Monday, 21 April 2025
POLITICS NEWS

รมว.สุชาติ นำทีมเช็คความพร้อมสถานที่ตรวจโควิด-19 เชิงรุกผู้ประกันตน ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนฯ (ไทย – ญี่ปุ่น) ดินแดง กทม. ก่อนเปิดบริการ 17 เม.ย.นี้

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และคณะ ลงพื้นที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย - ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร เพื่อตรวจสอบความพร้อม ของสถานที่สำหรับเปิดใช้เป็นช่องทางหน่วยบริการตรวจโควิด-19 เชิงรุกแก่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 ,39 และ 40 ที่อยู่ในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร เพื่อลดความแออัดและอำนวยความสะดวก ในวันเสาร์ที่ 17 เมษายนนี้

เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2564 ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย - ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการตรวจความพร้อมของสถานที่เพื่อสำหรับเปิดใช้เป็นช่องทางหน่วยบริการตรวจโควิด-19 ในวันเสาร์ที่ 17 เมษายนนี้ เพื่อลดความแออัดและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 ที่อยู่ในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร สามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 โดยมี นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม และคณะผู้บริหารสำนักงานประกันสังคม นายแพทย์ไพโรจน์ สุรัตนวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ ทันตแพทย์อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช. นายสมบูรณ์ หอมนาน ผู้อำนวยการสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดยนายสุชาติ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยผู้ประกันตนจากกรณีการแพร่ระบาด ของโควิด -19 จึงกำชับกระทรวงแรงงาน บูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และ สปสช.เป็นการเพิ่มช่องทางหรือทางเลือกหนึ่งเพื่อบริการผู้ประกันตนให้ได้รับการตรวจอย่างรวดเร็ว ลดความแออัดหรือรอคิวนาน 

ในวันนี้ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และคณะหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องจึงได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจความพร้อมของสถานที่ที่จะเปิดใช้เป็นช่องทางหน่วยบริการตรวจโควิด-19 เพื่อลดความแออัดและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 ที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 โดยจะเริ่มต้นในวันพรุ่งนี้ (17 เม.ย.64)

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับในทุกด้านหากสถานการณ์การแพร่ระบาดรุนแรงมากขึ้น ซึ่งผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้หารือกำหนดแนวทางที่จะร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดยจะเปิดให้ผู้ประกันตนที่จะเข้ารับการตรวจสามารถลงทะเบียนจองคิวตรวจผ่านระบบแอพพลิเคชั่นออนไลน์ สำหรับผู้ประกันตนที่จะได้เข้าตรวจคือผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่คัดกรอง ทั้งนี้ หากผู้ประกันตนรายใดตรวจพบเชื้อโควิด-19 จะต้องส่งตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเครือข่าย ในสังกัดสำนักงานประกันสังคม โดยจะได้รับการรักษาฟรี ซึ่งมีอยู่จำนวน 81 แห่ง ที่มีความพร้อม มีเตียงรองรับกว่า 1,000 เตียง มี HQ 200 กว่าเตียง

สำหรับขั้นตอนการลงทะเบียนออนไลน์เพื่อจองคิวตรวจของกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33, 39, และ 40 สามารถเข้าเว็บไซต์ https://www.google.com แล้วพิมพ์คำว่า แรงงานเราสู้ด้วยกัน แล้วคลิกที่เว็บไซต์ https://sso.icntracking.com/icntracking/self_register.php จากนั้นผู้ประกันตน กรอกเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก หรือเลขพาสปอร์ต กรอกข้อมูลประเมินความเสี่ยงตามที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ซึ่งเป็นบุคคลที่มีกลุ่มเสี่ยงหรือมีอาการป่วย ซึ่งเริ่มเปิดให้ลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์มาตั้งแต่เมื่อวานนี้ (15 เม.ย.64) เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป โดยแต่ละวันสามารถตรวจได้วันละ 3,000 คน แบ่งเป็นช่วงเช้า 1,500 คน ช่วงบ่าย 1,500 คน ทั้งนี้ ผู้ประกันตนจะต้องพกบัตรประชาชน พร้อมสำเนา 1 ชุด เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการตรวจด้วย หากผู้ประกันตนรายใดลงทะเบียนแล้วไม่มาตรวจตามนัดจะต้องลงทะเบียนใหม่ และเมื่อเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด -19 เรียบร้อยแล้วสามารถกลับบ้านได้ทันที เนื่องจาก ผลการตรวจจะส่งทาง SMS ให้ผู้ประกันตนทราบตามหมายเลขโทรศัพท์ที่แจ้งไว้

“ทั้งนี้ ผู้ประกันตนที่เข้าข่ายเป็นกลุ่มเสี่ยงตามที่กระทรวงสาธารณสุข และ สปสช.กำหนด สามารถลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ https://sso.icntracking.com/icntracking/self_register.php เพื่อจองคิวตรวจโควิด-19 ซึ่งช่องทางดังกล่าวกระทรวงแรงงาน ได้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และ สปสช.เพื่ออำนวยความสะดวก ลดความแออัดและเพิ่มช่องทางให้กับผู้ประกันตน ได้เข้าถึงการตรวจโควิด -19 ซึ่งหากพบเชื้อสามารถเข้ารับการรักษาตามขั้นตอนที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดได้อย่างทันท่วงที” รมว.สุชาติ กล่าวในตอนท้าย

