Thursday, 12 June 2025
POLITICS NEWS

'เอกนัฏ-รมว.อุตสาหกรรม' น้อมรับเสียงวิจารณ์หลังร่วมงาน 'ครม.อุ๊งอิ๊ง 1' ชี้!! ภัยคุกคามและความท้าทายของชาติเปลี่ยน ทุกคนต้องร่วมมือกัน

เมื่อวานนี้ (4 ก.ย. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมป้ายแดง ในรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า เคยเป็นแกนนำ กปปส.ไล่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่กลับมาร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ว่า เมื่ออยู่ในการเมือง ก็ยินดีรับฟังทุกความเห็น และพิสูจน์ตัวเองด้วยการทำงาน วันนี้เรื่องของบ้านเมืองต้องมาก่อน เชื่อว่า คนที่มีจุดยืนและอุดมการณ์เดียวกัน ก็อาจมีวิธีที่ต่างกัน ตนในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ จะต้องเลือกวิธีที่ดีที่สุด เพื่อเป็นทางออกของประเทศที่ดีที่สุด บางทีอาจเป็นทางออกทางเดียว ซึ่งยืนยันว่าอยู่ในจุดยืนนี้มาโดยตลอด คือ อุดมการณ์ในการปกป้องและรักษาสถาบัน ที่เป็นเสาหลักของประเทศ

เมื่อถามว่าจะเสียแนวร่วมหรือกลุ่มสนับสนุนไปหรือไม่? นายเอกนัฏ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่ขอให้ผลงานกับระยะเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ "ทุกความเห็น ไม่ว่าจะเป็นคำด่าหรือคำติชม ยินดีรับฟัง อาชีพนักการเมืองเป็นอาชีพที่ผมรัก และยึดมั่นในอุดมการณ์ที่จะทำงานเพื่อประเทศชาติมาโดยตลอด ก็จะตั้งใจทำงานให้คุ้มค่ากับโอกาสที่ได้รับ"

เมื่อถามว่ามีหลายคนใช้คำแรงว่า เราหักอุดมการณ์ตัวเอง? นายเอกนัฏ กล่าวว่า "เข้าใจ เพราะตนมายืนอยู่ในตรงนี้ อาชีพนี้ การตัดสินใจและจะทำอะไรต่างๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ยืนยันว่า ได้เลือกทางที่ดีที่สุด ณ จังหวะเวลานี้ ภัยคุกคามและความท้าทายของประเทศมันเปลี่ยนไป ตอนนี้เป็นจังหวะสำคัญที่เราต้องร่วมมือกัน"

เมื่อถามว่าสามารถทำงานได้สนิทใจหรือไม่ กับลูกของนายทักษิณ ชินวัตร? นายเอกนัฏ กล่าวว่า "ก็ต้องทำล่ะครับ วันนี้ขอให้คิดถึงบ้านเมืองเป็นหลัก มันก็สามารถทำงานด้วยกันได้ เราไม่ได้ลืม เราไม่ได้ลบ แต่เราเลือก"

เมื่อถามว่าได้พูดคุยเรื่องนี้กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำ กปปส. หรือไม่? นายเอกนัฏ กล่าวว่า "ตนยังคงพูดคุยกับทุกคนปกติ ตนเข้าใจแล้วที่ผ่านมาไม่อยากพูดมาก แต่ไม่ได้แปลว่าไม่รับฟัง เข้าใจว่าคนที่ตำหนิมามีความปรารถนาดี ก็ต้องรับฟังและปรับปรุงตัว แต่ย้ำว่าตลอดชีวิตการทำงานการเมืองที่ผ่านมามีจุดยืน ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง"

เมื่อถามถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าไปเป็นพยานให้ นายทักษิณ ชินวัตร คดี 112 ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร? นายเอกนัฏ กล่าวว่า "ความจริงมีหมายเรียกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมา ไม่ได้ไปโดยพลการ ซึ่งหากไม่ไป ก็จะต้องถูกหมายจับ จึงต้องไปทำหน้าที่ตามกฎหมาย อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ หากยังมีข้อสงสัย ตนก็จะหาโอกาสที่แจ้งอย่างเป็นทางการอีกครั้ง"

