Wednesday, 23 April 2025
POLITICS NEWS

รู้จัก 'จิตรากร ตันโห' คนรุ่นใหม่ผู้มีแนวคิดแบบประนีประนอม ภายใต้มุมมองความสมดุลแห่งอำนาจ หนึ่งในผู้ร่วมเสวนา 'มายาธิปไตย 2475 #เทสที่สร้างร่างที่เป็น'

ถือเป็นอีกหนึ่งงานเสวนาที่ห้ามพลาด!! กับ 'มายาธิปไตย 2475 #เทสที่สร้างร่างที่เป็น' ในวันอังคารที่ 6 สิงหาคมนี้ ที่ห้องประชุมชั้น 12 อาคารศรีศรัทธา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

โดยงานนี้ ได้รับเชิญผู้ร่วมเสวนาผู้ทรงเกียรติหลายท่าน ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ...

'โอ๊ต' จิตรากร ตันโห จบการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนิสิตปริญญาโท สาขาคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

สำหรับ 'โอ๊ต' จิตรากร ตันโห ถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีมุมมองต่อภาพภูมิรัฐศาสตร์ไทยอย่างมีเหตุมีผล เปิดรับฟังความรอบด้าน และมักจะนำเสนอบทความเชิงสร้างสรรค์สู่สังคมไทยอย่างต่อเนื่อง

โอ๊ต เคยกล่าวว่า ตนเป็นคนที่มีแนวคิดแบบประนีประนอมและเชื่อในระบอบการปกครองแบบผสม (Mixed Constitution) ซึ่งเป็นระบอบการเมืองที่ว่ากันว่าสามารถทำให้เกิดความสมดุลทางการเมือง และจะไม่มีผู้เล่นทางการเมืองคนใดสามารถใช้ระบบดังกล่าวเพื่อทำลายอีกฝ่ายได้ ประกอบด้วย 3 ส่วนผสมกัน 

ส่วนแรกก็คือ The One (เอกบุคคล หรือประมุข) ส่วนสองเรียกว่า The Few (คณะบุคคล) ส่วนสามก็คือ The Many (มหาชน หรือประชาชน) การที่เราจะปกครองประเทศหรือรัฐ 

"เราต้องทำให้ทั้ง 3 ส่วนเสมอกัน ไม่ให้ประมุขของประเทศมีอำนาจมากเกินไป ไม่ให้คณะบุคคลมีอำนาจมากเกินไป รวมถึงไม่ให้ประชาชนมีอำนาจมากเกินไปด้วย ซึ่งแนวคิดการไม่ยอมให้ใครมีอำนาจมากเกินไปสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนมากในสหรัฐฯ ในตอนแรกผู้นำสหรัฐฯ บอกว่าเขาไม่ได้สร้างประชาธิปไตย เขาบอกว่าจะสร้างสาธารณรัฐ ซึ่งในการบอกว่าเขาจะสร้างสาธารณรัฐ แนวคิดพื้นฐานคือวางอยู่บนความไม่ไว้วางใจใครเลย ดังนั้นเลยออกมาในรูปแบบของกลไกในการถ่วงดุลอำนาจไม่ให้ใครมีอำนาจมากเกินไป คำถามคือในประเทศไทยเราใช้กรอบการปกครองแบบนี้ได้สมดุลหรือยัง?"

โอ๊ต เผยอีกว่า 'หากพิจารณาการเมืองไทยในอดีตที่ผ่านมา จะพบว่าไม่เคยสมดุลเลย อย่างช่วง พ.ศ. 2490 - พ.ศ. 2500 เป็นช่วงที่ทหารเข้ามาปกครองล้วน ๆ ประชาชนหรือ The Many ถูกฆาตกรรมออกมาจากระบอบการปกครอง รวมทั้งในตอนนั้นเอง บุคคลหรือพระมหากษัตริย์ก็เป็นเพียงผู้สำเร็จราชการแทน จะเห็นว่ามันไม่ครบองค์ประกอบในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ขณะที่ไทยเริ่มใช้กรอบเรื่องการถ่วงดุลอำนาจมามองการเมืองไทยตั้งแต่ทศวรรษ พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา ซึ่งจะเห็นว่ามันเพิ่งครบองค์ประกอบออกตอนช่วง พ.ศ. 2520 เอง"

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของ โอ๊ด ให้ความคิดเห็นอีกว่า "ร่วม 40 กว่าปีมานี้ ประเทศไทยเดินมาไกลแล้ว ประชาชนเริ่มมีอำนาจมากขึ้นกว่าสมัยก่อน และผมรู้สึกว่าเรามีความหวังนะ เด็กรุ่นใหม่หลาย ๆ คน มีการคิดวิเคราะห์ที่น่าสนใจมากขึ้น ทุกคนรู้สึกอยากจะแก้ไขประเด็นสังคมกันมากขึ้น แต่ทุกคนก็ต้องไม่พยายามจัดการทุกอย่างอยู่คนเดียว อย่าจับทุกปัญหาไปวางในม็อบหนึ่งม็อบ ต้องสร้างเครือข่ายแล้วผลักดันไปด้วยกัน ที่สำคัญแต่ละฝ่ายต้องไม่พยายามชี้นิ้วไปหาอีกฝ่ายว่าไม่เป็นประชาธิปไตย เราต้องทำให้สังคมไทยเกิด ‘ความโอบอ้อมอารี' โดยเริ่มต้นจากทางภาษาก่อน แล้วมันจะนำไปสู่การแลกเปลี่ยนความทรงจำที่ทำให้เกิดการยอมรับซึ่งกันและกันได้ในทุกเรื่องมากขึ้น"

