Wednesday, 23 April 2025
POLITICS NEWS

กระทรวงแรงงาน ส่ง 252 แรงงานไทย ทำงานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล

กระทรวงแรงงาน ตั้งเป้าจัดส่งแรงงานไทยทำงานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล ปีงบ 64  จำนวน 5,000 คน  จัดส่งแล้ว 3,364 คน เตรียมเดินทางอีก 252 คน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2564 กระทรวงแรงงานมีกำหนดส่งแรงงานไทย จำนวน 252 คน แบ่งเป็นเพศชาย 251 คน และเพศหญิง 1 คน เดินทางไปทำงานภายใต้โครงการ “ความร่วมมือไทย-อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers:TIC) ด้วยเที่ยวบินเช่าเหมาลำพิเศษ สายการบิน El Al Israel Airlines เที่ยวบินที่ LY 082 ออกเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประเทศไทยเวลา 09.15 น. และมีกำหนดถึงปลายทางกรุงเทลอาวีฟ เวลา 15.20 น. ตามเวลาท้องถิ่น 

“นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้นำรัฐบาล ให้ความสำคัญและรู้สึกขอบคุณแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศมาโดยตลอด ด้วยถือเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้า เกี่ยวกับเรื่องนี้กระทรวงแรงงาน มีความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริม สนับสนุน พัฒนากระบวนการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศให้มีประสิทธิภาพ และขยายตลาดแรงงานไทยไปต่างประเทศอย่างจริงจังตามนโยบายรัฐบาล โดยปีงบประมาณ พ.ศ.2564 มีเป้าหมายจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในรัฐอิสราเอล จำนวน 5,000 คน ซึ่งตั้งแต่เดือนตุลาคม 63 - เดือน  พ.ค. 64 มีแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานแล้ว รวมกับที่จะเดินทางในวันพรุ่งนี้ทั้งสิ้น 3,616 คน ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าว 

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ท่านรัฐมนตรีสุชาติ ได้มอบหมายให้กรมการจัดหางาน ดูแลพี่น้องแรงงานไทยที่จะเดินทางไปทำงานในรัฐอิสราเอลอย่างดี โดยก่อนเดินทั้งหมดจะได้รับการอบรมเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ก่อนการเดินทาง ซึ่งมีหัวข้อการอบรมที่เป็นประโยชน์ต่อแรงงานไทยฯ อาทิ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ภายในประเทศและการปฏิบัติตัว การเตรียมความพร้อมก่อนการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ วิธีเดินทางออกและกลับเข้ามาในราชอาณาจักรตามกฎหมาย สัญญาจัดหางาน สัญญาจ้างงาน และสิทธิประโยชน์กองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานต่างประเทศ รวมทั้งช่องทางการติดต่อผ่านแอปพลิเคชั่น TOEA และข้อมูลหน่วยงานราชการไทยในต่างประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้กรมการจัดหางานจัดขึ้นโดยคำนึงถึงมาตรการของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารสุขอย่างเคร่งครัด และผมในฐานะรักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน ได้เดินทางตรวจเยี่ยมพร้อมให้กำลังใจแรงงานไทยก่อนเดินทางไปทำงานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยหวังอย่างยิ่งว่าแรงงานไทยกลุ่มนี้ จะเป็นอีกกลุ่มที่นำรายได้ ทักษะ และประสบการณ์ที่ได้รับในต่างประเทศกลับมาพัฒนาตนเอง และยกระดับคุณภาพชีวิตให้ครอบครัวต่อไป

“สำหรับโครงการ “ความร่วมมือไทย-อิสราเอลเพื่อการจัดหางาน” (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers : TIC) มีระยะเวลาการจ้างงาน 2 ปีแต่ไม่เกิน 5 ปี 3 เดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการต่ออายุใบอนุญาตการจ้างแรงงานต่างชาติของนายจ้างและวีซ่าการทำงาน ตามข้อกำหนดของกฎหมายรัฐอิสราเอล โดยคนหางานจะได้รับเงินเดือนขั้นต่ำก่อนหักภาษีเดือนละ 5,300 เชคเกลอิสราเอล หรือประมาณ 48,073 บาท (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้น) ทั้งนี้ ผู้สนใจเดินทางไปทำงานในรัฐอิสราเอลสามารถติดตามข่าวสารได้ที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/overseas และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน” นายไพโรจน์ฯ กล่าว

‘ดร.ปิติ ศรีแสงนาม’ วอนหยุดแพร่ข่าวเท็จ ไทยเข้าร่วม ‘CPTPP’ หวังหลอกลวงสร้างกระแสต่อต้านจากมวล ขณะที่ รัฐบาลยัน ครม. ไม่ได้ลักไก่ไฟเขียวให้เจรจาเข้าร่วม CPTPP เพียงแค่อนุมัติศึกษาเพิ่มเติมอีก 50 วัน เท่านั้น

รองศาสตราจารย์ ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ ศูนย์อาเซียนศึกษา และอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Piti Srisangnam’ เกี่ยวกับกระแสข่าวรัฐบาลแอบลักไก่อนุมัติเข้าร่วม หุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ CPTPP โดยระบุว่า

สิ่งที่น่ากลัว ไม่ใช่การเจรจาการค้า หรือผลกระทบจากการเข้าเป็นภาคี

หากแต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ การมโนไปเอง การสร้าง fake news การหลอกลวงเพื่อสร้างมวลชน

