Monday, 21 April 2025
POLITICS NEWS

เพจ KKU GROUP มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดย รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ออกมาชี้แจงผ่านเพจดังกล่าว จากกรณีการเลิกจ้าง นายเดวิด สเตร็คฟัสส์ นักวิชาการชาวอเมริกัน โดยระบุว่า...

สืบเนื่องจากจากกรณีไทยสั่งระงับวีซ่า 'เดวิด สเตร็คฟัสส์' นักวิชาการชาวอเมริกัน อดีต ผอ.โครงการ CIEE ขอนแก่น ผู้ดูแล 'The Isaan Record' ที่ฝังตัวทำงานในไทยกว่า 35 ปี และเป็นหนึ่งในกลุ่มนักวิชาการต่างชาติที่เคลื่อนไหวต่อต้าน ม.112 และ วิพากษ์วิจารณ์สถาบันฯของไทย มาโดยตลอดนั้น

ล่าสุด เพจ KKU GROUP มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดย รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น หรือ มข. ได้ออกมาชี้แจงผ่านเพจดังกล่าว จากกรณีการเลิกจ้าง นายเดวิด สเตร็คฟัสส์ (Mr.David Streckfuss) นักวิชาการชาวอเมริกัน โดยระบุว่า...

ผมขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมต่อจากเมื่อวาน หลังจากได้ข้อมูลจากคณบดีและฝ่ายการต่างประเทศของ มข. ดังนี้ครับ

1.) โครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษา CIEE เป็นหน่วยงานภายนอก มข. มีความร่วมมือกับ มข.ในเรื่องการแลกเปลี่ยนนักศึกษาต่างประเทศ โดยไม่เคยมีสัญญาจ้าง

2.) มีการยกเลิกโครงการ CIEE เมื่อปีที่แล้ว (มข. ไม่ได้เป็นผู้ยกเลิก)

3.) หลังจากโครงการ CIEE ถูกยกเลิก คณะสาธารณสุขศาสตร์ มข.ได้มีสัญญาจ้าง 1 ปี โดยไม่ได้จ่ายค่าตอบแทนเพื่อให้ดำเนินการสร้างเครือข่ายการแลกเปลี่ยนนักศึกษาต่างประเทศกับหลาย ๆ ประเทศตามที่เจ้าตัวเสนอ เริ่มสัญญาจ้างเมื่อเดือน ส.ค.2563

4.) เดือน ก.พ.2564 ทางคณะฯ เห็นว่าไม่มีความก้าวหน้าในงานที่ได้ตกลงกันไว้ จึงแจ้งเจ้าตัวขอยกเลิกสัญญา

และ 5.) ไม่เคยมีตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐใดใด มาพบหรือมากดดันอธิการบดีและคณบดี จึงเรียนข้อมูลให้ทุกท่านรับทราบ


ที่มา: https://www.thaipost.net/main/detail/99761

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=801780967427399&id=336295587309275

'ฟิล์ม-รัฐภูมิ' เรียกร้องให้รัฐบาลเยียวยาช่วยเหลือผู้ประกอบการสถานบันเทิงที่ถูกสั่งปิดตามมาตรการควบคุมโควิด เพราะถึงแม้จะไม่มีคำสั่งล็อกดาวน์ แต่การสั่งปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจก็ไม่ต่างจากการล็อกดาวน์

นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ สมาชิกพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงสถานการณ์โควิดที่แพร่ระบาดในวงกว้างอยู่ในขณะนี้ว่า ผู้ที่ต้องตกเป็นจำเลยของสังคมส่วนหนึ่งก็คือกลุ่มคนในวงการบันเทิง รวมถึงผับ บาร์ คาราโอเกะ นักดนตรีอิสระ เพราะถูกมองว่าทำงานอยู่ในสถานที่ที่เป็นต้นเหตุของการแพร่ระบาด แต่ต้องไม่ลืมว่าพวกเขาเหล่านี้เป็นเพียงคนทำมาหากินเลี้ยงชีพตนเองเหมือนกับคนกลุ่มอื่น ๆ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายซึ่งเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ที่จะต้องเข้มงวดควบคุมให้สถานบริการต่าง ๆ เป็นไปตามกฎระเบียบเพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาด

"ส่วนมากคนในธุรกิจบันเทิงจะไม่ได้อยู่ในระบบสวัสดิการของรัฐไม่ว่าจะเป็นประกันสังคมหรือสิทธิ์อื่น ๆ ทั้งที่คนเหล่านี้เป็นผู้ที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจของประเทศและเสียภาษีตามกฎหมาย มาตรการเยียวยาที่ออกมาถึงบ้างไม่ถึงบ้าง ต้องแย่งกันลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ บางครั้งคนไม่มีทางเลือกในชีวิตมากนัก เพื่อที่จะเข้าถึงสวัสดิการของรัฐหรือการศึกษาที่ดีพอ แต่ด้วยระบบเศรษฐกิจการเมืองแบบปัจจุบันทำให้คนไทยยังติดอยู่ในวังวน โง่ จน เจ็บ อยู่เหมือนเดิม จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องต่อสู้ดิ้นรนทำมาหากินในทุกวิถีทาง"

ในฐานะคนในวงการบันเทิงอยากส่งเสียงดัง ๆ ไปยังผู้มีอำนาจขอให้มีมาตรการเยียวยาแบบทั่วหน้าและมีมาตรการสำหรับสถานประกอบการที่ต้องทำตามมาตรการของรัฐในการปิดสถานประกอบการ เพราะถึงแม้ครั้งนี้จะไม่มีการล็อกดาวน์ แต่การสั่งปิดสถานประกอบการผับบาร์คาราโอเกะทั่วทั้งประเทศ ก็ไม่ต่างอะไรจากการสั่งปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามมาตรการล็อกดาวน์ก่อนหน้านี้ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับทั้งเจ้าของกิจการ ลูกจ้าง นักดนตรี เด็กเสริฟ ไปจนถึงพ่อครัวแม่ครัว หลายแห่งทนพิษบาดแผลจากโควิดและมาตรการของรัฐไม่ไหว ต้องปิดกิจการ สร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปถึงครอบครัวของแต่ละคน

"ดังนั้น รัฐบาลควรมีมาตรการเยียวยาคนเหล่านี้ด้วย ไม่ใช่สั่งให้ปิดร้านไปอย่างน้อยถึงสิ้นเดือน แต่กลับไม่มีการช่วยเหลือใดใดเลย เวลาจ่ายหรือถูกปรับ อาชีพของพวกเราก็ไม่เคยถูกละเว้น แต่ทำไมตอนที่พวกเราต้องการความช่วยเหลือเยียวยาเหมือนกับคนอาชีพอื่นๆกลับต้องละเว้น ผมไม่เข้าใจ รอบนี้คงมีหลายคนอดตายก่อนเป็นโควิดแน่ สถานการณ์โควิดวันนี้ สิ่งที่รัฐควรทำคือแสดงภาวะผู้นำและการบริหารแบบชาญฉลาดเพื่อให้ทุกคนอยู่รอด ไม่ใช่ให้รัฐบาลกับพรรคพวกอยู่รอดอย่างเดียว" นายรัฐภูมิ กล่าว


ที่มา: https://www.naewna.com/politic/566841

ผช.โฆษกศบค.เผย ติดเชื้อเพิ่ม 1,390 ราย ตายเพิ่ม 3 ราย แจง เร่งบริหารจัดการเตียงรองรับ ยัน จะไม่มีคนตายจากการรอเตียง

วันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค.แถลงสถานการณ์ประจำวัน ว่า วันนี้มีผู้ติดเชื้อเพิ่ม 1,390 ราย รวมติดเชื้อสะสม 43,742 ราย หายป่วยแล้ว 28,787 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 3 ราย รวมเสียชีวิตสะสม 104  ซึ่งผู้ติดเชื้อรอบเดือนเม.ย.มีผู้ป่วยสะสม 14,879 ราย เสียชีวิตสะสม 10 ราย 

ผู้เสียชีวิตรายที่ 102 เป็นชายอายุ 56 ปี อาชีพพนักงานเสิร์ฟในสถานบันเทิง ในกทม.มีประวัติกลับบ้านที่จ.บุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 7 เม.ย. มีอาการไอ จนวันที่ 17 เม.ย. ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยเพลียมากขึ้น ไปพบแพทย์ที่คลินิก และในช่วงค่ำมีหายใจติดขัด จากนั้นส่งต่อไปโรงพยาบาล อาการหัวใจหยุดเต้น เสียชีวิต ดังนั้นผู้มีอาการควรเข้ารับการรักษา ไม่ควรอยู่ที่บ้านเพราะอาจมีอาการแย่ลงอย่างรวดเร็ว

รายที่ 103 เป็นหญิง อายุ 84 ปีโรคประจำตัวเบาหวาน ความดัน หลอดเลือดหัวใจตีบ ไตวายเรื้อรัง ประวัติสัมผัสผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้จากหลานชายที่ทำงานสถานบันเทิงในกทม.ที่กลับมาเยี่ยมในวันที่ 3 เม.ย.จากนั้นวันที่ 8 เม.ย.มีอาการไข้เหนื่อยหอบ ใส่ท่อช่วยหายใจเพื่อช่วยเหลือ และมีอาการแย่ลงอย่างรวดเร็วจนเสียชีวิตในวันที่ 16 เม.ย.

รายที่ 104 เป็นหญิงอายุ 61 ปีอาชีพค้าขายในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ วันที่ 6 เม.ย. มีประวัติรับประทานอาหารกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ที่มาเที่ยวสถานบันเทิงในจังหวัดหัวหิน เมื่อทราบว่าเพื่อนติดเชื้อ ได้ไปตรวจในวันที่ 10 เม.ย.และเข้ารักษาในโรงพยาบาล ในวันที่11 เม.ย.แต่อาการทรุดลงรวดเร็วและเสียชีวิตในวันที่ 18 เม.ย.จากติดเชื้อในกระแสเลือดและกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ 

พญ.อภิสมัย กล่าวว่า แม้กราฟติดเชื้อหลายวันที่ผ่านมาสูง แต่ในวันนี้ลดลงหลังจากที่มีการประกาศข้อกำหนด จำกัดกิจการกิจกรรมและการเดินทางต้องร่วมมืออย่างต่อเนื่อง แต่ยังนิ่งนอนใจไม่ได้เพราะต้องดูในช่วงเวลา 14 วันหลังจากนี้ต่อ ส่วนเจ้าหน้าที่ยังเร่งคัดกรองค้นหาในชุมชนอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่ากทม.ที่แพร่ระบาดมาจากสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ ตัวเลขติดเชื้อลดลงหลังปิดสถานบันเทิง แต่ยังตรวจพบผู้ติดเชื้อต่อเนื่อง และมาจากตลาดชุมชน ขนส่ง และมีปัจจัยสัมผัสผู้เสี่ยงสูง การรวมกลุ่มสังสรรค์ ประชุมสัมมนา และจากโรงเรียนการสอบ ที่ต้องติดตามใกล้ชิด โดยตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงสุด 6จังหวัด ที่กทม.เชียงใหม่ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ นนทบุรี และจ.สมุทรปราการ และยังมีกรณีศึกษาเคสผู้ติดเชื้อที่จ.สระแก้ว ซึ่งทำงานอยู่ที่สถานบันเทิงทองหล่อ มีกิจกรรม และเดินทางไปพบบุคคลและส่วนราชการ ไปร้านอาหารจนแพร่กระจายเชื้อไปกว่า 20 ราย 