สำหรับงานเสวนา 'มายาธิปไตย 2475 #เทสที่สร้างร่างที่เป็น' จะจัดขึ้นในวันอังคารที่ 6 สิงหาคมนี้ เวลา 10.00 - 12.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 12 อาคารศรีศรัทธา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

พร้อมรับชม '2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ Dawn of Revolution' ในเวลา 13.30 - 16.40 ณ สถานที่เดียวกัน

📌 สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถลงทะเบียนสำรองที่นั่งเข้าร่วมกิจกรรมฟังเสวนาและชมภาพยนตร์ 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ ได้ที่: https://docs.google.com/forms/d/1utXQT68NCUZks5YYcILGBQ91B76zILkSoQ7srQ2ymoc/viewform?ts=66a737cb&edit_requested=true

‘เพชรมงคล’ คนรุ่นใหม่ ปชป.แนะ!! ศธ.จัดตั้งศูนย์ ‘Drop Out’ ดึงเด็กไทยที่หลุดระบบให้จบการศึกษา แบบไม่ต้องเริ่มเรียนใหม่

(2 ส.ค.67) นายเพชรมงคล วัสสุวรรณ ที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดแม่ฮ่องสอนและคนรุ่นใหม่พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงปัญหาเด็กหลุดระบบการศึกษาเป็นเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องการแก้ไข เพราะในปัจจุบันประเทศไทยมีแนวโน้มการ Drop out สูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศอย่างยิ่ง

การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนและตรงจุดไม่ใช่การนำเด็กกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาอีกครั้ง แต่ต้องนำระบบการศึกษาที่ตอบโจทย์และเหมาะสมกับผู้เรียนไปรองรับผู้ที่หลุดจากระบบการศึกษา

สาเหตุที่เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษามีหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง คุณแม่วัยใส, ยาเสพติด, เกเร รวมถึงปัญหาความยากจนของครอบครัว ที่ทำให้ผู้ปกครองไม่สามารถสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเรียนได้ ปัญหาครอบครัวที่ซับซ้อน สภาพแวดล้อมทางสังคมที่ไม่เอื้ออำนวย และรวมไปถึงระบบการศึกษาที่ไม่ตอบโจทย์หรือรองรับกับความแตกต่างหลากหลาย

วันนี้เราต้องยอมรับว่าการศึกษาในปัจจุบันมีต้นทุนสูงมาก และมีหลักเกณฑ์ตัวชี้วัดเยอะเกินความจำเป็น ซึ่งไม่ตอบโจทย์ เกิดประโยชน์กับตัวผู้เรียนจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็ก หันหลังให้กับการศึกษา หรือหลุดระบบการศึกษาออกไป

จริง ๆ แล้วเรื่องนี้ ตนเคยให้สัมภาษณ์และเสนอกระทรวงศึกษาธิการไปหลายปีแล้วเกี่ยวกับการจัดตั้งศูนย์ ‘Drop out’ แก้ไขปัญหาเด็กหลุดระบบการศึกษาก็เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยใช้กลไกธนาคารหน่วยกิต สำหรับเด็กที่หลุดระบบการมีต้นทุนเดิม เช่น เวลาศึกษาเดิม หน่วยกิตเดิม นำมาเทียบโอนให้สามารถจบการศึกษาได้ โดยไม่ต้องเริ่มเรียนใหม่ ดังนั้นควรมีโรงเรียนนำร่องทั้งการศึกษาภาคบังคับ ขั้นพื้นฐาน อาชีวศึกษา และสถาบันฝึกอบรมวิชาชีพเฉพาะทางมาเป็นศูนย์นำร่องในการแก้ไขปัญหานี้

ดังนั้น ควรจัดระบบการศึกษาทางเลือกให้เป็นรูปธรรมและสามารถรองรับนักเรียนที่มีความหลากหลาย ให้ ผู้เรียนได้มีทางเลือกในการเข้าถึงการศึกษาได้ ในความเป็นจริงแล้วระบบการศึกษาต้องตอบโจทย์ผู้เรียน เข้าถึงตัวผู้เรียนมากกว่าการให้ผู้เรียนเข้าถึงเอง ที่สำคัญต้องสอดคล้องกับยุคสมัยและสภาพเศรษฐกิจด้วย 

สุดท้ายนี้ ตนเชื่ออย่างยิ่งว่ารัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ คนปัจจุบันให้ความสำคัญกับปัญหาเด็กหลุดระบบการศึกษา และควรยกขึ้นเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องเร่งแก้ไข แม้ว่าปัญหาเด็กหลุดระบบการศึกษาจะยังคงเป็นความท้าทายใหญ่ แต่ความพยายามของทุกฝ่ายจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถก้าวข้ามปัญหานี้ไปได้ และสร้างอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับเยาวชนต่อไป

‘รมว.ปุ้ย’ ตอบกระทู้สด ปมขนย้ายกากแคดเมียมกลับ จ.ตาก ยัน!! ปลอดภัย-คนทำผิดต้องได้รับโทษ

จากกรณีนายศิรโรจน์ ธนิกกุล สส.สมุทรสาคร เขต 2 พรรคก้าวไกล ได้ถาม นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 67 ที่ผ่านมา ถึงเรื่อง การบริหารจัดการสารเคมีอันตรายในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร โดยตั้งคำถามปริมาณของกากแคดเมียมที่ขนกลับไป จ.ตาก ตลอดจนถึงความมั่นคงแข็งแรงเพียงพอต่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนหรือไม่ นอกจากนี้แนวทางการบริหารจัดการหลังจากนี้เป็นอย่างไรบ้าง ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจะได้รับการเยียวยาเพียงใด และการสอบสวนผู้กระทำทั้งกระบวนการมีความคืบหน้าอย่างไร?

