Wednesday, 23 April 2025
POLITICS NEWS

หอการค้า ระบุ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน เม.ย.อยู่ที่ 46.0 ลดลงจากเดือน มี.ค.64 ซึ่งอยู่ที่ 48.5 ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 22 ปี 7 เดือน

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน เม.ย.อยู่ที่ 46.0 ลดลงจากเดือนมี.ค.64 ซึ่งอยู่ที่ 48.5 โดยลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 22 ปี 7 เดือน ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 40.3 จาก 42.5 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ อยู่ที่ 42.9 จาก 45.3 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 54.7 จาก 57.7ปัจจัยลบที่สำคัญ ได้แก่ ความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังมีการระบาดอยู่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน การทำธุรกิจและภาวะเศรษฐกิจของประเทศในอนาคตโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและบริการต่าง ๆ, รัฐบาลออกมาตรการควบคุมการระบาดของโรคให้เข้มข้นและมาตรการควบคุมแบบบูรณาการจำแนกตามเขตพื้นที่ ภายใต้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น การปิดสถานบันเทิง ควบคุมเวลาการเปิดปิดห้างสรรพสินค้า/ร้านสะดวกซื้อ ร้านจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม เป็นต้น พร้อมขอความร่วมมือประชาชนงดออกนอกเคหสถานในยามค่ำคืน, สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยเหลือโต 2.3% จากเดิมคาด 2.8%

ขณะที่ปัจจัยบวก ได้แก่ ภาครัฐดำเนินการออกมาตรการเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ ประกอบด้วย โครงการ "เราชนะ" "ม.33เรารักกัน" "คนละครึ่ง" "เราเที่ยวด้วยกัน" ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อให้ปรับดีขึ้นทั่วประเทศ, การส่งออกเดือนมี.ค. ขยายตัว 8.47% ทำให้ช่วง 3 เดือนแรกส่งออกโต 2.27%, ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น หรือทรงตัวในระดับที่ดี โดยเฉพาะข้าวและยางพารา ส่งผลให้เกษตรกรเริ่มมีรายได้สูงขึ้น ทำให้กำลังซื้อในต่างจังหวัดเริ่มปรับตัวดีขึ้น

"การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลงอีกครั้งท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิดรอบใหม่ แสดงว่าผู้บริโภคยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์โควิดในประเทศไทยและในโลกว่าจะส่งผละกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ส่งผลให้ผู้บริโภคจะระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยในช่วงนี้ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามการแพร่กระจายของโควิดรอบใหม่ว่าจะเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน รุนแรงเพียงใด และรัฐบาลจะมีมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างไร รวมถึงจะมีการ Lockdown ในจังหวัดต่าง ๆ มากน้อยเพียงใด จะคลี่คลายลงเมื่อไร และจะมีการฉีดวัคซีนได้รวดเร็วแค่ไหน จะมีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในอนาคตได้  และอาจส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้ขยายตัว 0.0-1.5% ได้”

ศบค.มท.สั่งการทุก จว. เตรียมความพร้อมกำหนดแผนการจัดสรรวัคซีนทั่วประเทศให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ด้วยในการประชุมศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) เมื่อวันที่ 4 พ.ค.โดยมีเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นประธาน ได้มีข้อสั่งการ/ข้อเสนอแนะให้กระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพฯ นำเสนอความพร้อมการเตรียมการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของพื้นที่ ตามแนวทางการเตรียมพร้อมการสนับสนุนการฉีดวัคซีนของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาของ ศปก.ศบค.ในประเด็นการเตรียมและจัดลำดับความสำคัญของกลุ่มเป้าหมาย การเตรียมทีมบุคลากร วัสดุอุปกรณ์ และสถานที่ฉีดวัคซีน การประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มเป้าหมายลงทะเบียนจองฉีดวัคซีน และการกำกับติดตามการฉีดวัคซีน เพื่อให้การกำหนดแผนการเตรียมการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในระดับพื้นที่เป็นไปตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข และเป็นข้อมูลในการประกอบการพิจารณาของ ศปก.ศบค.

นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าฯ และผู้ว่าฯ กทม.ได้สั่งการไปยังผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดในฐานะประธานกรรมการโรคติดต่อจังหวัด หารือคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาคส่วนต่าง ๆ ในพื้นที่ จัดทำแผนการจัดสรรวัคซีนในพื้นที่ ครอบคลุมด้านต่าง ๆ คือ

1.) การเตรียมและจัดลำดับความสำคัญของกลุ่มเป้าหมายในการฉีดวัคซีน ได้แก่

(1.) บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า

(2.) เจ้าหน้าที่อื่นด่านหน้าที่เสี่ยงสัมผัสโรค เช่น ทหาร ตำรวจ

(3.) ผู้ทำงานสถานกักกันตัว

(4.) กลุ่มอาชีพเสี่ยง เช่น พนักงานขับรถสาธารณะ ครู

(5.) ผู้สูงอายุและผู้ป่วยเรื้อรัง

(6.) โรค

(7.) ประชาชนทั่วไป 

ศบค.มท. ระบุว่า

2.) การเตรียมทีมบุคลากร วัสดุอุปกรณ์ และสถานที่ในการฉีดวัคซีนให้เพียงพอต่อจำนวนวัคซีนที่ได้รับ และแล้วเสร็จในเวลาที่กำหนด โดยให้มีความพร้อมสามารถเริ่มให้บริการฉีดวัคซีนได้ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย.เป็นต้นไป สำหรับในด้านสถานที่ ให้พิจารณาจัดสถานที่ในการฉีดวัคซีนให้กระจายจุดอย่างทั่วถึง โดยประสานขอความร่วมมือจากภาคราชการและภาคเอกชนในพื้นที่ได้ตามความเหมาะสม

3.) ประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มเป้าหมายให้ลงทะเบียนจองฉีดวัคซีนได้ตั้งแต่เดือน พ.ค.เป็นต้นไป โดยกำหนดระยะเวลาการฉีดวัคซีนแต่ละกลุ่มเป้าหมายเป็นไปตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด นอกจากนี้ ให้ผู้ว่าฯ เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ (Incident Commander : IC) บูรณาการแบ่งมอบภารกิจให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคส่วนต่าง ๆ ในพื้นที่ ให้ปฏิบัติตามแผนการจัดสรรวัคซีนในพื้นที่ วางระบบการซักซ้อมแผน กำกับ ติดตาม เพื่อให้การปฏิบัติตามแผนเป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวดเร็ว ไม่เกิดความสับสน 

เลิกจ้างเพราะเหตุโควิด ลูกจ้างมีสิทธิได้ค่าชดเชย 

กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานชี้แจงประเด็นข้อสงสัย กรณีนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างเพราะสาเหตุติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มิได้ถือเป็นความผิดร้ายแรงที่เกิดจากการกระทำของลูกจ้าง ลูกจ้างจึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชย 

นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวชี้แจงว่า ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 ที่ขยายวงกว้างเข้าสู่สถานประกอบกิจการ เป็นความห่วงใยที่พลเอก ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน กำชับให้ความคุ้มครองดูแลให้ความเป็นธรรมแก่ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างเนื่องจากติดเชื้อไวรัสดังกล่าว หรือมีความเสี่ยงที่ต้องกักตัวเพื่อเฝ้าดูอาการ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้รับความช่วยเหลือ รักษา เยียวยา

โดยนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานทำความเข้าใจกับนายจ้าง เจ้าของสถานประกอบกิจการให้ทราบว่า กรณีที่สถานประกอบกิจการออกประกาศห้ามลูกจ้างเดินทางข้ามจังหวัดหรือเดินทางเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงที่อาจเกิดการติดเชื้อไวรัสโควิด+19 แต่ภายหลังทราบว่าลูกจ้างฝ่าฝืนคำสั่งดังกล่าว จนเป็นเหตุให้นายจ้างสงสัยได้ว่าลูกจ้างเสี่ยงต่อการติดเชื้อ 