ดังนั้นถ้าพบว่าติดเชื้อให้รีบไปพบแพทย์และปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวังในระหว่างรอการรักษา รวมทั้งให้จดบันทึกหมายเลขโทรศัพท์ที่จะติดต่อกับหน่วยงานทางการแพทย์ เพื่อเข้ารักการรักษา ทั้งนี้เราได้บริหารจัดการบุคลากรและเตียง ให้เพียงพอสำหรับรองรับผู้ป่วยให้เกิดความเหมาะสม ในรายที่อาการไม่มากก็มีรพ.สนามรองรับ จึงขอให้เสียสละสำหรับผู้ที่มีอาการหนัก และยืนยันว่าจะไม่มีผู้เสียชีวิตจากการรอเตียงของโรงพยาบาลอย่างแน่นอน 

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะแก้ปัญหาที่โรงพยาบาลงดรับผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยฉุกเฉิน ผู้ป่วยตามนัดอย่างไร พญ.อภิพิศมัย กล่าวว่า การระบาดครั้งนี้ มีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อไปแล้วนับตั้งแต่วันที่1 - 18 เม.ย. 146 รายส่วนใหญ่เป็นแพทย์และพยาบาล ทำให้ไม่ให้สามารถปฎิบัติหน้าที่ได้สิ่งที่สำคัญ 58% หรือ 33 คน ติดเชื้อจากการสัมผัสผู้ป่วย ที่อาจไม่เปิดเผยไทม์ไลน์ ดังนั้นหากประชาชน ไม่ช่วยกัน บุคลากรที่จะปฎิบัติหน้าที่ด่านหน้า ที่เตรียมไว้ก็อาจจะไม่ไหว

รมว.สุชาติ เผย ตรวจโควิด – 19 เชิงรุกทุกอย่างราบรื่น ยืนยันหากผู้ประกันตนรายใด ที่ตรวจพบเชื้อ จะส่งเข้ารับการรักษาที่ HQ และอยู่ในความดูแลของทีมแพทย์เป็นอย่างดี

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย ภาพรวมการตรวจโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตน ตามโครงการแรงงาน...เราสู้ด้วยกัน ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง วันที่ 3 ทุกอย่างราบรื่นเป็นไปตามขั้นตอนที่ สธ.กำหนด  หากพบว่ามีผู้ประกันตนรายใดที่ตรวจพบเชื้อจะถูกส่งตัวไปเข้ารับการรักษาที่โรงแรมที่เป็น HQ (Hospital Quarantine) ตามขั้นตอนของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นสถานที่รองรับการรักษาตามอาการและอยู่ในความดูแลของทีมแพทย์เป็นอย่างดี เล็งขยายจุดตรวจไปยังจังหวัดพื้นที่สีแดง

เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตน ตามโครงการแรงงาน...เราสู้ด้วยกัน ว่า วันนี้เป็นวันที่ 3 ของการเปิดบริการตรวจโควิด-19 เชิงรุกแก่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 ,39 และ 40 ที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อลดความแออัดและอำนวยความสะดวก โดยใช้อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย – ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร เป็นสถานที่ตรวจ ซึ่งในเรื่องนี้ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีความห่วงใยผู้ประกันตนที่เดินทางกลับต่างจังหวัดและไปในสถานที่เสี่ยงช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานจึงได้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดการตรวจโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตน ตามโครงการแรงงาน...เราสู้ด้วยกัน ในวันนี้เป็นวันที่ 3 ของการตรวจ ซึ่งผมได้ติดตามสถานการณ์มาอย่างต่อเนื่องและกำชับให้สำนักงานประกันสังคมตรวจสอบขั้นตอนต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตน 

นายสุชาติ ยังกล่าวถึงรายงานของสำนักงานประกันสังคมพบว่า ภาพรวมของโครงการเป็นที่น่าพอใจ ราบรื่นดี ขั้นตอนต่างๆ ยังคงเป็นไปตามแนวทางและมาตรการที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขกำหนด หากพบผู้ประกันรายใดตรวจพบเชื้อจะถูกส่งตัวไปเข้ารับการรักษาที่โรงแรมที่เป็น HQ (Hospital Quarantine) ตามขั้นตอนของกระทรวงสาธารณสุข ผู้ประกันตนคลายความกังวลใจได้ซึ่งเป็นสถานที่รองรับการรักษาตามอาการและอยู่ในความดูแลของทีมแพทย์เป็นอย่างดี สำหรับโครงการดังกล่าวกระทรวงแรงงานยังมีแผนที่จะดำเนินการขยายจุดตรวจไปยังจังหวัดพื้นที่สีแดง อาทิ ปทุมธานี นนทบุรี ชลบุรี เชียงใหม่ สมุทรปราการ เป็นต้น         


“ทั้งนี้ ผู้ประกันตนที่ไปในสถานที่เสี่ยง และเข้าข่ายเป็นกลุ่มเสี่ยงตามที่กระทรวงสาธารณสุข และ สปสช.กำหนด สามารถลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์https://sso.icntracking.com/icntracking/self_register.php เพื่อจองคิวตรวจโควิด-19 ซึ่งหากพบเชื้อสามารถเข้ารับการรักษาตามขั้นตอนที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดได้อย่างทันท่วงที” รมว.สุชาติ กล่าวในตอนท้าย

"ศรีสุวรรณ" ร้อง กกต.สอบเลือกตั้งเทศบาลนครเชียงใหม่ หลับพบการซื้อสิทธิ์ - ขายเสียงอย่างโจ๋งครึ่ม

วันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2564 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เดินทางมายื่นคำร้องต่อ กกต. เพื่อขอให้สอบสวนการทุจริตหรือการณซื้อสิทธิ์ขายเสียงในการแข่งขันเลือกตั้งนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาลนครเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา

โดยนายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ในเขตเลือกตั้งเทศบาลนครเชียงใหม่นั้น มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงกันอย่างมโหฬารและโจ๋งครึ่ม เพราะมีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงกันบริเวณหน้าหน่วยเลือกตั้ง ทั้ง ๆ ที่มีเจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำท้องถิ่นดูแลอยู่ แต่ก็ไม่ได้ดำเนินการหรือบริหารจัดการอย่างไร 

นายศรีสุวรรณ กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นยังมีผู้นำชุมชน หรือประธานชุมชนทำหน้าที่ซื้อสิทธิ์ของลูกบ้านของตัวเองอย่างชัดเจน โดยมีหลักฐาน คือ มีการบันทึกเสียงขณะเจรจาจ่ายเงินให้กับผู้ที่มีสิทธิ์เลือกตั้งทุกคนหัวละ 1,000 บาท แต่เมื่อถึงเวลาเลือกตั้งไปแล้ว เช่น ใกล้จะปิดหีบเลือกตั้ง แต่ผู้ที่อยู่ในรายชื่อที่มีสิทธิ์เลือกตั้งไม่ไปลงคะแนน ประธานชุมชนก็จะโทรศัพท์เรียกให้ไปลงคะแนนพร้อมเสนอจ่ายค่าเลือกตั้งอีก 2,000 บาท ซึ่งในโซเชียลมีเดียมีการพูดถึงเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง แต่ปรากฏว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำท้องถิ่นในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่กลับไม่ได้ดำเนินการใดๆ ตนคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดการเลือกตั้งที่เป็นไปโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ขัดต่อกฎหมายของ กกต. และพระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นปี 62 อย่างชัดเจน 

นายศรีสุวรรณ กล่าวอีกว่า ตนจึงนำความมาร้องต่อ กกต. ให้ดำเนินการสอบสวน โดยคลิปเสียงต่างๆที่นำมานั้นเป็นประจักษ์พยานที่สำคัญที่จะนำไปสู่การสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ หรืออาจจะมีการให้ใบส้มหรือใบแดงต่อผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มีพฤติการณ์เช่นนี้ และคิดว่าเรื่องนี้อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่ จ.เชียงใหม่ที่เดียว หลาย ๆ พื้นที่ก็มีคนมาร้องเรียนและส่งพยานหลักฐานมาให้ ซึ่งตนจะทยอยมาแจ้งร้องเรียนต่อ กกต. ให้ได้รับทราบเพื่อนำไปสู่การจัดการกับผู้ที่มีพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง ใช้อำนาจและอิทธิพลทางการเงินไปดำเนินการให้ได้มาซึ่งตำแหน่งหน้าที่ของตนเอง ฉะนั้น ประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งต้องช่วยกันไม่ให้นักเลือกตั้งมีพฤติการณ์เช่นนี้

ปชป.เข้มคุมโควิด - จนท.สลับ WFH เปิดทำการปกติ

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์และการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโควิด19 ในส่วนของพรรค ว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค ได้กำชับให้บุคลากรของพรรคปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยเคร่งครัด ขณะนี้ได้มีการให้เจ้าหน้าที่พรรคได้สลับกันทำงานที่บ้าน “Work From Home”เพื่อร่วมป้องกันและควบคุม ส่วนที่สำนักงานใหญ่ของพรรคฯ ก็จะมีการคัดกรองก่อนเข้าอาคาร ล้างมือ ใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง ประชาชนผู้มาติดต่อก็มีการคัดกรองและต้องสวมหน้ากากตลอดเวลา 

ขณะเดียวกัน นายราเมศ กล่าวต่อว่า ทุกคนทุกองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือร่วมใจกัน บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้อง และรัฐบาลได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วในการแพร่ระบาดรอบแรกสามารถแก้ปัญหาได้อย่างดีเยี่ยม ทุกคนจึงต้องมีวินัย ใส่ใจส่วนรวม ร่วมมือกัน เชื่อว่าเราทุกคนจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ด้วยดี พรรคและสมาชิกพรรคทุกคนขอเป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านที่ทุ่มเททำงานกันด้วยความเหน็ดเหนื่อย ขอบพระคุณที่เสียสละเพื่อประชาชนและประเทศ

เบิกตัว “เพนกวิน” ขึ้นศาลคดี ม.112 ปราศรัยม็อบเฟส “ทนาย-แม่” ยังห่วงอดอาหารประท้วงจนอาการหนัก

วันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2564 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดตรวจหลักฐานคดีหมายเลขดำ อ.286/2564 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ฟ้องนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน แกนนำกลุ่มราษฎร เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ตาม ป.อาญา ม.112 กรณีจำเลยร่วมชุมนุมปราศรัยกลุ่มม็อบเฟส เมื่อวันที่ 14 - 15 พ.ย. 2563 ที่แยกคอกวัว และอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนินกลาง โดยศาลเบิกตัวนายพริษฐ์ จำเลย ซึ่งอดอาหารประท้วง ไม่ได้รับการประกันตัวคดีชุมนุม 19-20 ก.ย. 2563 และถูกแจ้งข้อหาตาม ม.112 จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาศาล

นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดเผยก่อนการพิจารณาคดีว่า คดีนี้คนละคดีกับที่มีการถอนทนายความ (คดีชุมนุม 19 - 20 ก.ย. 2563 ที่จำเลยยื่นถอนทนายความ) คดีนี้ตนเป็นทนายจำเลยเพียงคนเดียว กังวลว่าราชทัณฑ์จะไม่ให้พบปะกับเพนกวิน มีหลายเรื่องที่ต้องคุยกับเพนกวิน เรื่องสู้คดี จะคิดแบบเดียวกับคดีนั้นหรือไม่ จะถอนทนายความหรือไม่ ส่วนไม่ได้เจอกับเพนกวินนานแค่ไหนนั้น ตนมีทนายไปเยี่ยมเพนกวินอยู่บ้าง แต่ติดวันหยุดยาว เพนกวินเจ็บป่วยอยู่ที่สถานพยาบาลราชทัณฑ์ ที่ทราบมาปัจจุบันอาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มีคนมากมายติดต่อมาให้ตนคุยกับเพนกวินเลิกการอดอาหาร 

นายกฤษฎางค์ กล่าวด้วยว่า เราเคยขอต่อศาลให้นำเพนกวินไปจองจำไว้ที่โรงพยาบาลก็ไม่ให้ เราขอให้เอาหมอมาตรวจที่ห้องพิจารณาคดี ศาลก็ไม่ให้ กังวลนาทีต่อนาที ตนรับผิดชอบคดีก็พยายามคุยกับผู้เกี่ยวข้องให้เพนกวินออกไปรักษาตัว เขาไม่สบายใจ เชื่อเรื่องการประทุษร้ายในเรือนจำ ตอนนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร มีผู้ใหญ่เสนอผ่านตนให้คุยกับเพนกวินตนก็จะบอกให้ แต่ทั้งหมดก็อยู่ที่ใจเขา การอดอาหารเขายืนยันว่าเขาไม่ได้ทำร้ายใคร เขาทำร้ายตัวเอง สิ่งที่กระบวนการยุติธรรมทำเป็นการทำร้ายคนอื่นด้วย เขาคิดถึงเพื่อนที่ไม่ได้รับการปล่อยชั่วคราวทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ด้าน นางสุรีย์รัตน์ ชิวารักษ์ มารดาของเพนกวิน เปิดเผยว่า วันนี้ถ้าได้พูดคุยกับเพนกวิน ไม่ถูกกีดกัน ก็จะถามไถ่ว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง เราอยากฟังจากปากลูกเราเอง อยากรู้จริง ๆ สุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง เป็นห่วงมาก 30 กว่าวันแล้ว ที่ได้ยินมาเขามีอาการวูบ เป็นลม น้ำตาลตกหลายครั้งแล้วในช่วงไม่กี่วัน สายน้ำเกลือมีเลือด เป็นห่วงว่าจะมีภาวะอะไรไหม จะคุยกันหลายเรื่อง พยายามจะทำทุกวิถีทางให้ดีที่สุด หลังจากวันนี้เพนกวินไม่น่าจะมีคิวขึ้นศาล อีกครั้งประมาณปลาย พ.ค. ช้าเกินไป อยากขอความเป็นส่วนตัวในการพูดคุย

“สิระ” ซัด “จตุพร” โหนกระแสเด็ก หลังโดนเสื้อแดงเท เย้ย หวังจะเป็นหัวหน้าสุดท้ายตกม้าตาย ไม่มีใครเชื่อลมปาก เชื่อ ทุกวันนี้ไม่กล้าส่องกระจก เพราะเจอแต่คำว่าตกอับขึ้นเต็มหน้า

วันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2564 นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ออกมาเรียกร้องให้ มีการอนุญาตให้แกนนำราษฎรที่ถูกคุมขังได้รับสิทธิ์การประกันตัวว่า ประชาชนดูก็รู้ว่านายจตุพรไปไม่รอด ไม่เหลือภาวะผู้นำทางความคิดอีกแล้ว การชุมนุม 2 - 3 วันที่ผ่านไป ภายใต้แกนนำหลักอย่างนายจตุพร ปลุกระดมมวลชนไม่ขึ้น มีคนมาร่วมหรอมแหรมหลัก 10 เพราะไม่มีใครเชื่อคำพูดที่ไร้สัจจะวาจาของนายจตุพรอีกแล้ว สุดท้ายนายจตุพรก็ต้องมาโหนกระแสพึ่งบรรดาเด็กที่ติดคุกทั้งหลายให้มาเรียกมวลชนให้ จากที่เคยประกาศตัวขึงขัง หวังจะสถาปนาตัวเองเป็นหัวหน้า แต่กลับต้องมาเดินตามตูดเด็ก ตนอยากถามนายจตุพรว่า หน้าฉาบปูนซีเมนต์กี่ชั้น ถึงได้หนาขนาดนี้ ไม่อายตัวเองก็น่าจะอายหมาบ้าง ทำร้ายประเทศชาติให้ย่อยยับมานานเท่าไหร่แล้ว 

“นายจตุพรเคยพูดไว้ว่า เป้าหมายที่สำคัญคือการไล่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่ง โดยที่จะไม่ก้าวล่วงสถาบัน แต่วันนี้กลับกลืนน้ำลาย ออกมาเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้กระทำความผิดในคดี 112 พฤติกรรมของนายจตุพรแสดงให้เห็นว่าไม่มีจุดยืนใด ๆ ทั้งสิ้น ยอมทำทุกอย่าง ไม่สนถูกผิด เพียงเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ผมอยากถามนายจตุพรว่า ที่คนเสื้อแดงเขาไม่ออกมาร่วมชุมนุม เป็นเพราะอะไร นายจตุพรต้องไปหาคำตอบให้ตัวเอง ว่าเคยไปก่อกรรมทำชั่วอะไรกับพวกเขาไว้บ้างหรือไม่ วันนี้ถ้าตนเป็นนายจตุพร คงไม่กล้าส่องกระจกมองหน้าตัวเองด้วยซ้ำ เพราะส่องไปก็จะเห็นแต่คำว่า ตกอับ อยู่เต็มหน้าไปหมด” นายสิระ กล่าว 

