Thursday, 24 April 2025
POLITICS NEWS

หัวหน้าพรรคก้าวไกล เย้ย ‘บิ๊กตู่’ ประกาศให้การแก้ไขปัญหาการทุจริตเป็นวาระแห่งชาติ ล้วนสวนทางกับพฤติกรรมที่ผ่านมา ลั่น ‘วาระแห่งชาติ’ ที่สำคัญที่สุด คือ ‘รื้อถอนระบอบประยุทธ์’ โดยเร็ว เพราะปัญหาการทุจริตที่น่าละอาย ล้วนอยู่ในรัฐบาลทั้งสิ้น

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แสดงความเห็นต่อกรณีที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศให้การแก้ไขปัญหาการทุจริตเป็นวาระแห่งชาติ ว่า แท้จริงแล้ว ‘วาระแห่งชาติ’ ที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ คือ การ ‘รื้อถอนระบอบประยุทธ์’ โดยเร็วที่สุดต่างหาก

“เรื่องการทุจริตประพฤติมิชอบ ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่า เป็นเรื่องที่บั่นทอนศักยภาพของประเทศ เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องแก้ไขให้ได้โดยเร็ว และต้องให้ความสำคัญเพื่อที่จะนำไปสู่การแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ฟังสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ‘ต้องมุ่งสร้างวัฒนธรรมต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบทุกรูปแบบและต้องมีความละอาย’ อยากทราบจริง ๆ ว่าก่อนพูดได้ส่องกระจกมองตัวเองให้แล้วหรือไม่ เพราะปัญหาการทุจริตที่ควรต้องละอาย ล้วนแล้วแต่อยู่ในรัฐบาลของท่านเองทั้งนั้น

“ตั้งแต่การเข้าสู่อำนาจด้วยการรัฐประหาร ฉีกกฎหมายสูงสุดของประเทศ ปล้นเจตนารมณ์ของประชาชน บอกว่าขอเวลาอีกไม่นาน แต่ก็เกาะเก้าอี้ไม่ยอมปล่อย ถือเป็นเรื่องที่ต้องละอายหรือไม่?

การสืบทอดอำนาจ คสช. ด้วยกลไกในรัฐธรรมนูญ มี ส.ว.ที่ คสช.เป็นผู้เลือกมาเอง แล้วให้ ส.ว. เหล่านั้นเลือกตัวเองกลับมาเป็นนายก ด้วยเสียง 100% เป็นการทุจริตประพฤติมิชอบที่ถือเป็นเรื่องที่ต้องละอายหรือไม่?

การเลือกบุคคลที่มีประวัติทุจริตประพฤติมิชอบจากการค้ายาเสพติดข้ามชาติมาเป็นรัฐมนตรี และเมื่อพบว่าผิดจริงก็ยังคงให้มีตำแหน่งต่อไป ทำให้แม้แต่กองเชียร์ของท่านเองก็กลืนไม่เข้า คายไม่ออก ถือเป็นเรื่องที่ต้องละอายหรือไม่?

การที่มีพี่ใหญ่ หัวหน้าพรรคแกนนำรัฐบาล ใส่แหวนวงใหญ่ นาฬิกาหรูหลายสิบเรือน สุดท้ายอ้างว่า แหวนของแม่ ส่วนนาฬิกายืมมาจากเพื่อนที่ตายแล้ว ไม่ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน ทำเอาเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ได้แต่ยิ้มแหย สื่อมวลชนขอให้เปิดเผยข้อมูลก็ส่งมาแต่กระดาษเปล่า ประชาชนส่ายหน้ากันทั้งประเทศ ถือเป็นเรื่องที่ต้องละอายหรือไม่?

การไม่เปิดเผยรายงานผลการตรวจสอบคดี ‘บอส กระทิงแดง’ ที่บุคคลใกล้ชิดกับรัฐบาลอาจมีส่วนเกี่ยวข้องในการเปลี่ยนสำนวนคดี และเอื้อต่อการหลบหนี เป็นความไม่เปิดเผยและไม่โปร่งใสนี้ ถือเป็นเรื่องที่ต้องละอายหรือไม่?

หรือกระทั่งการอยู่อาศัยในบ้านหลวงใช้น้ำและไฟฟรี เป็นการ ‘รับประโยชน์อื่นใด’ ผิดกฎหมาย ป.ป.ช. มาตลอด 7 ปี พอจะมีการตรวจสอบก็บ่ายเบี่ยง อ้างต้องขอตรงนั้นตรงนี้ ถือเป็นเรื่องที่ต้องละอายหรือไม่?”

พิธา ยังระบุต่อไปว่า เรื่องที่รัฐบาลควรจะละอายใจที่สุด คือ การเป็นต้นตอการแพร่ระบาดของโรคโควิดทั้งสามระลอก จนเป็นเหตุให้ประชาชนคนไทยต้องประสบกับความเดือดร้อนไม่รู้จบ อันเนื่องมาจากการทุจริตภายในและความหละหลวมหย่อนยานของพวกท่าน ซึ่งเห็นได้จากกรณีบ่อนการพนันและการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย และยังมีพฤติกรรมน่ากังขาอีกมากมายที่เครือข่ายระบอบประยุทธ์หรือรัฐบาลนี้ได้กระทำ เช่น การเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุน การใช้อำนาจโดยมิชอบ การยอมรับว่ามีการทุจริตแต่โบ้ยไปให้ข้าราชการ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทั้งไม่ถูกต้องตามกฎหมายและไม่สง่างาม

“สิ่งที่เป็นเสาค้ำยันให้กับการทุจริตในประเทศไทยก็คือ ระบอบอำนาจนิยม ระบบอุปถัมภ์เส้นสาย วัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด เป็นต้น ดังนั้นความพยายามในการที่จะขจัดสิ่งเหล่านี้ออกไป เป็นสิ่งที่ต้องทำให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ให้ได้ก่อน ถึงจะสามารถไปแนะนำสั่งสอนหรือเชิญชวนคนอื่นได้ มิฉะนั้นก็คงเป็นแค่ลมปากที่พูดไปวัน ๆ หาสาระไม่ได้อีกครั้งหนึ่ง