ทางด้าน นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ก็ได้ลุกขึ้นตอบคำถามในประเด็นดังกล่าว โดยระบุว่า…

ตนในฐานะ รมว.อุตสาหกรรม หลังจากที่ได้รับรายงานว่ามีการพบกากตะกอนแคดเมียม ซึ่งเป็นสารเคมีอันตราย ในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร ก็ได้ลงพื้นที่ในทันที โดยได้พบและหารือผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ผู้นำส่วนราชการต่าง ๆ ทั้งจากกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน โดยได้ตรวจสอบถึงที่มาของกากแคดเมียมว่ามาจากแหล่งใด ปริมาณเท่าไร จากนั้นได้มีการตรวจสุขภาพของบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อหาสารปนเปื้อนทั้งนี้ พี่น้องประชาชนในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ที่เข้ามาทำงาน คนงาน ทั้งหมด หลังจากนั้นก็ได้เร่งหากากตะกอนแคดเมียมซึ่งกระจายในพื้นที่ต่าง ๆ ได้ทั้งหมด 

ในเรื่องของจำนวนตัวเลขกากตะกอนแคดเมียมที่ระบุว่า มีประมาณ 15,000 ตัน เป็นตัวเลขกลม ๆ ที่เกิดจากการแจ้งขอขนย้าย และเมื่อมีการตรวจสอบอย่างละเอียด พบว่ามีการนำออกจริงผ่านระบบอนุญาตอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 13,800 ตัน สำหรับปริมาณน้ำหนักของกากแคดเมียมที่ได้ขนกลับไปที่แหล่งต้นทางจังหวัดตากเหลือเพียง 12,912 ตัน สิ่งที่หายไปคือความชื้น และเมื่อไปดูการขุดออกมาจากหลุมฝังกลบ ทั้งกระบวนการ และฤดูกาล ล้วนมีผลต่อน้ำหนัก ซึ่งเราได้ทำการตรวจสอบตามหลักวิชาการในทุกขั้นตอน 

ส่วนการย้ายอุตสาหกรรมจังหวัดตาก เข้ามาประจำกระทรวงอุตสาหกรรม ทันทีที่เกิดเรื่อง ก็เพื่อให้การสอบสวนเป็นไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม ทั้งนี้เพื่อหาข้อเท็จจริงมาตอบสังคมว่ากระบวนการที่เกิดขึ้นถูกต้องหรือไม่อย่างไร นอกจากนี้กระทรวงอุตสาหกรรม ยังได้ตั้ง นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการการขนย้ายกากแคดเมียมและกากสังกะสี ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นทาง จ.สมุทรสาคร จนถึงปลายทาง จ.ตาก 

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้มีคำสั่งให้ตั้งคณะกรรมการจาก 6 กระทรวงมาทำงานร่วมกันเพื่อให้การกำจัดกากตะกอนแคดเมียมเป็นไปตามกระบวนการ EIA โดยคำนึงถึงสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมทั้งระบบ ไม่เฉพาะ จ.สมุทรสาครเท่านั้น แต่เป็นความเชื่อมั่นของประชาชนทั้งประเทศต่อการจัดการของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีก็ได้กำชับมาว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชนกลับคืนมา  

สำหรับความคืบหน้าการสอบสวนหาผู้กระทำความผิด ทางกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการทางการปกครองโดยให้บริษัทต้นทางนำกากตะกอนแคดเมียมกลับไปในพื้นที่ต้นทางต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมถึง ยังได้ร้องทุกข์กล่าวโทษผู้กระทำความผิดต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) แจ้งข้อกล่าวหาทางอาญา โดยในพื้นที่ จ.ชลบุรี ศาลได้พิพากษาจำคุกผู้กระทำความผิดเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน และยังได้ฟ้องแพ่ง เรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้น จากบริษัทที่ทำให้เกิดความเสียหายทั้งต้นทางและปลายทาง ในจำนวนที่รัฐต้องจ่ายไปก่อนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ยืนยันว่าคนทำผิดต้องได้รับโทษตามกฎหมาย 

"ส่วนการสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องการขนย้ายกากตะกอนแคดเมียมนั้น ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมได้มอบหมายให้ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ทำงานร่วมกับดีเอสไอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน นี้" รมว.อุตสาหกรรม กล่าวทิ้งท้าย

‘จุรินทร์’ เหน็บ!! ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ แค่เงินยาไส้ชั่วคราว หากพ้นช่วงกู้มาแจก ปัญหาปากท้องก็ยังวนมาเหมือนเดิม

จากการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 9 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 31 ก.ค.67 เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท เพื่อใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ในวาระ 2 และ 3 ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างมาก ได้อภิปรายว่า... 