"นฤมล" ชวนฝึกออนไลน์ ช่วง Work From Home

รมช.แรงงาน ขานรับนโยบายรัฐบาล กำชับแรงงานช่วง work from home แนะฝึกออนไลน์กับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสพัฒนาตนเองรับวิถีชีวิตใหม่ ลดเสี่ยงติดโควิด-19

วันที่ 16 เมษายน 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ มีการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยและได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งกำหนดมาตรการจำกัดการแพร่ระบาดให้เร็วที่สุด ซึ่งมีการประชุม ศบค. ชุดใหญ่ในวันนี้ อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมา ด้วยการเชิญชวนให้คนไทย หยุดอยู่บ้าน งดการเดินทาง การรวมกลุ่ม โดยในส่วนของหน่วยงานราชการและเอกชน กำหนดให้พนักงานและเจ้าหน้าที่ work from home จะเป็นอีกมาตรการหนึ่งที่ช่วยหยุดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้

ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวต่อไปว่า การฝึกอบรมที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ดำเนินการฝึกอย่างต่อเนื่องนั้น ได้มีมาตรการป้องกันอย่างเคร่งคัด ทั้งการคัดกรอง การสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา และการใช้แอลกอฮอล์ล้างมือให้บ่อยครั้ง รวมถึงจำกัดจำนวนคนเข้าอบรม ไม่เกิน 20 คน นอกจากนี้ ยังจัดโปรแกรมการฝึกออนไลน์ ในรูปแบบ VDO Training ในช่วงที่แรงงานต้องหยุดอยู่บ้าน สามารถเข้าเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ได้ถึง 16 หลักสูตร โดยสามารถดูรายละเอียดและเข้าเรียนรู้ได้ที่ www.dsd.go.th เมนู ฝึกทักษะออนไลน์ (online Training) ปัจจุบัน ได้เพิ่มหลักสูตรที่ได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ในกลุ่มของ Microsoft office  สำหรับหลักสูตรเดิมที่มีอยู่แล้ว ประกอบด้วย การเรียนรู้ด้านช่าง ภาษาต่างประเทศ ทั้งภาษาญี่ปุ่น ภาษาเกาหลี และภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ ยังมีหลักสูตรเกี่ยวกับอาชีพอิสระ เช่น การทำอาหาร การทำขนม และงานศิลปะประดิษฐ์ เป็นต้น ผู้สนในสามารถลงทะเบียนเข้าฝึกอบรมตามเว็บไซต์ที่แจ้ง หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4

 “ถ้าทุกคนช่วยกันและปฏิบัติตัวตามมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลได้กำหนด  เชื่อมั่นว่าจะสามารถหยุดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไปได้อย่างแน่นอน” รมช.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย

ส.ส.ก้าวไกล รุดฉีดวัคซีนกันโควิด-19 ย้ำรัฐบาลเร่งจัดหาวัคซีนให้เร็วและหลากหลาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้แจ้งทางแอปพลิเคชันไลน์ถึง ส.ส. เรื่องการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ว่า ส.ส.ที่มีความประสงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 สามารถไปรับการฉีดวัคซีนได้ที่ สถาบันบำราศนราดูร ห้องประชุมอัจฉรา วันที่ 16-30 เมษายน 2564 เวลา 09.00-16.00 น.ในวันเวลาราชการ สำหรับ ส.ส. ท่านใดที่อยู่ในระหว่างการกักตัว สามารถรับบริการได้หลังจากที่ครบกำหนดการกักตัวแล้วนั้น

เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2564 ที่ห้องประชุมอัจฉรา สถาบันบำราศนราดูร  นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล นำทีม ส.ส.พรรคก้าวไกล ได้แก่ นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ นายสุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร นายสมเกียรติ ถนอมสินธุ์ นายวุฒินันท์ บุญชู นายกัญจน์พงศ์ จงสุทธนามณี นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล นางสาวณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ นายธีรัจชัย พันธุมาศ และนายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ที่ไม่อยู่ในช่วงกักตัวเพื่อสังเกตอาการและไม่มีความเสี่ยงเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อเป็นการรณรงค์และป้องกันการเเพร่ระบาดที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน 
 

โดย นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า วันนี้การฉีดวัคซีนไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการป้องกันเฉพาะตนเองเท่านั้น แต่เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมในการร่วมกันสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้นในประเทศ เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ทำให้ประชาชนสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันและทำมาหากินประกอบอาชีพได้ใกล้เคียงกับสภาพปกติ รวมทั้งการไม่เป็นภาระต่อระบบสาธารณสุขเมื่อเกิดการติดเชื้อด้วย เพราะวัคซีนมีผลทำให้ลดความหนักของอาการจากโรคโควิด