“ผมมองว่า ‘วาระแห่งชาติ’ ที่แท้จริง และเหมาะสมในเวลานี้ที่สุดก็คือ การถอนรากถอนโคน ‘ระบอบประยุทธ์’ ที่เป็นศูนย์กลางของปัญหา ซึ่งหมายถึงกระบวนการทั้งหลาย ที่ทำให้ได้มาซึ่งคนแบบประยุทธ์และคณะ เราจะต้องยุติกลไก ส.ว. ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า การสืบทอดมรดกคณะรัฐประหารผ่านการวางกับดักไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับมีชัยนั้น นำมาซึ่งผู้นำประเทศที่บ้าอำนาจ แต่ไร้ความสามารถที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย” พิธา ระบุ

"สมศักดิ์" เผยเร่งประสาน "อนุทิน" ขอวัคซีนฉีดผู้ต้องขังทุกคน พร้อมใช้ฟาวิพิราเวียร์-ฟ้าทะลายโจร รักษาผู้ติดเชื้อเรือนจำ ตรวจเชิงรุกแบบ 100% พร้อมวางแผนเผื่ออนาคต ยัน! แจ้งทุกรายละเอียดไม่ปิดบัง เตรียมติดป้ายตัวเลขหน้าเรือนจำให้รู้ยอดคนติดเชื้อทุกวัน

ที่กรมราชทัณฑ์ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ร่วมแถลงข่าว กรณีผู้ต้องขังติดเชื้อโควิด-19 ในเรือนจำ 

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้โควิด-19 เข้าไปอยู่ในเรือนจำมากมาย ทั้งกทม. และต่างจังหวัด รวมตัวเลขแล้วผู้ต้องขังติดเชื้อ 10,384 คน ในขณะนี้ที่รวบรวมได้ เจ้าหน้าที่แพทย์พยาบาลทำงานอย่างหนักและต้องทำต่อไป เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจอย่างเต็มที่ อะไรที่หย่อนยานต้องเร่งปรับปรุง ตอนนี้มีมาตรการ 10 ข้อ คือ

1.) ให้แถลงจำนวนผู้ต้องขัง ที่ได้ตรวจเชิงรุกไปแล้วมีจำนวนเท่าไร

2.) ตรวจเชิงรุกให้ครบทุกเรือนจำ ทั้งผู้ต้องขัง เจ้าหน้าที่เรือนจำและเจ้าหน้าที่ส่วนกลางทุกคน รวมทั้งผู้บริหารระดับสูง ของกรมราชทัณฑ์ทุกคน 55,000 คน

3.) ในส่วนของที่มาของเชื้อให้เร่งสืบข้อเท็จจริงและสาเหตุการติดเชื้อครั้งนี้ และถ้าได้ความแน่ชัดจะแจ้งให้ทราบโดยไม่ปิดบังใด ๆ ทั้งสิ้น

4.) การรักษาและการเฝ้าดูอาการคนไข้จะทำตลอดเวลาไม่มีวันหยุด ทุกคนจะต้องทำงานแข่งกับเวลา

5.) ประสานงานกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อหาวิธีการรักษาที่เร็วและได้ผลดีที่สุด โดยใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ รวมทั้งการใช้สมุนไพรไทย เช่น ฟ้าทะลายโจร เข้าช่วยรักษาในขณะที่รอดูอาการโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนในระดับสีเขียวที่ติดเชื้อแต่ยังไม่มีอาการ และคนระดับสีเหลืองที่กำลังเริ่มมีอาการ 

6.) ผู้ต้องขังเป็นประชาชนคนไทย ที่ต้องอยู่ในเรือนจำไปไหนไม่ได้ 100% การอยู่ในที่ถูกล้อมเอาไว้ ขยับขยายไปไหนไม่ได้เป็นอุปสรรคอย่างมหาศาลในการแก้ไข้ปัญหา ประกอบกับห้องนอนนั้นมีผู้ต้องขังอยู่กันอย่างแออัด

7.) มีความจำเป็นที่ต้องเอาผู้ต้องขังและผู้คุม ที่ไม่ติดเชื้อในทุกเรือนจำ จะต้องได้รับการฉีดวัคซีนอย่างเร่งด่วน

8.) จะมีการติดประกาศหน้าเรือนจำทุกแห่งในประเทศไทย เพื่อแจ้งให้ทราบว่ามีผู้ต้องขังติดเชื้อกี่คนและไม่ติดเชื้อกี่คน หายแล้วกี่คน จะมีการแจ้งเช่นนี้เป็นระยะ ๆ อย่างน้อยที่สุดอาทิตย์ละ 1 ครั้ง และจะปรับตัวเลขทุกวัน เพื่อให้ประชาชนในแต่ละชุมชนได้รับทราบ

9.) ผู้บัญชาการเรือนจำทุกคน จะทำรายชื่อผู้ติดเชื้อ และปรับปรุงเป็นรายวันเพื่อให้ญาติผู้ต้องขังทุกคนสามารถเข้ามาตรวจสอบได้ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ตั้งแต่ 08.00 - 18.00 น. 