เมื่อถามถึงเรื่องของคุณสมบัติ ที่มีการท้วงติงกันก่อนหน้านี้? นายเอกนัฏ กล่าวว่า "การตรวจสอบคุณสมบัติไม่ใช่หน้าที่ของตน ซึ่งเมื่อดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ก็ถือว่าเป็นไปตามมาตรฐานการตรวจสอบแล้ว เนื่องจากคดีของตนมีคำพิพากษาของศาลออกมาแล้ว ดังนั้น ที่จะมีการไปร้องให้ตรวจสอบ ขอไม่พูดถึง เดินหน้าทำงานดีกว่า"

เปิดลึก!! ชะตากรรม ‘อิ๊งค์ 1’ แอนด์ ‘เดอะนายใหญ่’ กลุ่มเกมนอกสภา ‘เล็งยิงนัดเดียว’ หวังนก 3 ตัว

กล่าวได้ว่า ทุกอย่างยังเป็นไปตามไทม์ไลน์การเมือง...

(4 ก.ย. 67) มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีแพทองธาร หรือ 'อิ๊งค์ 1' เป็นที่เรียบร้อย

7 ก.ย. 67 จะถวายสัตย์ฯ 

10 ก.ย. 67 จะประชุม ครม.นัดพิเศษเป็นครั้งแรก 

และจากนั้นวันที่ 11-12 ก.ย. 67 แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ จะนำ ครม.แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ก่อนที่จะบริหารประเทศด้วยอำนาจเต็มแม็กเต็มร้อยตามกฎหมายต่อไป...โดยฟันธงได้เลยว่า...รัฐบาลชุดนี้ไม่มีเวลา ฮันนี่ มูน แม้แต่น้อย...

เข้าสู่สมรภูมิรบตั้งแต่นาทีแรก...ก้าวแรก ด้วยความระทึกใจยิ่ง...

อันที่จริงก็ระทึกกันตั้งแต่ขึ้นตอนหักเหลี่ยมโหด เอาพรรคประชาธิปัตย์ และพลังประชารัฐปีก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เข้าร่วมรัฐบาล และจากนั้นก็ถึงคิวคัดกรองร่อนตะแกรงคุณสมบัติด้วยมาตรฐานจริยธรรม...

ปรากฏว่ามีสองรัฐมนตรียอมถอนตัว...รายแรก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ซึ่งมีปมปัญหาคุณสมบัติและปัญหาเทคนิกข้อกฎหมายเกี่ยวกับข้อบังคับพรรค พปชร.ที่ผู้กองต้องหลบหลีกและกวาด 20 กว่าเสียงของพรรคมาแลกกับ 3 เก้าอี้ รมต.

อีกคนหนึ่งมีการถอนตัวนาทีสุดท้าย คือ ชาดา ไทยเศรษฐ์ ที่มีปมปัญหาสีเทา และสายข่าวแจ้งว่างานนี้ 'นายใหญ่' ส่งสัญญาณพิเศษถึง 'บิ๊กหนู' โดยตรงว่า 'ต้องเปลี่ยน'...

กรณีของ เดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรคปชป.ก็มีการกลั่นกรองกันค่อนข้างละเอียด...เห็นว่ายังไม่มีความชัดเจนเข้มข้น ก็เลยผ่าน...

รวมความว่า...รัฐบาลอิ๊งค์ 1 ที่ออกมา 'นายใหญ่' ได้ช่วยเซฟตี้คัท ตัดก่อนตาย เตือนก่อนวายวอดให้นายกฯ อิ๊งค์ด้วยตัวเอง...แต่สุดท้ายจะมีใคร ประเด็นไหน ลอดหูลอดตาหรือเส้นผมบังภูเขาอยู่หรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่อง...เพราะขณะนี้ประเด็นคุณสมบัตินั้นอย่าว่าแต่รัฐมนตรีทั่วไปเลย ตัวนายกฯ อิ๊งค์ ก็ถูกร้องแล้ว...