จึงมีคำสั่งไม่ให้ลูกจ้างมาทำงานและให้กักตัว ณ ที่พักอาศัยเป็นเวลา 14 วัน เพื่อเฝ้าดูอาการ นายจ้างก็ต้องจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้าง เพราะคำสั่งให้ลูกจ้างกักตัวเป็นคำสั่งให้หยุดงานเพื่อประโยชน์ของนายจ้าง จะถือว่าการปฏิบัติตามคำสั่งของนายจ้างดังกล่าวเป็นการขาดงานหรือละทิ้งหน้าที่ของลูกจ้างไม่ได้ ทั้งนี้ นายจ้างอาจตกลงกับลูกจ้างให้ใช้สิทธิการลาป่วย หรือการหยุดพักผ่อนประจำปี และหากนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างเพราะเหตุลูกจ้างติดเชื้อโรคดังกล่าวหรือสงสัยว่าลูกจ้างติดเชื้อ มิได้ถือเป็นความผิดร้ายแรงที่เกิดจากการกระทำของลูกจ้าง เพราะการเจ็บป่วยเป็นเหตุที่เกิดขึ้นตามสภาพของร่างกายโดยธรรมชาติมิใช่การกระทำผิดวินัยของลูกจ้างและเป็นการติดเชื้อจากโรคระบาดที่แพร่กระจายในวงกว้าง ลูกจ้างจึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชย 

อธิบดี กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งเป็นภัยร้ายแรงที่กระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม ในวงกว้าง นายจ้าง ลูกจ้าง และผู้ที่เกี่ยวข้อง ควรจะต้องให้ความร่วมมือกันในการป้องกันการแพร่ระบาดดังกล่าวให้ยุติโดยเร็ว ซึ่งจะส่งผลดีต่อสังคมโดยรวม ทั้งนี้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้ออกประกาศ เรื่องแนวทางในการเฝ้าระวังการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในสถานประกอบกิจการ ลงวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ.2563 เพื่อเป็นแนวทางการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นายจ้างและลูกจ้างควรร่วมมือปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าวเพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมมิให้มีการแพร่ระบาดต่อไป

“ประยุทธ์” เน้นย้ำแผนการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยในที่ประชุม Microsoft APAC Public Sector Summit “เผย” ใช้ช่องทางดิจิทัลมาประยุกต์ใช้แก้ไขการแพร่ระบาดโควิด “ลั่น” รัฐบาลไทยตั้งเป้าจัดหาวัคซีนจำนวน 100 ล้านโดส เพื่อฉีดให้ประชาชน 50 ล้านคนในสิ้นปีนี้

วันที่ 6 พฤษภาคม 2564 ตามเวลาประเทศไทย (09.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น) ณ สำนักงานใหญ่ Microsoft ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประเทศสิงคโปร์ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวปาฐกถาผ่านระบบวีดิทัศน์ในพิธีเปิดการประชุม Microsoft APAC Public Sector Summit ซึ่งจัดในรูปแบบออนไลน์ ภายใต้หัวข้อ Empowering Nations for a Digital Society ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-7 พฤษภาคม เพื่อหารือเกี่ยวกับบทบาทดิจิทัลและฐานข้อมูลในการช่วยฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจ สนับสนุนการเปลี่ยนถ่ายไปสู่ยุคดิจิทัลของภาคอุตสาหกรรม ภาคการศึกษา และภาคธุรกิจพลังงาน โดยมีผู้บริหารระดับสูงของบริษัทไมโครซอฟต์ และผู้แทนจากภาครัฐและรัฐวิสาหกิจกว่า 20 คน ร่วมอภิปราย

นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่ง ว่ายินดีที่ได้แลกเปลี่ยนต่อที่ประชุมฯ ถึงความคืบหน้าของการตอบสนอง การฟื้นฟู และการปฏิรูป ของประเทศไทยเพื่อสร้างสังคมดิจิทัลที่ครอบคลุมในทุกมิติ พร้อมระบุว่า การระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 ก่อให้เกิดความท้าทาย แต่ได้สร้างโอกาสในหลายมิติ อาทิ การปรับตัวเข้ากับวิถีการทำงานรูปแบบใหม่ มาตรฐานสุขอนามัยรูปแบบใหม่ และการเกิดโมเดลธุรกิจใหม่ อย่างไรก็ตาม แม้ไทยจะมีศักยภาพในการรับมือและปรับตัวท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยตัวเลขผู้ป่วยที่ควบคุมไว้ได้ในระดับหนึ่ง และประชาชนยังสามารถใช้ชีวิตได้ค่อนข้างปกติ แต่จากจำนวนยอดผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น รัฐบาลได้ทำทุกอย่างเพื่อให้ผ่านวิกฤตระลอกนี้ไปด้วยกัน มีการเตรียมการและวางแผนฟื้นฟูประเทศหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ผ่านพ้นไป มีมาตรการฟื้นฟูสถานการณ์โควิด-19 โดยใช้ช่องทางดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการแก้ไขการแพร่ระบาดในด้านต่างๆ รวมทั้งแจกจ่ายเงินเยียวยาให้แก่ประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาได้ผลเป็นอย่างดี มีการเข้าถึงอย่างรวดเร็ว โปร่งใส ทั่วทั้งประเทศ ประชาชนไทยมีความพึงพอใจ และรัฐบาลตั้งเป้าจัดหาวัคซีนจำนวน 100 ล้านโดส เพื่อฉีดให้ประชาชน 50 ล้านคนในสิ้นปีนี้ ทั้งนี้ ภาครัฐจะฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยแก้ปัญหาภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด คือ ภาคการท่องเที่ยว โดยประเทศไทยจะเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกอีกครั้ง โดยมีภูเก็ตเป็นจุดหมายนำร่องแห่งแรก เริ่มต้นในเดือนกรกฎาคมนี้

“ความท้าทายต่อไปคือการวาดภาพยุทธศาสตร์การเติบโตในโลกใหม่หลังวิกฤตโควิด-19 ซึ่งดิจิทัลเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกในฐานะที่เป็นปัจจัยสนับสนุนสำหรับทุกภาคส่วน เช่น เทคโนโลยี Internet of Things (IOT) และระบบอัตโนมัติทั้งหลายที่จำเป็นต่อภาคยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งยังช่วยสนับสนุนการค้า การบริการ และการท่องเที่ยว ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ นอกจากนี้ รัฐบาลได้ลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้พร้อมสำหรับอนาคต สิ่งเหล่านี้คือเส้นทางที่ไทยจะดำเนินต่อไป และมุ่งหวังที่จะทำงานร่วมกับพันธมิตร เช่น การวางบทบาทของประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางภูมิภาคอินโดจีนของดาต้าเซ็นเตอร์สีเขียวและบริการคลาวด์ ด้วยการใช้พลังงานทดแทนเพื่อบรรลุเป้าหมายให้ประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ ในอนาคตอันใกล้นี้” นายกรัฐมนตรี กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การดำเนินการตามเส้นทางสู่ความสำเร็จของเศรษฐกิจดิจิทัล จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน รัฐบาลตั้งเป้าให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางภูมิภาคสำหรับบริษัทนวัตกรรมและเทคโนโลยี ซึ่งรวมถึงการเปิดตัวโครงการริเริ่มนำร่องต่าง ๆ เพื่อดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีและบุคลากรที่มีความสามารถสูง การพัฒนานโยบายเพื่ออำนวยความสะดวกให้เกิดระบบนิเวศด้านนวัตกรรม ตลอดจนปรับปรุงความง่ายในการประกอบธุรกิจของไทย ซึ่งรัฐบาลกำลังวางแผนการพัฒนาทั้งในระยะเร่งด่วนและในระยะยาวและกล่าวขอบคุณที่ให้โอกาสรัฐบาลไทยได้มาแบ่งปันวาระแห่งชาติด้านดิจิทัลในวันนี้ และรัฐบาลหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ทำงานร่วมมือกันในอนาคต