10.) กระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์ จะรีบเร่งวางแผน เตรียมตัวรับการระบาดครั้งนี้ และครั้งหน้าที่จะมีมาได้ทุกเมื่อ

โดยจะรีบเร่งประชุมพิจารณาในเรื่องของบุคลากรที่ต้องเพิ่ม เช่น พยาบาลที่ปัจจุบันขาดแคลนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งแพทย์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ตลอดจนพื้นที่ในการรองรับ การดูแลรักษาผู้ต้องขัง เพราะโรคระบาดได้เข้ามาอยู่ในชีวิตสังคมคนไทยแล้วทั้งในวันนี้และอนาคต ซึ่งเป็นความท้าทายของกระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์เป็นอย่างมาก เพราะคุณลักษณะของผู้ต้องขังที่ต้องติดเชื้อถูกจำกัด ในเรื่องของกฎหมายที่ให้ต้องจองจำ ประกอบจำนวนผู้ต้องขังที่มีอยู่มากเกินกว่าที่สถานที่ปัจจุบัน ตลอดจนเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลจะสามารถรองรับได้

ดังนั้นกระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์ จะพิจารณานโยบายการพักโทษในรูปแบบพิเศษ เช่น การติดกำไล EM ให้ละเอียดรอบคอบ โดยพิจารณาสิ่งแวดล้อม และข้อเท็จจริง ตลอดจนสภาวะของผู้ต้องขัง เพื่อกำหนดนโยบายการพักโทษขึ้นมา รวมทั้งกฎหมายต่าง ๆ เพื่อให้กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม และสังคมได้ประโยชน์ด้วยกัน ตลอดจนสิทธิขั้นพื้นฐานผู้ต้องขัง 

"ถ้าเราใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ รักษา 10,000 คน หัวหนึ่ง 5,000 บาท จะใช้เงินถึง 50 ล้านบาท แต่หากใช้วัคซีนกับผู้ต้องขัง 300,000 คนหัวละ 1,000 บาท จะใช้ 300 ล้านบาท จะหยุดเชื้อในเรือนจำได้ทั้งหมด ผมจะเสนอไปยังนายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข ดำเนินการให้เรียบร้อย ซึ่งหวังว่าทางนายอนุทินจะเข้าใจและเร่งดำเนินการให้ ส่วนสถานการณ์ที่ จ.เชียงใหม่ ได้ใช้บับเบิ้ลแอนด์ซีล ควบคุมในเรือนจำ โดยมีการร่วมมือกับส่วนราชการต่าง ๆ ในจังหวัด ในเรื่องตัวเลขต้องแจกแจงให้ชัด เราไม่ได้ปิดบังหรือปกปิด แต่หากไม่สามารถทำให้ถูกต้องได้ต้องมีคนรับผิดชอบ เราจะทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ได้" นายสมศักดิ์ กล่าว 

นายอายุตม์ กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ต้องขัง 15 เรือนจำติดเชื้อ โดยมี 8 เรือนจำใน กทม. และปริมณฑลที่ต้องเฝ้าระวังพิเศษ เช็คตัวเลขทุกวัน มียอดผู้ติดเชื้อเท่าไร รักษาหายเท่าไร จะมีการติดตามทุกวัน ส่วนเจ้าหน้าที่มีติดเชื้อ 33 ราย เหลือที่ยังไม่หาย 17 ราย และเราได้ประสานงานกับศาล ถึงทางศาลเข้าใจและอำนวยประโยชน์ทุกทาง ตนต้องขอขอบคุณทางท่านประธานศาลฎีกาด้วย 

‘ชัยวุฒิ’ โต้เพจดัง ‘แหม่มโพธิ์ดำ’ ตัดต่อภาพ ‘รพ.บุษราคัม’ เทียบ ‘รพ.สนามพิมรี่พาย’ บิดเบือนงบประมาณโจมตีรัฐบาล สั่งทีมงานตรวจสอบ เตรียมดำเนินคดี เหตุปล่อยข่าวเท็จ ทำสังคมแตกแยก-เข้าใจผิด 

จากกรณีที่โซเชียลมีเดียมีการแชร์ข้อมูลเรื่องงบประมาณจัดทำโรงพยาบาลบุษราคัม พร้อมกับตัดต่อภาพประกอบ ว่าใช้งบประมาณ 239,280,000 บาท สามารถรองรับได้ 1,092 เตียง ตกเตียงละ 220,000 บาท พร้อมกับเปรียบเทียบโรงพยาบาลสนามของพิมรี่พาย ที่ใช้งบประมาณ 170,000 บาท แต่ได้ถึง 50 เตียง ตกเตียงละ 3,400 บาท จนเกิดเสียงวิจารณ์กว้างขวาง นั้น

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวงดิจิทัลฯ ได้ตรวจสอบพบว่ามีความพยายามเชื่อมโยงให้เกิดความเข้าใจผิดถึงการดำเนินการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามของรัฐบาล โดยในส่วนของคุณพิมรี่พาย ที่นำเงินส่วนตัวมาสร้างโรงพยาบาลสนาม ถือเป็นสิ่งที่ดีที่ได้เสียสละช่วยประชาชนในยามลำบาก รัฐบาลก็ต้องขอบคุณถึงความตั้งใจอันดี เช่นเดียวกันอีกหลาย ๆ คนที่ร่วมช่วยกันคนละเล็กคนละน้อย ตามกำลังหรือความสามารถที่พอจะช่วยได้ 

“ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ต่างมีความตั้งใจดี เพื่อให้ประเทศพ้นวิกฤตโดยเร็ว แต่กลับมีขบวนการที่ไม่หวังดี นำมาเปรียบเทียบ บิดเบือน เพื่อต้องการให้เกิดความแตกแยกขัดแย้ง” นายชัยวุฒิ กล่าว

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า โรงพยาบาลบุษราคัม ที่มีข้อสังเกตเรื่องงบประมาณนั้น จัดตั้งในลักษณะโรงพยาบาลถาวรที่มีมาตรฐาน มีความพร้อมทางการแพทย์ มีอุปกรณ์เครื่องมือดูแลผู้ติดเชื้ออย่างครบครัน มีระบบการดูแลความปลอดภัย มีเจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์จากหลายจังหวัดจำนวนมาก สับเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุข สามารถชี้แจงรายละเอียดหรืองบประมาณได้ทั้งหมด อีกทั้งภาพที่มีการแชร์เปรียบเทียบในขณะนี้ก็เป็นภาพเก่า ช่วงที่มีการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม เพื่อรองรับกลุ่มเสี่ยงเพื่อสังเกตอาการ และเป็นการจัดตั้งในภาวะฉุกเฉิน ก่อนที่จะมีการปรับปรุงให้ได้มาตรฐานในภายหลัง