นางสาวศิริกัญญา กล่าวต่อว่า รัฐบาลยังคงจำเป็นต้องบริหารความเสี่ยงในการจัดหาวัคซีนให้เกิดความสมดุล อย่างเร่งด่วน โดยสำรองวัคซีนทางเลือกต่าง ๆ ให้มีความหลากหลายกว่าที่เป็นอยู่ เพราะหากเกิดอุบัติการณ์จากการฉีดวัคซีนยี่ห้อใดที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชน และมีความจำเป็นต้องระงับการฉีดวัคซีนยี่ห้อนั้นไว้ก่อนเพื่อสอบสวนข้อเท็จจริง เช่น กรณีการเชื่อมโยงกับภาวะการเกิดลิ่มเลือด จนทำให้หลายประเทศในยุโรปกำหนดข้อแนะนำเกี่ยวกับอายุของผู้รับวัคซีนแอสตราเซเนกา หรือประเทศเดนมาร์กที่ยกเลิกการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาทั้งหมด หรือกรณีที่สหภาพยุโรปจะไม่ต่อสัญญากับผู้ผลิตวัคซีนชนิดไวรัล เวกเตอร์ ได้แก่ แอสตราเซเนกา และ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ซึ่งเมื่อสัญญาสิ้นสุดลง ประเทศจะได้มีวัคซีนทางเลือกอื่นในการฉีดให้กับประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้นให้เร็วที่สุด

"การฉีดวัคซีนในวันนี้มีความจำเป็นอย่างมาก ในเมื่อวัคซีนที่รัฐบาลมีอยู่มีกระจุกอยู่เท่านี้ ประชาชนก็จำเป็นต้องฉีด เพราะในมุมของเราและสังคมโดยรวม การฉีดดีกว่าการไม่ฉีด แต่หากรัฐบาลสามารถกระจายความเสี่ยงในการจัดหาวัคซีนที่ดีกว่านี้ มีวัคซีนทางเลือกที่หลากหลายในปริมาณที่สมดุลเพียงพอ ความเสี่ยงจากการฉีดวัคซีนที่ประชาชนต้องแบกรับก็จะลดลง ประชาชนก็จะมีโอกาสได้รับวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคที่สูงขึ้น ในขณะที่รัฐบาลก็จะสามารถบริหารการฉีดวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างมั่นใจ" นางสาวศิริกัญญา กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เนื่องจาก กระทรวงสาธารณสุข ได้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปเริ่มลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่นและไลน์ “หมอพร้อม” ได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป เพื่อลงคิวเข้ารับการฉีดวัคซีน พรรคก้าวไกลจึงขอเชิญชวนให้ทุกคนไปลงทะเบียนและเข้ารับการฉีดวัคซีนโดยเร็วที่สุดเพื่อพลิกฟื้นประเทศกลับสู่ภาวะปกติ

"อนุทิน" วางกรอบคุมโควิด 19 ระลอกใหม่ ต้องคลี่คลายใน 1 เดือน เผยเป้าฉีดวัคซีนทีมสาธารณสุขครบ 100% ในสัปดาห์หน้า

เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2564 ที่สถาบันบำราศนราดูร จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวขณะตรวจเยี่ยมการให้บริการวัคซีนโควิด-19 กับประชาชนโดยระบุว่า ได้รับการประสานงานจากสำนักงานเลขาธิการรัฐสภา ให้สมาชิกรัฐสภา อาทิ ส.ส. ส.ว. มารับบริการวัคซีน ซึ่งใครก็ตามที่เข้าข่ายตามเกณฑ์การรับวัคซีนระยะแรก เช่น ต้องพบปะผู้คนจำนวนมาก เดินทางบ่อย มีโรคประจำตัวตามเกณฑ์รับบริการ ก็ต้องให้ฉีดแน่นอน เพราะท่านทั้งหลาย ล้วนเป็นประชาชนเหมือนกัน ส่วนกรณีที่พรรคก้าวไกล จะมารับวัคซีนในวันนี้ ทั้งที่ก่อนหน้าได้วิจารณ์เรื่องประสิทธิภาพของวัคซีน นายอนุทิน ตอบว่า นักการเมือง ก็เป็นประชาชน ถ้ามีองค์ประกอบเป็นไปตามเกณฑ์การรับบริการ ก็ฉีดได้ ขอเรียนว่าวัคซีนที่ไทยนำเข้ามามีประสิทธิภาพ และความปลอดภัย ได้ผ่านการตรวจสอบมาอย่างดีแล้ว ขอให้ผู้รับบริการมั่นใจ 

ผู้ที่ได้รับวัคซีน จะไม่ป่วยหนักแล้วจะไม่เสียชีวิต อย่างไรก็ตามถึงจะฉีดวัคซีนไปแล้วแต่ก็ต้องตั้งการ์ดสูง สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ ถ้าทำงานที่บ้านได้ อยากให้ดำเนินการเรื่องนี้ การทำงานที่บ้าน ไม่ทำให้ประสิทธิภาพของานตกลงเลยไปเลย ตนเคยทำงานที่บ้านแล้ว ได้งานมากกว่าเดิมด้วย สำหรับแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ขอให้ท่านดูแลสุขภาพตัวเองอย่างเคร่งครัด ท่านเป็นบุคลากรที่สำคัญอย่างยิ่งต่อชาติบ้านเมือง เป็นด่านหน้าในการ ป้องกันโรคระบาดและปกป้องชีวิตคนไทย ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขวางเป้าว่าภายในสัปดาห์หน้าจะให้บริการบุคลากรทางการแพทย์ครบ 100% เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ท่านในการปฏิบัติหน้าที่ 