รัฐบาลยัน ครม. ไม่ได้ลักไก่ไฟเขียวให้เจรจาเข้าร่วม CPTPP

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม. เมื่อวันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมา ยังไม่ได้มีการเห็นชอบให้ไทยไปขอเจรจาเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ CPTPP แต่อย่างใด มีเพียงการอนุมัติให้ขยายระยะเวลาเพิ่มเติมอีก 50 วัน เพื่อให้คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) หารือกับภาคส่วนต่าง ๆ ให้ครอบคลุม ครบถ้วน และรอบคอบมากที่สุด ในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีที่มอบหมายให้ กนศ. จัดทำกรอบการทำงานเพื่อติดตามแผนการดำเนินการเพื่อปรับตัวของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตามข้อสังเกตของ กรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรเรื่อง CPTPP

ทั้งนี้ที่ผ่านมา ที่ประชุม ครม. รับทราบข้อสังเกตของกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบจากการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (ซีพีทีพีพี) โดย ครม.ได้มอบหมายให้ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.การต่างประเทศ รับข้อสังเกต ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 

โดยเฉพาะ 3 ประเด็นหลัก คือ ด้านการเกษตรและพันธุ์พืช ด้านการแพทย์และสาธารณสุข เช่น ให้มีกฎหมายที่กำหนดให้ผู้ที่ต้องการขอขึ้นทะเบียนยา ที่มีส่วนประกอบของจุลชีพหรือจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับจุลชีพ ต้องสำแดงแหล่งที่มาร่วมด้วยให้เร็วที่สุด และด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน เช่น เสนอให้มีการจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า 

"รองโฆษกพรรคกล้า"  ห่วงบรรทัดฐาน “คดีธรรมนัส” คนต้องคำพิพากษาคดียาเสพติดต่างประเทศเป็น ส.ส.-รัฐมนตรีได้ ชี้ช่องยื่น ป.ป.ช. วินิจฉัยจริยธรรมร้ายแรงต่อ 

นายแสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม รองโฆษกพรรคกล้า กล่าวถึงศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ กรณีต้องคำพิพากษาศาล ออสเตรเลียในคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดว่า แม้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นที่สุดในเรื่องคุณสมบัติแล้ว แต่การให้เหตุผลคำวินิจฉัยในทำนองว่าคำพิพากษาของต่างประเทศ ไม่มีผลผูกพันต่อกฎหมายไทย เกิดเป็นคำถามถึงบรรทัดฐานกระบวนการยุติธรรมไทย 

"ผมไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกับบุคคลในคดี แต่สงสัยว่า ถ้ามีคนก่อคดีคล้าย ๆ มันคือแป้งในต่างประเทศ หมายความว่าบุคคลนั้น สามารถสมัครรับเลือกตั้ง เป็น ส.ส. หรือเป็นรัฐมนตรี ได้หรือไม่ เชื่อว่าประชาชนอีกหลาย ๆ คน ก็คงรู้สึกสงสัยไม่ต่างกัน จึงหวังว่าคำวินิจฉัยฉบับเต็มที่จะออกมาภายหลัง จะมีการอธิบายถึงบรรทัดฐานในอนาคตที่ชัดเจนด้วย" นายแสนยากรณ์ กล่าว 