“ในช่วงที่ทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจกันเอาชนะโควิด-19 แต่กลับมีผู้ไม่ประสงค์ดีต้องการสร้างความสับสนให้เกิดขึ้นในสังคม ทางกระทรวงฯ ได้ติดตามความเคลื่อนไหวเหล่านี้มาโดยตลอด ขอให้ผู้ที่เป็นต้นตอหรือมีส่วนกับการนำเสนอข้อมูลดังกล่าว ดำเนินการลบโพสต์โดยด่วน และชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องให้สังคมรับทราบ มิเช่นนั้น กระทรวงดีอีเอส อาจต้องดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ต่อไป” รมว.ชัยวุฒิ ระบุ


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=2527537940888294&id=1772417919733637

โฆษกพรรคเพื่อไทย เย้ย รัฐการ์ดตกเอง ไม่ต้องโทษใคร หลังโควิดระบาดหนักใน 9 เรือนจำ ลั่นปัญหาโควิดแก้ง่ายนิดเดียว

เมื่อเวลา 10.40 น. วันที่ 17 พ.ค. ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรค พท.แถลงว่า ขณะนี้รู้สึกเป็นห่วงกรณีการติดเชื้อโควิด-19 ที่ระบาดในเรือนจำหลายแห่งทั่วประเทศ 9 แห่ง มีผู้ต้องขังติดเชื้อรวมกว่า 9,783 คน คาดว่าในวันนี้ผู้ติดเชื้อในเรือนจำทั้ง 9 แห่ง จะมีผู้ติดเชื้อเกินหมื่นคน แต่จนถึงขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่มีการประกาศมาตรการพิเศษเป็นการเฉพาะในการป้องกันการระบาดไม่ให้ลุกลามในพื้นที่เรือนจำได้ 

ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่านับตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 เรือนจำหลายแห่งไม่เปิดให้ญาติหรือบุคคลภายนอกเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังตามขั้นตอนปกติ โดยปรับมาใช้วีดิโอคอลมาระยะหนึ่งแล้ว หรือหากมีผู้ต้องขังรายใหม่เข้าเรือนจำจะต้องกักตัว 14 วัน ขอตั้งคำถามว่าการระบาดในคลัสเตอร์เรือนจำ รัฐเป็นฝ่ายการ์ดตกอีกครั้งหรือไม่ 

น.ส.อรุณี กล่าวต่อว่า ดังนั้นเพื่อลดการระบาดในเรือนจำ 

1.) ควรแยกกลุ่มนักโทษผู้สูงอายุหรือผู้ป่วย ติดกำไลอีเอ็มแล้วปล่อยตัวชั่วคราวโดยยังคงทัณฑ์บน ซึ่งเป็นวิธีการที่รัฐนิวเซาธ์เวล ออสเตรเลีย ใช้เมื่อปีที่ผ่านมา 

2.) สร้างโรงพยาบาลสนามสำหรับผู้ต้องขังในพื้นที่ทหารที่มีการดูแลเข้มงวด 

3.) ชดเชยความเสียหายอย่างเท่าเทียมหากมีผู้ต้องขังเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิดในเรือนจำ 

ทั้งนี้ การระบาดของโควิด-19 เกิดขึ้นพร้อมกันและในเวลาใกล้เคียงกันจนกลายเป็นคลัสเตอร์ดาวกระจาย แสดงให้เห็นว่าที่ผ่านมารัฐบาลปล่อยปละละเลย ไม่สามารถควบคุมการระบาดของโรคได้ทันท่วงทีกับเชื้อสายพันธุ์ใหม่ที่เข้ามา ดังนั้น รัฐต้องเปลี่ยนวิธีคิด จัดสรรวัคซีนให้เพียงพอ เท่าทันต่อสถานการณ์การระบาด หากสถานการณ์การระบาดยังรุนแรงภายใต้การบริหารจัดการที่ล้มเหลวแบบนี้ มีโอกาสที่หลายพื้นที่จะกลายเป็นเมืองร้างและไทยอาจกลายเป็นประเทศที่เศรษฐกิจฟื้นตัวช้าที่สุดในโลก 

รัฐต้องเปลี่ยนวิธีบริหาร ศบค. ต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์การแก้ปัญหา และประเทศต้องเปลี่ยนนายกฯ เท่านั้น เราจึงจะแก้ปัญหาโรคระบาดได้

“บิ๊กตู่” เรียกอนุทิน-คณะแพทย์ที่ปรึกษาหารือด่วน หลังยอดติดเชื้อในเรือนจำพุ่ง รองโฆษกรัฐฯ ย้ำเปิดลงทะเบียนฉีดวัคซีน กลุ่มอายุ 18-59 ปี เริ่ม 31 พ.ค. นี้ วางระบบรองรับการลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด-19 ของชาวต่างประเทศที่ทำงานในไทย

วันที่ 17 พฤษภาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เรียก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและสาธารณสุขพร้อมคณะแพทย์ที่ปรึกษาเข้าหารือเป็นการเร่งด่วน หลังมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จำนวนมากโดยเฉพาะในเรือนจำ ซึ่งวันเดียวกันนี้ มีผู้ติดเชื้อในเรือนจำสูงถึง 6,853 ราย 