วันนี้ไม่มีประชุมลับ ไม่มีลงมติลับ

ขณะที่ น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า ที่ประชุมครม. เมื่อวันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมา ยังไม่ได้มีการเห็นชอบให้ไทยไปขอเจรจาเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ CPTPP แต่อย่างใด มีเพียงการอนุมัติให้ขยายระยะเวลาเพิ่มเติมอีก 50 วัน เพื่อให้คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) หารือกับภาคส่วนต่าง ๆ ให้ครอบคลุม ครบถ้วน และรอบคอบมากที่สุด ในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีที่มอบหมายให้ กนศ. จัดทำกรอบการทำงานเพื่อติดตามแผนการดำเนินการเพื่อปรับตัวของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตามข้อสังเกตของ กรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรเรื่อง CPTPP

ทั้งนี้ที่ผ่านมา ที่ประชุม ครม. รับทราบข้อสังเกตของกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบจากการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (ซีพีทีพีพี) โดย ครม. ได้มอบหมายให้ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.การต่างประเทศ รับข้อสังเกต ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

โดยเฉพาะ 3 ประเด็นหลัก คือ ด้านการเกษตรและพันธุ์พืช ด้านการแพทย์และสาธารณสุข เช่น ให้มีกฎหมายที่กำหนดให้ผู้ที่ต้องการขอขึ้นทะเบียนยา ที่มีส่วนประกอบของจุลชีพหรือจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับจุลชีพ ต้องสำแดงแหล่งที่มาร่วมด้วยให้เร็วที่สุด และด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน เช่น เสนอให้มีการจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า

“บิ๊กช้าง” สั่งกกล.ชายแดน เฝ้าระวัง สกัดกั้นลักลอบข้ามแดน หวั่นนำโควิดสายพันธ์ุที่แพร่ระบาดในมาเลเซีย เข้าประเทศ ย้ำ กกล.ชายแดนไทย-เมียนมา ประสานหน่วยงานเกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือปชช.ในพื้นที่ให้ได้รับความปลอดภัย

“บิ๊กช้าง” สั่งกกล.ชายแดน เฝ้าระวัง สกัดกั้นลักลอบข้ามแดน หวั่นนำโควิดสายพันธ์ุที่แพร่ระบาดในมาเลเซีย เข้าประเทศ ย้ำ กกล.ชายแดนไทย-เมียนมา ประสานหน่วยงานเกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือปชช.ในพื้นที่ให้ได้รับความปลอดภัย พร้อมช่วยเหลือดูแลตามหลักมนุษยธรรมแก่ผู้หลบหนีภัยจากความไม่สงบ จำนวน 2,318 คน 

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2564 พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ได้ย้ำกับทุกเหล่าทัพ ปฏิบัติตามนโยบายของ นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในการกำกับการปฏิบัติงานของกองกำลังป้องกันชายแดนให้เป็นที่เชื่อมั่นในการสนับสนุนการควบคุมโรค COVID-19 ตามแนวชายแดนให้ได้เด็ดขาด  

โดยให้ติดตามสถานการณ์ชายแดนกัมพูชา เมียนมาและมาเลเซียอย่างใกล้ชิด รวมทั้งสกัดกั้นการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและเข้มมาตรการควบคุมโรคที่กำหนดอย่างต่อเนื่องจริงจัง โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนใต้ที่ต้องเฝ้าระวังสูง กับความเสี่ยงของ COVID-19 สายพันธ์ุที่กำลังแพร่ระบาดในมาเลเซีย ที่อาจเข้ามาพร้อมกับผู้ที่เดินทางกลับจากมาเลเซีย ซึ่งอาจสร้างปัญหาและจำเป็นต้องคัดกรองอย่างเข้มข้น โดย นายกฯและรมว.กลาโหม ยังได้แสดงความห่วงใยเจ้าหน้าที่ทุกนาย ขอให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทและมีความปลอดภัยทั่วกัน

ทั้งนี้ พล.อ.ชัยชาญ ยังได้กำชับ ถึงการทำงานในพื้นที่แนวชายแดนไทย - เมียนม่า ขอให้ติดตามและประเมินสถานการณ์ความรุนแรงจากสู้รบด้วยกำลังทหาร ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนไทยในพื้นที่  

โดยขอให้ช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกอพยพประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัยที่กำหนดไว้โดยเร็ว ขณะเดียวกัน หากมีผู้หลบหนีภัยจากความไม่สงบชาวเมียนมาหรือชนกลุ่มน้อยชาวกระเหรี่ยงตามแนวชายแดนที่อพยพข้ามแดนเข้ามา จากผลกระทบความรุนแรงการสู้รบ ขอให้ดำเนินการช่วยเหลือขั้นต้นตามหลักมนุษยธรรมและคุมเข้มคัดกรองตามมาตรการควบคุมโรคที่กำหนด โดยประสานการทำงานกับฝ่ายปกครองในพื้นที่ให้การสนับสนุนและช่วยเหลือดูแลความปลอดภัยจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย 

พล.ท.คงชีพ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา กกล.ป้องกันชายแดนทางบกในพื้นที่ กองทัพภาคที่ 3 และฝ่ายปกครองในพื้นที่ ได้ให้การช่วยเหลืออพยพประชาชนที่อาจได้รับอันตรายจากการสู้รบในพื้นที่ชายแดน บ้านแม่สามแลบ และ บ.ท่าตาฝั่ง จ.แม่ฮ่องสอน กว่า 600 คน ออกมายังพื้นที่ปลอดภัยที่กำหนดเป็นการชั่วคราวและได้เดินทางกลับภูมิลำเนาแล้วหลังสถานการณ์สงบ พร้อมกันนี้ ได้ให้การช่วยเหลือดูแลตามหลักมนุษยธรรมแก่ผู้หลบหนีภัยจากความไม่สงบชาวเมียนมา จำนวน 2,318 คน ที่อพยพข้ามแดนมายังฝั่งไทย บริเวณ ต.แม่ยวม อ.แม่สะเรียง และพื้นที่ใกล้เคียงของ จว.แม่ฮ่องสอน โดยจัดเตรียมพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราวรองรับ จำนวน 4 แห่ง    

