบาท มีการเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการรายย่อยกว่า 16,700 ล้านบาท และลดภาระค่าครองชีพให้กับผู้มีรายได้น้อยอีกกว่า 7,000 ล้านบาท จะเห็นได้ว่า นโยบายกึ่งการคลัง เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของรัฐบาลที่สามารถนำมาใช้แทนการกู้ยืมเงิน เพราะว่าเรื่องนี้เข้าข่ายตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ดังนั้น จึงอยากจะขอเสนอให้รัฐบาลนํานโยบายกึ่งการคลังมาใช้ 

นอกจากนี้ อยากจะเสนอให้รัฐบาลให้ความสําคัญกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่โดยกระจายไปทั่วภูมิภาคต่าง ๆ อย่างเหมาะสม เพื่อที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยและช่วยให้ประเทศไทยจะหลุดจากประเทศที่มีกับดักรายได้ปานกลาง โดยหนึ่งในนโยบายสําคัญที่อยากจะเสนอให้รัฐบาลได้เร่งพิจารณาก็คือการขยายการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจ 4 ภาค หลังจากที่ประสบความสําเร็จมาแล้วในส่วนของ EEC

โดยเฉพาะระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ หรือ SEC ที่มี 4 จังหวัด ประกอบด้วย สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ชุมพร และระนอง สามารถเดินหน้าได้ทันที เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่พร้อมสร้างอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ ๆ เช่น การนำยางพาราที่มีอยู่จำนวนมาก มาแปรรูปเพิ่มมูลค่าแล้วส่งออก เป็นต้น และยังมีอีกหลายธุรกิจใน 4 จังหวัดนี้ที่สามารถเพิ่มมูลค่าและส่งออกได้ ผ่านทะเล 2 ฝั่ง ทั้งอันดามัน และอ่าวไทย หลังจากสร้างท่าเรือน้ำลึกทั้งสองฝั่งแล้วเสร็จ ส่วนการเชื่อมโยงให้สองฝั่งอันดามันและอ่าวไทยต่อเนื่องกันนั้นจะเป็นระยะถัดไป นั่นคือที่มาของแลนด์บริดจ์นั่นเอง

“จะเห็นว่าผมไม่ได้พูดถึงเรื่องของแลนด์บริดจ์ตั้งแต่ตั้งต้น เพื่อให้เข้าใจว่า ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ จะต้องเกิดขึ้นก่อน เมื่อเกิดขึ้นแล้วเราค่อยว่ากันเรื่องของท่าเรือ เรื่องของถนน จากนั้นจึงเป็นเรื่องของทางรถไฟ ทำเป็นเฟส ๆ ค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งอาจจะไม่ต้องใช้เงินลงทุนนับแสนล้าน หรืออาจจะไม่ต้องให้เอกชนเข้ามาลงทุนเลยก็ได้ นี่คือปัจจัยและหัวใจของ SEC และโครงการแลนด์บริดจ์ว่าจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ และผมอยากเห็นอุตสาหกรรมใหม่ เข้ามาลงทุนใน SEC มากขึ้นด้วย เพราะจากการที่มีโอกาสได้ไปซาอุดีอาระเบีย 2 ครั้ง ทางซาอุฯ สนใจที่จะเข้ามาลงทุนเรื่องพลังงานสะอาดในประเทศไทย ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะจัดตั้งโรงงานผลิตไฮโดรเจนในพื้นที่ดังกล่าว ขณะเดียวกันยังสอดคล้องกับแนวทางเศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG ที่รัฐบาลชุดที่แล้วได้แสดงให้ทั่วโลกได้เห็นและยอมรับไปเมื่อครั้งการประชุมAPEC 2022 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพที่ผ่านมา”

‘เศรษฐา’ จัดรายการเทปแรก ยอมรับเป็น ‘นักการเมืองหน้าใหม่’ ต้นทุนเป็นรอง เน้น!! ลงพื้นที่ พบพี่น้องปชช. ด้วยตนเอง ไปทุกจังหวัด แม้ไม่มีสส. ของรัฐบาล