ด้านนางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผย ประชาชนทั่วไปที่มีอายุตั้งแต่ 18 -59 ปี เริ่มลงทะเบียนเพื่อรับบริการฉีดวัคซีนผ่านระบบ “หมอพร้อม” ทั้ง Line Official Account และแอปพลิเคชัน ตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม นี้เป็นต้นไป และยังสามารถจองฉีดวัคซีนโควิด-19 ผ่านโรงพยาบาลที่มีสิทธิรักษา อสม. รพ. สต. และ ช่องทางอื่น ๆ รวมทั้ง Walk-in ตามประกาศของจังหวัดด้วย ขณะเดียวกันทางกระทรวงสาธารณสุขอยู่ระหว่างการวางระบบการลงทะเบียนเพื่อให้ชาวต่างชาติที่ทำงานในไทยสามารถเข้าถึงการรับบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้เช่นเดียวกัน

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวให้ความมั่นใจว่า ผลศึกษาวัคซีนโควิด-19 ที่ฉีดในไทยพบว่า สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่หากได้รับผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีนและมีใบยืนยันอาการแพ้วัคซีนจากสถานที่ฉีดวัคซีนแล้ว สปสช. พร้อมเยียวยา ตามประกาศคณะกรรมาการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ฉบับที่ 5) โดยจัดสรรวงเงิน 100 ล้านบาท สำหรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นสำหรับคนไทยทุกคนที่ได้รับความเสียหายจากการวัคซีนโควิด มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน ที่ผ่านมา

ซึ่งขณะนี้ มี 2 เขตที่เสนอข้อมูลการขอรับเงินช่วยเหลือ คือ สปสช.เขต 1 เชียงใหม่ และ สปสช.เขต 10 อุบลราชธานี เขตพื้นที่อื่นอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล ในส่วนของ สปสช.เขต 1 ซึ่งมีผู้ยื่นขอเยียวยา 218 ราย จากจำนวนที่ฉีดไปแล้วทั้งหมด 91,551 เข็ม คิดเป็น 0.24% โดยส่วนใหญ่มีอาการเล็กน้อย เช่น เป็นไข้นิด ๆหน่อย ๆ ปวดเมื่อยตามตัว ส่วนกลุ่มที่มีอาการไข้สูงจนต้องนอนพักโรงพยาบาล คิดเป็น 0.05%

“ปัจจุบันที่มีมีการรายงานยอดผู้ป่วยติดเชื้อจำนวนมาก เป็นประสิทธิภาพจากการตรวจเชิงรุกในหลายพื้นที่ เพื่อเร่งคัดกรอง แยกออกจากชุมชนนำผู้ป่วย เพื่อนำตัวเข้าสู่กระบวนการรักษา ซึ่งช่วยควบคุมและจำกัดการแพร่ระบาดได้เร็วยิ่งขึ้น โดยมีการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในพื้นที่เสี่ยงในกรุงเทพมหานครแล้ว 125,228 โดส ทำให้มีการฉีดวัคซีนสะสมในพื้นที่กทม 450,285 โดส" นางสาวรัชดา กล่าว

“จุรินทร์” ช่วยกลุ่ม “โรงงาน-ซาเล้ง” เตรียมเสนอ ศบค. และ สธ. ฉีดวัคซีน พร้อมสั่งกรมการค้าภายใน ควบคุมราคาปุ๋ย ไม่ให้กระทบเกษตรกรเด็ดขาด 

วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564 ที่กระทรวงพาณิชย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นที่กระทรวงพาณิชย์ได้รับการหารือจากโรงงานที่ผลิตสินค้าต่าง ๆ ที่ประสงค์จะให้ ศบค. หรือกระทรวงสาธารณสุขได้จัดสรรการฉีดวัคซีน 

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการนำเข้ามาตามขั้นตอนกระบวนการที่รัฐบาลกำหนดแล้ว ให้กับโรงงานต่าง ๆ ในลำดับต้น ๆ ด้วย เพราะว่ามีแรงงานอยู่ในแต่ละโรงงานจำนวนมาก และเพื่อเป็นการสกัดการที่จะเป็นคลัสเตอร์ใหม่ในการระบาดของโควิด รวมทั้งกลุ่มซาเล้งด้วย 

"ผมก็ได้รับเรื่องมาจากสมาคมซาเล้งและผู้ประกอบการรับซื้อของเก่าในประเทศไทย ขอให้ช่วยดูแลในเรื่องวัคซีนให้กับกลุ่มดังกล่าวด้วย เพราะเป็นกลุ่มเสี่ยงอีกกลุ่มหนึ่งเช่นกัน" นายจุรินทร์ กล่าว

นอกจากนี้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ยังให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องราคาปุ๋ยที่สูงขึ้น ว่าสาเหตุสำคัญเนื่องจากในช่วงเวลาที่ผ่านมาประเทศอินเดียมีการประมูลการนำเข้าปุ๋ยจำนวนมาก ประกอบกับประเทศจีนซึ่งเป็นผู้ผลิตแม่ปุ๋ยรายใหญ่ก็ได้เก็บสต๊อกปุ๋ยไว้ใช้ในฤดูที่จะทำการเกษตรฤดูใหม่ จึงทำให้มีส่วนดึงให้ราคาปุ๋ยในตลาดราคาสูงขึ้น และกระทบต่อต้นทุนการนำเข้าปุ๋ยในประเทศไทยด้วย

อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในได้เร่งรัดเจรจากับผู้นำเข้าปุ๋ย 2-3 ครั้งแล้ว โดยขอให้ดำเนินการในการที่จะไม่ปรับขึ้นราคาไปจากราคาที่ได้แจ้งไว้กับกระทรวงพาณิชย์ และขณะเดียวกันก็ได้ดำเนินการในการที่จะกำหนดมาตรการให้สหกรณ์ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และ กลุ่มเกษตรกรต่าง ๆ ได้ดำเนินการที่จะซื้อปุ๋ยหรือแม่ปุ๋ยในราคาพิเศษจากผู้นำเข้าหรือผู้จำหน่ายรายใหญ่ โดย นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน ได้เริ่มดำเนินแล้ว