อย่างไรก็ตาม วิเคราะห์ตามหน้าเสื่อหน้าไพ่เกมใหญ่ของฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณที่ได้ยกระดับเป็นต่อต้าน 'ระบอบชินวัตร' จะเดินหน้าเชือด...ไม่ใช่ตัวนายกฯ หัวหน้าพรรค แต่เป็น 'ผู้ครอบครอง' ตัวนายกฯและหัวหน้าพรรค ซึ่งก็คือ 'ทักษิณ ชินวัตร' นั่นเอง

ยิงนัดเดียวคือ 'นายใหญ่' ได้นก 3 ตัว...นายใหญ่ร่วง, พรรคไม่รอด, นายกฯ ร่วง...อะไรประมาณนั้น

ต้องจับตาดูนัดหมายครั้งแรก ที่ลานอนุสาวรีย์ 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว วันที่ 7 ก.ย.ที่กลุ่มคปท., กองทัพธรรม, ศปปส. และแนวร่วม นัดชุมนุมโหมโรงครั้งแรกว่าจะร้อนแรงขนาดไหน...ประเด็นตัวนายกฯ ไม่เท่าไหร่ แต่ต้องดูประเด็นความลับชั้น 14 ที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียาเวส ออกมาชักธงรบเมื่อวันก่อนว่ามีอะไรคืบหน้าหรือไม่...

มองจากเชิงข่าว...ก็ต้องสรุปเบื้องต้นว่า...ไม่ง่าย แม้กระทั่งประเด็นความลับชั้น 14 ที่ดูเหมือนอยู่แค่เอื้อมที่ความเลวร้ายใกล้ปรากฏ...ขอเพียงคนชื่อ 'เสรีพิศุทธิ์' ไม่หยุดลุย...!!??

แต่ข่าวเชิงลึกกระซิบมาว่า...คุณเสรีพิศุทธ์เกิดอาการเหนื่อยหอบ ตอนนี้ขอให้ 'นักร้องนิรนาม' คุณเรืองไกร นักรบบ้านในป่าเดินหน้าช่องทางอื่นต่อไปล่ะกัน !!??

'อัครเดช-รวมไทยสร้างชาติ' ย้ำ!! นโยบายรัฐบาลใหม่ ห้ามแก้ ม.112 พร้อมชูโครงสร้างราคาพลังงานที่เป็นธรรมกับประชาชน

(4 ก.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรีและฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยว่า ในการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรครวมไทยสร้างชาติ นำโดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค ที่ประชุมได้มีมติ 2 เรื่องสำคัญ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2568 ซึ่งจะมีการลงมติวาระที่ 3 ในวันที่ 5 กันยายน 2567 พรรครวมไทยสร้างชาติมีมติผ่านร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ เนื่องจากมีความต้องการให้รัฐบาลเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อให้เกิดการกระจายเม็ดเงินลงทุนของภาครัฐ เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ การมีมติพรรคในการผ่านกฎหมายฉบับนี้จะส่งผลให้รัฐบาลสามารถดำเนินโครงการต่าง ๆ ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป

นายอัครเดช กล่าวว่า ในเรื่องต่อมาคือนโยบายของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่จะบรรจุในนโยบายของรัฐบาลที่จะมีการแถลงนโยบายประกอบด้วย 2 เรื่องหลัก ๆ คือ เรื่องแรกเกี่ยวกับการแก้ไขกฎหมายพรรครวมไทยสร้างชาติขอยืนยันจุดยืนเดิมว่าจะต้องไม่มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 รวมถึงห้ามให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวด 1 หมวด 2 และในประเด็นเกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามทุจริตคอร์รัปชันในรัฐธรรมนูญ

นายอัครเดช กล่าวว่า เรื่องสุดท้ายจะเป็นนโยบายของพรรคในเรื่องพลังงาน ที่จะต้องมีการสร้างโครงสร้างราคาพลังงานที่เป็นธรรมกับประชาชน และการดำเนินการตามแนวทางรื้อ-ลด-ปลด-สร้าง นโยบายนี้จะสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชนได้อย่างมาก ซึ่งจะเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมเมื่อร่างกฎหมายโครงสร้างพลังงานผ่านเป็นกฎหมายแล้ว พรรครวมไทยสร้างชาติขอยืนยันว่าพร้อมจะสนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าวที่ยกร่างโดยนายพีระพันธุ์ต่อไป

'ฟ้าคราม' ยก!! 'เบน-ชนกนันท์' เลือดใหม่ 'รวมไทยสร้างชาติ' คนจริง!! ช่วยน้ำท่วมชาวแพร่ โดยไม่แคร์ถูกยัดเยียดสร้างระบบอุปถัมภ์

