Wednesday, 11 June 2025
POLITICS NEWS

'กัณวีร์' วอน!! สังคมเปิดใจ ปมปิดศูนย์เรียนรู้ลูกแรงงานเมียนมา หวั่น!! กระทบเด็กอีก 2 หมื่นคน เข้าไม่ถึงสิทธิการศึกษา

(9 ก.ย. 67) นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม กล่าวถึงเหตุการณ์การปิดศูนย์การเรียนมิตตาเย๊ะ บางกุ้ง อ.เมือง จ.สุราษฎร์ฯ ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์ประสานงานจัดการศึกษาให้เด็กเคลื่อนย้ายถิ่นฐานจากประเทศเมียนมาใน จ.สุราษฎร์ธานี โดยมีเด็กมากกว่าพันคน แต่ศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้ไม่ได้จดทะเบียนเป็นศูนย์การเรียนรู้ตามมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาตินั้น กำลังถูกพูดถึงในแวดวงการศึกษา วงกฎหมาย คนทำงานด้านสิทธิมนุษยชน มนุษยธรรม และสังคมในวงกว้างโดยทั่วไป

นายกัณวีร์ กล่าวว่า กรณีนี้มีความคิดแตกต่างหลากหลาย หากมองในมุมกฎหมายแล้ว ถ้าไม่จดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายที่มีอยู่ ต้องมีความผิดและ มีโทษปิด ปรับ ดำเนินคดีต่อผู้เกี่ยวข้องทุกคน

“แต่หากมองมุมกว้าง ๆ ขอให้ทุกคนเปิดใจในเรื่องดังกล่าวจากเหตุการณ์ การ ‘ร้องเพลงชาติพม่า’ กันก่อนนะครับ มองให้ดีครับ ตามข่าวที่ออกมา มีศูนย์การศึกษาอย่างนี้ที่ดูแลเด็ก ๆ ซึ่งเป็นลูก ๆ ของแรงงานข้ามชาติและผู้ลี้ภัยจากเมียนมาทั้งหมด 63 แห่งทั่วไทย ที่ดูแลเด็ก ๆ ทั้งหมดเกือบสองหมื่นคน และยังมีอีกส่วนมากที่ยังไม่ได้เข้าระบบ และในขณะเดียวกันระบบการศึกษาของไทยก็ไม่สามารถโอบรัดเด็กจำนวนหลายหมื่นคนที่ยังมีพื้นฐานที่แตกต่างกับเด็กไทยเข้าระบบด้วยเช่นกัน” นายกัณวีร์ กล่าว

นายกัณวีร์ กล่าวว่า มีเด็กที่เป็นลูกของแรงงานข้ามชาติและผู้ลี้ภัยจากเมียนมา ที่เรียนอยู่ในศูนย์การเรียนรู้ 63 แห่ง มีจำนวนกว่า 2 หมื่นคน หากเจ้าหน้าที่ตามไล่ปิด แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ตนเองจึงขอตั้งคำถามว่า ยิ่งปิด จะยิ่งหายไปหรือไม่ ปิดแล้วใครได้ประโยชน์ เด็กประมาณ 2 หมื่นคน หรือสังคมไทยจะได้ประโยชน์อะไร ปิดแล้วหากเด็ก ๆ สองหมื่นคนนี้เดินทางกลับประเทศต้นกำเนิดไม่ได้ สามารถเข้าสถานศึกษาในไทยได้ไหมหากเข้าไม่ได้ พวกเขาจะเป็นกลุ่มคนที่มีคุณภาพอย่างไร แล้วหากต้องอยู่ในไทยอีกหลายสิบปีหรือตลอดไป และไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาได้ เขาจะเป็นอะไรในสังคมไทย จะส่งผลที่ดีต่อสังคมไทยหรือไม่ หากพวกเขายังไงก็ต้องอยู่ในสังคมไทย เอาพวกเขาเข้ามาเป็นประชากรที่มีคุณภาพของไทยดีกว่าหรือไม่

“เราต้องเริ่มตอบคำถามทีละคำถามด้วยใจที่เปิดกว้างครับ แล้วเราจะเห็นคำตอบที่ปลายทางด้วยตัวคำตอบในแต่ละคำถามมันเอง โดยปราศจากอคติใด ๆ ครับ ต้องถือโอกาสนี้ในการจัดระบบศูนย์การศึกษาต่าง ๆ เหล่านี้ทั้งระบบไปเลยครับ หากเค้าไปไหนไม่ได้ ทำให้ถูกต้องเข้าระบบ ตรวจสอบ และสนับสนุนตามนโยบายการศึกษาของเรา ผู้ปกครองพวกเค้าที่เป็นแรงงานข้ามชาติต้องนำบุตรเข้าระบบอย่างถูกต้องและต้องไม่เป็นภาระให้ใครอีกต่อไป ยืนด้วยขาตัวเอง” นายกัณวีร์ กล่าว