"โดยการรวบรวมความต้องการของสมาชิกเหล่านี้ เพื่อลดต้นทุนปุ๋ยที่จะใช้ในกลุ่มต่าง ๆ ให้ลดน้อยลง ขณะเดียวกันก็ได้จำกัดราคา ควบคุมราคาในตลาดไม่ให้สูงขึ้นไปมากกว่านี้ เพราะจะกระทบต่อต้นทุนการผลิตของภาคเกษตรกร ได้สั่งการให้ลงไปตรวจสอบติดตามเรื่องนี้โดยใกล้ชิด หากพบการค้ากำไรเกินควรก็จะดำเนินการตามกฏหมายทันที ” นายจุรินทร์ กล่าว 

“จุรินทร์ ” หารือ นิวซีแลนด์ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ รุกจับมือร่วมฝ่าโควิด และเตรียมพร้อมไทยเจ้าภาพเอเปคถัดจากนี้

วันที่ 17 พฤษภาคม 2564 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หารือทางโทรศัพท์กับรัฐมนตรีกระทรวงการค้าและการส่งออกของนิวซีแลนด์ (นายเดเมียน โอ คอนเนอร์) ผ่านระบบ วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ณ ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการโสมสวลี ชั้น 11 สํานักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์

ภายหลังการหารือ นายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้ได้มีโอกาสหารือกับรัฐมนตรีกระทรวงการค้าของนิวซีแลนด์ในฐานะที่ปีนี้นิวซีแลนด์เป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปค และในปีหน้าไทยจะรับไม้ต่อจากนิวซีแลนด์โดยการเป็นเจ้าภาพของประเทศไทยจะเริ่มต้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีนี้เป็นต้นไป สำหรับเอเปคนั้นเป็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจร่วมกันของกลุ่มประเทศในเอเชียและแปซิฟิคจำนวน 21 ประเทศ ก่อตั้งตั้งแต่ปี 2532 มูลค่าการค้าของไทยกับเอเปคปีละประมาณ 10 ล้านล้านบาท คิดเป็น 70% ของมูลค่าการค้าของไทยต่อการค้ารวมกับทุกประเทศในโลก

วันนี้สาระสำคัญของการหารือทางท่านรัฐมนตรีการค้านิวซีแลนด์ในฐานะประเทศเจ้าภาพการประชุม มีดำริที่ต้องการออกแถลงการณ์ร่วมผลจากการประชุมเอเปคปีนี้ 3 แถลงการณ์ และขอความเห็นจากตนในฐานะรัฐมนตรีการค้าของประเทศไทย

"ผมได้แจ้งว่าประเทศไทยให้ความยินดีในการสนับสนุนแถลงการณ์ร่วมทั้ง 3 ฉบับ ประกอบด้วยฉบับที่ 1 แถลงการณ์ร่วมฉบับใหญ่ของรัฐมนตรีการค้าเอเปคทั้งหมด สาระสำคัญ ประเด็นที่ 1 กำหนดให้การค้านั้นเป็นปัจจัยสำคัญในการที่ช่วยแก้ปัญหาสถานการณ์โควิด ประเด็นที่ 2 เอเปคสนับสนุนการค้าในระบบพหุภาคีโดยเฉพาะในรูป WTO ประเด็นที่ 3 เอเปคสนับสนุนเศรษฐกิจแบบ BCG คือทั้งเศรษฐกิจ Bio Economy เศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียวซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลปัจจุบัน

แถลงการณ์ฉบับที่ 2 กำหนดให้สมาชิกในกลุ่มประเทศเอเปค จะไม่จำกัดการส่งออกวัคซีนโควิด ยกเว้นมีข้อจำกัดตามที่ WTO กำหนดไว้เท่านั้น เช่น ไม่พอใช้ในประเทศ เป็นต้น

แถลงการณ์ฉบับที่ 3 ภาคบริการด้านโลจิสติกส์ ซึ่งเอเปคต้องการส่งเสริมความร่วมมือด้านโลจิสติกส์สนับสนุนกระบวนการนำเข้าส่งออกทางผ่านด่านต่าง ๆ ด้วยระบบดิจิตอลในสินค้าที่จำเป็นในสถานการณ์โลกปัจจุบัน ทั้งเครื่องมือแพทย์ วัคซีน อาหาร สินค้าเกษตร หรือสินค้าเครื่องใช้ในบ้านในยุค New Normal " นายจุรินทร์ กล่าว

และประเด็นหารือเพิ่มเติมตนได้แจ้งให้รัฐมนตรีนิวซีแลนด์ทราบว่าตนตอบรับการเข้าร่วมประชุมในวันที่ 4 และ 5 มิถุนายนปีนี้แล้ว ที่นิวซีแลนด์เป็นเจ้าภาพโดยการประชุมวันที่ 4 เป็นการประชุมรัฐมนตรีการค้าร่วมกับสภาธุรกิจเอกชนเอเปคซึ่งการประชุมวันนั้นจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม

1.) การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ

2.) เรื่องการรับมือเศรษฐกิจต่อวิกฤติโควิด

3.) กลุ่มที่ว่าด้วยการฟื้นตัวเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนหลังสถานการณ์โควิดซึ่งประเทศไทยประสงค์จะเข้าร่วมในกลุ่มที่ 2 คือเรื่องการรับมือทางด้านเศรษฐกิจต่อสถานการณ์โควิดปัจจุบัน และการประชุมวันที่ 5 มิถุนายนเป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีโดยเฉพาะของกลุ่มประเทศเอเปค