“ขอความร่วมมือ ประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้อง งดหรือหลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าพื้นที่ดังกล่าว เนื่องจากเป็นพื้นที่อยู่ในเขตอุทยานและอยู่ในมาตรการควบคุมโรคเข้มข้นตามที่จังหวัดกำหนด เพื่อความปลอดภัยของทุกคนในภาพรวม” โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าว

"แรมโบ้" ได้ทีอ้างข้อมูลวัคซีนไฟเซอร์ยังไม่เข้าไทย เรียกร้องโทนี่ ออกมาขอโทษ “บอก”เป็นถึงอดีตนายกฯควรแสดงความรับผิดชอบต่อคำพูด ที่สร้างความสับสนให้คนเข้าใจผิด

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2564 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร หรือ โทนี่ วู้ดซั่ม ออกมาพูดในรายการ คลับเฮาส์ ว่ามีวัคซีนไฟเซอร์เข้ามาประเทศไทยแล้ว ว่าจากที่ฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ออกแถลงการณ์ ที่ไฟเซอร์ยืนหยัดที่จะให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในประเทศต่าง ๆ เพื่อให้คนทั่วโลกรวมถึงคนไทยได้สามารถเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 อย่างเท่าเทียมกัน และมุ่งเน้นการส่งมอบวัคซีนผ่านหน่วยงานรัฐบาลแห่งชาติเท่านั้นไม่มีนโยบายจัดจำหน่ายวัคซีนโควิด-19 ผ่านตัวแทนหรือตัวกลางใด ๆ

ทั้งนี้ จนถึงปัจจุบันไม่เคยมีการนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ผ่านสำนักงานในประเทศไทย จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าข้อมูลที่นายทักษิณ นำมาพูดนั้นไม่ใช่ข้อเท็จจริงแต่อย่างใด นอกจากนี้นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แถลงข่าวชี้แจงกรณีที่อดีตนายกฯ ทักษิณ ชี้หลักฐานว่ามีการนำเข้าวัคซีนยี่ห้อไฟเซอร์ในไทย โดยยืนยันว่า อย. ยังไม่มีการนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์แต่อย่างใด โดยกลไกการนำเข้าวัคซีนนั้น บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด จะต้องยื่นขออนุญาตเป็นผู้นำเข้า และขอขึ้นทะเบียนยาต่อ อย. และขั้นตอนในการนำเข้ามาก็จะต้องผ่านด่านของ อย. ทุกครั้ง ซึ่งหลังมีกรณีนี้ ได้ไปตรวจสอบในทุกส่วนงานแล้ว พบว่ายังไม่มีการนำวัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์เข้ามา 

“ดังนั้นเป็นสิ่งการันตีชัดเจนว่า คนอย่างนายทักษิณ เป็นคนเชื่อถือไม่ได้ กล้าเอาความเท็จมาพูดโกหกคนไทยได้อย่างน่าละอายใจที่สุด ขณะเดียวกันก็ทำให้เห็นแล้วว่าการออกมาพูดของนายทักษิณมีเจตนาที่ไม่ดีต่อประเทศไทย นำข้อมูลเท็จมาพูด เพื่อต้องการทำให้ประชาชนคนไทยเกิดความสับสน เข้าใจผิดในตัวนายกฯ รัฐบาล เกี่ยวกับการบริหารจัดการวัคซีน รวมถึงเรื่องอื่นๆ ตนไม่เข้าใจว่าเหตุใดนายทักษิณ จึงออกมาพูดกล่าวโจมตีคนทำงาน พูดยั่วยุ เพื่อให้ประชาชนเกิดความสับสน และทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันของคนในประเทศได้ ไม่น่าเชื่อว่าเคยเป็นอดีตนายกฯมาก่อน ปากบอกว่าเป็นห่วงคนไทย แต่แท้จริงแล้วก็คิดอยากทำลายคนไทยและทำร้ายประเทศไทย คิดถึงแต่ตัวเองโดยไม่สนใจชีวิตของประชาชนคนไทยที่กำลังเดือดร้อน ทำไมจึงกล้าพูดเท็จเพื่อหวังผลตีกินทางการเมือง ทำลายเครดิตนายกรัฐมนตรี และรัฐบาล ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดได้ จนเกิดการปั่นกระแสทางโชเชียล นายทักษิณกล้าออกมารับผิดชอบในคำพูดหรือไม่ นายทักษิณไม่ละอายปากละอายใจตัวเองเลยหรือ ทำไมไม่กล้าออกมารับผิดชอบขอโทษคนไทย ผมขอเรียกร้องให้ออกมาขอโทษคนไทยทั้งประเทศ เพื่อแสดงความรับผิดชอบในคำพูดอันเป็นเท็จของนายทักษิณในครั้งนี้ด้วย" นายเสกสกลกล่าว

‘รองโฆษกพรรคกล้า’ ห่วงบรรทัดฐาน ‘คดีธรรมนัส’ คนต้องคำพิพากษาคดียาเสพติดต่างประเทศเป็น ส.ส.-รัฐมนตรีได้ ชี้ช่องยื่น ป.ป.ช. วินิจฉัยจริยธรรมร้ายแรงต่อ

นายแสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม รองโฆษกพรรคกล้า กล่าวถึงศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ กรณีต้องคำพิพากษาศาล ออสเตรเลียในคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดว่า แม้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นที่สุดในเรื่องคุณสมบัติแล้ว แต่การให้เหตุผลคำวินิจฉัยในทำนองว่าคำพิพากษาของต่างประเทศ ไม่มีผลผูกพันต่อกฎหมายไทย เกิดเป็นคำถามถึงบรรทัดฐานกระบวนการยุติธรรมไทย

"ผมไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกับบุคคลในคดี แต่สงสัยว่า ถ้ามีคนก่อคดีคล้าย ๆ มันคือแป้ง ในต่างประเทศ หมายความว่าบุคคลนั้น สามารถสมัครรับเลือกตั้ง เป็น ส.ส. หรือเป็นรัฐมนตรี ได้หรือไม่ เชื่อว่าประชาชนอีกหลาย ๆ คน ก็คงรู้สึกสงสัยไม่ต่างกัน จึงหวังว่าคำวินิจฉัยฉบับเต็มที่จะออกมาภายหลัง จะมีการอธิบายถึงบรรทัดฐานในอนาคตที่ชัดเจนด้วย" นายแสนยากรณ์ กล่าว

รองโฆษกพรรคกล้า กล่าวว่า เรื่องคุณสมบัติคงจะจบไปด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ยังคงมีประเด็นว่า ขัดต่อมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงตามหมวด 1 ของมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระ พ.ศ.2561 ซึ่งกำหนดให้บังคับใช้แก่ ส.ส., ส.ว. และคณะรัฐมนตรี ด้วยหรือไม่โดยสามารถยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อชี้มูลว่าฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ และส่งต่อให้ศาลฎีกาตัดสินต่อไป

นายแสนยากรณ์ ยังกล่าวถึง พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 5 กำหนดด้วยว่า ผู้ใดกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด แม้จะกระทำนอกราชอาณาจักร ผู้นั้นจะต้องรับโทษในราชอาณาจักรด้วย รวมถึงความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมายคณะที่ 5 ) เมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2525 ก็ระบุถึงเจตนารมณ์ส่วนหนึ่งว่า ถ้าต้องห้ามเฉพาะการกระทำผิดในประเทศ ไม่เกี่ยวกับการกระทำผิดในต่างประเทศ ก็จะเกิดการลักลั่นไม่เป็นธรรม ซึ่ง 2 ประเด็นนี้ น่าจะเป็นข้อกฎหมายและความเห็นที่มีนัยยะสำคัญ หากมีการวินิจฉัยต่อว่าขัดต่อจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่

ขณะที่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ชื่อ ‘Withawatt Cozy Tansuhaj’ ได้แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า

เรื่องคุณธรรมนัสวันนี้ ขอยกตัวอย่างที่ฮ่องกง

เหตุจลาจลที่ฮ่องกงเกิดจากอะไรแต่แรก

คือมีชายฮ่องกงพาเพื่อนหญิงของเขาไปใต้หวันและฆ่าเธอตายที่นั่น พอหนีกลับมาฮ่องกง ทางใต้หวันแจ้งไปเรื่องฆาตกรรม แต่เนื่องจากไม่มีกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน เขาจึงรับโทษที่ฮ่องกงแค่ข้อหาขโมยโทรศัพท์มาขายเท่านั้น

จีนจึงออกกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน พวกโจซัว หว่องเลยออกมาประท้วงเพราะกลัวจะหนีไม่ได้อีกต่อไป จะถูกจับส่งไปด้วย แล้วเรื่องมันก็ลุกลามอย่างที่เห็นกัน

ศาลฮ่องกงไม่มีสิทธิลงโทษชายผู้นั้นข้อหาฆาตกรรม ทั้งๆที่เขาก็ยอมรับว่าเป็นฆาตกร เพราะเขาไปฆ่าที่ใต้หวัน มันเป็นหลักสากลที่ว่า เหตุที่เกิดในประเทศหนึ่งจะไม่มีผลทางกฎหมายใดใดในอีกประเทศหนึ่ง

คุณธรรมนัสที่รอดก็ด้วยหลักสากลนี้ จะค้ายาจริงหรือไม่นั่นไม่ใช่ประเด็น แต่เขาติดคุกที่ออสเตรเลียไม่ใช่ที่ไทย ผลการตัดสินผมว่ามันก็ต้องเป็นไปอย่างนั้่นตามหลักอธิปไตยทางกฎหมาย

อันนี้ไม่ได้ชอบหรือเกลียดคุณธรรมนัสนะ เฉยๆมาก ครั้งเลือกตั้งล่าสุดก็ไม่ได้เลือกพรรค พปชร. แต่ผมเห็นด้วยกับการตัดสิน

การทำผิดกฏหมายที่ต่างประเทศ ไม่ควรมีผลสำหรับคุณสมบัติที่บังคับใช้ในประเทศไทย ถือว่าถูกแล้วครับ สำหรับประเทศที่ยังเป็นเอกราช

จะต่อว่าก็ต่อว่าคุณธรรมนัสได้ครับ ที่ไม่ยอมพิจารณาตัวเอง ไม่มีสปิริต

แต่จะมากล่าวหาว่าร้ายให้ศาลหรือเลยเถิดไปถึงไหนก็ตาม อันนี้ไม่ใช้สติละ ไม่ถูกเลยครับ ผิดและอคติอย่างมาก

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=10226662436727835&id=1255629295

'ไฟเซอร์' ออกตัว หลัง 'ทักษิณ' แฉวัคซีนบางส่วนเข้าไทยแล้ว แต่ไม่มากพอฉีดสลิ่ม ย้ำ!! ในภาวะการระบาดต้องส่งมอบผ่านรัฐบาลลูกเดียว

จากกรณีเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม ที่ นายทักษิณ ชินวัตร หรือ โทนี วู้ดซัม ได้ร่วมพูดคุยในช่อง CARE Clubhouse x CARE Talk : คิดเคลื่อนไทย พลิกฟื้นวิกฤติโควิด กับ Tony Woodsome โดยพูดถึงการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการบริหารจัดการพื้นที่คลองเตย รวมถึงเรื่องวัคซีนที่ล่าช้านั้น มีช่วงหนึ่งที่พูดว่า...