(22 มิ.ย.67) เมื่อเวลา 08.00 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ ‘คุยกับเศรษฐา’ ซึ่งออกอากาศเป็นเทปแรก ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) โดยนายกฯ ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวพับแขน กางเกงสีน้ำเงิน ในลุคสบาย ๆ เป็นการนั่งพูดคุย ตอบคำถาม ที่บริเวณตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งมีนายธีรัตนถ์ รัตนเสวี เป็นผู้ดำเนินรายการ

นายกฯ กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการจัดรายการ ว่า รัฐบาลปัจจุบัน ทุก ๆ กระทรวง ทบวง กรม รัฐมนตรีทุกคนได้ทำงานกันหนักมาก และยังไม่มีช่องทางที่นอกเหนือจากมีผู้สื่อข่าวมาสัมภาษณ์ ไม่มีช่องทางที่จะสื่อสารถึงพี่น้องประชาชนโดยตรง เพื่ออธิบายให้ฟังว่ารัฐบาลทำอะไรกันไปแล้วบ้าง และแผนงานระยะยาวคืออะไรบ้าง อย่างน้อยก็จะได้เข้าใจว่ารัฐบาลกำลังทำอะไรอยู่

เมื่อถามว่า 10 เดือนที่ทำงานมา เห็นการทำงานของนายกฯที่บอกตั้งแต่วันแรกว่าทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เหนื่อยบ้างหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ถ้าจะบอกว่าไม่เหนื่อยก็คงจะโกหก ตนว่านายกฯทุกท่านก็ทำงานกันหนัก มีทั้งเหนื่อยกาย เหนื่อยใจ และเชื่อว่าทุกท่านแบกภาระหนักหน่วงนี้อยู่เยอะ ซึ่งตนเองคงพูดแทนท่านอื่น ๆ ไม่ได้ ถ้าถามตนว่าเหนื่อยไหมนอนคืนเดียวก็หาย แต่เราเสนอตัวเข้ามาทำงานทางด้านสาธารณชนแล้ว ถือว่าเรื่องที่สำคัญมากกว่าคือเรื่องของความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน เราเหนื่อยเท่าไหร่ ตนเชื่อว่าหลาย ๆ คน ที่อยู่ที่ฐานรากของสังคมเขาเหนื่อยเยอะกว่าเยอะ ชีวิตของตนเองที่ทำมาเกือบ 40 ปีตลอดระยะเวลาทำงานมา ตนเองยึดมั่นใน 2 วินัยนี้ คือมีวินัยในการทำงานและทำงานให้หนัก แต่แน่นอนว่าเรื่องของการดูแลสุขภาพ การพักผ่อนให้เพียงพอ พักผ่อนคือเรื่องของการหลับนอนก็ต้องให้เพียงพอ

เมื่อถามว่าตลอดการทำงานของนายกฯลงพื้นที่ถี่มาก แม้ในพื้นที่นั้นอาจไม่มีสส.ของพรรคร่วมรัฐบาลอยู่ก็ตาม แต่ก็ไป มีแนวทางในการลงพื้นที่อย่างไรบ้าง นายกฯ กล่าวว่า ตนถือว่าตนมาในฐานะเป็นนายกฯของคนไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่เป็นนายกฯของคนพรรคเพื่อไทยเพียงอย่างเดียว แน่นอนว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคหลัก และเป็นพรรคที่สนับสนุนตนมาตลอด ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องลงพื้นที่ของพรรคเพื่อไทย ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ของพรรคพลังประชารัฐ ของพรรคภูมิใจไทย ด้วยเหมือนกัน เพราะว่าทุกคนคือประชาชนคนไทย ซึ่งนายกฯในฐานะผู้บริหารสูงสุดของประเทศ มีหน้าที่ต้องดูแล อันนี้ชัดเจน ตนเชื่อว่าการทำงานที่ผ่านมาโดยตลอดให้ความมั่นใจได้ว่าไม่ได้เลือกจังหวัดลงพื้นที่ ส่วนเรื่องแนวทางในการลงพื้นที่ต่างจังหวัด จริง ๆ ต้องยอมรับว่าตนมีต้นทุนที่เป็นรองนักการเมืองหลาย ๆ ท่าน ที่ท่านเติบโตมาจากการเมืองตั้งแต่อายุ 30 กว่า ซึ่งตนเองพึ่งเข้าสู่สนามการเมืองจริง ๆ เพราะฉะนั้นการลงพื้นที่จริง ๆ เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง สำหรับมือใหม่อย่างตน เพราะว่าตนไม่ได้ไปคลุกคลีกับประชาชนเท่ากับนักการเมืองที่อยู่ในการเมืองมานาน เพราะฉะนั้นการที่ต้องลงพื้นที่เยอะ ต้องการเข้าใจถึงปัญหาจริง ๆ ไม่ใช่ฟังแต่รายงานที่มาจากกระดาษ