ไม่นานมานี้ ช่องติ๊กต๊อก 'ฟ้าคราม' (@fhakram.chavit) โดยคุณชวิศร์ ชูประทุม อินฟลูฯ อาสา ได้โพสต์คลิปยกย่องการทำงานของ น.ส.ชนกนันท์ ศุภศิริ อดีตผู้สมัคร สส.แพร่ เขต 1 เบอร์ 2 พรรครวมไทยสร้างชาติ ภายหลังจากเจ้าตัวได้ลงพื้นที่จังหวัดแพร่ในหลายจุดอย่างรวดเร็วในทันทีที่เกิดเหตุน้ำท่วม เพื่อเข้าไปช่วยเหลือและมอบสิ่งของจำเป็นจำนวนมากแก่พี่น้องชาวแพร่ที่ติดอยู่ในจุดน้ำท่วมแบบทั่วถึง โดยไม่แคร์ว่าจะต้องถูกยัดเยียดข้อหาสร้างระบบอุปถัมภ์ทางการเมือง

ทั้งนี้ 'ฟ้าคราม' ยังเผยด้วยว่า ในยามที่พี่น้องประชาชนเดือดร้อน หน้าที่ของคนไทย คือ การช่วยเหลือกัน เพราะหลายครอบครัวที่ประสบความเดือดร้อน ออกไปทำงานไม่ได้ บางบ้านมีเด็กเล็ก มีคนป่วย พอออกไปไหนไม่ได้ ก็ไม่มีจะกิน ฉะนั้นยามนี้ใครที่จะมาบอกว่า กลัวเป็นบุญคุณอุปถัมภ์ แล้วให้มองตาจะเข้าใจ มันคงไม่ทำให้ผู้เดือดร้อนอิ่มท้อง พร้อมกับย้ำว่า เรื่องของน้ำใจ เป็นสิ่งที่อยู่เหนืออื่นใด เป็นจริยธรรมอันดี ทุกคนควรต้องช่วยกัน

สำหรับ 'เบน-ชนกนันท์' แม้จะเป็นนักการเมืองหน้าใหม่ แต่เป็นหน้าเก่าในพื้นที่ เนื่องจากมีพ่อเป็นอดีตสจ.แพร่ เป็นหลาน 'แม่เลี้ยงติ๊ก' นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู อดีต สส.แพร่หลายสมัย โดยเธอได้ลงพื้นที่สัมผัสกับชาวบ้านร่วมกับพ่อและแม่เลี้ยงติ๊กมาตลอด จึงรับรู้ปัญหาว่าชาวบ้านต้องการอะไร จึงไม่เป็นปัญหาสำหรับการลงพื้นที่เพราะคุ้นเคยกับชาวบ้านเป็นอย่างดี และเหตุการณ์น้ำท่วมหนนี้ เธอก็ทำหน้าที่คนของประชาชนในนามพรรครวมไทยสร้างชาติได้แบบไม่ตกหล่น จนได้ใจชาวในพื้นที่ประสบภัยอย่างล้นหลาม

รู้จัก ‘ซาบีดา ไทยเศรษฐ์’ ลูกสาว ‘ชาดา ไทยเศรษฐ์’ ‘ว่าที่ รมช.กระทรวงมหาดไทย’ ใน ครม.แพทองธาร 1

เป็นชื่อที่ไม่ค่อยปรากฏให้เห็นหรือได้ยินในแวดวงข่าวมากนักสำหรับ ‘ดีดา-ซาบีดา ไทยเศรษฐ์’ แต่หลังจาก ‘ชาดา ไทยเศรษฐ์’ ประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล ‘แพทองธาร’ พร้อมส่งซาบีดา เข้ามาเป็นรัฐมนตรีแทนชื่อของ ‘ซาบีดา’ ก็เริ่มเป็นที่จับจ้องมองทันที ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีชื่อเธอเข้ามาแทนชาดาเลย ส่วนคนที่น่าจะมาแทน คือ ‘มนัญญา ไทยเศรษฐ์’ น้องสาวของชาดา 