“วันนี้ไฟเซอร์ หากเข้าไปดูเว็บไซต์ ประเทศไทยมีเอาเข้ามาแล้ว ไม่รู้เท่าไหร่ แต่ว่า เอาเข้าแล้ว ไม่มาก คงใช้กันไม่มีคน / บรรดากองเชียร์หรือสลิ่มทั้งหลาย ก็อยากได้ไฟเซอร์แหละ แต่มันไม่มีให้"

ล่าสุดฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ออกแถลงการณ์ ระบุว่า ตามที่ได้มีข้อความปรากฎเกี่ยวกับวัคซีนโควิด - 19 ของไฟเซอร์-ไบโอเอนเทค ในประเทศไทยจากหลายแหล่งข่าว และสื่อออนไลน์หลายแห่ง บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ขอเรียนชี้แจงเกี่ยวกับข้อเท็จจริง และการดำเนินงานรวมถึง จุดยืนบริษัทฯ ดังนี้...

1.) ไฟเซอร์มุ่งมั่น และยืนหยัดที่จะให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในประเทศต่างๆ เพื่อให้คนทั่วโลกรวมถึงประชาชนชาวไทยได้สามารถเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ของเราได้อย่างเท่าเทียมกัน

2.) ภาวะของการระบาดในขณะนี้ ไฟเซอร์จำเป็นต้องมุ่งจัดลำดับความสำคัญ โดยมุ่งเน้นการส่งมอบวัคซีนผ่านหน่วยงานรัฐบาลแห่งชาติเท่านั้น ซึ่งขณะนี้ ไฟเซอร์อยู่ระหว่างการทำงาน และหารืออย่างต่อเนื่องกับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อเตรียมการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชนชาวไทย

และ 3.) เราขอรับรองว่าไฟเซอร์-ไบโอเอนเทค ไม่มีนโยบายจัดจำหน่ายวัคซีนโควิด-19 ผ่านตัวแทนหรือตัวกลางใด ๆ

ทั้งนี้ จนถึงปัจจุบันไม่เคยมีการนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ผ่านสำนักงานในประเทศไทยแต่อย่างใดทั้งสิ้น


ที่มา: https://www.nationtv.tv/main/content/378822851

https://www.matichon.co.th/politics/news_2706774

รมต.สำนักนายกฯ ตรวจเยี่ยม ศูนย์สนับสนุนการเคลื่อนย้ายฯ ศปม.

เมื่อวันที่ 5 พ.ค. ที่กรมยุทธบริการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย เขตบางซื่อ กรุงเทพฯ พล.อ.ธิติชัย เทียนทอง รองเสนาธิการทหาร ให้การต้อนรับ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี/กรรมการ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และพล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ในโอกาสตรวจเยี่ยมศูนย์สนับสนุนการ เคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อ COVID-19 ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง

ตามนโยบายของ นายกรัฐมนตรี และผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ผอ.ศบค.)ให้ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) บูรณาการการใช้ยานพาหนะของกองทัพเพื่อสนับสนุนการเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้กำกับดูแล นั้น ปัจจุบัน กองบัญชาการกองทัพไทย ได้จัดตั้งหน่วยปฎิบัติเพื่อบูรณาการการดำเนินงาน ดังนี้ 

1.) ส่วนกองอำนวยการ จัดจาก กรมยุทธบริการทหาร
2.) ส่วนปฏิบัติการ ประกอบด้วย กองบัญชาการ ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง, ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง กองทัพบก, ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง กองทัพเรือ และ ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง กองทัพอากาศ โดยมีการจัดยานพาหนะสนับสนุนการเคลื่อนย้ายฯ ประกอบด้วย

- จัดยานพาหนะที่ใช้พร้อมใช้งานทันที จำนวน 31 คัน โดยจัดจาก กองบัญชาการกองทัพไทย จำนวน 15 คัน กองทัพบก จำนวน 10 คัน กองทัพเรือ จำนวน 3 คัน และกองทัพอากาศ จำนวน 3 คัน โดยได้สนับสนุนศูนย์เอราวัณ สำนักการแพทย์ มาตั้งแต่วันที่ 14 เมษายน ซึ่งในปัจจุบันยังคงดำรงการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องทุกวัน

- จัดยานพาหนะเพิ่มเติมอีกจำนวน 21 คัน ประกอบกำลังจากกองบัญชาการกองทัพไทย จำนวน 10 คัน กองทัพบก จำนวน 5 คัน กองทัพเรือ จำนวน 3 คัน และ กองทัพอากาศ จำนวน 3 คัน ได้มีการจัดหมุนเวียนปฏิบัติงานประจำศูนย์ฯ เป็นประจำทุกวัน 

-  จัดยานพาหนะที่พร้อมปฏิบัติเมื่อสั่ง (On call) ไว้อีก จำนวน 16 คัน โดยจัดจากกองทัพบก จำนวน 10 คัน กองทัพเรือ จำนวน 3 คัน และกองทัพอากาศ  จำนวน 3 คัน

- จัดรถพยาบาล จากกองบัญชาการกองทัพไทย จำนวน 4 คัน

- จัดกำลังพล จากสำนักงานแพทย์ทหาร กรมยุทธบริการทหาร เข้าร่วมส่วนสนับสนุน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ ศูนย์สนับสนุนการเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อ COVID-19 ศปม. ณ กรมยุทธบริการทหาร เพื่อประสานนำส่งโรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลสนามตามที่กำหนด