ประเด็นเพิ่มเติมนิวซีแลนด์ขอให้ประเทศไทยช่วยสนับสนุนการนำเข้าเมล็ดพันธุ์หอมใหญ่ของนิวซีแลนด์คิดภาษีเป็นศูนย์ ตามข้อตกลง FTA ระหว่างไทยกับนิวซีแลนด์อยู่แล้วแต่เรายังดำเนินการได้ไม่ครบถ้วน ซึ่งตนจะนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ในเดือนกรกฎาคม และตนได้ขอให้ทางนิวซีแลนด์ช่วยนำเข้าสินค้าที่จำเป็นต่อสถานการณ์โควิดเพิ่มเติมมากขึ้นจากการนำเข้าปกติที่ผ่านมา โดยขอให้นำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับทางการแพทย์ เช่น ถุงมือยาง ผลิตภัณฑ์ยาง อาหารแปรรูป อาหารสัตว์เลี้ยง ผลไม้ เช่น ลิ้นจี่ ลำไย มะม่วง มังคุด เพราะผ่านการตรวจสอบด้านสุขอนามัยจากนิวซีแลนด์เรียบร้อยแล้ว และทางนิวซีแลนด์ให้การรับรองแล้ว ขอให้นำเข้าเพิ่มเติมเป็นพิเศษนอกจากผลไม้ชนิดอื่น ๆ ที่มีการนำเข้าโดยปกติ

ทารก 3 เดือนรอดแล้วหลัง พท.ช่วยประสาน 2 แม่ลูกเข้ารักษาโควิดที่ รพ.ราชวิถี 

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 นายกฤษฏ์ คงวุฒิปัญญา ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.เขตภาษีเจริญ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่าจากที่มีกระแสในโซเชียลมีเดียโดยใช้แฮชแท็กว่า #ทารกต้องรอด รายละเอียดว่ามีเด็กทารก 3 เดือนติดเชื้อโควิด-19 รอการรักษามา 3 วัน ร้องขอความช่วยเหลือ โดยยังไม่มีรถพยาบาลมารับทารกวัย 3 เดือนไปรักษานั้น ตนพร้อมด้วยทีมงานได้ลงพื้นที่ ซ.เพชรเกษม 46 แยก 1 พบว่าครอบครัวดังกล่าวมีทั้งหมด 7 คน ได้แก่ คุณตา (เป็นผู้ป่วยติดเตียง) คุณยาย, พ่อ (ติดเชื้อคนแรกในบ้าน), แม่, ลูก 15 ปี ลูก 5 ปี และทารก 3 เดือน ทั้งหมดได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อ 6 คน ยกเว้นคุณตา 

ทั้งหมดอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน หลังคุณพ่อถูกพาตัวเข้าโรงพยาบาล และหลายคนตรวจพบเชื้อ ทางแม่เด็กพยายามโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากเบอร์โทรศัพท์ภาครัฐทุกเบอร์ ก็ได้รับการแจ้งแค่ว่าให้กักตัวและรอนัดหมายรถพยาบาลมารับ ส่วนเจ้าหน้าที่แจ้งว่าที่โรงพยาบาลไม่มีเครื่องพยุงปอดสำหรับทารกและให้ไปถามจากโรงพยาบาลอื่น ซึ่งล่าสุดตนได้ประสานงานหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง จนในที่สุดมีรถพยาบาลมารับคุณแม่และทารก 3 เดือน ไปรักษาตัวด้วยกันที่ รพ.ราชวิถี ส่วนสมาชิกที่เหลือในบ้านก็จะส่งไปกักตัวที่โรงพยาบาลสนามต่อไป

‘ประสิทธิ์ เจียวก๊ก’ หัวหน้าแก๊งตุ๋นพันล้าน มอบตัวกองปราบ เผยถูกกลั่นแกล้ง และมีคดีตกเป็นผู้เสียหาย สูญเงินไปกว่า 100 ล้าน ด้านเหยื่อแฉใช้ความเป็น ‘จิตอาสา’ สร้างความน่าเชื่อถือ

วันนี้ ( 17 พ.ค.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 09.00 น.นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก ประธานโครงการคืนคุณแผ่นดิน พร้อมทนายความ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อเข้ามอบตัวหลังตกเป็นผู้ต้องหาในคดีร่วมกับพวกรวม 6 คน เปิดบริษัทในลักษณะเครือข่ายใหญ่ หลอกลงทุนหลายรูปแบบ มูลค่าความเสียหายนับพันล้านบาท โดยนำพยานเอกสารหลักฐานสำคัญต่าง ๆ มามอบให้กับทางพนักงานสอบสวนเพื่อชี้แจงรายละเอียดข้อเท็จจริงทางคดี

นายประสิทธิ์ กล่าวว่า หลังตกเป็นผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว ในวันนี้จึงได้เตรียมพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงมาชี้แจงกับพนักงานสอบสวน มั่นใจว่า มีข้อมูลสามารถชี้แจงและต่อสู้คดีตามกฎหมายได้

“ผมขอยืนยันว่าสิ่งที่พูดไปทั้งหมดเป็นข้อเท็จจริง และเรื่องที่เกิดขึ้นถูกกลั่นแกล้ง เพราะที่ผ่านมาส่วนตัวก็มีคดีความที่ตัวเองตกเป็นผู้เสียหาย สูญเงินไปกว่า 100 ล้านบาทเช่นเดียวกัน” นายประสิทธิ์ กล่าว 

นายประสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาปัญหาสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบกับธุรกิจการท่องเที่ยวของตัวเองอย่างมาก อีกทั้งยังถูกนำชื่อไปเชื่อมโยงกับประเด็นความขัดแย้งทางการเมือง ดังนั้นจึงอยากให้สังคมแยกแยะระหว่างการระดมทุนทางธุรกิจกับการทำธุรกิจแบบเครือข่าย ซึ่งส่วนตัวเชื่อมั่นว่า ยังมีคนที่มั่นใจในตัวเองอยู่ และหากตัวเองกระทำความผิดจริง ต้องรับโทษตามกฎหมายอยู่แล้ว

วันเดียวกันได้มีกลุ่มตัวเเทนผู้เสียหายกว่า 20 คน นำโดย นายอติชาต เลาหพิบูลย์กุล เดินทางมาเข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบ เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมในคดีที่เคยเเจ้งความกล่าวหานายประสิทธิ์ เจียวก๊ก กับพวกในข้อหาฉ้อโกงฯ 