นายกัณวีร์ กล่าวว่า เหมือนหลาย ๆ เรื่องที่มีอยู่ในไทยมาอย่างยาวนานแต่เราเอามาอยู่ใต้พรมตลอดเวลาเป็นหลายทศวรรษ ทำให้เกิดการกวาดล้างเป็นเทศกาล แต่ไม่เคยหายไปอย่างมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหา สุดท้ายผู้ที่ได้รับผลกระทบคือ กลุ่มเปราะบางที่ควรจะมีการบริหารจัดการที่ดีกว่านี้ ที่มีประสิทธิภาพและสร้างประสิทธิผลได้มากกว่านี้ และพวกเขาจะกลับมาช่วยพัฒนาสังคมที่พวกเค้าเข้ามาอยู่อย่างสร้างสรรค์

“ตามที่ผมได้พูดไว้เสมอครับ เปลี่ยนภาระ ให้เป็นพลัง จะตามเรื่องนี้ให้ติดอีกเรื่องหนึ่งครับ ถึงแม้จะมีเสียงเดียวในสภาฯ แต่จะพยายามทำให้เต็มที่ครับผม” นายกัณวีร์ กล่าว

เปิดเหตุผล!! ทำไมเลือกตั้งท้องถิ่น 'ส้ม' มักปราชัย สวนทางเลือกตั้งใหญ่ เพราะท้องถิ่นต้องวัดกันตัวต่อตัว ส่วนเวทีใหญ่พรรคอื่นตัดแต้มกันเอง

(9 ก.ย. 67) นายนิธิพัฒน์ พันธุ์ธุมจินดา นักธุรกิจ ฟาร์มปลาสวยงาม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Nitipat Bhandhumachinda’ ระบุว่า...

มีเพื่อนถามผมว่าทำไม พรรคสีส้มถึงชนะการเลือกตั้งใหญ่ แต่เลือกตั้งย่อย ๆ ที่ไหน ก็มักจะไม่ชนะ

ผมก็เล่าให้ฟังว่า สมัยผมเรียนที่เกาหลีนั้น มีการเลือกตั้งผู้นำประเทศครั้งหนึ่ง ซึ่งเบอร์ ๑ นั้น เป็นผู้สืบทอดอำนาจจากผู้นำคนเก่าที่ใครต่อใครก็ไม่ชอบหน้า

เรียกว่างานนี้ดูยังไง ๆ ฝ่ายค้านที่มีตัวหลัก ๆ สองคนนั้น ส่งคนไหนมาแข่งก็ชนะแบเบอร์แน่ ๆ

แต่ก็ไม่รู้ฝ่ายค้านสองคนนั้นเอาความมั่นใจมาจากไหน ที่ดันแย่งกันลงแข่งทั้งคู่ เป็นผู้สมัคร เบอร์ ๒ กับเบอร์ ๓ โดยต่างก็มั่นใจว่าตนจะได้ชัยชนะแน่นอน

ผลก็ออกมาอย่างที่ผมคาดเอาไว้ คือคะแนนเบอร์ ๒ กับเบอร์ ๓ นั้น ถ้าเอามารวมกันก็ชนะเบอร์ ๑ แบบไม่ต้องลุ้น

แต่ผลสรุปแล้ว เบอร์ ๑ ได้เป็นผู้นำประเทศ เพราะคะแนนแยกของทั้งเบอร์ ๒ และเบอร์ ๓ ที่ดันแข่งกันเองนั้น สู้คะแนนที่ไม่ต้องแข่งกับใครของเบอร์ ๑ ไม่ได้ทั้งคู่

การเลือกตั้งใหญ่ครั้งที่ผ่านมาของประเทศเรานั้น ขณะที่พรรคการเมืองทั้งหลาย ยังเล่นการเมืองแบบเดิม ๆ ส่งผู้แข่งขันไปแย่งคะแนนกันเหมือนเดิม ๆ และ เห็นหน้าก็รู้ว่า คงไม่มีเกมการเมืองใหม่ ๆ อะไรให้เล่นเลยนั้น

พรรคสีส้มเขามีฐานเสียงหลักของเขาที่อยากลองพรรคการเมืองใหม่ที่ไม่เหมือนการเมืองเดิม ๆ ไม่เคยต้องแย่งกับใคร และก็ไม่ได้มีพรรคไหนลงไปเเข่งขันแย่งฐานเสียงดังกล่าวนั้นตรง ๆ เลย

นั้นก็คือเหตุผลหลัก ๆ ที่ พรรคสีส้มได้คะแนนมากกกว่าพรรคการเมืองอื่น ๆ ที่ มัวแต่ตัดคะแนนกันเอง จนไปไม่เป็นกันสักพรรค

ส่วนในการแข่งขันการเมืองย่อยไม่ว่าจะเลือกตั้งซ่อม เลือกตั้ง อบจ. อะไรต่อมิอะไรนั้น

พรรคส้มมักเจอคู่แข่งแบบตัวต่อตัว ซึ่งคะแนนของส้มนั้น จริง ๆ ก็ไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ เมื่อไม่มีการตัดคะแนนกันให้วุ่นวาย

พรรคส้มก็มักจะปราชัยด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้

ผมไม่ได้เชี่ยวทางการเมืองขนาดจะสอนใครว่า  พรรคการเมืองควรจะรวมพลังกันในการเลือกตั้งใหญ่ หรือ ควรจะมีพรรคการเมืองใหม่มาเบียดแย่งคะแนนจากฐานเสียงของพรรคส้ม