แนวความคิดทางเศรษฐกิจ อาจมีความเห็นที่แตกต่างกัน เป็นเรื่องธรรมดา อ่านหนังสือด้านเศรษฐศาสตร์เมื่ออ่านพร้อมกัน มาวิเคราะห์ ก็มีข้อถกเถียงกันเสมอ แต่อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่า ขณะนี้ รัฐบาลยืนยันถึงความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาในช่วง 10 ปีก่อนที่อัตราการเจริญเติบโตตกต่ำ จนขณะนี้เจริญเติบโตในระดับต่ำสุดของภูมิภาค จึงยืนยันถึงความจำเป็นของการมีเม็ดเงินเติมลงไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

ส่วนตัวเลขที่คณะกรรมการหลายท่านอ้างขึ้นมา เป็นตัวเลขที่รัฐบาลตระหนัก และดูอย่างใกล้ชิด สัดส่วนการชำระหนี้ต่อรายได้รัฐ ยืนยันว่า ทั้งหมดเป็นไปตามกรอบวินัยการเงินการคลัง ไม่มีตัวเลขใดที่สุ่มเสี่ยงจะทะลุเกินจะผิดพลาดไปตามกลไกที่เราตรากฎหมายกำกับไว้ ซึ่งก็รับทราบ เพราะมีหน่วยงานรัฐมาชี้แจงในกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ ว่าขณะนี้ การประมาณการไปข้างหน้าอีกหลายปี ไม่มีกรอบว่าตัวเลขใดจะเป็นปัญหา รัฐบาลยืนยันว่า ทำไปด้วยความรอบคอบ และจะไม่ให้มีปัญหาวิกฤติใด ๆ เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต

ส่วนของโครงการนี้คือ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เพียงพอ ซึ่งขณะนี้เราโตต่ำ โดยในปีนี้ด้วยการผลักดันตามนโยบายของรัฐบาล ทั้งการเปิดฟรีวีซ่า เสริมความง่ายในการดำเนินธุรกิจ ตัวเลขในไตรมาส 2 โตจากไตรมาส 1 ขึ้นมา ด้วยการเร่งเครื่องของรัฐบาล และประกอบกับนโยบายที่เติมลงไป และการเติมเงิน 10,000 บาท เชื่อมั่นว่า จะดึงการเจริญเติบโตไปอยู่ในจุดที่เหมาะสมคือ 4-5% ให้ได้ หากทำได้เช่นนั้น การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เป็นตัวหารของหนี้ต่าง ๆ ซึ่งหากเพิ่มขึ้น ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาหนี้สินของรัฐ ตัวเลขที่กังวลว่าจะไปเกิน หรือไปปริ่ม ก็จะสามารถแก้เรื่องนี้ได้

ประเด็นแรก การแสดงความห่วงใยด้านการไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย เกือบทุกท่านใช้คำว่าสุ่มเสี่ยง ซึ่งใจความหนึ่ง ก็หมายความว่ายังอยู่ในกรอบกฎหมาย และรัฐธรรมนูญ โดยหน่วยงานได้มาชี้แจงในทุกประเด็นแล้ว ซึ่งประเด็นที่มีการอภิปรายมากที่สุดคือการใช้งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ที่อาจมีการเบิกจ่ายในไตรมาส 4 จะสอดคล้องกับกฎหมายหรือไม่

ตามมาตรา 21 ของกรอบวินัยการเงินการคลัง การจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมให้กระทำได้เมื่อมีเหตุผลความจำเป็นที่ต้องใช้เงินระหว่างปีงบประมาณ โดยไม่สามารถรองบประมาณรายจ่ายปีถัดไปได้ และให้ระบุที่มาของเงิน

พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณมาตรา 4 กำหนดคำว่าหนี้ คือ ข้อผูกพันที่จะต้องจ่าย อาจจะต้องจ่ายเป็นเงิน สิ่งของ หรือบริการ ไม่ว่าจะเป็นข้อผูกพันที่เกิดจากการกู้ยืม ค้ำประกัน การซื้อ หรือการจ้าง โดยใช้เครดิต หรือการอื่นใด ดังนั้น การก่อหนี้ผูกพันจึงไม่ได้มุ่งหมายเฉพาะกรณีมีข้อผูกพันที่ต้องจ่ายเป็นที่แน่นอนแล้วเท่านั้น แต่หมายความรวมถึงข้อผูกพันที่อาจทำให้ต้องจ่ายด้วย ซึ่งการดำเนินการโครงการของรัฐ อาจมีการทำสัญญากับประชาชนโดยตรง แต่ดำเนินการผ่านแผนงาน หรือโครงการประกอบกับ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณมาตรา 40 กำหนดให้การจ่ายเงิน หรือก่อหนี้ผูกพันของหน่วยงบประมาณ ต้องเป็นไปตามแผนการบริหารงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่ได้รับความเห็นชอบจากผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ 

ดังนั้น การที่รัฐบาลทำโครงการนี้ ให้ประชาชนลงทะเบียน โดยมีการยืนยันตัวตนของประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ก็เป็นข้อผูกพันที่ต้องจ่ายตามกฎหมายที่ว่าด้วยเรื่องของหนี้ โดยในการชี้แจง ได้บอกชัดเจนในคณะกรรมาธิการว่าเป็นการเสนอ และสนอง เมื่อประชาชนกดปุ่มขอใช้สิทธิ์ ก็เสนอกับรัฐ เมื่อรัฐยืนยันสิทธิ์ คือการสนองตอบตามข้อสัญญา ก็มีนิติกรรมร่วมกันระหว่างประชาชนกับรัฐ เช่นเดียวกับโครงการในอดีตของรัฐบาล