ส่วนกรณีที่ นายจตุพร ระบุถึงกรณีกองบัญชาการตำรวจนครบาลแจ้งดำเนินคดีจากการจัดให้มีการชุมนุมที่บริเวณ อนุสรณ์สถานพฤษภา 35 สวนสันติพร เมื่อวันที่ 4 , 5 และ 7 เม.ย.ที่ผ่านมา ในข้อหา ฝ่าฝืนข้อกำหนดออกตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯว่า น่ากลัวจังเลยนั้น นายสิระ กล่าวว่า นายจตุพรอย่าดีแต่ปาก กล้าพูดก็ขอให้กล้าเดินไปรับกรรมตามกฎหมายด้วย อย่าทำตัวเป็นคนประเภทที่มีปากเหมือนมีตูด คำพูดไม่ใช่เสียงตด ลูกผู้ชายพูดแล้วต้องแอ่นอกรับด้วย เพราะที่ผ่านมา เห็นชัดว่า นายจตุพรไม่เคยทิ้งพฤติกรรมเดิมๆตั้งแต่ปี 53 ที่ก่อเหตุเผาบ้านเผาเมือง ลั่นวาจาบนเวทีว่าจะรับผิดชอบจากการก่อการร้าย แต่สุดท้ายกลับชิงหาย ปล่อยคนเสื้อแดงบาดเจ็บ ล้มตาย ตัวเองเสวยสุข และตนอยากถามว่า นายจตุพรกับพวก ได้ไปชดใช้ค่าเสียหายจากการสั่งเผาตึกย่านราชปรารภตามคำสั่งของศาลเเพ่งหรือยัง

เฟซบุ๊ก Brian B. - News Atlas โดยไบรอัน เบอร์เลติก ได้โพสต์ข้อความชวนคิดในหัวข้อ “พันธมิตรชานม: ทวิตเตอร์สร้างอิโมจิสำหรับนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย” ว่า...

เฟซบุ๊ก Brian B. - News Atlas โดยไบรอัน เบอร์เลติก ฝรั่งอเมริกันที่เคยออกมาแฉว่าเฟซบุ๊กเป็นเครื่องมือหนึ่งของอเมริกาในการแทรกแซงประเทศต่าง ๆ จนถูกปิดเพจไปก่อนหน้า ได้โพสต์ข้อความชวนคิด โดยอิงจากบทความของสำนักข่าวบีบีซี (BBC) ในหัวข้อ “พันธมิตรชานม: ทวิตเตอร์สร้างอิโมจิสำหรับนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย” ว่า...

'ทวิตเตอร์' ได้เปิดตัวอีโมจิใหม่ สำหรับกลุ่มพันธมิตรชานม (Milk Tea Alliance) ที่เป็นการรวมตัวกันของกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยของชาวเอเชียเข้าไว้ด้วยกัน โดยกลุ่มพันธมิตรนี้ ได้รวบรวมเอากลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านปักกิ่ง (anti-Beijing) ในเกาะฮ่องกง และประเทศไต้หวัน พร้อมกับกลุ่มรณรงค์เพื่อประชาธิปไตยในประเทศไทย และประเทศเมียนมาไว้ด้วยกัน

ในเนื้อหายังบอกอีกว่า สิ่งที่สำนักข่าวบีบีซี (BBC) ไม่ได้กล่าวถึง ซึ่งจริง ๆ แล้วมันมีอยู่ 2 อย่างที่เหมือนกัน คือ

1.) กลุ่มนักเคลื่อนไหวเหล่านี้เกลียดประเทศจีน

2.) พวกเขาทั้งหมดได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ผ่านทาง กองทุนเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติของสหรัฐฯ (National Endowment for Democracy – NED)

ทุกคนสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับเงินทุนสนับสนุนนี้ได้ง่าย ๆ เพียงแค่ทุกคนเข้าไปที่เว็บไซต์ของกองทุนเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติ ของสหรัฐฯ (National Endowment for Democracy – NED) แล้วเข้าไปดูที่ข้อมูลภายใต้รายชื่อของแต่ละประเทศเหล่านี้ เช่น ประเทศไทย , ประเทศเมียนมา ที่พวกเขายังคงเขียนชื่อเดิม ประเทศพม่า และ เกาะฮ่องกง ครับ

ทวิตเตอร์ กล่าวว่า “ในเวลาที่เกิดการก่อความไม่สงบหรือการปราบปรามอย่างรุนแรงขึ้น สิ่งที่สำคัญมากกว่าคือการให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการใช้งานอินเตอร์เน็ตอย่างอิสระ (Open Internet) สำหรับการอัพเดต ณ เวลาที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว, เป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้ และการให้บริการที่จำเป็นต่างๆ”

จากส่วนหนึ่งของบทความนี้ ที่ทางทวิตเตอร์ได้กล่าวไว้คือ “เป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้” หมายความว่า ทางทวิตเตอร์กำลังบอกทุกคนว่า ทางทวิตเตอร์กำลังเซ็นเซอร์ข้อมูลบางส่วนออกจากระบบเครือข่ายของพวกเขา ทวิตเตอร์กำลังไล่ระงับผู้ใช้งานที่ต่อต้านเรื่องเล่าของประเทศสหรัฐฯ ที่ผมได้เคยยกตัวอย่างมามากมายกับข้อมูลเหล่านี้ผ่านคลิปที่ผมได้เคยเผยแพร่ทางช่องยูทูป: แลนด์ เดสทรอยเยอร์ (YouTube: Land Destroyer) ของผม

จากเว็บบล็อกของทางทวิตเตอร์ กับบทความเมื่อเดือนตุลาคม ปีค.ศ. 2020 ซึ่งเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นในประเทศไทย ทางทวิตเตอร์ได้พบบัญชีมากกว่า 900 บัญชี ที่ได้ถูกระงับลบออกจากระบบเครือข่ายของทางทวิตเตอร์ เนื่องจากสามารถ “เชื่อถือได้ว่ามีความเชื่อมโยง (reliably link)" กับกองทัพบกได้