แต่ขณะนี้เป็นห้วงเวลาที่มนัญญาเตรียมลงชิงนายกฯ อบจ.อุทัยธานี ‘ชาดา-มนัญญา’ สองพี่น้องได้มีเรื่องบาดหมางกัน เนื่องจากชาดาได้รับปากสนับสนุนอีกคนหนึ่งไปแล้ว นักเลงต้องรักษาคำพูด ยังดีที่ตกลง และเคลียร์กันได้ก่อนการสมัคร ‘มนัญญา’ ก็ถอนตัว จากการชิงนายกฯ อบจ.อุทัยธานี ในขณะที่ชื่อ ‘ซาบีดา’ ถูกส่งเข้าประกวดชิงเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยมหาดไทยพอดี

บุญหล่นทับ ‘ซาบีดา’ ด้วยการสละของบิดา หลังตรวจสอบน่าจะไม่ผ่านคุณสมบัติ

‘ซาบีดา ไทยเศรษฐ์’ ดีกรีนักเรียนนอก เกิดวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2527 ปัจจุบันอายุ 39 ปี 11 เดือน เป็นบุตรคนที่ 2 ของนายชาดา ไทยเศรษฐ์ กับ นางเตือนจิตรา แสงไกร อดีตนายกเทศมนตรี จบการศึกษาปริญญาตรี นิติศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ปริญญาโทนิติศาสตรมหาบัณฑิต จากลอนดอน ประเทศอังกฤษ 

เมื่อชาดาผู้เป็นบิดาเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ซาบีดา เข้ามาฝึกงานเป็นคณะทำงานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยของผู้เป็นพ่อ และเป็นตัวแทนในการทำงานดูแลประชาชนในพื้นที่อุทัยธานีด้วย

ชีวิตครอบครัว ‘ซาบีดา ไทยเศรษฐ์’ แต่งงานกับ ชาเดฟ-อนันต์ ปาทาน เมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2565 ที่โรงแรมบันยันทรี เกาะสมุย โดยมีนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาในขณะนั้นเป็นประธานในพิธี ซึ่งปัจจุบัน ‘ดีดา ซาบีดา’ ยังไม่มีบุตร และถือว่ามีครอบครัวช้า เพราะแต่งงานในวัยเลย 35 ปีไปแล้ว

แต่ก็ถือว่า ‘ซาบีดา’ เป็นรัฐมนตรีที่มีอายุน้อยคนหนึ่ง เพียงแต่อายุมากกว่า นายกฯ แพทองธาร 1 ปีกว่า ๆ แต่ในวัยที่ยังไม่ถึง 40 ปี ถือว่า ‘กำลังดี’

'นักเขียนซีไรต์' ชำแหละฐานเสียงส้ม เชื่อ!! สุดท้ายก็คงแพ้ทั้งขบวนการ

(3 ก.ย. 67) วิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียนรางวัลซีไรต์ โพสต์ข้อความหัวข้อ ‘ฐานเสียงฟองสบู่’ มีรายละเอียดดังนี้

ฐานเสียงของพรรคส้มนั้นส่วนมากเป็นคนหนุ่มสาวและวัยรุ่น ชอบสิ่งแปลกใหม่ เป็นกระแสอย่างเดียวกับกระแสแฟชั่น ชอบวาทะเท่ ๆ แม้บางทีก็ทึ่ม ชอบคนสวยคนหล่อ ชอบนโยบายที่จะทำให้ตัวเองสุขสบาย อย่างรัฐสวัสดิการ การแจกเงินตามนโยบายต่าง ๆ

ส่วนคนวัยกลางคน…ส่วนหนึ่งเคยเป็นสลิ่ม อีกส่วนไม่เคยใส่ใจการเมืองจริงจังมาก่อน แต่ส่วนมากเคยเป็นเสื้อแดง ตอนยังไม่มีเสื้อส้มก็แห่แหนรวมหัวกันอย่างบ้าคลั่ง ‘สู้เพื่อทักษิณ’ เพราะท่าน ‘ดี เก่ง ฉลาด ทันโลก ต่อสู้เพื่อคนยากคนจน’ ใครแตะไม่ได้

พอมีเสื้อส้มก็ไหลไปปลาบปลื้มกับเสื้อส้ม ‘พิธาเก่ง หล่อ ฉลาด ทันสมัย’ ‘พรรคส้มสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อความเป็นธรรม และความเท่าเทียม’ ใครแตะไม่ได้อีกแหละ ไม่รู้ว่าลืมทักษิณที่เคยอวยหรือไม่?