ล่าสุด (1 ส.ค. 67) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองในเดือนสิงหาคมว่า อาจจะเป็นเดือนที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้ในหลายกรณี เพราะมีหลายเหตุการณ์ที่ประดังกันเข้ามาในช่วงเดือนสิงหาคมพอดี แต่ถ้าดูให้ลึกจะเห็นว่า แต่ละสถานการณ์มันมีที่มาที่ไปหรือเกิดแต่เหตุ ไม่ใช่เรื่องที่ใครคนใดคนหนึ่งจงใจสร้างขึ้นมาได้ และหลายเหตุก็มาจากการกระทำของรัฐบาลเอง

นายจุรินทร์ กล่าวว่า แต่ไม่ว่าสถานการณ์การเมืองจะเป็นอย่างไร มันก็มีทางออกของมัน ในฐานะของผู้ที่อยู่กับการเมืองจึงไม่ได้รู้สึกห่วงใยอะไรเป็นพิเศษ แต่ที่เห็นว่าน่าห่วงเป็นอย่างยิ่งคือสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะชีวิตความเป็นอยู่ของคนรากหญ้าไปถึงคนชั้นกลาง ที่กำลังประสบกับภาวะความยากลำบากทางเศรษฐกิจจากการบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้มากขึ้นทุกวัน ทั้งภาวะค่าครองชีพ หนี้ครัวเรือน ที่มีรายได้มาเท่าไหร่ต้องใช้หนี้ 90 กว่า% จนคนไทยต้องจมปลักอยู่กับภาวะชักหน้าไม่ถึงหลัง ธุรกิจจีนเข้ามากินรวบกิจการคนไทย ธุรกิจฐานรากไทยเข้าคิวปิดกิจการ เป็นต้น

“ที่สำคัญจนถึงวันนี้ยังไม่มีแสงสว่างใด ๆ จากปลายอุโมงค์ให้เห็น นอกจาก ‘เงินยาไส้ชั่วคราว’ ก้อนเดียวคือดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งเมื่อพ้นจากดิจิทัลวอลเล็ตหรือเงินกู้มาแจกแล้ว ยังมองไม่เห็นว่าประชาชนจะมีอะไรหลงเหลือให้หวังได้อีก” นายจุรินทร์ กล่าว

'พปชร.' ใกล้อวสาน 'ลุงป้อม' หมดลุ้นนั่งนายกฯ ลุ้น 'เดอะจ๊อบ' ฮึด!! รวม 'สส.ก้าวไกล' หนุน

"26 สส.ชวนตั้งพรรค รองรับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หลัง 14 ส.ค. รู้กัน ใช้ชื่อพรรคอะไรดี คอมเมนต์อันไหนมีหัวใจมากสุด รับรางวัลเงินสด 20,000 บาท ประกาศวันที่ 25 นี้"

นั่นคือโพสต์ในเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 30 ก.ค.ของนายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช หรือ 'เดอะจ๊อบ' นักการเมืองเล็กดีรสโตที่ออกมาเย่อกับ 'คนโตตัวตึง' อย่างร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพปชร./รมว.เกษตรและสหกรณ์...

นายสามารถเคยได้รับการสนับสนุนจากพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พปชร.ให้เป็นกรรมการผู้ช่วย รมต.ประจำ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เมื่อครั้งเป็น รมว.ยุติธรรม เคยมีเรื่องอื้อฉาวกรณีถูกกล่าวหาว่าส่งสแตนด์อินไปเรียน ดร.ที่รามคำแหงแทนตน จนหายเงียบไปพักหนึ่ง และกลับมาอีกครั้งในฐานะคนใกล้ชิดลุงป้อม...กล้าได้กล้าเสีย...และดูเหมือนจะถูกที่ถูกเวลา...

ทั้งนี้ในขณะที่ สส.เกินครึ่งพรรคโน้มเอียงเลือกข้างร.อ.ธรรมนัส แต่ 'เดอะจ๊อบ' กับกุนซือลุงป้อมบางคนพยายามเปิดเกม หาช่องทางให้บิ๊กป้อมได้ลุ้นตำแหน่งนายกฯ หากกรณี เศรษฐา ทวีสิน หลุดตำแหน่ง...ทำให้คนสูงวัยอย่างลุงป้อมกระชุ่มกระชวย...รู้สึกมีราคาค่างวด...

ไม่แปลกที่ 'เดอะจ๊อบ' เป็นหนึ่งในไม่กี่นักการเมืองที่ไปกินข้าวที่บ้านมีนบุรีของ พล.อ.ประวิตร ได้ ในขณะที่ส่วนใหญ่พบ พล.อ.ประวิตร ได้แค่บ้านป่ารอยต่อหรือ 'บ้านในป่า' เท่านั้น...

ตามเกม-แผนการของ 'เดอะจ๊อบ' ที่กำลังดำเนินการก็คือ รวมกลุ่มทำงานทางความคิด และดูแล สส.ก้าวไกลจำนวนหนึ่งร่วม ๆ 20 คน ตกลงกันหลวม ๆ ว่า วันไหนที่พรรคก้าวไกลถูกยุบจะย้ายไปอยู่ พปชร. ซึ่งตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยน เพราะความไม่สงบในพรรค จึงเปลี่ยนแผนเป็นสร้างพรรคใหม่ ทำรังใหม่...