เวลาที่ใครใช้คำอย่าง “เชื่อถือได้ว่ามีความเชื่อมโยง" นั้น หมายความว่าคนๆ นั้นไม่มีหลักฐาน และไม่สามารถนำหลักฐานมาแสดงให้ดูได้ เพราะถ้ามีหลักฐานจริง ทางทวิตเตอร์คงนำมาแสดงให้เห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าบัญชีเหล่านั้นมันเชื่อมโยงกับกองทัพบกจริง พวกเขาจึงใช้คำนี้เพราะพวกเขาไม่มีหลักฐานครับ กองทัพบก คือ กลุ่มคนที่ยืนหยัดเพื่อประเทศของเขาและต่อต้านคนที่มาก่อการจลาจลและปลุกปั่นที่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศสหรัฐฯ และรวมถึงพวกม็อบหัวรุนแรง แต่ทางทวิตเตอร์กลับระงับและลบบัญชีของพวกเขาทิ้ง

บทความในเว็บไซต์ของสำนักข่าวรอยเตอร์ส (Reuters) เป็นอีกหนึ่งตัว อย่างที่ผมอยากจะกล่าวถึงนะครับ “ทวิตเตอร์ระงับบัญชีของไทยรอยัลลิสต์ ที่เชื่อมโยงถึงการมีอิทธิพลเพื่อจูงใจในการรณรงค์” และเช่นเคย ทวิตเตอร์ใช้วิธีเดิมๆ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ทวิตเตอร์ก็แค่ระงับบัญชีของผู้ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองที่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศสหรัฐฯ เพื่อให้มีข้อมูลเพียงด้านเดียวเท่านั้นบนทวิตเตอร์ และนี่คือเครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media Networks) ของประเทศสหรัฐฯ ครับ

ผมได้เคยชี้ถึงประเด็นที่ผมกำลังกล่าวถึงอยู่หลายครั้ง ว่าเครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ของประเทศสหรัฐฯ นั้น ได้ร่วมงานโดยตรงกับกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ซึ่งทุกคนจะสามารถเห็นผลงานนั้นได้จากบทความในเว็บ ไซต์ของ สำนักข่าวรอยเตอร์ส (Reuters) ที่ทางประเทศสหรัฐฯ ร่วมมือกับทางทวิตเตอร์ กับบทความหัวข้อที่ว่า ”กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเจรจากับทวิตเตอร์เรื่องอิหร่าน” ”กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กล่าวไว้เมื่อวันอังคารว่า พวกเขาได้ติดต่อไปยังทวิตเตอร์ผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์เพื่อขอให้พวกเขาชะลอการอัพเกรดที่จะลดเวลาการให้บริการในช่วงเวลากลางวันกับชาวอิหร่านที่กำลังถกกันเรื่องการเลือกตั้ง”

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ประเทศสหรัฐฯ กำลังดำเนินการการปฏิวัติสี (Colour Revolution) อย่างรุนแรง อยู่ในประเทศอิหร่าน พวกเขาได้ใช้ทวิตเตอร์ในการประสานและวางแผนงาน และไม่ต้องการให้เกิดการสะดุดหรือหยุดชะงักการใช้งานระหว่างที่พวกเขากำลังปฏิบัติการกันอยู่

ผมอยากจะขอยกบทความจากเว็บไซต์ของนิวยอร์ค ไทมส์ (New York Times) เมื่อปีค.ศ. 2011 นี้ขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากมันเป็นบทความที่ยอดเยี่ยมมาก เพราะมันมีการยอมรับอยู่หลายประเด็นด้วยกัน ภายใต้หัวข้อ ”กลุ่มองค์กรต่างๆของสหรัฐฯ ช่วยสนับสนุนการการลุกฮือของชาวอาหรับ” พวกเขาออกมายอมรับว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ให้เงินทุนสนับสนุนกลุ่มต่อต้านเหล่านั้นทั้งหมด การลุกฮือในครั้งนั้นไม่ได้เป็นการเกิดขึ้นแบบอย่างฉับพลัน กระทันหัน หรือที่ไม่ได้เกิดจากการรวมตัวกันเองของกลุ่มชาวอาหรับ แต่กลุ่มคนเหล่านี้ได้รับการถูกฝึกอบรมมาก่อนหน้านั้นนานหลายปีแล้วครับ และจากบทความเดิม ยังมีการยอมรับเกี่ยวกับการฝึกอบรมดังกล่าว ที่ระบุว่า ”ผู้นำเยาวชนของชาวอียิปต์บางคนได้เข้าร่วมการประชุมเทคโนโลยีในปี ค.ศ. 2008...”

“...และบรรดาผู้ให้การสนับสนุนการประชุมนี้ ได้แก่ เฟสบุ๊ค (Facebook) , กูเกิล (Google) , เอ็มทีวี (MTV - Music Television) , โรงเรียนกฏหมายโคลัมเบีย (Columbia Law School) และกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ” บรรดาผู้ให้การสนับสนุนเหล่านี้ได้ร่วมงานกันมาเป็นเวลาสิบปีแล้วและยังคงร่วมงานกันอยู่ การที่ทวิตเตอร์ได้ทำอีโมจิเพื่อกลุ่มพันธมิตรชานมนั้น เพราะกลุ่มพันธมิตรชานมเป็นโครงการของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐครับ

ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เต็มไปด้วยรัฐบาลของแต่ละประเทศที่สร้างความสัมพันธ์กับประเทศจีนมาเนิ่นนานและจะไม่มีวันที่จะตัดความสัมพันธ์ที่ว่านั้น เพราะเพียงแค่ประเทศสหรัฐฯ สั่งให้ทำ ดังนั้น ประเทศสหรัฐฯ จึงต้องสร้างกลุ่มต่อต้านเหล่านี้ เพื่อใช้ในการโค่นรัฐบาลเหล่านั้น แล้วเปลี่ยน แปลงระบอบการปกครองโดยตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดขึ้นมาแทนที่เพื่อให้ตัดความ สัมพันธ์กับประเทศจีนลงครับ

และจากข้อความของทวิตเตอร์ที่ได้ออกมาประกาศเกี่ยวกับการทำอีโมจิ เพื่อกลุ่มพันธมิตรชานม ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับนายเนติวิทย์ ที่ทุกคนคงจำเขาได้ เขาเป็นนักเคลื่อนไหวชาวไทยคนหนึ่งที่ได้ไปพูดบรรยายในงานเวทีเสรีภาพออสโล (Oslo Freedom Forum) ซึ่งสำนักข่าวบีบีซี (BBC) ได้ไปร่วมทำข่าวและยอมรับเองผ่านการรายงานว่า

“นี่อาจไม่ได้เกิดขึ้นจากการปลุกจิตวิญญาณในตัวของนักเคลื่อนไหว แต่ถ้าหากการเรียนการสอนจากที่นี่ไปจะประสบความสำเร็จในการโค่นล้มรัฐบาลให้ได้อย่างถาวรนั้น คนที่มาที่นี่จะต้องมีระเบียบ ต้องทุ่มเทกับการวางแผนอย่างพิถีพิถัน นักเคลื่อนไหวที่นี่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือกับการจัดการประท้วงที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในฮ่องกง ณ ปัจจุบัน แผนการของพวกเขาคือการนำผู้คนนับพันออกมาลงถนน ที่จริงแล้วมันได้เกิดขึ้นจากที่นี่เมื่อเกือบสองปีก่อน”

นี่คือทุกแง่มุมที่นักข่าวบีบีซีได้พยายามบอกกับทุกคน เกี่ยวกับนักเคลื่อน ไหวเหล่านี้ รวมไปถึงที่ทางทวิตเตอร์ให้การสนับสนุนพวกเขา พวกเขาพยายามทำให้เหมือนว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเองทั้งหมด นักเคลื่อนไหวทุกคนได้มารวมตัวกันเอง แต่มันไม่ใช่เลยครับ พวกเขาทั้งหมดได้รับเงินทุนและได้รับการสนับสนุนและกำกับโดยกลุ่มคนกลุ่มเดียวกันในวอชิงตันดีซี

นี่คือความอันตรายของการปล่อยให้แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ของประเทศสหรัฐฯ ครอบครองพื้นที่ทางข้อมูลในประเทศของทุกคน ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ค่อนข้างที่จะติดหรือพึ่งกับการใช้งานบนเฟสบุ๊ค และทวิตเตอร์มากเกินไป พวกเขาจำเป็นจะต้องสร้างและพัฒนาแพลต ฟอร์มของตัวเองและผลักดันให้เครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ ของประเทศสหรัฐฯ ออกไปจากพื้นที่ข้อมูลของทุกคนครับ

ไบรอัน เบอร์เลติก ฝรั่งอเมริกันที่เคยออกมาแฉเฟซบุ๊ก


ที่มา: https://www.facebook.com/105777441608823/posts/119955130191054/

 

“เทพไท” แนะ รัฐบาล สั่ง คลัง - สศช. หรือ กมธ.ติดตามตรวจสอบการใช้เงินกู้1.9ล้านล้านบาท แถลงความคืบหน้ากับประชาชน

เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2564 นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ศูนย์นโยบายพรรคเพื่อไทยได้ออกมาวิจารณ์โครงการกู้ครบรอบ 1 ปี เพื่อเยียวยา - ฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาล สูญหาย ล้มเหลว ยิงไม่ตรงเป้า สวยแต่รูปจูบไม่หอม ว่า เป็นเรื่องที่สังคมต้องการคำตอบว่า จำนวนเงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท ซึ่งรัฐบาลได้กู้มาเพื่อใช้ในการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ที่เกิดจากวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จนถึงบัดนี้เวลาล่วงเลยมาเป็น 1 ปีแล้ว สังคมก็อยากจะได้คำตอบว่าจำนวนเงิน 1.9 ล้านล้านบาทนั้น รัฐบาลได้นำไปใช้ในโครงการอะไรบ้าง และมีความคืบหน้าอย่างไร ซึ่งรัฐบาลก็ควรจะให้คำตอบกับประชาชน ในฐานะเป็นเจ้าของประเทศ ที่ต้องรับผิดชอบภาระเงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาทของรัฐบาลด้วย 

นายเทพไท กล่าวว่า "ตนเห็นว่ารัฐบาลสามารถสั่งการให้กระทรวงการคลัง หรือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)  แถลงความคืบหน้าการใช้เงินกู้ดังกล่าว ต่อประชาชนได้ หรืออาจจะประสานงานให้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาติดตามตรวจสอบการใช้เงินตามพระราชกำหนด 3 ฉบับ เพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธานฯ

ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการติดตามและตรวจสอบการใช้เงินของรัฐบาลจำนวน 1.9 ล้านล้านบาท จาก พ.ร.ก.เงินกู้ทั้ง 3 ฉบับ ให้แถลงข่าวในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ ที่มีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหารโดยตรง ดังนั้น เพื่อไม่ให้เป็นประเด็นทางการเมือง และเกิดความสงสัยในสังคม รัฐบาลจึงควรจะรายงานความคืบหน้าการใช้ พ.ร.ก.เงินกู้ 3 ฉบับ จากจำนวนเงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท ให้ประชาชนได้รับรู้ เพื่อความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top