แต่ถ้าถามว่า ทำไม พรรคน้อยใหญ่ไม่ชนะพรรคส้มในการเลือกตั้งใหญ่คราวที่แล้ว

ก็จะหาเหตุผลได้ประมาณนี้นะครับ

‘อัครเดช’ เชื่อ!! นโยบาย ‘พลังงาน-อุตสาหกรรม’ ตอบโจทย์ประชาชน ฝากฝ่ายค้าน!! อภิปรายให้สร้างสรรค์ เพื่อส่งผลดี ‘ด้านการค้า-การลงทุน’

(8 ก.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงกรณีการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ว่า

ในวันที่ 12-13 กันยายน 2567 นี้จะมีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อให้ คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 

ลำดับแรกพรรครวมไทยสร้างชาติ เชื่อมั่นอย่างยิ่งในนโยบายของรัฐบาลว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมที่ได้มีการทำงานอย่างต่อเนื่อง 

สำหรับในกระทรวงพลังงานภายใต้การกำกับของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นั้นนโยบายหลักในการ ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ โครงสร้างราคาพลังงาน เพื่อคืนความเป็นธรรมให้พี่น้องประชาชนไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมัน ราคาก๊าซ และค่าไฟฟ้า ซึ่งมีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก ตามที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้แถลงถึงความคืบหน้าเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการแล้วเสร็จในระยะเวลาไม่นานนับจากนี้ 

ลำดับต่อมาในส่วนของการอภิปรายการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ของคณะรัฐมนตรีนั้น เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าสมาชิกสภาผู้แทนราฎรในส่วนของฝ่ายค้านจะอภิปรายตรงข้อบังคับที่มีข้อเสนอแนะสำหรับการบริหารราชการแผ่นดิน ดังเช่นที่ได้อภิปรายในช่วงการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2568 ที่ผ่านมา ที่ไม่มีการประท้วงมากนัก

และตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการอภิปรายในครั้งนี้จะไม่ใช้เวทีของรัฐสภาเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรี

หากการอภิปรายเป็นไปอย่างสร้างสรรค์แล้ว ตนเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นการใช้กลไกของรัฐสภาเพื่อสร้างบรรยากาศการเมืองที่ดี จะส่งผลด้านดีในด้านอื่นๆไม่ว่าจะเป็นการค้า การลงทุน เป็นต้น

ท้ายที่สุดตนเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าทุกกระทรวงโดยเฉพาะใน 2 กระทรวง ได้แก่กระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรม การแถลงนโยบายจะเป็นไปอย่างชัดเจนและสามารถสร้างความเชื่อมั่นแก่พี่น้องประชาชนได้อย่างแน่นอน

‘สำนักวิจัยซูเปอร์โพล’ เผย!! ประชาชนมั่นใจ ‘รัฐบาลแพทองธาร’ จะอยู่ครบเทอม พร้อมคาดหวัง!! การฟื้นฟูเศรษฐกิจ-แก้ปัญหาปากท้อง-ยาเสพติด-ดูแลสาธารณสุข

(8 ก.ย. 67)  สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจเรื่อง รัฐบาลใหม่ ครม.ใหม่ ในความเห็นประชาชน กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) รวมจำนวนตัวอย่างในการวิเคราะห์ทางสถิติทั้งสิ้น จำนวนทั้งสิ้น 2,078 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 6 – 7 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา

เมื่อถามความเห็นของประชาชนต่อ รัฐบาลใหม่ คณะรัฐมนตรีใหม่ของนางสาว แพทองธาร ชินวัตร แบ่งออกตามกลุ่มคนเคยเลือกพรรคการเมือง พบว่า กลุ่มคนเคยเลือกพรรคเพื่อไทยส่วนใหญ่หรือร้อยละ 81.2 เห็นด้วย ในขณะที่ร้อยละ 18.8 ไม่เห็นด้วย และเมื่อวิเคราะห์ความเห็นของกลุ่มคนเคยเลือกพรรคอื่นพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 75.6 ไม่เห็นด้วย ในขณะที่ร้อยละ 24.4 เห็นด้วย

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงความเชื่อมั่นของประชาชนต่อนายกรัฐมนตรี นางสาว แพทองธาร ชินวัตร ในด้านต่างๆ พบจุดแข็งของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่เคยอยู่ในความนิยมของประชาชนมาช้านานอันดับแรกหรือร้อยละ 42.6 ได้แก่ เชื่อมั่นด้านสาธารณสุข ดูแลสุขภาพของประชาชน รองลงมาอันดับที่สอง หรือร้อยละ 33.7 ที่เกิดจากการรณรงค์จุดกระแสใหม่ของพรรคเพื่อไทย ได้แก่ เชื่อมั่นด้าน ซอฟต์พาวเวอร์ ฟื้นฟูการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและอื่น ๆ อันดับที่สาม หรือร้อยละ 33.2 ได้แก่ ด้าน เชื่อมั่นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้อง ค่าครองชีพ อันดับที่ สี่ หรือร้อยละ 25.3 ได้แก่ เชื่อมั่นด้าน การแก้ไขปัญหายาเสพติด และอันดับที่ห้า หรือร้อยละ 23.9 ได้แก่ เชื่อมั่นด้าน การแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ความไม่ปลอดภัยทางไซเบอร์ ตามลำดับ