ค่ำวันที่ 31 ก.ค.ที่บ้านมีนบุรี เป็นอีกหนึ่งมื้อนัดหมายระหว่าง สส.ก้าวไกลบางกลุ่ม กับ ลุงป้อม ภายใต้การจัดการของเดอะจ๊อบ...ทุกย่างก้าวต้องให้ลุงป้อมรับทราบ

อย่างไรก็ตาม หากจะกล่าวกันถึงที่สุด แม้กระบวนท่าของ 'เดอะจ๊อบ' จะไม่อาจมองข้ามได้ แต่การเมืองกระดานใหญ่ในขณะนี้โฟกัสไปที่ชะตากรรมของนายเศรษฐา...ซึ่งสัปดาห์ก่อน 'เล็ก เลียบด่วน' ให้น้ำหนักไปว่า...โอกาสรอดมีมากกว่าไม่รอด...ถึงวันนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น ยิ่งดูภาษากายของนายกฯ วันสองวันนี้ ก็บ่งบอกอาการความมั่นใจว่าจะรอด (แน่ ๆ)

ถ้า 'เศรษฐา' รอด...พล.อ.ประวิตร ก็ไม่ต้องลุ้นอะไรอีก รอลุ้นอย่างเดียวว่า ปรับ ครม.ปลายเดือน ส.ค.หรือ ต้น ก.ย. 'นายใหญ่' บ้านจันทร์ส่องหล้า จะปรับใหญ่ ครม. เอาพปชร.ออก แต่เอากลุ่มร.อ.ธรรมนัสไว้...หรือไม่...!?  

ส่วนเพลง 'ลุงตู่เริ่ม...ลุงป้อมขอทำต่อ...' ของ 'เดอะจ๊อบ' นั้น จบไปนานแล้ว เดอะจ๊อบ ต้องทำเพลงใหม่...ตั้งพรรคใหม่สถานเดียว!! 

‘อ.นิด้า’ ฟันธง!! ‘ยุบก้าวไกล’ เศรษฐาหลุดเก้าอี้นายกฯ คณะรัฐมนตรีพ้นตำแหน่งหมด คาด!! 2 สัปดาห์นี้รู้เรื่อง

(31 ก.ค.67) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

จากสัญชาตญาณ การข่าว และข้อมูลที่รับทราบมา ผมประมวลว่า...

หนึ่ง : ยุบพรรคก้าวไกล

สอง : เศรษฐา ทวีสิน หลุดตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีพ้นตำแหน่งทั้งหมดครับ

รอดูครับ ว่าอานนท์จะแม่นไหม

รอดูกันต่อไปครับ ผมก็อยากรู้เหมือนกันครับ

สองสัปดาห์นี้น่าจะรู้เรื่องครับ

‘ธนกร-รวมไทยสร้างชาติ’ จวก!! ‘ปิยบุตร’ พาลไปทั่ว ปม ‘ยุบก้าวไกล’ ลั่น!! หากไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ใครหน้าไหนก็ทำอะไรไม่ได้

(31 ก.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ หลังจากที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ในเชิงตำหนินักวิชาการ นักวิเคราะห์ และโดยเฉพาะเหมือนเป็นการตำหนิสื่อมวลชน 

เรื่องนำเสนอแต่ข่าวดรามาไม่สนใจกกต. ยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคก้าวไกลทำถูกต้องหรือไม่ สะท้อนภาพไม่มีใครสนใจกฎหมาย และการยุบพรรคกลายเป็นเครื่องมือของ ‘นิติสงคราม’ ว่า การที่นายปิยบุตร จะชี้แจงลงรายละเอียดถึงข้อต่อสู้คดียุบพรรคก้าวไกล ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ ก็สามารถทำได้อย่างเต็มที่ ให้เป็นการต่อสู้คดีอย่างถึงที่สุดตามกระบวนการยุติธรรม

“แต่การออกมาตำหนินักวิชาการ นักวิเคราะห์ รวมถึงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนนั้น ตนมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง เป็นเหมือนภาษิตไทยที่ว่า ‘ขี้แพ้ชวนตี’ หรือ พาลไปทั่ว ไม่เลือกหน้า ตนมั่นใจว่า พี่น้องสื่อมวลชนนั้น ต่างก็ทำหน้าที่นำเสนอข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น อย่างตรงไปตรงมา การสัมภาษณ์สส.ก้าวไกลถึงคดีนี้ ก็เพื่อไม่ให้เกิดการก้าวล่วงอำนาจศาลอย่างไม่สมควร เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว พรรคก้าวไกลต่างหาก ควรระวังการก้าวล่วงอำนาจศาล” นายธนกร กล่าว

เมื่อถามว่า ในช่วงที่ผ่านมาดูเหมือนแกนนำพรรคก้าวไกลพร้อมใจกันออกมา แสดงความเห็นในแนวต่อว่ากระบวนการ ไม่เป็นธรรมนั้น นายธนกร มองว่า การที่นายปิยบุตร รวมถึงแกนนำพรรคก้าวไกล ออกมาพูดแสดงความเห็นในเชิงลบต่อกระบวนการของกกต.และศาลรัฐธรรมนูญก่อนวันตัดสินนั้น ถือเป็นการก้าวล่วงศาลอย่างชัดเจนหรือไม่ 