เมื่อถามว่า จังหวัดภูเก็ตนายกฯลงพื้นที่หลายครั้งมาก สส.ก็ไม่ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาลเลย แต่ว่าไป แสดงว่ามองเห็นศักยภาพของภูเก็ต หรือปัญหาที่ภูเก็ตต้องได้รับการแก้ไขใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ใช่ครับ ในเรื่องของนโยบายเรือธงของรัฐบาล หรือหลาย ๆ นโยบายเรือธงของรัฐบาล ก็คือเรื่องการท่องเที่ยว จังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดที่ทำรายได้สูงมากให้กับประเทศ และมีศักยภาพสูงมาก ๆ ด้วยเหมือนกัน ในหลาย ๆ เรื่องหลาย ๆ ด้าน แต่ว่าปัญหาก็เยอะ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องของน้ำประปา เรื่องขยะ เรื่องสนามบิน เรื่องถนน เรื่องมาเฟีย เรื่องความมั่นคง ความปลอดภัย หลาย ๆ อย่าง ต้องให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง

นายกฯ กล่าวว่า อาทิตย์แรกที่เป็นนายกรัฐมนตรีก็ลงไปจังหวัดภูเก็ตแล้ว เชิญรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม ไปดูเรื่องการจราจร ซึ่งระยะหลังจากในเมืองไปสนามบินใช้เวลา 2 ชั่วโมง ทำให้เสน่ห์ของภูเก็ตหายไปหมด ส่วนเรื่องน้ำประปาก็ลงพื้นที่ไปกับ สส.ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ไปดูเรื่องน้ำประปาที่จะลากจากเขื่อนเชี่ยวหลาน แล้วนำมาดูแลจังหวัดพังงา กระบี่ ภูเก็ต ก็เป็นเรื่องสำคัญ รวมทั้งเรื่องของสนามบินเป็นเรื่องสำคัญ เพราะว่าปัจจุบันเครื่องบินต่อชั่วโมงลงได้ 25 ลำ จะให้ได้มากกว่านี้ก็ลำบาก แต่ว่ามีความต้องการลงสูงมาก ก็ต้องดูเรื่องของสนามบินภูเก็ต แต่จริง ๆ แล้ว ภาคใต้ไม่ได้มีแค่ภูเก็ต มีพังงา มีกระบี่ มีระนองด้วย ถึงแม้สนามบินใหม่จะไปตั้งที่ตอนเหนือของภูเก็ต หรือว่าส่วนหนึ่งของจังหวัดพังงา เราก็อยากให้ตั้งชื่อว่าสนามบินอันดามัน เพราะพยายามจะให้ครอบคลุมให้ได้ 3 - 4 จังหวัด