ส่วนท่านผู้อาวุโส ที่อายุ 70 + – แทบทั้งหมดก็เคยเชียร์เสื้อแดงมาก่อน ตอนนี้ย้ายมาเชียร์เสื้อส้ม เพราะสดใหม่กระแสแรงกว่า พวกผู้อาวุโสเหล่านี้คือพวกฝ่ายซ้าย ที่ส่วนมากออกจากป่ามาได้เพราะในหลวงรัชกาลที่ 9 แต่ลัทธิคอมมิวนิสต์ยังฝังหัวอยู่ และตัวเองก็ชราเกินกว่าจะทำอะไรได้แล้ว นอกจากเชียร์ฝ่ายล้มเจ้า หลายปีมานี้จึงเห็นพวกท่านชู 3 นิ้ว คอยลุ้น คอยแก้ต่างให้ม็อบส้ม คอยให้กำลังใจพรรคส้มชนะทุกเวทีประกวด

มีคนบอกว่าผู้อาวุโสเหล่านี้น่าจะปล่อยวางได้แล้ว แต่ผมเข้าใจพวกท่านว่าความยึดมั่นถือมั่นต่ออุดมการณ์ยังแรงกล้าอยู่

พวกท่านเก็บกดมานาน ไม่เคยถึง ‘จุดกระสันสุดยอดของอุดมการณ์’ จึงอยากจะถึงจุดกระสันสุดยอดสักครั้ง ก่อนตายคาอุดมการณ์ไปอย่างเดียวดาย

สุดท้ายก็แพ้ทั้งขบวนการ!

รวมพล 'คนไร้ราก-ลืมเหง้า-ลวงผู้คน-อกตัญญูชาติ' การคงอยู่ใต้ผืนปฐพีไทย ที่แลดูร้ายไม่แพ้ศัตรูต่างแดน

(3 ก.ย. 67) การได้เกิดเป็นคนไทยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขสำหรับผมนั้น ถือเป็นเรื่องโชคดีมหาศาล ถ้าไม่โชคดี ผม รวมทั้งคนไทยร่วมชาติอีกหลายสิบล้านคน คงไม่มีโอกาสได้เกิด และเติบโตบนผืนแผ่นดินที่แสนสงบสุขจวบถึงทุกวันนี้  

การได้มีชีวิต มีบ้าน มีถิ่นฐาน มีเชื้อชาติ มีสังคม มีการศึกษา มีหน้าที่การงาน และมีความปลอดภัยในการใช้ชีวิต ไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้น เมืองขี้ข้า เมืองที่ถูกกดขี่ข่มเหง หรือใช้ชีวิตอยู่ภายใต้เงื่อนไขของสงครามระหว่างประเทศ การได้อยู่รอดพ้นยาวนานมาทุกกาลสมัย เพียงเท่านี้ก็ถือว่ามีครบองค์ประกอบของประชาชนที่ได้รับโอกาสที่แสนสมบูรณ์พูนสุขมากล้นแล้ว สิ่งแรกที่คนไทยทุกคนจำต้องสำนึกก็คือ 'บุญคุณของสถาบันเบื้องสูง' เพราะถ้าไม่มี 'สถาบันกษัตริย์ไทย' ประเทศชาติเราก็จะแหว่งวิ่น ไม่เดินมาถึงวันนี้ได้อย่างผาสุก

และคงไม่มีผม หรือพวกท่านในแบบที่เป็นอยู่ 

ที่มาของเรา เปรียบราว 'รากชีวิต' ที่ฝังลึกลงแผ่นดินทอง ผูกร้อยโยงเป็นเนื้อเดียวกับความเป็นชาติ ศาสน์ และสถาบันกษัตริย์ ยากที่จะตัดขาดออกจากกัน การได้เกิดมาเป็นคนไทย จึงแตกต่างจากชาติอื่นใดทั้งปวง หาใดเปรียบ หาใดเทียบเคียง มีเพียงหนึ่งเดียวที่ 'แตกต่างอย่างงดงาม' ซ้ำยังอุดมสมบูรณ์ด้วย 'ทรัพย์ในดินสินในน้ำ' จนเป็นที่หมายตาของคนต่างชาติ หรือคนไทยหัวใจคดที่แสนโง่เขลาจำนวนหนึ่งที่ยอมเป็น 'ขี้ข้าคนต่างถิ่น' หวังทำลายความเข้มขลังของสถาบันให้อ่อนแอลง 