ไม่เพียงเท่านั้น พรรคก้าวไกลยังนัดรวมพลแฟนคลับเตรียมจัดกิจกรรมต่าง ๆ ในวันที่ฟังผลตัดสินคดีด้วย จะให้สังคมคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ จึงขอถามนายปิยบุตร ว่ามีเจตนาใดแอบแฝงเบื้องหลังหรือไม่ และขอให้หยุดดิสเครดิตกระบวนการยุติธรรม หากไม่ได้ทำผิดอาจจะรอดไม่ต้องถูกยุบพรรคก็เป็นได้ จึงไม่ควรตีโพยตีพาย ออกมาตีตนไปก่อนไข้แบบนี้

“ขอให้ตั้งสติและเลิกใช้คำว่า ‘นิติสงคราม’ เสียที เพราะไม่มีใครใช้กฎหมายเพื่อกลั่นแกล้งใครได้ ถ้าคุณไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ใครหน้าไหนก็ทำอะไรคุณไม่ได้ ประเทศไทยเรายึดตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อยู่กันด้วยหลักการกฎหมาย ยืนบนความถูกต้อง ไม่ใช่ความถูกใจของคนบางกลุ่ม บางพรรค เรามีรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน ขอให้พรรคก้าวไกลและนายปิยบุตร ยอมรับความจริงตรงนี้ด้วย” นายธนกร กล่าว

‘วัน อยู่บำรุง’ ฉะ ‘สนธิ’ อย่าโม้เยอะ หลังลั่นในรายการเคยให้ 500 ล้านบาท ‘เฉลิม อยู่บำรุง’

(31 ก.ค. 67) นายวัน อยู่บำรุง สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า "ด้วยความเคารพ คุณลุงสนธิ ลิ้มทองกุล คุยทุกเรื่องกับสนธิ #อย่าโม้เยอะ"

ทั้งนี้โพสต์ของนายวัน สืบเนื่องจากนายสนธิ พูดในรายการ สนธิเล่าเรื่อง ทำนองว่า "ช่วงที่ผมมีเงินมาก เฉลิมอยากขยายพรรค มาขอเงินผม ผมหาเงินสด ๆ ให้เกือบ 500 ล้านบาท

ให้ตายเลยไปถามเฉลิมได้ถ้าผมโกหกให้ผมฉิบหาย และถ้าเฉลิมพูดไม่จริงขอให้เฉลิมตายวันรุ่งขึ้นเลย พอถึงวันเลือกตั้งนึกว่าเฉลิมจะได้สส. อย่างน้อยสัก 5-6 คน ปรากฏว่าเหลือหนึ่งคนเหมือนเดิม..."

ภัยคุกคามไทย ใต้เงื้อมมือพรรค 'กลิ้งกลอก-หลอกเด็ก-ย้อนแย้ง' อันตรายเหนือภัยอื่นจาก 'ก๊วนนักการเมืองสายล้มล้างสถาบัน'

ตั้งแต่ผมเกิดและเติบโตมาบนผืนแผ่นดินไทยจนอายุแตะเลข 5 ยังไม่เคยเจอนักการเมืองที่กล้าเปิดหน้าเป็นปฏิปักษ์ และเดินหน้ากระทำชั่วช้ากับสถาบันเบื้องสูงอันเป็นที่รักของคนไทยได้เท่ากับนักการเมืองของพรรคสีส้มเลย 

อดีตที่ผ่านมา ถ้าจะมีนักการเมืองสักคนแหลมออกมาในทางดูหมิ่นสถาบัน ก็มักจะเป็นไปในเชิงไม่ตั้งใจ พลั้งเผลอ ไม่รอบคอบในคำพูด รู้เท่าไม่ถึงการณ์ และนานทีจะโผล่มาให้เห็นแค่คนสองคนก็หายเงียบไปนานจนลืม แต่จะไม่มีการแสดงออกในทางถ่อย ลามปาม จาบจ้วง หรือจริงจังถึงขั้นร่วมสมคบคิดกับต่างชาติหวังล้มล้างการปกครองไทย และเมื่อถูกจับได้ถึงขึ้นโรงขึ้นศาลจนโดนคดี 112 ก็จะพลิกลิ้น ตลบตะแลงว่าสิ่งที่กระทำลงไปนั้นหาใช่การคิดไม่ดีกับสถาบัน แต่เพื่อเจตนาดี หวังให้สถาบันไปได้ดีกับความเป็นอยู่ของคนไทย 

คงมีแต่สมองในระดับ 'เกินควาย' เท่านั้นที่ยังเชื่อฝังชีพ บอดสนิททั้งสายตายันหัวใจ 

ทุกการกระทำของพรรคสีส้ม ซึ่งเป็นสีเดียวกับเปลวเพลิงระอุในขุมนรก ไม่เคยกล้าหาญยอมรับต่อการกระทำของตัวเองแบบแมน ๆ สักครั้งเดียว เป็นต้องดิ้นหลบเร้นให้ตัวเองดูดีราวกับว่าประชาชน 'นอก 14 ล้านเสียง' ที่ไม่ได้เขลา บาป และหลงของใหม่นั้นกินหญ้าแทนข้าว การกระทำย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ ที่ทำกันเป็นขบวนการหวังล้มล้างสถาบันกษัตริย์ฉายภาพความน่ารังเกียจ ปนความชั่วช้าที่ซุกซ่อนอยู่ในใจจนหมดสิ้น 