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี/กรรมการ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้กล่าวขอบคุณและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งและเสียสละในสถานการณ์การแพร่ระบาด พร้อมกันนี้ได้มอบชุด PPE หน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ และน้ำดื่มให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน  ณ ศูนย์สนับสนุนการเคลื่อนย้ายฯ เพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติงานได้อย่างปลอดภัย และลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ COVID-19 ต่อไป

'ก้าวไกล' รับผิดหวังคำวินิจฉัยศาลรธน. "ธรรมนัส" ไม่พ้นเก้าอี้ ส.ส.-รมต. จ่อ เข้าชื่อ ป.ป.ช.ตรวจสอบต่อไป ชี้ หมดเวลารบ.ประยุทธ์แล้ว ต้องมีรบ.ชุดใหม่ คืนระบบกม.ที่เป็นปกติให้กับสังคมไทย

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2564 นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล และนายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามกรทุจริตประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.) กล่าวถึงกรณีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต่อสมาชิกภาพ ส.ส. และความเป็นรัฐมนตรีของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า โดยนายชัยธวัช กล่าวว่า เราผิดหวังกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญขัดกับแนวทางปฏิบัติและการตีความกฎหมายที่เคยปฏิบัติมาตั้งแต่ พ.ศ.2525 หลังจากที่กระทรวงมหาดไทยเคยทำหนังสือขอความเห็นไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกา ในกรณีที่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2521 เคยกำหนดลักษณะต้องห้ามของผู้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งไว้เรื่องหนึ่งว่า บุคคลที่เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุกตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป โดยพ้นโทษมายังไม่ถึง 5 ปีในวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ซึ่งในครั้งนั้นคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีความเห็นว่าบทบัญญัติดังกล่าวไม่ได้ระบุว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุกนั้นเป็นคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำคุกของศาลในประเทศใด และบุคคลดังกล่าวเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้สมัครรับเลือกตั้งผู้แทนราษฎรเพราะเห็นว่าเป็นบุคคลที่มีความประพฤติไม่เหมาะสม ถ้าต้องห้ามเฉพาะการกระทำผิดในประเทศ ไม่เกี่ยวกับการกระทำผิดในต่างประเทศ ก็จะเกิดความลักลั่นไม่เป็นธรรมและขัดกับเหตุผล ในกรณี เช่น ความผิดอย่างเดียวกัน มีโทษอย่างเดียวกัน ถ้าทำผิดในประเทศต้องห้าม แต่ถ้าทำผิดในต่างประเทศไม่ต้องห้าม 

นายชัยธวัช กล่าวต่อว่า ฉะนั้น บุคคลที่เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุกตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป โดยพ้นโทษมายังไม่ถึง 5 ปีในวันเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการถูกจำคุกในประเทศไทยหรือในต่างประเทศก็ต้องถือว่าเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ นี่คือแนวทางปฏิบัติที่ตีความมาโดยคณะกรรมการกฤษฎีกาจนกระทั่งถูกล้มโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ ซึ่งจะยิ่งทำให้ประชาชนตั้งคำถามมากยิ่งขึ้นกับองค์กรอิสระในปัจจุบันว่ายังทำหน้าที่เป็นกลไกในการตรวจสอบถ่วงดุลตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญจริงหรือไม่ หรือกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองของผู้มีอำนาจบางกลุ่มแล้วโดยสมบูรณ์

นายชัยธวัช กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม พรรคก้าวไกลจะเดินหน้าตรวจสอบในกรณีนี้ต่อไป โดยยังสามาถเข้าชื่อส่งไปยัง ป.ป.ช. ต่อไปยังศาลฎีกาได้ โดยถือว่าเป็นเรื่องผิดมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งในการไต่สวนคดีนี้ ร.อ.ธรรมนัส ได้ยอมรับกับศาลอย่างชัดเจนว่าเคยต้องคำพิพากษาและจำคุกตามที่พรรคก้าวไกลเคยอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในความผิดที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่า ร.อ.ธรรมนัส ได้โกหกคำโตไว้ในสภาตอนอภิปรายไม่ไว้วางใจก่อนหน้านี้ ดังนั้น แม้ว่า ร.อ.ธรรมนัส จะรอดจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ต้องพิจารณาว่าเรามีรัฐมนตรีที่เคยมีประวัติต้องคำพิพากษาว่าทำความผิดและเคยถูกจำคุกในคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดร้ายแรง คือ การค้าเฮโรอีน ในต่างประเทศได้อย่างไร 

"วันนี้ ร.อ.ธรรมนัสไม่เพียงแต่ไม่ถูกปลดจากตำแหน่งรัฐมนตรีแต่ยังเติบโตในหน้าที่การงานมากขึ้นเรื่อยๆ ในพรรคพลังประชารัฐและรัฐบาล แสดงให้เห็นรัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลโจรอุ้มโจร และยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่าหมดเวลาของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์แล้ว จำเป็นต้องมีรัฐบาลชุดใหม่ให้เร็วที่สุด เพื่อคืนความยุติธรรม คืนระบบกฎหมายที่เป็นปกติให้กับสังคมไทยและเข้ามาแก้ไขปัญหา วิกฤตโควิด-19 ที่รัฐบาลปัจจุบันไม่มีความสามารถในการบริหารจัดการ" นายชัยธวัช กล่าว