คนไทยที่ทำตัวไร้ราก ลืมเหง้า คอยโป้ปดสังคม ปลุกปั่นให้เยาวชน หรือผู้คนที่ 'คิดไม่เป็น' ให้คล้อยไปในทางเกลียดชังสถาบันกษัตริย์ของตัวเอง เพื่อสนองอาการ 'โรคจิต' และ 'ขี้อิจฉา' ที่ไม่มีทางรักษาให้หายขาด ย่อมเป็นคนไทยที่เป็นภัยอันตรายของสังคมไทยโดยแท้ หากปล่อยไว้ให้เติบโต อนาคตเราอาจจะไม่มีแผ่นดินที่เป็นของตัวเราเอง 

คนไทยที่คิดร้ายต่อสถาบัน เรียก 'คนเนรคุณ' ยังน้อยไป อยู่ไปก็รกปฐพี 

'พล.ท.นันทเดช' ชำแหละ!! เหตุ ‘พรรคส้ม’ แพ้ติดต่อกันมา 9 จังหวัด หากยังไม่ทบทวนแนวทางพรรค ก็แค่ยักไหล่ แล้วแพ้ต่อไปเรื่อยๆ

(3 ก.ย. 67) พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊ก ‘พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์’ หัวข้อ ‘แค่ยักไหล่ แล้วแพ้ต่อไปเรื่อย ๆ’ ระบุว่า…

แค่ยักไหล่ แล้วแพ้ต่อไปเรื่อย ๆ

การพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งส่วนท้องถิ่นของ ‘กลุ่มเครือข่ายก้าวไกล’ ที่ จ.ราชบุรี อย่างยับเยินนั้น เป็นการแพ้ติดต่อกันมาแล้ว 9 จังหวัด ถ้าจำไม่ผิดนะ และยังมีอีกหลายจังหวัดที่ก้าวไกลไม่กล้าส่งลงไปแข่งขันด้วย

การพ่ายแพ้ดังกล่าว บ่งบอกถึงการถอยห่างของประชาชนต่อพรรค และเครือข่าย เป็นเพราะว่า…

1. ประชาชนเริ่มรู้แนวทางของพรรคก้าวไกลมากขึ้น ตามลำดับ

2. การพูดติติงคนอื่นอย่างเดียว โดยไม่ลงมือทำอะไรเพื่อประชาชนเลยนั้น ประชาชนก็เริ่มเห็นกันแล้ว

ไม่เป็นไรครับ โอกาสที่พรรคจะเปลี่ยนแนวทางยังมีอีกยาวนาน ถ้ายอมรับและเชื่อมั่นต่อประชาชนจริง ๆ ตามที่พูดไว้ แต่ถ้าไม่คิดจะทบทวนอะไร

แค่ยักไหล่ แล้วก็จะแพ้ต่อไปเรื่อย ๆ ก็เท่านั้นเอง

'มติ สว.' ตีตกญัตติสอบจริยธรรมตุลาการของ 'สว.พันธุ์ใหม่' ชี้!! ไม่เร่งด่วน หากเทียบกับการเสนอญัตติเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม

วันนี้ (2 ก.ย. 67) ได้มีการประชุมวุฒิสภา โดยมี พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง ทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุม โดยก่อนที่จะเข้าสู่ระเบียบวาระ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว.เสนอญัตติด่วนเพื่อตรวจสอบจริยธรรมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่า ตุลาการฯ ที่วินิจฉัยคึดียุบพรรคก้าวไกล มีการวิจารณ์ที่ไม่เหมาะสมและส่อขัดต่อประมวลจริยธรรมที่ใช้บังคับ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการเสนอญัตติดังกล่าว พบว่า มี สว.ที่เห็นต่างและประท้วง เนื่องจากมองว่าไม่ใช่เรื่องด่วนหากเทียบกับการเสนอญัตติเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม อีกทั้งยังมองว่า ไม่มีความจำเป็น เพราะการตั้งญัตติดังกล่าวเป็นการกระทบกับบุคคลภายนอกรัฐสภา นอกจากนั้นแล้ว ขอให้วุฒิสภาพิจารณาร่างแก้ไขข้อบังคับวุฒิสภาให้เสร็จเพื่อตั้งกรรมาธิการ จากนั้นจึงควรเสนอเรื่องดังกล่าวให้ กมธ.พิจารณา