ที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 62.0 ค่อนข้างเชื่อมั่นถึงเชื่อมั่นมากที่สุดว่า รัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร จะอยู่ครบเทอม ในขณะที่ร้อยละ 38.0 ไม่ค่อยเชื่อมั่นถึงไม่เชื่อมั่นเลย

รายงานของซูเปอร์โพลเกี่ยวกับความเห็นของประชาชนต่อรัฐบาลใหม่และคณะรัฐมนตรีใหม่นำโดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของมุมมองจากกลุ่มผู้เลือกพรรคเพื่อไทยเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่เลือกพรรคอื่นๆ ความนิยมและความเชื่อมั่นในนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทยที่ยังคงมีอยู่สะท้อนถึงความคาดหวังในหลายๆ ด้านที่ประชาชนมีต่อรัฐบาลใหม่นี้ โดยเฉพาะในด้านสาธารณสุขและการฟื้นฟูเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ข้อมูลยังชี้ให้เห็นว่าความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อการอยู่ครบเทอมของรัฐบาลนี้มีมากกว่าความไม่เชื่อมั่น สิ่งนี้อาจส่งผลต่อการดำเนินนโยบายและการตัดสินใจของรัฐบาลในอนาคตเพื่อรักษาความนิยมและตอบสนองความคาดหวังของประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง

รายงานของซูเปอร์โพล ยังระบุด้วยว่าผลสำรวจครั้งนี้สามารถช่วยให้นักการเมืองและนักวิเคราะห์นโยบายมองเห็นแนวโน้มและความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ ในหลายมิติ ได้แก่

1.ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลใหม่ ด้วยสัดส่วนของตัวอย่างที่ให้การสนับสนุนที่สูงจากกลุ่มที่เคยเลือกพรรคเพื่อไทยและการมีสัดส่วนความเชื่อมั่นที่ค่อนข้างสูงว่ารัฐบาลจะอยู่ครบเทอม แสดงให้เห็นว่ามีฐานเสียงที่มั่นคงและความคาดหวังที่ประชาชนมีต่อรัฐบาลนี้อยู่ในระดับสูง สิ่งนี้เป็นเครื่องมือสำคัญที่รัฐบาลสามารถใช้เป็นกลไกในการผลักดันนโยบายหรือโครงการใหม่ๆ ได้

2. ด้านที่ประชาชนเชื่อมั่น การที่ประชาชนให้ความเชื่อมั่นในด้านสาธารณสุขและการฟื้นฟูเศรษฐกิจเป็นหลัก นักการเมืองและรัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาและปรับปรุงนโยบายในสองด้านนี้เป็นพิเศษ การลงทุนในโครงการสาธารณสุขและการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจอาจช่วยรักษาความนิยมและสร้างความเชื่อมั่นได้

3. การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยความเชื่อมั่นที่ต่ำในการแก้ไขปัญหายาเสพติดและปัญหาความไม่ปลอดภัยทางไซเบอร์ แก๊งมิจฉาชีพ คอลเซ็นเตอร์ รัฐบาลใหม่อาจจำเป็นต้องพิจารณาเพิ่มความพยายามและทรัพยากรในด้านเหล่านี้ เพื่อตอบสนองและสร้างความเชื่อมั่นกับประชาชนให้มากขึ้น

4.ผลกระทบต่อการเมืองไทย ความแข็งแกร่งของฐานเสียงและความเชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาลนี้อาจนำไปสู่ความมั่นคงในระยะสั้นถึงระยะกลาง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องระมัดระวังในการตอบสนองความคาดหวังของประชาชนในทุกกลุ่ม เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเมืองและเพิ่มศักยภาพในการอยู่รอดตลอดเทอมการบริหาร

การตีความผลสำรวจทางการเมืองครั้งนี้จึงต้องพิจารณาทั้งความนิยมและจุดอ่อนเพื่อวางแผนกลยุทธ์ทางการเมืองและการบริหารที่เหมาะสม รวมทั้งต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นตามสถานการณ์ทางการเมืองที่รวดเร็วและไม่คาดคิดได้

‘ดร.อานนท์’ เย้ย!! ‘ด้อมส้ม’ เลือกคนโง่ ได้ ‘ผู้แทน’ ที่อ่านตัวเลขไม่เป็น ชี้!! คนที่เลือกมาโง่ยิ่งกว่า เป็นประชาชนชาวไทย ที่มีปัญหาด้านคุณภาพ

(7 ก.ย.67) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ... 