ส่วนเรื่องความพร้อมของทรัพยากร จากที่มีกระแสข่าวว่าเตียงไม่พอนั้น นายอนุทินเปิดเผยว่า ในความเป็นจริงแล้วเราได้มีการสำรองเตียงเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินและมั่นใจว่าเตียงมีพอต่อความต้องการอย่างแน่นอน วันนี้ ได้ขยายการให้บริการของโรงพยายาลสนาม และกำลังเร่งเปิดฮอสพิเทลเพิ่มเติม ในส่วนของยา อุปกรณ์ป้องกัน บุคลากร ได้วางแผนไว้แล้ว แต่พร้อมปรับเปลี่ยนทุกสถานการณ์ เช่นเดียวกับการรักษา ที่ให้เป็นหน้าที่ของทีมแพทย์ ส่วนฝ่ายผู้บริหาร ยืนยันว่า ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ 

วางกรอบไว้ว่า จะต้องคลี่คลาย สถานการณ์การระบาดของคลัสเตอร์สถานบันเทิงให้ได้ภายใน 1 เดือน ที่ตั้งระยะเวลาไว้แบบนี้ เพราะมีเกณฑ์ว่า หากผู้ติดเชื้อ มาจากคลัสเตอร์ สถานบันเทิง เมื่อได้สั่งปิดให้บริการ พร้อมไปกับใช้มาตรการที่เข้มข้น เท่ากับ ตัดวงจรแพร่เชื้อ วงรอบของการระบาดน่าจะยุติลงในระยะเวลาประมาณ 1 เดือน แต่หากระหว่างนั้น พบคลัสเตอร์ใหม่ การควบคุมโรคก็ต้องอาศัยระยะเวลานานขึ้น สำหรับเรื่องข้อมูลข่าวสาร ภาครัฐ เปิดเผยทุกความเป็นจริง ไม่มีการปิดกั้นข้อมูลสำหรับฝ่ายการเมืองที่มีข้อเสนอแนะหรือมีข้อสงสัยหากเป็นไปด้วยเจตนาดีต่อชาติต่อบ้านต่อเมืองต่อประชาชนก็พร้อมตอบทุกคำถาม 

อดีต ส.ส.ปชป. วัชระ เพชรทอง เชื่อ “ตู่-จตุพร” ปลุกม็อบ “ตู่ชนตู่” ขึ้น รอดูพัฒนาสู่ม็อบสามัคคีไม่เอาลุง ชี้ชั้นเชิงชวนมวลชนยังเก๋า เชื่อจุดติดใหญ่เมื่อไรรัฐยกกฎหมายไล่สอยรายคน

นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ วิเคราะห์การออกมาเคลื่อนไหวม็อบ 4-4-4 ภายใต้การนำของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่ม นปช.ที่มีเป้าหมายจะขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่า

ตนมองว่าแม้นายจตุพรว่าจะถูกหลายฝ่ายดิสเครดิตทั่วสารทิศ แต่จะเห็นว่านายจตุพรไปตามคำเชิญของนายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานกลุ่มญาติฯ ซึ่งมีนักต่อสู้เดือนตุลา กลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน และเครือข่ายคนทุกสีจึงย่อมมีน้ำหนักในการเคลื่อนไหว อีกทั้งนายจตุพรยังเป็นผู้ที่เจนจัดในการปลุกม็อบ นำม็อบและจบม็อบตั้งแต่ยุคพฤษภาทมิฬ จนถึงยุคคนเสื้อแดง ยุทธปัจจัยในการนำและเคลื่อนม็อบ จึงมีประสบการณ์อย่างโชกโชน เรียกว่าแค่หลับตาก็รู้ว่าจะเดินหมากอย่างไร ดังนั้น ยุทธการณ์ “ตู่ชนตู่” จึงประมาทไม่ได้เป็นอันขาด

นายวัชระ กล่าวอีกว่า ส่วนบรรดาคนเสื้อแดงที่กลับใจไปอยู่กับรัฐบาล หากนับตามฝีมือแล้วยังห่างชั้นนายจตุพรอยู่มาก แต่ก็เข้าตำราโบราณว่าไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ภาพลักษณ์ชายชุดดำ และวลีเผาบ้านเผาเมืองอาจคาใจคนกรุงเทพฯ จำนวนมาก แต่การพุ่งเป้าล้มรัฐบาลแต่เพียงอย่างเดียวย่อมทำให้ได้แนวร่วมมากขึ้น จึงต้องดูจังหวะการเคลื่อนไหวที่อาจมีการประสานให้ถนนทุกสายมุ่งหน้าสู่ทำเนียบรัฐบาลโดยมีการนำแบบรวมหมู่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต หรือจัดตั้งองค์กรเฉพาะกิจขึ้นมาแบบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ กปปส.หรือไม่

“สถานการณ์ความเบื่อหน่าย พล.อ.ประยุทธ์ กำลังเข้าสู่ช่วงสุกงอมหรือไม่ ให้ดูที่ยุทธการเปิดไพ่ทีละใบว่ามีผู้นำมวลชน ผู้นำนักเรียนนิสิตนักศึกษา นักวิชาการ ชาวนาชาวไร่ ผู้นำเกษตรกร พรรคการเมือง นักการเมือง ผู้นำแรงงานหรือกลุ่มพลังกดดันทางสังคมได้ทยอยเปิดตัวเข้าร่วมอย่างเป็นระบบหรือไม่ มีมวลชนเข้าร่วมหลังเทศกาลสงกรานต์แบบไหลมาเทมาหรือไม่ ถึงจุดนั้นรัฐบาลก็ต้องตั้งรับให้ดี ผมคิดว่ารัฐบาลคงใช้กฎหมายเป็นตัวหลักในการจัดการกับม็อบหรือผู้นำม็อบ คงจะมีการตรวจสอบเป็นรายบุคคลว่าใครมีคดีความอยู่ในชั้นไหนหรือหน่วยงานใดบ้าง แล้วใช้กำลังภายในจัดการทีละคนทีละกลุ่มเพื่อตัดกำลัง เหมือนที่กลุ่ม กปปส.เคยโดนมาแล้ว”