อย่างไรก็ดี สว.ในกลุ่มที่สนับสนุนญัตติด่วนของ น.ส.นันทนา ลุกโต้แย้งและมองว่าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาพบว่าสภาผู้แทนราษฎรได้วินิจฉัยในญัตติที่มีเนื้อหาทำนองเดียวกันและถือเป็นญัตติด่วน ดังนั้นวุฒิสภาจึงสามารถพิจารณาเรื่องดังกล่าวได้

ทั้งนี้ พล.อ.เกรียงไกร ได้วินิจฉัยให้ น.ส.นันทนา เสนอญัตติด่วนได้ แต่ต้องใช้มติของวุฒิสภาตัดสินว่าจะพิจารณาญัตติด่วนดังกล่าวหรือไม่ โดยผลการลงคะแนนพบว่าเสียงข้างมาก 118 เสียง ไม่เห็นด้วยกับญัตติดังกล่าว ต่อ 37 เสียง และงดออกเสียง 12 เสียง

‘สุกฤษฏิ์ชัย-ปชป.’ ชวนทุกคนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม-ดูแลธรรมชาติ ร่วมสร้างโลกที่น่าอยู่-ส่งต่ออากาศบริสุทธิ์ให้รุ่นลูกหลานสืบต่อไป

(2 ก.ย. 67) นายสุกฤษฏิ์ชัย ธีระเริงฤทธิ์ ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้ช่วยผู้อำนวยการมูลนิธิสถาบันราชพฤกษ์ (หน่วยงานดีเด่นแห่งชาติสาขาอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) และที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. .... ในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า…

“ในเดือนกันยายน เป็นเดือนที่มีความสำคัญต่อวงการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไทยและสากลอย่างยิ่ง เนื่องจากในวันที่ 1 กันยายน เป็นวันสืบ นาคะเสถียร ซึ่งวันดังกล่าวมีขึ้นเพื่อให้เราร่วมกันรำลึกถึงคุณงามความดี และความเสียสละของวีรบุรุษของผืนป่าไทย ซึ่งได้เสียสละชีวิตเพื่อเรียกร้องและสะท้อนปัญหาของทรัพยากรธรรมชาติให้สาธารณชนได้รับรู้ และตระหนักถึงอุดมการณ์อย่างแน่วแน่ในการรักษาผืนป่า รวมถึงในวันที่ 7 กันยายน ยังเป็นวันอากาศสะอาดสากล ที่ทั่วโลกโดยเฉพาะภาคประชาสังคมและกลุ่มอนุรักษ์จะได้จัดกิจกรรม รณรงค์เพื่อการเรียกร้องและทวงคืนอากาศสะอาด ปราศจากมลพิษ ซึ่งเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่ทุกคนควรจะต้องได้รับ อย่างมิต้องสงสัย

ข้อมูลจากงานวิจัยที่นำโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโมนาชของออสเตรเลียเปิดเผยว่า มีประชากรโลกเพียง 0.001% เท่านั้น ที่มีอากาศสะอาด ความหมายคือ แทบไม่มีที่ไหนในโลกเลยที่ปราศจากหมอกควันหรือฝุ่นพิษ รวมถึงข้อมูลจากองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติระบุว่า ในปี 2020 จำนวนพื้นที่ป่าไม้บนโลกมีอยู่ที่ร้อยละ 31 ของพื้นที่บก และมีแนวโน้มลดลงทุกวัน ฉะนั้นแม้ว่าจะมีวันสำคัญไว้ให้ตระหนักหรือรำลึกนึกถึง แต่การรณรงค์และการลงมือทำคือสิ่งสำคัญยิ่ง และการลงมือทำด้วยตัวเราเองคือสิ่งสำคัญที่สุด โดยการสนับสนุนที่ถูกต้องและทั่วถึงจากทางภาครัฐ ก็จะเป็นส่วนเติมเต็มสำคัญได้และบรรลุเป้าหมายได้อย่างดี 

ดังนั้นการดูแลสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคน ที่สามารถเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงขอเชิญชวนทุกท่านร่วมกันสร้างโลกที่น่าอยู่ อนาคตที่ยั่งยืน มั่นคงและปลอดภัย สำหรับคนรุ่นหลังต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top