ผมรู้สึกว่า คุณภาพประชาชนชาวไทย มีปัญหาอย่างยิ่ง เพราะเลือกสส. พรรคประชาชนมามากที่สุด

แต่สส. พรรคประชาชน แค่อ่านตัวเลข ยังอ่านผิดอ่านถูก ไม่ว่าจะเป็นธิษะณา ชุณหะวัณ และ บุญเลิศ แสงพันธุ์ ถ้าดูคนไม่ออกเลือกคนอ่านตัวเลข อ่านหนังสือไม่แตกฉานขนาดนี้ แปลได้ชัดเจนว่า คนเลือกมา โง่ยิ่งกว่า สส.ที่พวกเขาเลือกมาเสียอีก

ทั้งธิษะณา ชุณหะวัณ และ บุญเลิศ แสงพันธุ์ จากพรรคส้ม อ่านตัวเลข ยังไม่แตกฉานทั้งคู่ จะตลกไปถึงไหน ทำแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ นะ ประชาชนชาวไทยเสียงข้างมาก เลือก สส. ไว้แสดงตลกให้ดู คลายเครียด

‘ปราชญ์ สามสี’ ฟาดใส่!! ฝ่ายค้าน กรณีอภิปรายเบี้ยเลี้ยงทหาร ในสภาผู้แทนราษฎร ชี้!! เป็นเรื่องเล็กภายในองค์กร ควรใช้เวลาพิจารณานโยบาย ที่กระทบต่อคนทั้งประเทศ

(7 ก.ย.67)  เพจเฟซบุ๊ก 'ปราชญ์ สามสี' ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กระบุว่า...

อันนี้จริง....การนำเรื่องอาหารและเบี้ยเลี้ยงของทหารเกณฑ์มาอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรเป็นการแสดงออกถึงความไร้ประสิทธิภาพอย่างร้ายแรงของการใช้เวลาในสภา การที่ผู้แทนเลือกใช้เวลามาพูดถึงปัญหาภายในกรมทหารที่ควรได้รับการแก้ไขในระดับองค์กรทหารเอง มันสะท้อนถึงการละเลยหน้าที่ที่แท้จริงของสภา ซึ่งควรจะเป็นเวทีสำหรับการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและการพิจารณานโยบายที่ส่งผลกระทบต่อคนทั้งประเทศ

นี่คือการกระทำที่แสดงถึงการใช้สภาอย่างเสียเปล่าและไม่เกิดประโยชน์ สภาไม่ใช่ที่สำหรับการมาวิพากษ์เรื่องเล็กน้อยหรือปัญหาภายในองค์กรเล็ก ๆ การนำประเด็นเช่นเรื่องอาหารและเบี้ยเลี้ยงของทหารเกณฑ์มาเป็นหัวข้ออภิปราย แทนที่จะพูดถึงนโยบายที่มีผลกระทบต่อประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม มันทำให้สภากลายเป็นเวทีสำหรับปัญหาที่ไม่สมควรได้รับการอภิปรายในระดับชาติ

หากผู้แทนยังคงดึงประเด็นเล็กน้อยเช่นนี้มาถกเถียงในสภา นั่นไม่เพียงแต่เป็นการทำให้เวลาของสภาหมดเปลืองไปอย่างไม่คุ้มค่า แต่ยังเป็นการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบที่แท้จริง ซึ่งควรจะมุ่งเน้นไปที่การทำงานของรัฐบาล ความอ่อนแอในการจัดลำดับความสำคัญของผู้แทนเหล่านี้ จะเป็นบ่อนทำลายสภาและเสื่อมเสียต่อประชาธิปไตยอย่างเห็นได้ชัด

โดยมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นดังนี้

- มันแสดงให้เห็นว่าผู้แทนพวกนี้ พุ่งเป้าดิสเครดิตหน่วยงานด้านความมั่นคงอย่างทหารเท่านั้น มันรับงานขององค์กรต่างประเทศมาเล่นงานเฉพาะหน่วยงานดูจากการกระทำหลาย ๆ ครั้งของพวกเขา ทำให้เราคิดแบบนี้ได้

จะอภิปรายเรื่องราคาถาดหลุมที่แพงเกินจริง ก็อภิปรายไป แล้วก็ไปตามจับตามเล่นงานถ้ามีการทุจริตเรื่องอาหารไม่ได้คุณภาพ ถ้ามีการทุจริตก็ไปควานหาคนทำผิดมาให้ได้แบบที่ฝ่ายค้านควรทำ

แต่การแตกประเด็นยิบย่อยเรื่องคุณภาพอาหาร ออกไปในโลกโซเชียลแบบนี้ ที่ไม่รู้จริงเท็จแค่ไหนมันคือการดิสเครดิตเพราะไม่เคยจัดการกับคนทุจริตได้ อย่างโรงเรียนที่ทุจริตเรื่องค่าอาหารเด็กก็ยังตามจับคนทุจริตอย่างผอ.โรงเรียนได้

- เป้าหมายของมันก็คือ เปิดประเด็น ‘ทำลาย’ ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ แล้ว ‘สื่อ’ จะนำไปขยายต่อเอง มันไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่านี้ เหมาะ หรือไม่เหมาะ ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง ไม่สน! เพราะเรื่องมันไปอยู่ในพื้นที่สื่อสามกีบหมดแล้ว พวกกองเชียร์สมองตื้น ๆ ก็พร้อมจะเชื่อและด่า สร้างเป็นกระแสต่อไป

- เอาจริงนะ ที่ทำไปนั่นน่ะ ก็แค่ไม่อยากถูกประชาชนมองว่า ทำงานไม่สมกับตำแหน่งที่เป็น เพราะไม่ยอมไปตรวจสอบรัฐบาล ทั้ง ๆ ที่มีเรื่องให้ต้องตรวจสอบเยอะแยะ แต่จะมานั่งตากแอร์เย็น ๆ ในสภาเฉย ๆ ก็กลัวถูกตำหนิจากประชาชน จึงหาเรื่องไร้สาระมาอภิปรายเพื่อจะบอกประชาชนว่า นี่ไงทำงานแล้วนะ