ถ้าจะต้องถูกศาลสั่งยุบพรรค เพราะการกระทำเลว ๆ ของตนเองก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว แต่ถึงไม่ถูกยุบพรรคด้วยเหตุผลของศาล ก็ไม่ได้หมายความว่านักการเมืองที่กระหายการล้มล้างการปกครองเช่นนี้จะหลุดรอด 'ภาพลักษณ์เลว ๆ' นี้ไปได้เลย

คนไทยที่ไม่กตัญญูต่อสถาบันกษัตริย์ ผมพอจะเข้าใจได้ แต่คนไทยที่ถึงขนาดคิดล้มล้างการปกครองสถาบันกษัตริย์ ก็คือ คนไทยที่เนรคุณต่อแผ่นดินชาติของตัวเอง

เจองูพิษ เจอตำรวจชั่ว และเจอโจร พร้อม ๆ กับเจอนักการเมืองที่อกตัญญูต่อสถาบัน บางคนอาจจะเลือกตีงูพิษ ต่อยตำรวจชั่ว หรือกระทืบโจรก็ตามแต่ 

แต่สำหรับผมไม่มีสิ่งใดจะน่ารังเกียจและเป็นอันตรายไปกว่า...'นักการเมืองที่คิดล้มล้างสถาบัน'

คนจำพวกนี้อยู่ไปก็รกแผ่นดิน

'ลอรี่ รวมไทยสร้างชาติ' เผยเหตุผล 4 ข้อสำคัญ ไม่หนุนนิรโทษกรรม ม.112 ชี้!! ขัดแย้งหลักปรองดอง-เสี่ยงทำผิดซ้ำ แนะ!! ขออภัยโทษเป็นรายกรณี

เมื่อวานนี้ (30 ก.ค. 67) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ หรือ 'ลอรี่' รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ได้เปิดเผย ผลการศึกษาของคณะ กมธ.นิรโทษกรรม ตลอดการประชุม19 สัปดาห์ว่า

ตัวแทนพรรครวมไทยสร้างชาติ ทั้ง 3 ท่าน มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ ที่จะไม่เห็นชอบให้มีการรวมนิรโทษกรรมคดี ม.112 และ ม.110 ได้แก่ นายวิชัย สุดสวาสดิ์ สส. ชุมพร เขต 1 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ, นายเจือ ราชสีห์ กรรมาธิการและที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ และนายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ โฆษกคณะกรรมาธิการ

นายพงศ์พล กล่าวสรุปว่า ตัวแทนพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่เห็นด้วยที่จะรวมคดีอ่อนไหวทางการเมืองอย่าง ม.112, ม.110  ในการนิรโทษกรรม ด้วยเหตุผลหลัก ๆ ดังนี้

1. ปัญหาเชิงคุณภาพ ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ตั้งต้น ที่จะต้องการสร้างความปรองดองสังคม เพราะอาจเป็นการสร้างความขัดแย้งครั้งใหม่

2. ปัญหาเชิงปริมาณ ในแง่ของจำนวนคดีม.112 คิดเป็นจำนวนน้อย ไม่ถึง 2% เทียบกับคดีทั้งหมด แต่อาจทำให้การนิรโทษกรรมคดีที่เหลือ 98% มีปัญหาได้

3. กระทำผิดซ้ำ มีโอกาสในการกระทำผิดซ้ำสูง หลังการได้รับนิรโทษกรรม ซึ่งทำให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมถอย

4. คดีลักษณะเฉพาะ คดีม.112, 110 เป็นคดีลักษณะเฉพาะพิเศษ ไม่สามารถแก้โดยนิรโทษกรรมได้ คล้ายกับความผิดต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คดีม.135 ควรให้เป็นการพระราชทานอภัยโทษเป็นรายกรณีไป

คณะกรรมาธิการฯ ศึกษาแนวทางทางการตราพรบ.นิรโทษกรรม คดีที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง ได้มีมติสุดท้าย ใช้กระบวนการ 'ผสมผสาน' นิรโทษกรรมโดยกรอบกฎหมาย ร่วมกับการมีคณะกรรมการ คอยวินิจฉัยและอุทธรณ์ 

ความเห็นคณะ กมธ.นิรโทษกรรม แบ่งออกเป็น 3 แนวทาง โดยเป็นการบันทึกความเห็นอย่างมีอิสระ ไม่มีการโหวต

ผลความเห็นล่าสุด เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 67 จากคณะ กมธ.นิรโทษกรรม 36 ท่าน ไม่รวมประธาน 1 ท่าน และคณะกรรมาธิการถอนตัว 1 ท่าน เหลือ จำนวน 34 เสียง ดังนี้

-  ไม่นิรโทษ 112 จำนวน 13เสียง
-  นิรโทษ 112 จำนวน 3 เสียง
-  นิรโทษ 112 โดยห้ามกระทำผิดซ้ำ จำนวน 12 เสียง 

“โดยผลการศึกษาฉบับสมบูรณ์ เตรียมยื่นให้ประธานสภาฯ ในสัปดาห์นี้ เพื่อพิจารณาบรรจุเข้าในวาระการประชุมสภา ในลำดับต่อไป ฝากถึงพี่น้องคนไทยที่รักสถาบัน และเชื่อมั่นในความถูกต้อง ติดตามเรื่องนี้ไปด้วยกันอย่างใกล้ชิด” นายพงศ์พล กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top