รองโฆษกพรรคกล้า กล่าวว่า เรื่องคุณสมบัติคงจะจบไปด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ยังคงมีประเด็นว่า ขัดต่อมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงตามหมวด 1 ของมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระ พ.ศ.2561 ซึ่งกำหนดให้บังคับใช้แก่ ส.ส. , ส.ว. และคณะรัฐมนตรี ด้วยหรือไม่โดยสามารถยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อชี้มูลว่าฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ และส่งต่อให้ศาลฎีกาตัดสินต่อไป 

นายแสนยากรณ์ ยังกล่าวถึง พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 5 กำหนดด้วยว่า ผู้ใดกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด แม้จะกระทำนอกราชอาณาจักร ผู้นั้นจะต้องรับโทษในราชอาณาจักรด้วย รวมถึงความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมายคณะที่ 5) เมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2525 ก็ระบุถึงเจตนารมณ์ส่วนหนึ่งว่า ถ้าต้องห้ามเฉพาะการกระทำผิดในประเทศ ไม่เกี่ยวกับการกระทำผิดในต่างประเทศ ก็จะเกิดการลักลั่นไม่เป็นธรรม ซึ่ง 2 ประเด็นนี้ น่าจะเป็นข้อกฎหมายและความเห็นที่มีนัยยะสำคัญ หากมีการวินิจฉัยต่อว่าขัดต่อจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่

เสกสกล จี้! นักการเมือง พักปมการเมืองก่อน หันมาร่วมมือช่วยคลี่คลายสถานการณ์ ยัน บิ๊กตู่ ไม่เคยคิดท้อ-ไม่ทิ้งปชช.

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่ ครม.มีมติอนุมัติมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดโควิด-19 รอบใหม่ ทั้งมาตรการคนละครึ่งช่วยเหลือคนละ 3,000 บาท โครงการเราชนะเพิ่มเงินให้อีก 2,000 บาท ม.33 เรารักกัน อีกคนละ 2,000 บาท รวมไปถึงผู้ถือสวัสดิการแห่งรัฐเดือนละ 200 บาท เป็นเวลา 6 เดือนและยังได้เพิ่มโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้    

เป็นการแสดงให้เห็นว่านายกฯและรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจที่จะเร่งหามาตรการต่างๆ เพื่อนำมาช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ และเพื่อให้ประชาชนได้นำเงินไปใช้จ่ายในครัวเรือน อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศด้วย และเพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน ยังได้มีมาตรการลดค่าน้ำ ค่าไฟให้อีกด้วย รวมไปถึงมีมาตรการด้านสินเชื่อ พักหนี้ และมาตรการทางด้านภาษี

ส่วนมาตรการด้านสาธารณสุข นายกฯได้ตั้งศูนย์บูรณาการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อบูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ให้แก้ปัญหาได้อย่างเร่งด่วน ซึ่งมีนายกฯ มาดูแลด้วยตนเอง และยังได้ตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบูรณาการด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อให้เกิดการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานสาธารณสุขและหน่วยงานฝ่ายปกครอง    

จะเห็นแล้วว่านายกฯ ไม่หยุดที่จะคิดหาทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งด้านสาธารณสุข ด้านเศรษฐกิจ นายกฯ ยังได้ยืนยันกับประชาชนแล้วว่า จะไม่มีวันท้อถอย หรือท้อแท้ ไม่ว่าจะเผชิญกับปัญหาใด ๆ ขอให้ประชาชนมั่นใจในตัวนายกฯและรัฐบาล จะไม่ทิ้งและจะสู้เพื่อประชาชน และอยากให้ประชาชนและทุกภาคส่วนได้ร่วมไม้ร่วมมือกัน เพื่อทำให้สถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิค-19 ในประเทศได้คลี่คลายลงให้ได้และกลับมาใช้ชีวิตตามปกติในเร็ววัน