-สภาทุกวันนี้เหมือนโรงถ่ายละครกันไปทุกวันผมเลยไม่เห็นประโยชน์ที่จะดู

- มีอะไร ที่เกี่ยวกับ ปชช. บ้างหรือยัง สองวันกับเรื่องของทหารเนี่ย อะไรนักหนา

- ข้าว สส. มื้อละพัน..... ทำงานคุ้มค่าข้าวมาก

- เล่นเรื่องถาดหลุม บอกว่าแพงไป พอไปรู้ราคาต้นทุนจริง ก็วนไปเล่นว่าใช้ถาดใหญ่และดีขนาดนี้ทำไม พอพลาธิการทหารบกชี้แจง ก็ไปเล่นว่าอาหารไม่มีคุณภาพต่ออีก.....ฝ่ายค้านคุณภาพตรงไหนเนี่ย...!!!

นอกจากนี้ เพจ 'ปราชญ์ สามสี' ยังได้โพสต์เฟซบุ๊กอีกว่า พรรคประชาชน (ปชน.) วิจารณ์กองทัพจัดซื้อถาดหลุมทหาร ราคาห้าร้อยทำเป็นบ่น แต่กลับขายเข็มหมุดปักอก ชิ้นละพัน ทำเงียบ สส.เล่นบท จเร เสียเวลาสภามาก ๆ

'สหายใหญ่' บนเก้าอี้เสนาบดีกลาโหม 'อดีต' บอก 'อนาคต' อะไรควรไม่ควรทำ

ถ้าจะเอ่ยนามอดีตนักศึกษา ปัญญาชนที่เข้าป่าจับปืน ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ในห้วงปี 2519-2525 เพื่อต่อสู้กับรัฐบาลภายใต้ธงทฤษฎีของ พคท.ในขณะนั้นว่า "อำนาจรัฐได้มาด้วยกระบอกปืน" แต่สุดท้ายต้องคืนรังกลับมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) และมีโอกาสเข้าสู่วงการการเมือง มีบทบาท มีชื่อเสียง...ก็ต้องบอกว่ามีหลายสิบหรือนับร้อย...

หาได้มีเฉพาะ ภูมิธรรม เวชยชัย 'บิ๊กอ้วน' หรือ 'สหายใหญ่' รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ที่กำลังเป็นตำบลกระสุนตกอยู่ในขณะนี้ไม่...

ขอเอ่ยชื่อ 'บิ๊กเนม' อดีตสหาย ที่ออกจากป่าเมื่อ 40-50 ปีก่อน สู่สภาหรือเป็นเสนาบดีพอเป็นตัวอย่างสักจำนวนหนึ่ง....

มงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา, ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ อดีตรมต., พินิจ จารุสมบัติ อดีตสส./รมต., จาตุรนต์ ฉายแสง สส./อดีตรมต., นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตรมต., ประสาร มฤคพิทักษ์ อดีตสว., อดิษร เพียงเกษ สส./อดีตรมต., ประพันธ์  คูณมี อดีตสว., นพ.เหวง จิราการ อดีตสส., ศุภชัย โพธิ์สุ อดีตรองประธานสภาฯ, นพ.พลเดช ปิ่นประทีป อดีตสว./รมต. ฯลฯ

คนเหล่านี้ก็เหมือนกับนักศึกษา ประชาชนอีก 2-3,000 คนที่หนีกระเจิงหลังการล้อมปราบในเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ไปร่วมกับ พคท. โดย หงา  คาราวาน, อ.ธีรยุทธ บุญมี, ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ฯลฯ ก็อยู่ในชะตากรรมนี้...ก่อนที่ทั้งหมดจะพบว่า พคท. ก็ไม่ใช่ทางออกของประเทศ...

การทำสงครามประชาชนระหว่าง พคท.กับ รัฐบาลนับแต่วันเสียงปืนแตก 7 ส.ค.2508 จนถึงวันที่นักศึกษาประชาชนถั่งโถมโหมแรงไฟ...ในห้วงเวลาดังกล่าว ปิดฉากลงด้วยต้นทุนค่าใช้จ่ายที่แสนแพง ทั้งชีวิตเลือดเนื้อของทั้งสองฝ่าย และความขัดแย้งแตกแยกของสังคมไทย...
 
โชคดีที่ประเทศไทยในห้วงเวลาดังกล่าวมี ในหลวง ร.9 ที่มีพระราชวิสัยทัศน์อันลุ่มลึกยาวไกลดังที่ได้พระราชทานให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบีบีซีว่า...การที่พระองค์ทรงพระกรณียกิจทั้งปวงไม่ได้เป็นการต่อสู้กับ พคท. หากแต่สู้กับความยากจนของคนไทยทั้งหมด หากแก้ปัญหาได้คนไทยเหล่านั้นก็จะได้ประโยชน์ด้วย...

และปี 2523-2525 เรายังมีความโชคดีที่มาถูกที่ถูกเวลา คือ คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 ( และ 65/2525) ว่าด้วยการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ ที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกฯ คนที่ 16 เป็นผู้ลงนาม...แม้เป็นเพียงคำสั่งสำนักนายกฯ แต่พลานุภาพมากล้น ช่วยหยุดความขัดแย้งและการหลั่งเลือดล้มตาย...