เมื่อถามถึงการลงพื้นที่ตรวจราชการในหลาย ๆ พื้นที่โดยไม่ได้บอกล่วงหน้า นายกฯ กล่าวว่า เรื่องสำคัญมากกว่าเรื่องไม่บอกล่วงหน้า คือไปตรวจราชการตามสถานที่ต่าง ๆ และนโยบาย Aviation Hub เป็นหนึ่งในนโยบายเรือธงของรัฐบาล สนามบินสุวรรณภูมิ เคยเป็นสนามบินระดับท็อป ๆ ของโลก แต่อันดับตกไปเยอะมาก เราไม่มีการลงทุนในแง่โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เลย ในช่วงเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา สนามบินสุวรรณภูมิเป็นโครงการใหญ่โครงการหนึ่งที่เราลงทุนมา แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีศักยภาพที่จะเติบโตต่อไปได้ โซนหนึ่งเพิ่งเปิด โซนสองเพิ่งเปิด รันเวย์สามก็จะเปิด จะมีการขยายออกไป อันนั้นถือเป็นเรื่องของอนาคต แต่ว่าเราต้องอยู่กับปัจจุบันก่อนด้วย เรื่องของการท่องเที่ยว ซึ่งก็เป็นนโยบายเรือธงของเรา จะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มเข้ามาอย่างมโหฬาร การเดินทางก้าวแรกที่เขาเข้ามาเหยียบแผ่นดินไทยเขาต้องมีความสุข ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการตรวจคนเข้าเมือง ต้องไม่เข้าคิวนาน เรื่องกระเป๋า เรื่องแท็กซี่ที่มารับ

นายกฯ กล่าวต่อไปว่า ถ้าตนเองไปโดยที่ไม่บอก ไปดูให้เห็นจริง ๆ ความลำบากคืออะไร คิวยาวเหยียดตั้งแต่บันไดวนลงมาเป็นตัวงู และไม่สามารถทำอะไรได้ ตนเองคิดว่าก็เป็นปัญหา เพราะฉะนั้นต้องลงไปแบบไม่บอกล่วงหน้า จะได้ไม่มีการเตรียมการดีกว่า ใช้คำนี้ดีกว่า ไม่ได้ไปจับผิด แต่ว่าเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ซึ่งก่อนที่ตนเองจะมาเป็นนักการเมือง บริษัทเก่าก็ทำอย่างนี้ เวลาไปตรวจงานก็จะไปแบบไม่มีการประกาศล่วงหน้า จะได้เห็นสถานภาพที่จริงมากกว่า แล้วมาแก้ไขปัญหากัน และไปถึงก็ไม่ใช่ไปด่าเขา ไปว่าเขานะ เราไปนั่งพูดคุยกันดีกว่าว่าปัญหามันคืออะไร เราก็จะได้เห็นจริง ๆ และก็ช่วยแก้ไขจริง ๆ

นายกฯ กล่าวว่า สนามบินสุวรรณภูมิพัฒนาได้อีก พัฒนาดีขึ้นเยอะ เพราะว่า KPI ที่ให้ไป ไม่ว่าจะเป็นก้าวแรกที่ลงจากเครื่องบิน ต้องไม่เกิน 45 นาที ต้องได้รับกระเป๋า ส่วนมากก็น่าจะทำได้ หรือประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ไม่น่าเกิน และตอนขากลับจากที่เช็กอินตั๋วและเข้าไปข้างใน ต้องไม่เกิน 45 นาทีเหมือนกัน ซึ่งปัจจุบันก็ทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยในแง่ของเรื่องเครื่องอัตโนมัติในการตรวจสอบ เรื่องของการจัดการทำงานของพนักงาน เหล่านี้ก็ถือว่าช่วยกันได้เยอะมาก