นายวัชระมองด้วยว่า ม็อบ “ตู่ชนตู่” จะพัฒนาสู่ม็อบ “สามัคคีคนไม่เอาลุงตู่” ในที่สุด แต่จุดจบจะเป็นอย่างไรก็ต้องติดตามอย่ากะพริบตา เพราะคู่ชกครั้งนี้สมศักดิ์ศรี ไม่ใช่ม็อบเด็กๆ คิกขุอาโนเนะ ที่ไม่รู้จักว่าอะไรควรอะไรไม่ควร เพราะเมื่อสภาไม่ใช่ทางออกของการแก้ไขปัญหา การอภิปรายนอกสภาและมีเป้าหมายเพื่อขับไล่รัฐบาล จึงเกิดขึ้นเป็นวัฏจักรของการเมืองไทย ซึ่งอาจจบลงแบบ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ต่อ หรือ ลาออก หรือ ยุบสภา หรือ รัฐประหาร หรือ ม็อบถูกรัฐบาลกวาดล้างพ่ายแพ้ไปก็เป็นได้


ที่มา: https://mgronline.com/politics/detail/9640000036009

‘บิ๊กตู่’ เรียกถกทีมเศรษฐกิจ และฝ่ายกฎหมาย รัฐบาล หารือ 4ประเด็นด้านเศรษฐกิจ ทั้งแผนฟื้นฟูการบินไทยเข้า ก่อนชง ครม. - ช่วยเหลือโควิด รอบ 3 -แก้หนี้ครู และ กยส. -สรุปแอปพลิเคชันลงทะเบียนรับวีคซีน

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาล ว่า ภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ที่ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้เรียกประชุม นัดพิเศษ ทีมเศรษฐกิจ และ ฝ่ายกฎหมายรัฐบาล  อาทิ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขาธิการ สมช. และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย 

ซึ่งมีวาระการหารือที่สำคัญ 4 เรื่องคือ แผนฟื้นฟูการบินไทย ก่อนนำเข้าสู่ที่ประชุม ครม. ในวันอังคารที่ 17 เม.ย.นี้ นอกจากนี้ ยังหารือถึงแผนบรรเทาผลกระทบโควิดรอบที่ 3 รวมทั้งการแก้ปัญหาหนี้ กยส. และหนี้ครู รวมทั้ง ข้อสรุปการลงทะเบียนรับวัคซีน ผ่านแอปพลิเคชัน ที่ธนาคารกรุงไทย รับเป็นเจ้าภาพในการดำเนินการ อย่างไรก็ตามภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ นายกรัฐมนตรีจะยังไม่มีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนโดยได้รับการประสานว่าการชี้แจงจะมีภายหลังการประชุม ศบค.ในช่วงเย็น

ดราม่าค่าตั๋วรถไฟฟ้าสายสีเขียว หลัง 198 องค์กรผู้บริโภคล่ารายชื่อ ค้าน กทม.ต่อสัมปทานให้บีทีเอส อ้าง!65 บาทแพงไม่มีที่มาที่ไป ชี้เก็บค่าแค่ 25 บาทก็มีกำไร ด้าน กทม.สวนกลับ เหตุใดไม่ไปไล่บี้ใต้ดิน-สีม่วง ยกรัฐจ่ายค่าก่อสร้างให้หมดแล้ว เหตุใดยังเก็บแพง

วันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2564 ภายหลังเครือข่าย 198 องค์กรผู้บริโภคออกโรงล่ารายชื่อคัดค้านการต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ให้กับบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพจำกัด(มหาชน)หรือบีทีเอสซีผู้ให้บริการเดินรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว โดยระบุว่า การกำหนดอัตราค่าโดยสารที่กำหนดสูงสุด 65 บาทตลอดสายแพงเกินไป สร้างภาระต่อผู้บริโภค และแม้องค์กรผู้บริโภค รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะพยายามสอบถามถึงที่มาของตัวเลข 65 บาท แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบใด ๆ  นั้น 

แหล่งข่าวระดับสูงจาก บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด วิสาหกิจของกรุงเทพมหานคร(กทม.) ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบบริหารจัดการเดินรถไฟฟ้า สายสีเขียว ส่วนต่อขยาย เปิดเผยว่า หากสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้า สายสีเขียวสิ้นสุดลงในปี 2572 และโครงการได้โอนกลับมาเป็นของรัฐแล้ว ถึงเวลานั้น รัฐบาลหรือ กทม.จะกำหนดค่าโดยสารอย่างไรก็ย่อมทำได้ จะจัดเก็บค่าโดยสารแค่ 10 - 15 บาท หรือ 15 - 25 บาทตลอดสายสามารถกำหนดได้ทั้งสิ้นเพียงแต่ค่าโดยสารที่ต่ำติดดินขนาดนั้น จะทำให้โครงการไปรอดหรือไม่ และ กทม.จะนำเงินจากไหนไปจ่ายค่าก่อสร้างและค่าจ้างบริหารการเดินรถ และซ่อมบำรุง ทั้งต้องไม่ลืมว่า แม้สัมปทานรถไฟฟ้า สายสีเขียว จะสิ้นสุดลงในปี 2572 แต่ กทม.ก็ยังมีสัญญาจ้าง BTS ให้บริหารจัดการเดินรถไฟฟ้า สายสีเขียว ส่วนต่อขยาย(อ่อนนุช-แบร่ิง-สมุทรปราการ และพหลโยธิน-คูคต) ต่อไปอีก 12 - 13 ปี สิ้นสุดปี 2585  