กรณีของ 'สหายใหญ่' ที่โดนอดีตทหารหาญบางส่วนต่อต้าน คงไม่ได้ต่อต้านไม่ให้เป็นรัฐมนตรี แต่ติดใจที่ทำไมต้องมานั่งเก้าอี้ รมว.กลาโหม แต่ 'สหายใหญ่' ก็พยายามชี้แจงแล้วทำนองว่า เหตุการณ์ในอดีตร่วม 50 ปีก็ให้มันผ่านพ้นไป วันนี้ตนเข้าใจและมั่นใจในการอยู่ร่วมกับกองทัพและช่วยกันพัฒนา...

วิเคราะห์และมองแบบไม่สลับซับซ้อน มองโลกในแง่ดี ก็ต้องเชื่อไว้ก่อนว่าสหายใหญ่คงรู้โจทย์ดีว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ นั่งกินกาแฟกับอดีตรมว.หลาโหม สุทิน คลังแสง สักสองถ้วยก็มองทะลุแล้ว...

เมื่อวันที่ 5 ก.ย.คุณเปลว สีเงิน เจ้าสำนักไทยโพสต์ ก็เขียนบทความยาวเกี่ยวกับเรื่องบิ๊กอ๊วน...แต่บทสรุปอยู่ตรงชื่อเรื่องว่า 'เก้าอี้กห.นั่งได้ -แต่อย่าซน'

ทีมงานบิ๊กอ้วนและตัวบิ๊กอ้วน ควรหาอ่านเป็นเครื่องเตือนใจ...และถ้าเป็นไปได้ช่วยสำเนาไปให้คนชื่อ 'ทักษิณ' อ่านด้วย...เพราะจะว่าไปป๋าเปลวแกไม่ได้ระแวงคนชื่อภูมิธรรม แต่แกไม่ไว้ใจทักษิณ...

เดิมทีวันนี้ 'เล็ก เลียบด่วน' ตั้งใจจะวิเคราะห์ประเด็นโผทหาร...เผือกร้อนในมือ 'บิ๊กอ้วน' แท้ ๆ แต่นำร่องซะยืดย้วย...ขอยกเรื่องโผทหารไปตอนหน้าล่ะกัน

‘รวมไทยสร้างชาติ’ จัดเสวนา ‘มายาธิปไตย 2475’ ณ ม.กรุงเทพธนบุรี แลกเปลี่ยนความรู้-มุมมองประวัติศาสตร์ 2475 ที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้

เมื่อวานนี้ (5 ก.ย. 67)  รศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมด้วย ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมเปิดกิจกรรมเสวนา ‘มายาธิปไตย 2475 #เทสที่สร้างร่างที่เป็น’ และรับชมภาพยนตร์ 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ ณ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี 

โดยมี ผศ.ดร.เสงี่ยม บุษบาบาน รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี, นายวิวัธน์ จิโรจน์กุล ผู้กำกับภาพยนตร์ 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ, ผศ.ดร.เพิ่มศักดิ์ จะเรียมพันธ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ดร.ธนพันธุ์ พลูชอบ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี, นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ, ร.ต.อ.หญิงอัยรดา บำรุงรักษ์ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ นายฤกษ์อารี นานา อดีต ผู้สมัคร สส.กทม. พรรครวมไทยสร้างชาติ และนายอิทธิพัทธ์ เศรษฐยุกานนท์ อดีต ผู้สมัคร สส.กทม. พรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมด้วยนักศึกษา ประชาชนร่วมงานจำนวนมาก

กิจกรรมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ในการศึกษาเรื่องราวเหล่านี้ ทั้งจากมุมมองของนักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนี้

นอกจากนี้ยังเป็นการร่วมไขความจริง ว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี 2475 นั้น เป็นความหวังในการสร้างระบอบประชาธิปไตย หรือที่มีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อย ที่มองว่าเป็นเพียงภาพลวงตาหรือความฝันที่ไม่สามารถตอบโจทย์การเมืองการปกครองของสังคมไทยได้อย่างแท้จริง

หวังว่าการเสวนาครั้งนี้จะเป็นโอกาสที่ดี ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสร้างความเข้าใจ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองและเส้นทางแห่งประชาธิปไตยของไทย ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถนำไปปรับใช้ เพื่อประโยชน์ของสังคมและการเมืองของเราต่อไป

'หมอพรรคส้ม' ห้าว!! ลุกตัดงบกลาโหม ปมขยายโรงงานยาทหาร ด้าน 'จิรายุ' สวน!! เพราะบางยาให้เอกชนผลิตไม่ได้ ต้องควบคุมไง