ขอให้ประชาชนอย่าไปสนใจพวกที่ชอบโจมตีใส่ร้ายป้ายสีใส่ความเท็จทางการเมือง เช่น พูดถึงข้อมูลวัคซีนที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ทำให้ประชาชนสับสนและเข้าใจผิดต่อรัฐบาล จึงขอให้เชื่อมั่นว่า นายกฯ คนนี้ จะไม่มีวันทอดทิ้งพี่น้องประชาชนในยามที่เกิดวิกฤตความเดือดร้อนเช่นนี้อย่างแน่นอน ขณะเดียวกันตนขอร้องไปยังฝ่ายการเมืองให้ช่วยกันในฐานะเป็นผู้แทนของประชาชน ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนในขณะนี้ โดยขอให้พักเรื่องทางการเมืองเอาไว้ก่อนแล้วมาร่วมแรงร่วมใจกัน

'รมว.คมนาคม'สั่งหน่วยงานในสังกัดจัดทำข้อมูลชี้แจงงบปี 65 มูลค่า 2.11 แสนล้าน  

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม ระบุว่า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เป็นประธานการประชุมหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ผ่านการประชุมทางไกล (Video Conference) ด้วยระบบ Zoom Cloud Meetings โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม จัดเตรียมข้อมูลเพื่อชี้แจงงบประมาณประจำปี 2565 ที่ได้รับการจัดสรรวงเงิน 2.11 แสนล้านบาท แบ่งเป็น ส่วนราชการ 8 หน่วยงาน วงเงิน 1.76 แสนล้านบาท และรัฐวิสาหกิจ 5 หน่วยงาน วงเงิน 3.57 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้จะมีการประชุมเตรียมความพร้อมในเรื่องดังกล่าว ในวันที่ 17 พ.ค. 2564

ขณะเดียวกัน นายศักดิ์สยาม ยังได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2564 ให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมได้รับจัดสรรงบประมาณแผ่นดินปี 2564 วงเงินภาพรวม จำนวน 2.27 แสนล้านบาท แบ่งเป็น ส่วนราชการ 8 หน่วยงาน และรัฐวิสาหกิจ 5 หน่วยงาน โดยให้สามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้ 100% ในเดือน ส.ค. 2564 ในส่วนของการลงนามในสัญญารายจ่ายลงทุนที่กระทรวงคมนาคมมีรายการที่จะต้องลงนามในสัญญา จำนวน 9,858 รายการ วงเงินรวม 9.85 หมื่นล้านบาท (รายการรายจ่ายลงทุนปีเดียว รายการลงทุนผูกพัน รายการใหม่ และรายการรายจ่ายลงทุนท่ีมีวงเงินเกิน 1,000 ล้านบาท) นั้น ให้ทยอยการลงนามในสัญญาภายใน พ.ค.-มิ.ย. 2564 ให้ครบทุกรายการ

รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม ระบุอีกว่า นายศักดิ์สยาม ได้เน้นย้ำให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ยกระดับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ให้อยู่ในระดับสูงสุด และให้เร่งรัดดำเนินการจัดทำแผนการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้แก่บุคลากรของกระทรวงคมนาคม

ราเมศ เผย กกบห เห็นชอบ ตั้ง นิพนธ์ ปฎิบัติหน้าที่ รองภาคใต้ ชั่วคราวแทน นิพิฏฐ์

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ได้ลาออกจากตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคที่รับผิดชอบภาคใต้ว่า

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค ได้เสนอชื่อนายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคภารกิจ ปฎิบัติหน้าที่แทนในตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคภาคใต้ จนกว่าจะมีการเลือกตั้งแทนตำแหน่งที่ว่าง และคณะกรรมการบริหารพรรคได้มีความเห็นชอบตามที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ได้เสนอ ซึ่งเป็นไปตามข้อบังคับพรรคที่ได้กำหนดไว้

นายราเมศกล่าวต่อว่า นายนิพนธ์ จะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่แทนในตำแหน่งดังกล่าวเป็นการชั่วคราวเพื่อรอให้มีการเลือกตั้งจากที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปีต่อไป

กรมการขนส่งทางบก เข้มงวด!!! รถโดยสารทุกประเภทต้องปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามข้อสั่งการ รมว.คมนาคม