ซึ่งหากรัฐหรือ กทม.จะหักดิบไม่ต่อสัญญาจ้างบริหารกับ BTS เพื่อให้สิ้นสุดพร้อมกันในปี 72 เลยแม้จะทำได้ แต่ก็คงจะเกิดปัญหาฟ้องร้องกันตามมาแน่และหากรัฐและกทม.จะเปิดประมูลหาเอกชนรายใหม่เข้ามาบริหารจัดการทั้งโครงการ สุดท้ายก็จะกลับไปยังจุดเร่ิมต้นที่ว่า อัตราค่าโดยสารที่จัดเก็บควรเป็นเท่าใด สูงสุด 25 บาทตลอดสายตามที่องค์กรผู้บริโภคเรียกร้องได้หรือไม่ จะทำให้โครงการไปรอดหรือไม่ เพราะหากจะพิจารณาโครงการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงค์ ระยะทางแค่ 28 กม. ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่วันนี้จัดเก็บค่าโดยสารเพียง 15 - 35 บาทต่ำกว่าสายอื่น ๆ แต่แอร์พอร์ตลิงค์ มีสภาพเป็นอย่างไร ทุกฝ่ายต่างประจักษ์กันดี เพราะนับแต่เปิดให้บริการมาจนปัจจุบัน แอร์พอร์ตลิงค์ขาดทุนอย่างหนัก ไม่มีเงินจัดซื้ออะไหล่มาเปลี่ยนตามวงรอบ จนต้องถอดอะไหล่อีกคันมาสลับสับเปลี่ยนเพื่อให้ขบวนรถพอจะวิ่งได้ แต่สุดท้ายก็ต้องประเคนแถมพ่วงไปกับรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินให้บริษัทรถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกในเครือซี.พี.เพราะการรถไฟฯไม่สามารถจะแบกรับภาระได้ในส่วนของค่าโดยสารรถไฟฟ้า 25 บาทที่องค์กรผู้บริโภคกำลังตีปี๊บกันอยู่เวลานี้ 

แหล่งข่าว กล่าวว่า คงต้องย้อนถามกลับไปว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร และคำนวณมาจากผู้เชี่ยวชาญที่ไหนถึงได้กำหนดราคาออกมาต่ำติดดินชนิดที่รถเมล์แอร์ยังสู้ไม่ได้ หากจะอ้างว่า อ้างอิงมาจากสำนักงานนโยบายและแผนขนส่งและจรจร(สนข.) กระทรวงคมนาคม หรือการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) องค์กรผู้บริโภคคงต้องย้อนกลับไปตรวจสอบให้ดีว่า ข้อมูลดังกล่าวมีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน เพราะก่อนหน้านี้ ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรค ปชป.และอดีตรองผู้ว่า กทม.เพิ่งงัดข้อมูลในเอกสารคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุน (RFP) โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีบุรี ระยะทาง 35.9 กม.ของรฟม.เอง ที่ระบุอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า สายสีส้ม ส่วนตะวันออก (ศูนย์วัฒนธรรม-มีบุรี) ณ วันที่ 1 มกราคม 2566 ที่ราคา 17 - 62 บาท ซึ่งเป็นอัตราใกล้เคียงกับค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่ถูกกระทรวงคมนาคม และรฟม.แย้งก่อนหน้านี้ว่า “แพง” จนรับไม่ได้ ซึ่งเมื่อเจอย้อนศรเข้าไปตรง ๆ ฝ่ายบริหาร รฟม.กลับอ้างว่า เป็นแค่ตุ๊กตาที่ให้เอกชนใช้ยื่นข้อเสนอร่วมลงทุน เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานเดียวกันเท่านั้น
 

"หากจะอ้างว่า เมื่อเป็นโครงการของรัฐแล้ว ย่อมสามารถกำหนดค่าโดยสารได้ต่ำ แล้วทำไมรถไฟฟ้าใต้ดิน สายสีน้ำเงิน ที่ รฟม.ให้สัมปทาน บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้า(BEM) และสายสีม่วง เตาปูน-บางใหญ่ ที่รฟม.ว่าจ้างให้ BEM บริหารจัดการและซ่อมบำรุง (O&M ) วันนี้ถึงกำหนดค่าโดยสารไว้สูงสุดถึง 44 บาท ทั้งที่รัฐบาลได้ลงทุนค่าก่อสร้างให้หมดทุกบาททุกสตางค์ไปแล้ว เอกชนแค่ซื้อรถมาวิ่งให้บริการเท่านั้น เหตุใด รฟม.ถึงไม่ลดค่าโดยสารเหลือ 10 - 25 บาทเป็นตัวอย่างเสียเลยวันนี้ เก็บค่าโดยสารสูงสุดแค่ 25 บาทก็มีกำไรทันทีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ จะไปตั้งค่าโดยสารเท่ากับหรือใกล้เคียงกับรถไฟฟ้าบีทีเอสของ กทม.ที่ 15 - 44 บาททำไม ในเมื่อรัฐจ่ายค่าก่อสร้างให้หมดแล้ว  แถมบริษัทเอกชนไม่ต้องจ่ายค่าสัมปทานให้แก่ รฟม.ด้วยอีก ขณะที่รถไฟฟ้าบีทีเอสนั้น เอกชนต้องแบกภาระลงทุนเอง และหากขยายสัมปทาน 30 ปี ก็ยังต้องจ่ายค่าตอบแทนให้ กทม.อีกกว่า 200,000 ล้านบาทด้วย” แหล่งข่าว ระบุ