เมื่อถามว่า นายกฯเคยเป็นผู้บริหารของบริษัทเอกชนเคยเห็นปัญหาหน้างาน คิดว่าเทคนิคนี้จะมาช่วยแก้ปัญหาให้ประชาชนได้อย่างทันท่วงทีหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า สภาพแวดล้อมต่างกันพอสมควรเหมือนกัน ในส่วนภาคเอกชน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทางธุรกิจก็แตกต่างกันออกไป ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภาครัฐบาลก็มีเยอะกว่า เพราะฉะนั้นต้องดูให้ครบทุกหมู่เหล่าจริง ๆ เรื่องของความระมัดระวัง ทางด้านขั้นตอนต่าง ๆ ในการทำงาน ก็มีกลไกทางราชการ ซึ่งเราต้องเคารพ มีองค์กรอิสระตรวจสอบก็เยอะ เราต้องมั่นใจว่าทุกอย่าง ทุกการกระทำของเราถูกต้อง เป็นไปตามกฎระเบียบ แต่ตนเองก็มามองว่าความเดือดร้อนไม่คอยท่า ต้องการการบริหารจัดการออกไป แต่ระหว่างทางก่อนที่จะมีอะไรก็อาจจะมีมาตรการระยะสั้น หรือชั่วคราวที่พยุงปัญหาไปได้บ้าง บางทีปัญหาก็ไม่สามารถแก้ได้ด้วยอะไรที่รวดเร็วทันใจอย่างเดียว ซึ่งมีหลายขั้นตอน เพราะเป็นระบบราชการ ซึ่งถ้าเรามาอยู่ตรงนี้เราก็ต้องยอมรับตรงนี้
.
เมื่อถามถึงการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) เพื่อนำปัญหาที่เกิดขึ้นไปคุยกันและแก้ปัญหา นายกฯ กล่าวว่า ตรงนี้ไม่ใช่เป็นความลับอะไร ตนเชื่อว่านายกรัฐมนตรีหลาย ๆ ท่าน ก็ทำอยู่แล้ว เรื่องการมี ครม.สัญจร แต่รายละเอียดแตกต่างกันไปบ้าง แน่นอนการที่ ครม.ทั้งคณะลงไปจังหวัดไหน พื้นที่ไหน ตนเชื่อว่าก็จะมีการตื่นตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครม.สัญจรนัดแรก ตนเองเลือกไปจังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งเป็นจังหวัดที่ GDP ต่ำที่สุด เป็นจังหวัดที่ยากจนที่สุด ถือว่าเป็นการส่งสัญญาณว่ารัฐบาลให้ความสนใจกับเรื่องพวกนี้ การที่ลงพื้นที่ต่างจังหวัด จังหวัดข้างเคียงก็มีความสำคัญ เพราะรู้อยู่แล้วว่าทุก ๆ จังหวัดมีความต้องการความช่วยเหลือในหลาย ๆ มิติ ไม่ว่าจะเป็นความช่วยเหลือเรื่องการเกษตร เรื่องน้ำ น้ำท่วม น้ำแล้ง เป็นต้น