ด้านนายธีรัจชัย กล่าวว่า คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญแตกต่างจากสิ่งที่ตนเคยอภิปรายไม่ไว้วางใจ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ในสภาผู้แทนราษฎร ที่ได้สรุปผลว่า ร.อ.ธรรมนัสขาดคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรี  เมื่อมีความเห็นแตกต่างกันก็จะขอให้สภาผู้แทนราษฎร เปิดผลรายงาน กมธ.ป.ป.ช. เพื่อนำมาเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่าง แม้จะไม่สามารถลบล้างอะไรได้ แต่จะเป็นเหตุผลด้านกฎหมาย และวิชาการเพื่อให้ประชาชนรับทราบ ทั้งนี้เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 98 (10) ต้องการมุ่งตรวจสอบคุณสมบัติผู้ดำรงตำแหน่งส.ส. และรัฐมนตรี ส่วนคำพิพากษาเป็นเพียงตราประทับรับรองว่า บุคคลผู้นั้น มีคุณสมบัติเหมาะสมจริงหรือไม่จริง แต่ไม่ใช่สาระสำคัญของการใช้อำนาจตุลาการแต่ละประเทศ มาข่มอีกประเทศ ซึ่งคนที่ทำผิดมีคดีความในต่างประเทศ น่าจะเป็นคนมีคุณสมบัติมัวหมอง เป็นปฏิปักษ์ต่อการเข้ามาดำรงตำแหน่งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารใช้อำนาจประเทศ 

นายธีรัจชัย กล่าวต่อว่า กรณีความผิดคดียาเสพติดนั้น ประเทศไทยได้ร่วมลงนามอนุสัญญาเกี่ยวกับยาเสพติดตามกฎหมายระหว่างประเทศหลายฉบับ เช่น อนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ.1961 อนุสัญญาว่าด้วยวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ค.ศ.1971 อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติด และวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ค.ศ.1988 อีกทั้งยังมีกฎหมายไทยคือ พ.ร.บ.มาตรการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 5 ระบุ ผู้ใดกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด แม้จะกระทำนอกราชอาณาจักร ผู้นั้นต้องรับโทษในราชอาณาจักร ถ้าปรากฏว่าผู้กระทำความผิดหรือผู้ร่วมกระทำความผิดคนใดคนหนึ่งเป็นคนไทย หรือมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย เป็นการระบุชัดเจนว่า ไม่ว่าจะกระทำผิดประเทศไทย ถ้ามีคนไทยเป็นผู้ร่วมทำผิด สามารถนำมาลงโทษในประเทศไทยได้ เรื่องการตีความรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (10) ที่ระบุถึงลักษณะต้องห้ามของรัฐมนตรีและส.ส. นั้น ต้องตีความเพื่อให้เกิดประโยชน์ในการป้องกัน ไม่ให้คนมีคุณสมบัติน่ารังเกียจ ข้อสงสัยเข้ามาดำรงตำแหน่ง ไม่ใช่ตีความในเชิงปล่อยให้เข้ามาได้ หากบรรทัดฐานศาลเป็นเช่นนี้  แนวโน้มก็อาจจะตีความได้เช่นนี้ตลอดไปเพราะคำพิพากษาต่างประเทศไม่สามารถใช้ได้กับรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (10) ขอให้ทุกคนช่วยกันคิดว่า  สิ่งที่เกิดขึ้นจะมีการหาทางออกได้อย่างไร เพื่อให้มีระบบกฎหมายที่ยึดโยงกับประชาชน ตรวจสอบได้ 

เมื่อถามว่าการที่พรรคก้าวไกลหรือพรรคอื่นออกมาแสดงความคิดเห็นภายหลังศาลตัดสิน บางคนอาจมีคนมองว่าไม่เคารพศาล ถือว่าละเมิดศาลหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ในระบบประชาธิปไตย การแสดงความคิดเห็นต่อคำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาถือเป็นเรื่องปกติ ส่วนเรื่องความเคารพหรือความเลื่อมใสต่อกระบวนการยุติธรรมหรือศาลเป็นเรื่องที่เป็นผลมาจากพฤติกรรมของสถาบันหรือองค์กรนั้น ๆ ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน โดยสรุปคือการแสดงความคิดเห็นเป็นเรื่องปกติและสามารถกระทำได้ 

ด้านนายธีรัจชัย กล่าวว่า สิ่งที่ตนพูดเมื่อก่อนหน้านี้เป็นสิ่งที่ตนแสดงความเห็นก่อนที่ศาลจะตัดสินและตนอภิปรายไม่ไว้วางใจ รวมทั้งคณะกรรมาธิการป.ป.ช.ก็มีความเห็นเช่นนั้น ไม่เกี่ยวกับการละเมิดอำนาจศาลแต่เป็นการโต้แย้งตามหลักการที่เห็นแตกต่างกัน และยืนยันว่ากติการของกฎหมายกำหนดว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันก็ต้องเป็นไปตามนั้น แต่นี่เป็นความเห็นที่เราเห็นมาก่อนและมาอธิบายให้ฟังว่าแตกต่างกันอย่างไร

เมื่อถามว่ากระบวนการต่อจากนี้ในการเข้าชื่อส่งป.ป.ช. พรรคก้าวไกลจะดำเนินการเลยหรือไม่หรือจะใช้เวลานานเท่าไหร่ นายชัยธวัช กล่าวว่า คงไม่นานเท่าไหร่ วันนี้หลังจากทราบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็พิจารณาแล้วว่าในกลไกตามกฎหมายที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน คือช่องทางการยื่นต่อป.ป.ช. เราก็จะเร่งคุยกันในสภาผู้แทนราษฎรของพรรคและคงจะมีการดำเนินการต่อจากนี้ไม่นาน

เมื่อถามว่ามองอย่างไรกับการที่ศาลมีคำวินิจฉัยออกมาในลักษณะนี้ ในอนาคตจะสุ่มเสี่ยงในการวินิจฉัยครั้งต่อไปหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า อย่างที่เรียนไปตอนต้นว่าการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ ยิ่งทำให้สังคมและประชาชนตั้งคำถามกับบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระอื่น ๆ  มากยิ่งขึ้นเข้าไปอีก ซึ่งต้องบอกว่าในปัจจุบันมีหลายกรณีแล้วที่ทำให้ระบบยุติธรรม ระบบกฎหมาย กลไกการตรวจสอบรวมถึงศาลยุติธรรมเกิดวิกฤตศรัทธา ในส่วนนี้เป็นสิ่งที่พรรคก้าวไกลไม่อยากให้เห็น