แหล่งข่าว กล่าวด้วยว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดที่ กทม. กำลังเผชิญ อยู่ในปัจจุบัน ก็คือ กทม.ไม่มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะจ่ายหนี้ค้างค่าก่อสร้าง และค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายให้คู่สัญญาเอกชนได้ เฉพาะหนี้ค้างที่ถึงกำหนดที่ถูก บมจ.บีทีเอสยื่นโนตี๊สมาแล้วในเวลานี้ ก็มากกว่า 30,000 ล้านเข้าไปแล้ว และยังจะต้องจ่ายหนี้ค้างที่ว่านี้รวมกว่า 68,000 ล้านกับค่าจ้างเดินรถอีกปีละกว่า 5,000-6,000 ล้านบาท ซึ่งหากคิดไปถึงปี 2572 ก็ตกร่วม ๆ 100,000 ล้านบาท ตรงนี้ต่างหากที่เป็นปัญหาใหญ่ที่ กทม.ร้องแรกแหกกระเชอขอให้รัฐ และกระทรวงการคลังช่วยเหลือ ช่วยหาเม็ดเงินมาจ่ายหนี้ค้างเหล่านี้ให้ที ซึ่งหากรัฐบาลและกระทรวงคลังเจียดเม็ดเงินให้ กทม.จ่ายหนี้ค้างเหล่านี้ไปถึงปี 2572 ได้ ถึงเวลานั้น รัฐหรือกทม.จะเอาโครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียวนี้ ใส่ตะกร้าล้างน้ำเปิดประมูลหาเอกชนเข้ามาบริหารกันอย่างไรก็ทำได้ จะกำหนดอัตราค่าโดยสารอย่างไรก็ย่อมได้

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกโรงโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กติง ‘ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์’ ถึงการออกมาเคลื่อนไหวในช่วงหลังๆ โดยมีใจความว่า...

อานนท์!!

-อานนท์ !! เธอคงคิดว่า เธอสำเร็จวิชาสถิติ ดูฟ้าดูดาว ทำนายโชคชะตาได้ เธอคงภูมิใจว่า ครั้งหนึ่งเธอโด่งดังจากการได้ฆ่าเด็กทางทีวี แต่เรื่องนั้นปราชญ์มิได้สรรเสริญเธอหรอก เธอควรให้ความรู้กับเด็ก มากกว่าที่จะใช้สถานะที่เหนือกว่าเข้าข่มเด็ก เธอทำเหมือนผู้ใหญ่ที่ไล่เตะเด็กกลางตลาดสด อานนท์!! มิใช่ชัยชนะของเธอหรอก แต่เป็นความพ่ายแพ้ของเธอต่างหาก

-อานนท์ : เธอนี่แหละจะทำให้สถาบันสำคัญพลอยหม่นหมองด้วยอวิชชาของเธอ ด้วยการที่เธอสงวนความรักนั้นไว้เป็นของเธอแต่เพียงผู้เดียว และเธอบังอาจ กล่าวหาสำนักวิชาเก่าแก่สำนักหนึ่งว่ามิได้รักสถาบันหลัก ทั้งที่ สำนักนี้อยู่ค้ำชูประเทศนี้มาตลอด ศิษย์สำนักนี้ ยอมพลีชีวิตเพื่อสถาบันอันเป็นที่รักได้ทุกคน

-อานนท์!! เธอสร้างความแตกแยก สร้างความร้าวฉานโดยเหตุอันไม่สมควรเลย เธอทำเพราะกิเลสที่หมักหมมในกมลสันดาน ด้วยความอยากได้ใคร่ดีในชื่อเสียง และด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงของเธอ

-อานนท์ !! บัดนี้ เรารู้แล้ว เธอคือนักโหน โหนโน่น โหนนี่ สุดท้ายเธอบังอาจโหนฟ้า และแบ่งแยกดิน

-อานนท์!! เราประจักษ์แล้ว ว่าเธอมิใช่ปราชญ์หรอก แต่เธอเป็นเปรตมากกว่า โทษของเธอเป็นมหันตโทษ เธอจะถูกลงโทษจากองค์พระแม่ธรณี

-อานนท์ ! จงหยุดความอหังการ์ ของเธอเสีย ณ บัดนี้ หาไม่แล้ว ก็จงรอวันธรณีสูบเธอลงสู่นรก !!


ที่มา: https://www.facebook.com/134404053297395/posts/5308287625908986/

ปชป.เป็นกำลังให้บุคลากรทางการแพทย์ - จนท.รัฐ ขอบคุณที่เสียสละดูแลปชช.

เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2564 นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่า ขอเป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ พยาบาล อสม. เจ้าหน้าที่รัฐ ที่ทุกคนได้มุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขอบพระคุณทุกท่าน ที่ได้เสียสละ ขอให้มีขวัญกำลังใจในการทำงาน ประชาชนคนไทยทุกคนจะเป็นกำลังใจ และอยู่เคียงข้าง ทุกคนคือด่านหน้าที่มีความเสี่ยงจากการปฏิบัติหน้าที่ แต่ทุกช่วงเวลาที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทุกคนยังปฏิบัติหน้าที่ด้วยความไม่ย่อท้อขอชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง

นายราเมศ กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่เราทุกคนจะช่วยบุคลากรทางการแพทย์ได้คือ การปฏิบัติตนตามหลักวิธีการในการป้องกัน และคำแนะนำจากรัฐด้วยความมีวินัย การไม่รวมกลุ่มกันสังสรรค์ การเว้นระยะห่าง การล้างมือ การใส่หน้ากาก ลดกิจกรรม ลดการเดินทาง เพื่อลดการติดเชื้อใหม่ ๆ ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดดีขึ้นและที่สำคัญควรรับฟังข่าวสารจากศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เป็นหลัก เพื่อให้ได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องป้องกันความสับสน 

ขอเป็นกำลังใจให้นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทุกคน ฝ่ายการเมืองไม่ควรคิดว่าตนเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล แต่หน้าที่ที่สำคัญของทุกคนคือความสามัคคีในการร่วมด้วยช่วยกันเพื่อช่วยเหลือประชาชนคนละไม้คนละมือ หยุดโจมตีรัฐบาลในเรื่องการทำงานในสถานการณ์โควิดบ้างก็จะเกิดประโยชน์ ไม่ใช่ว่าไม่ให้ติติง ไม่ให้เสนอแนะ แต่ควรทำอย่างสร้างสรรค์ รัฐบาลพร้อมรับฟังอยู่แล้ว ประชาชนก็จับตาดูอยู่เช่นกัน

“บิ๊กบี้” กักตัว14วัน -ตรวจแล้วไม่พบเชื้อ หลังนายพลสำนักงานฯติดโควิด ยกระดับเข้มมาตรการ ลดจำนวนคนในที่ตั้งหน่วย เผย รพ.สนาม ทบ.รองรับทหารจาก รพ. พระมงกุฎฯ ที่เพิ่มขึ้น

เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2564 มีรายงานว่า พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้กักตัวที่บ้านพักภายใน กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ร.1 ทม.รอ.) เป็นระยะเวลา14 วัน ตั้งแต่วันที่ 10 - 23 เมษายน พ.ศ.2564 เนื่องจากสัมผัสใกล้ชิดกับนายทหารชั้นยศนายพลภายในสำนักงานผู้บังคับบัญชา (สำนักงาน ผบ.ทบ.) ที่ตรวจพบเชื้อ โควิด-19 เมื่อวันที่ 12 เมษายน ที่ผ่านมา โดยพล.อ.ณรงค์พันธ์ ได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 แล้ว ผลออกมาเป็นลบ แต่ยังคงกักตัวต่อไป จนกว่าจะครบกำหนด 

สำหรับทหารทุกนายที่ปฏิบัติหน้าที่ในสำนักงานฯ ช่วงก่อนวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งมีความเสี่ยงสูง รวมถึง ครอบครัว คนที่ใกล้ชิด ได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อทั้งหมด และได้กักตัวตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 อย่างเคร่งครัด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีหนังสือด่วยแจ้งไปยัง นขต.ทบ. ระหว่างที่ผบ.ทบ.เวิร์คฟอร์มโฮมตั้งแต่เริ่มวันหยุดเทศกาลสงกรานต์เป็นต้นมา ยังคงสั่งการหน่วยขึ้นตรง ทบ.สนับสนุนภารกิจการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามของรัฐในหลายจังหวัด และเร่งรัดจัดตั้งโรงพยาบาลสนามกองทัพบก 2 แห่ง ที่ค่ายธนะรัชต์ และ อาคารรับรองทบ. (เกียกกาย) โดยเฉพาะที่เกียกกาย ได้จัดไว้รองรับผู้ป่วยที่เป็นกำลังพลและครอบครัวที่ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ 

ไล่ตั้งแต่กรณีของกลุ่มทหารม้า จากกิจกรรมเตะฟุตบอล และร่วมรับประทานอาหาร งานวันสถาปนาหน่วย กองพันทหารม้าที่ 3 รักษาพระองค์ (ม.พัน 3 รอ.) ซึ่งมีนายทหารระดับผู้บังคับบัญชา ของกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม. 2 รอ.) ติดเชื้อ รวมถึงเคสอื่น ๆ ที่เพิ่มมากขึ้น โดยจุดประสงค์ของการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ทบ.เพื่อต้องการจะแบ่งเบาภาระด้านสาธารณสุขของประเทศที่กำลังรับมือกับจำนวนผู้ป่วยรายวันที่เพิ่มขึ้นหลักพันคน

อย่างไรก็ตาม ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ทบ. ยังได้แจ้งหน่วยขึ้นตรง ทบ. จัดกำลังพลปฎิบัติงาน ณ ที่ตั้งหน่วยน้อยที่สุด ในอัตราส่วนแค่ 1 ใน 4 ตั้งแต่วันที่ 16 เม.ย. เป็นต้นไป และผู้ที่เข้ามาปฏิบัติงานต้องไม่ใช่กำลังพลที่เดินทางกลับต่างจังหวัดช่วงเทศกาลสงกรานต์ด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top