นายกฯ กล่าวต่อไปว่า การลงพื้นที่ถือเป็นการมอบอำนาจให้กับเจ้าหน้าที่ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ตนเองเชื่อว่าการลงหน้างานมีส่วนช่วยเหลือ ทำให้เขามีความมั่นใจขึ้น แต่ว่าเหนือสิ่งอื่นใดไม่ได้ไปคนเดียว ทั้งคณะรัฐบาลไปหมด ทุกกระทรวง ทบวง กรม ไปหมด มีการกำหนด KPI ชัดเจนว่ามีอะไรบ้าง และเป็นการสร้างความคาดหวังให้พี่น้องประชาชนในครั้งต่อไปที่เราจะไป ครม.สัญจร ว่าถ้าเกิดคณะรัฐมนตรีมาจังหวัดข้างเคียงจะได้อานิสงส์อะไรบ้าง ทั้งนี้ การลงพื้นที่แต่ครั้งต้องแบ่งเป้าหมายเป็น 2 - 3 อย่าง หนึ่ง ในแง่ของมวลชน ต้องมีการพบปะมวลชน เพราะต้องการจะได้เห็นจริง ๆ ว่าในสายตาของเขามีความทุกข์ยากมากน้อยขนาดไหน เรื่องบางเรื่องที่เขาร้องเรียนมา บางทีเขาร้องเรียนมาแล้วตนไม่ได้ยิน เพราะถูกกันออกไป ตนก็อยากไปได้ยินเองเวลาไปลงพื้นที่ว่าเขาพูดเรื่องอะไรกันบ้าง ตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่เราจะรับฟังได้โดยตรง โดยไม่มีการกีดกันเลย การได้พบข้าราชการก็เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะว่าไม่ฉะนั้นโอกาสที่จะได้พบกับข้าราชการฝ่ายปกครองก็น้อย ได้พบกับนายอำเภอ ได้พบกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดต่าง ๆ ตนเองเชื่อว่าเป็นอะไรที่ให้ความรู้กับทั้งกับตนและรัฐมนตรีหลายๆท่านในหลาย ๆ เรื่อง
.
.
เมื่อถามถึงการเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งมีคนบอกว่าเดินทางไปเยอะมาก ไปเพื่ออะไร นายกฯ กล่าวว่า ไม่ได้แก้ตัว แต่ว่าเรื่องของการไปต่างประเทศจริงๆ แล้วตนไปมา 15 ครั้ง กว่าครึ่งเป็นไฟท์บังคับ เป็นเรื่องของการไปอาเซียน-เจแปน การไปแนะนำตัว หรือว่าไปจีน หรือว่าไปกัมพูชา ไปสิงคโปร์ ไปมาเลเซีย ไปออสเตรเลีย เป็นอาเซียน-เจแปนครบ 50 ปี ซึ่งจะไม่ไปนั้นไม่ได้ หรืออย่างไปศรีลังกา เซ็นสัญญา FTA ซึ่งรัฐบาลเดิมทำไว้แล้ว ก็ไปเป็นเกียรติ ไปงานลงนาม ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าในรัฐบาลก่อน เรื่องของลำดับความสำคัญของเขา เขาอาจจะทำเรื่องอื่นที่เขาเห็นความสำคัญมากกว่า แต่ตอนนี้มาถึงตรงนี้ เรื่องการค้าระหว่างประเทศ เรื่องของความอ่อนบางทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้การลงทุนข้ามชาติมาที่ประเทศไทยเป็นเรื่องที่สำคัญ ถ้าเราไม่ไปเชื้อเชิญและไปบอกเขาว่าประเทศไทยเปิดแล้ว ไม่มีเวลาไหนที่จะดีเท่าเวลานี้ที่มาลงทุนที่ประเทศไทย เขาจะทราบไหม ตนเองว่าต้องไป แล้วการลงทุนกลับมาแต่ละครั้งเป็นหมื่นล้านเป็นแสนล้าน ซึ่งแน่นอนว่ายังไม่เกิดขึ้น อาจจะอยู่ขั้นตอนการพิจารณา บางอันก็จะเกิด บางอันเกิดแน่ ๆ บางอันก็ไม่แน่ว่าจะเกิด หรือบางอันก็ไม่เกิดก็มี แต่ว่าการทำงานเราต้องทำทั้งหมดทุกประเทศ เราต้องไปทุกบริษัทที่เขามีศักยภาพมาลงทุนในประเทศไทยได้ เพราะฉะนั้นตรงนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นหน้าที่ของตนเองในฐานะนายกรัฐมนตรี