ครม. อนุมัติ ขยายมาตรการภาษี นิติบุคคล-บ. ห้างหุ้นส่วน จ้างงานผู้พ้นโทษอีก 1 ปี  สิ้นสุด 31 ธ.ค. นี้

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจ้างงานผู้พ้นโทษ) โดยขยายระยะเวลาการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ร้อยละ 50 ของรายจ่าย ที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างงานผู้พ้นโทษไม่เกิน 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับการปล่อยตัวเข้าทำงาน เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 15,000 บาทต่อคนต่อเดือน โดยให้ขยายระยะเวลาออกไปอีก 1 ปี ในรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 ม.ค. พ.ศ.2564-วันที่ 31 ธ.ค. พ.ศ.2564 เพื่อส่งเสริมและจูงใจให้ภาคเอกชน มีส่วนร่วมสนับสนุนการจ้างแรงงานผู้พ้นโทษเข้าทำงาน ช่วยให้ผู้พ้นโทษสามารถพึ่งพาตนเองได้และมีอาชีพ เสริมสร้างเศรษฐกิจในตลาดแรงงานที่ขาดแคลน ลดการพึ่งแรงงานประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้คาดว่าจากการขยายมาตรการดังกล่าวรัฐ จะสูญเสียรายได้ประมาณ 1,935 ล้านบาท

ครม.เคาะมาตรการเยียวยา-แจกเงินโควิด 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.ได้เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 แยกเป็น มาตรการที่ทำได้ทันที คือ

1.) การปล่อยสินเชื่อฉุกเฉิน ผ่านธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) รายละไม่เกิน 1 หมื่นบาท คิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 0.35% ต่อเดือน ระยะเวลากู้ไม่เกิน 3 ปี สิ้นสุด 31 ธ.ค. 64 รวมทั้งการพักชำระหนี้ของธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ ไปจนถึง 31 ธ.ค. 64 ตามความสมัครใจ 

2.) มาตรการบรรเทาค่าใช้จ่าย ทั้งค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้า และน้ำประปา โดยในส่วนของค่าไฟฟ้านั้น จะช่วยสำหรับบ้านอยู่อาศัย และกิจการขนาดเล็ก เป็นเวลา 2 เดือน สำหรับใบแจ้งหนี้ค่าไฟฟ้าประจำเดือนพ.ค.-มิ.ย. 64 โดยผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือนให้สิทธิใช้ไฟฟ้าฟรี 90 หน่วยแรก ส่วนบ้านที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 150 หน่วยต่อเดือน จะได้รับส่วนลด และผู้ใช้ไฟที่เป็นกิจการขนาดเล็ก ให้สิทธิใช้ไฟฟ้าฟรี 50 หน่วยแรก ด้านค่าน้ำประปา จะลดราคาลง 10% เฉพาะบ้านที่อยู่อาศัย และกิจการขนาดเล็ก 2 เดือน คือ พ.ค.-มิ.ย. 64 

นอกจากนี้ยังเห็นชอบมาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในระยะเร่งด่วน มี 2 โครงการ คือ โครงการเราชนะ เป้าหมาย 32.9 ล้านคน โดยขยายเพิ่มวงเงินช่วยเหลือให้ประชาชนอีกสัปดาห์ละ 1,000 บาท เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ สิ้นสุด 30 มิ.ย. 64 กรอบวงเงิน 6.7 หมื่นล้านบาท และ โครงการม.33เรารักกัน เป้าหมาย 9.27 ล้านคน โดยขยายเพิ่มวงเงินให้อีกสัปดาห์ละ 1,000 บาท เป็น ระยะเวลา 2 สัปดาห์ สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 64 กรอบวงเงิน 1.85 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ยังเห็นชอบมาตรการในระยะที่ 2 ซึ่งจะเริ่มทำเมื่อสถานการณ์ไวรัสโควิดระลอกเดือนเม.ย. คลี่คลายลง มี 4 โครงการ กรอบวงเงินเบื้องต้น 1.4 แสนล้านบาท คือ

1.) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3 จำนวน 13.65 ล้านคน โดยให้เงินเพิ่มเติมเดือนละ 200 บาท ระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่ก.ค.-ธ.ค. 64 

2.) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ 2.5 ล้านคน โดยให้เงินเพิ่มเติม เดือนละ 200 บาท ระยะเวลา 6 เดือนเช่นกัน

3.) โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 อีกไม่เกินคนละ 3,000 บาท และ

4.) โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ โดยรัฐสนับสนุน อี-เวาท์เชอร์ ให้กับ ประชาชนที่ใช้จ่ายซื้อสินค้า ค่าอาหาร และเครื่องดื่มและค่าบริการกับผู้ประกอบการที่จดทะเบียน ภาษีมูลค่าเพิ่ม ไม่เกิน 5,000 บาทต่อคนต่อวัน สูงสุดไม่เกิน 7,000 บาทต่อคน โดยรัฐจะสนับสนุน อี-เวาท์เชอร์ ในช่วงเดือนก.ค.-ก.ย.นี้ และ สามารถนํา อี-เวาท์เชอร์ ไปใช้จ่ายได้ในเดือนส.ค.-ธ.ค.64 โดยมาตรการระยะ 2 นี้ ประเมินว่า จะครอบคลุมเป้าหมายประชาชน 51 ล้านคน และมีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 4.73 แสนล้านบาท


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top