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ยังไม่กลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กำชับให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในระบบขนส่งสาธารณะอย่างเคร่งครัด  

กรมการขนส่งทางบก ได้ยกระดับความเข้มข้นมาตรการสาธารณสุข D-M-H-T-T-A เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งเป็นการดำเนินการอย่างต่อเนื่องตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประกอบด้วย มาตรการคัดกรอง entry และ exit scan ในรถโดยสารสาธารณะ สถานีขนส่งผู้โดยสาร และสำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ ตรวจวัดอุณหภูมิ ตรวจสอบการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา 100% มาตรการเว้นระยะห่าง จัดเตรียมแอลกอฮอล์เจลสำหรับทำความสะอาดมือ เพิ่มความถี่ในการทำสะอาดพื้นที่สาธารณะตลอดทั้งวัน พร้อมจัดพิมพ์ QR Code ไทยชนะให้ผู้โดยสารเช็คอิน-เช็คเอาท์ทุกครั้งก่อนใช้บริการ โดยในวันที่ 5 พ.ค. 2564 สำนักงานขนส่งจังหวัด เช่น อุบลราชธานี พังงา อุดรธานี สุโขทัย ลำพูน นครพนม น่าน หนองคาย พระนครศรีอยุธยา กำแพงเพชร กาฬสินธุ์ นครราชสีมา อุตรดิตถ์ มุกดาหาร สุรินทร์ บุรีรัมย์ เชียงราย เพชรบูรณ์ สมุทรปราการ หนองบัวลำภู ลำปาง ประจวบคีรีขันธ์ พิษณุโลก เลย แพร่ ศรีสะเกษ นครปฐม ฉะเชิงเทรา ชัยภูมิ ราชบุรี จันทบุรี เชียงใหม่ ได้ดำเนินการตรวจสอบรถโดยสารสาธารณะทุกประเภททั้งที่สถานีขนส่งผู้โดยสารและจุดตรวจคัดกรองในพื้นที่รับผิดชอบ และประชาสัมพันธ์การปฏิบัติตามมาตรการ ของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างเคร่งครัด 

ในส่วนของการให้บริการที่สำนักงานขนส่งทุกแห่ง มีการปรับรูปแบบดำเนินการแบบ New Normal ตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด พร้อมขอความร่วมมือประชาชนสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าในการติดต่อราชการ และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้กรมการขนส่งทางบก แจ้งงดการอบรมและทดสอบ ด้านใบอนุญาตขับรถและผู้ประจำรถ ณ สำนักงานขนส่งทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2564 เป็นต้นไป โดยผู้ขอใบอนุญาตขับรถรายใหม่ให้รอจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง ส่วนการต่ออายุใบอนุญาตขับรถสามารถนำผลการอบรมออนไลน์มาดำเนินการต่ออายุใบอนุญาตขับรถได้ โดยจองคิวดำเนินการล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue เท่านั้น เพื่อบริหารจัดการจำนวนผู้ใช้บริการภายในสำนักงาน  ตั้งจุดคัดกรอง ตรวจวัดอุณหภูมิประชาชน ก่อนเข้าอาคารสำนักงาน ที่นั่งพักคอยของประชาชนมีการเว้นระยะอย่างเหมาะสม ติดตั้ง Table Shield กั้นระหว่างผู้มาติดต่อกับเจ้าหน้าที่ พร้อมแนะนำการให้บริการชำระภาษีรถประจำผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อลดการสัมผัสและไม่ต้องเดินทางมาที่สำนักงานขนส่ง เช่น เว็บไซต์ https://eservice.dlt.go.th/ หรือ แอปพลิเคชัน DLT Vehicle Tax  ดาวน์โหลดฟรีทั้งระบบปฏิบัติการ iOS: https://apple.co/3iAx6Dd และแอนดรอยด์: https://bit.ly/2XXQLVT


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top