นายกฯ กล่าวอีกว่า การประชุมกับผู้นำและภาคเอกชนเวลาไปเมืองนอกต้องใช้เวลาให้คุ้มค่า เข้าใจว่าประวัติสูงสุดในประวัติศาสตร์คือที่ดาวอส ซึ่งจะมี 19 หรือ 23 วงในวันเดียว ถือว่าเยอะมาก แต่ตนก็ยังบอกกับทีมว่าถ้าไปปีหน้า ถ้ามีห้องประจำของเราเอง 2 ห้อง แล้วก็สลับเข้าสลับออก ตนว่า 30 วงน่าจะทำได้ ทั้งนี้ 12 ปีที่ผ่านมาไม่มีผู้นำของเราไป World Economic Forum มาเลย พอเราไป คนก็ให้ความสนใจ อย่างที่ไปมาก็ AstraZeneca บริษัททำยา ซึ่งเข้าหุ้นกับปูนซีเมนต์ไทย สำหรับผลการไปต่างประเทศ โดยรวมแล้วเป็นบวกมากเพราะได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ ประเทศไทยเหมาะสมสำหรับการลงทุน บางเรื่องได้รับการประสานงานร่วมกันระหว่างผู้แทนการค้าไทย บีโอไอ และหลาย ๆ หน่วยงาน รวมถึงสถานทูตไทยได้เชิญชวนกันไปโฆษณาว่าประเทศไทยมีอะไรดี ไม่ว่าจะเป็นพลังงานสะอาด เราพร้อม Incentive จากบีโอไอ เรามีเหนือกว่าประเทศอื่น เรามีรอยยิ้ม เรามีค่าครองชีพที่เหมาะสม เรามีโรงเรียนนานาชาติที่ดีกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เรามี Health care system ที่มีมาตรฐานสูงกว่าหลาย ๆ ประเทศ นักลงทุนจากต่างประเทศที่เขาจะย้ายถิ่นฐานมาเขามีความมั่นใจ เรื่องของการที่เรามีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเยอะ ทำให้เขาเมื่อมาลงทุนแล้วเขามั่นใจว่าที่นี่มั่นคง

นายกฯ กล่าวถึงจุดยืนการทูตของไทยว่า เราไม่เป็นคู่ขัดแย้งกับประเทศไหน ที่ตนเองเดินทางไปต่างประเทศมาจากการลงทุน จาก EU หรือจากออสเตรเลีย หรือจากจีน หรือจากสหรัฐอเมริกา ทุกประเทศอยากมาลงทุนประเทศไทย ถึงแม้จะมีคู่ขัดแย้งกันเองก็ตามที เพราะเขามั่นใจว่าประเทศไทยจะให้ความเป็นธรรมกับทุก ๆ ฝ่าย ถ้าเกิดมีปัญหาเกิดขึ้นฐานผลิตของเขา Supply chain ของเขาไม่ถูกขัด อันนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะฉะนั้นทุกคนก็ให้ความมั่นใจกับประเทศไทย เพราะฉะนั้นก็เป็นที่มาที่ไปทำไมเราจึงอยากเป็น Aviation Hub ขยายสนามบินสุวรรณภูมิจาก 60 ล้านคนกลายเป็น 150 ล้านคน สร้างเทอร์มินัล สร้างรันเวย์เพิ่ม แลนด์บริดจ์ทำไมเราจึงอยากมีแลนด์บริดจ์ ในการขนส่ง ไม่ใช่แค่ประหยัดระยะทางที่ลงไปช่องแคบมะละกาอย่างเดียว หรือประหยัดค่าใช้จ่ายอย่างเดียว ในอนาคตถ้าเกิดมีคู่ขัดแย้งเยอะ แล้วประเทศที่ควบคุมโลจิสติกส์การเดินทางทั้งหลาย ไม่เป็นกลาง ใครทะเลาะกับใคร ใครจะเข้าข้างใครก็ทำให้เส้นทางการขนถ่ายสินค้าเขามีปัญหา แต่ถ้าเกิดว่าเราเป็นประเทศเป็นกลาง อย่างไรเสียเขามั่นใจว่าการดูแลการขนถ่ายสินค้าของทุก ๆ ประเทศจะได้รับการดูแลอย่างเป็นธรรม ตนเองเชื่อว่าการตัดสินใจมาลงทุนของเขา ก็จะมีความเป็นไปได้สูงขึ้น