โดย นายอติชาต ผู้เสียหาย กล่าวว่า ร่วมลงทุนกับนายประสิทธิ์ มานานร่วม 2 ปี โดยตัวเองมีมูลค่าเสียหาย 80 ล้านบาท ลงทุนทุกรูปเเบบที่นายประสิทธิ์เสนอออกมา เนื่องจากมีความเชื่อถือเนื่องจากนายประสิทธิ์เป็นบุคคลมีต้นทุนทางสังคม เเละตัวเองก็เคยมีโอกาสได้ลงพื้นที่ร่วมทำจิตอาสาร่วมกับนายประสิทธิ์ด้วย 

นายอติชาต กล่าวต่อว่า โดยส่วนตัวแล้วมองว่าการทำธุรกิจของนายประสิทธิ์ไม่เข้าข่ายเเชร์ลูกโซ่ เพราะมีธุรกิจจริง ได้ผลประกอบการ เเละไม่ได้ปันผลจากการเเนะนำต่อเเต่อย่างใด นายประสิทธิ์อ้างว่าบริษัทประสบปัญหาสภาพคล่อง เพราะเศรษฐกิจไม่ดี ซึ่งขัดเเย้งกับความเป็นจริงที่บริษัท นายประสิทธิ์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

ส่วนผู้เสียหายอีกราย อ้างว่า เคยเป็นพนักงานในบริษัทของนายประสิทธิ์ โดยสมัครเข้าทำงานช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ก่อนถูกชักชวนให้นำเงินลงทุนสหกรณ์ อ้างจะให้เงินปันผล 15 เปอร์เซ็นต์ของเงินลงทุนทุก 39 วัน เป็นสิทธิพิเศษเฉพาะพนักงานเท่านั้น ตนจึงไปชักชวนครอบครัวเเละญาติ ร่วมลงทุนมูลค่ารวมกว่า 1 ล้าน 4 แสนบาท ซึ่งก็ได้เงินปันผลครบทุกรอบ เเต่เมื่อภายหลังขอเงินลงทุนคืน กลับถูกบ่ายเบี่ยง ช่วงเมษายนที่ผ่านมาพนักงานติดต่อให้ไปเซ็นเอกสาร ประนอมหนี้ โดยระบุจะ แบ่งจ่ายชำระหนี้ให้เป็นระยะเวลา 1 ปี เเต่ภายหลังกลับติดต่อไม่ได้ ทุกวันนี้ลำบากมาก เพราะไม่มีเงินจะใช้จ่าย ต้องจำนำของในบ้านเเทบทั้งหมด 


ที่มา : https://mgronline.com/crime/detail/9640000047256

“ศุภชัย” ซัด “วิโรจน์” เห็นชีวิตคนไทยมีค่าแค่ 10 ล้าน หลังแนะรัฐบาลให้จ่ายหาก ปชช.ฉีดวัคซีนป้องโควิดตาย ชี้ วัคซีนเป็นที่ยอมรับมาตรฐานความปลอดภัย เหน็บ ส.ส.ก้าวไกล ฉีดก่อนใครครบ 2 เข็ม ไม่มี แพ้-ตาย แนะช่วยกันรณรงค์ดีกว่า

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ต้องการให้ทำประกันให้คนเสียชีวิตจากการฉีดวัคซีน 10 ล้านบาท โดยระบุว่า เป็นการเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชน ว่าคนไทยทุกคนรู้ดีว่าวัคซีนที่จัดเตรียมให้คนไทยได้ฉีดคือวัคซีนที่ฉีดกันทั่วโลก เป็นที่ยอมรับมาตรฐานความปลอดภัยจากแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ และเภสัชกร 

“สิ่งที่นายวิโรจน์เสนอเป็นเรื่องที่น่าตกใจ เพราะนายวิโรจน์คิดว่าชีวิตคนไทยมีค่าแค่ 10 ล้านบาท ขณะที่รัฐบาล บุคลากรทางการแพทย์ ทุ่มเททำงานเหนื่อยยากลำบาก เพราะทราบดีว่าทุกชีวิตมีค่าที่ประเมินราคาเป็นเงินไม่ได้ และชีวิตคนไม่ใช่เครื่องเดิมพัน อย่างที่นายวิโรจน์คิด เวลานี้บทบาทในฐานะพรรคการเมือง ในฐานะสมาชิกรัฐสภา ทั้ง ส.ส. และ ส.ว. ต้องร่วมกันสร้างความมั่นใจรณรงค์ให้ประชาชนลงทะเบียนฉีดวัคซีน” นายศุภชัย กล่าว

นายศุภชัย กล่าวด้วยว่า เมื่อมีการประกาศให้ ส.ส ไปฉีดวัคซีน ส.ส.จากพรรคก้าวไกล ไปฉีดกันเป็นกลุ่มแรก ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม และด้วยความที่เป็นพรรคคนหนุ่มสาวส่วนใหญ่จึงฉีดวัคซีนซิโนแวค เท่าที่ทราบท่านได้ฉีดเข็มสองกันครบถ้วนแล้ว และแน่นอนไม่มีข่าวว่ามีท่านใดแพ้ และท่านใดตาย ตนจึงขอเรียกร้องนายวิโรจน์ และ ส.ส. ก้าวไกล ทุกท่าน ที่ได้ฉีดวัคซีนให้ออกมาช่วยกันแทนที่จะวิพากษ์วิจารณ์ตำหนิการทำงานของรัฐบาลอย่างเดียว โปรดออกมารณรงค์เรียกร้องพี่น้องประชาชนกว่า 8 ล้านคน ที่เคยเลือกท่านมาเป็นผู้แทน ให้ลงทะเบียนรับการฉีดวัคซีน แค่นี้ก็ถือว่าท่านได้ทำหน้าที่คนไทยแสดงความรักชาติอย่างล้นเหลือแล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top