นายกฯ กล่าวด้วยว่า การเดินทางไปต่างประเทศไปเพื่อแนะนำตนเอง และที่สำคัญคือนำมาซึ่งความมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทย จากการลงทุนที่ต่างชาติเขาจะมาขยายการลงทุนที่ประเทศไทย แต่ว่าทุก ๆ อย่างใช้เวลา อย่างเช่น เราจะ Move จากอุตสาหกรรมที่มีกำไรน้อยไปสู่อุตสาหกรรมกำไรสูง Low tech เป็น High tech Industry ไม่ได้สร้างได้ภายในวันเดียว ต้องมีวิธีการหลาย ๆ อย่าง เช่น การตัดสินใจในการซื้อ พื้นที่ งบลงทุน อะไรต่าง ๆ นานา ตนเชื่อว่ามีอะไรต้องทำควบคู่กันไป โดยเร็ว ๆ นี้จะประชุมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษาฯเรื่องของการที่เราจะต้องยกระดับ Skillsets ของ Worker ไทย เรื่องของการที่สถาบันอุดมศึกษาของไทยมี Arrangement กับบริษัทยักษ์ใหญ่ มี Training program แทนที่จะเทรนกันแค่ 3 เดือน เขาขอร้องให้ อว. ออกมาเลย เทรนมาเลย 9 เดือน 1 หนึ่ง แล้วก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของ Curriculum ด้วย เวลาจบไปก็จะได้ทำงานต่อได้เลย ทีนี้ก็พยายามพูดคุยกันต่อ มีเรื่องของรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราต้องคุยกันเยอะ

เมื่อถามว่าอีก 3 ปีจากนี้มองเห็นประเทศไทยและตัวเองอย่างไรบ้าง นายกฯ กล่าวว่า ประเทศไทยจริง ๆ แล้ว เหมือนกับเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงมาก เหมือนรถที่ยังไม่วิ่งเต็มสูบ เหมือน Ferrari 12 สูบ แต่วิ่งอยู่แค่ 6 - 7 สูบเท่านั้น แล้ว 6 - 7 สูบเราก็เดินหน้ากันเต็มที่ แต่เราก็ต้องค่อย ๆ ทำกันไป เพราะอย่างที่บอกมีหลายเรื่อง ไม่ใช่ทำเองได้ ตัดสินใจภายในคนเดียวได้ มีทั้งพรรคร่วมรัฐบาล มีฝ่ายตรวจสอบ มีทั้งรัฐสภา มีทั้งข้าราชการ มีทั้งเอ็นจีโอ ซึ่งในหลาย ๆ Initiatives ก็เป็น Initiatives ที่อาจจะมีคนแย้งบ้าง ก็ต้องทำเรื่องของประชาพิจารณ์ เป็นอะไรที่มีคนมีข้อกังขาเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น ทุกคนบ่นเรื่องค่าไฟแพง ค่าไฟที่ถูกที่สุดคือพลังงานนิวเคลียร์ พูดมาตรงนี้ทุกคนก็บอกว่าอยากได้หมด แต่ว่าอย่ามาอยู่บ้านฉันนะ ไปอยู่บ้านคนอื่นก็แล้วกัน อย่างนี้เป็นต้น ตนเองก็เริ่มต้นทำการค้นคว้าให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำความเข้าใจกับประชาชนว่านี่คือเรื่องที่เรากำลังดูอยู่ และก็มีหลาย ๆ เรื่อง เช่น Entertainment complex ซึ่งเป็นธุรกิจสีดำอยู่ใต้ดินเป็นล้านล้าน เราจะยอมให้มีธุรกิจแบบนี้อยู่ต่อไปหรือ หรือเราจะยกมาบนดิน ก็ยอมรับไปแล้วก็เก็บภาษีให้ถูกต้อง และควบคุมด้วยความประพฤติ ควบคุมเรื่องอาชญากรรมได้ ตนเองคิดว่าถึงเวลาหรือยังที่ประเทศต้องยอมรับเรื่องพวกนี้ ประเทศอื่นเขาก็มีแล้ว

ช่วงหนึ่งของรายการในวันนี้ นายกฯได้นำผลิตภัณฑ์ เช่น ผ้าขาวม้า กระเป๋ากระจูด ผ้าลายเพชรราชวัตร ที่ประชาชนมอบให้นายกฯ และนายกฯได้นำไปใช้ที่ต่างประเทศมาโชว์ด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top