เมื่อวานนี้ (5 ก.ย. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกกระทรวงกลาโหมฝ่ายการเมือง กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.กัลยพัชร รจิตโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายตัดงบกระทรวงกลาโหม ในส่วนของการสร้างโรงงานเภสัชกรรมทหารแห่งใหม่ 938 ล้านบาท โดยยกข้อมูลที่สับสน ไม่เป็นความจริง นำพาสังคม ไปสู่ความเข้าใจผิดในหลายประเด็น เช่น การตั้งคำถามเกี่ยวกับยาซูโดเอฟีดรีน (pseudoephedrine) หรือยาที่เรียกกันว่า ยาเสียตัว โดยกล่าวว่า ‘หลัง ๆ ยาชนิดนี้ไม่มีขายเท่าไรเพราะเป็นสารตั้งต้นยาบ้า ยาไอซ์‘ พร้อมนำมาอภิปรายผูกติดกับข้อมูลที่ว่า ‘ไทยส่งออกยาไอซ์สูงสุดอันดับ 1’ นับเป็นการกล่าวร้ายประเทศไทยบ้านเกิดของคนไทยอย่างน่าตกใจ จงใจนำข้อมูลที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน มาอภิปรายเชื่อมโยงกันให้ประชาชนเข้าใจผิด จนทำให้คนไทยทั้งประเทศไทยเสียหาย

จึงขอเรียกร้องให้ สส.คนดังกล่าว อภิปรายด้วย ‘ความทรงภูมิใหม่’ เพื่อชี้แจงความจริงต่อสังคมว่า ผู้ที่สามารถจำหน่ายซูโดอีฟีดรีนสูตรเดี่ยวนั้น ความจริงคือผลิตได้เฉพาะผู้รับอนุญาตให้มีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ฯ กระทรวง ทบวง กรม สภากาชาดไทย องค์การเภสัชกรรม หรือ ‘สถาบันอื่นของทางราชการตามที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา’ เท่านั้น ดังนั้น โรงงานเภสัชกรรมทหาร เป็นหน่วยงานในกระทรวงกลาโหม จำเป็นต้องผลิตทางการแพทย์ตามกฎหมาย และยานี้ห้ามขายในร้านขายยาทั่วไปตามกฎหมายอยู่แล้ว

นายจิรายุ กล่าวอีกว่า การอภิปรายในสภา โดยไม่มีฐานข้อมูลรองรับที่ว่า ‘แทบทั้งโลกเลิกผลิตซูโดอีฟีดรีนแล้ว ไปใช้ยาตัวอื่น’ ไม่เป็นความจริง ณ วันนี้ยังมีการผลิตยาดังกล่าวเพื่อใช้ในการรักษาพยาบาล เป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาสูง ซึ่งเรื่องนี้ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ ‘หน่วยงานใดเป็นผู้ผลิต’ แต่ที่ผ่านมาคือ ‘การควบคุมการใช้ยา‘ โดยปัจจุบัน ยาชนิดนี้ถูกจัดให้อยู่กลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 (วจ.2) การใช้ต้องขออนุญาตทุกครั้งและจำกัดการใช้ ในทางการแพทย์ ยาทั้ง 2 ตัว เป็นยาที่อยู่ในกลุ่มที่ใช้รักษาภาวะอาการเดียวกัน ทั้งหมดจึงเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วย

ส่วนวาทกรรมที่ว่า ‘การผลิตยาไม่ใช่ภารกิจของกองทัพ’ และ ‘กองทัพทำงานที่ไม่ใช่ธุระ’ พร้อมไล่เรียงเนื้อหาเพื่อเข้าสู่ปลายทางการตัดงบสร้างโรงงานเภสัชกรรมทหารแห่งใหม่ที่จังหวัดราชบุรีนั้น ข้อเท็จจริงคือ โรงงานเภสัชกรรมทหาร เกิดขึ้น พ.ศ. 2484 - 2488 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงที่การผลิตยาเพื่อช่วยเหลือประชาชน และ ทหารในภาวะสงคราม จนปัจจุบันยังอยู่ในสังกัดปลัดกระทรวงกลาโหม ผลิตยาเพื่อใช้ในกองทัพ และที่ผ่านมาโรงงานเภสัชกรรมทหาร ช่วย GPO องค์การเภสัชกรรม ภายใต้กำกับของกระทรวงสาธารณสุข ผลิตยาใช้ในยามวิกฤต เช่น ช่วงสถานการณ์น้ำท่วมปี 2554 ที่องค์การเภสัชกรรม ผลิตยาไม่ทัน เช่นกัน

ส่วนการอภิปรายเชิงประชดประชันว่า ‘ทหารเป็นหวัดคัดจมูกกันเยอะขนาดนั้นเลยเหรอคะ’ ทั้งที่โรงงานเภสัชกรรมทหาร ผลิตยาป้อนเข้าโรงพยาบาลอื่นๆ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปใช้ยานี้ได้ เนื่องจากเป็นยาที่ควบคุมการผลิต และจำเป็นที่จะต้องควบคุมการผลิต และส่งให้กับโรงพยาบาลเพื่อรักษาคนไข้ การยกเอาฤทธิ์ของยาที่ถูกจำกัดการใช้ และนำเหตุผลว่ายานั้นเป็นสารตั้งต้นของยาเสพติดขึ้นมาอภิปราย เพื่อ ‘สร้างความกลัว’ ให้กับสังคม ทำให้เข้าใจผิดคิดว่า ยานี้ให้โทษมากกว่าให้คุณ เป็นสิ่งที่ผู้ที่เป็นแพทย์ ไม่สมควรทำ และพรรคการเมืองเองก็ไม่สมควรที่จะเผยแพร่ข้อมูลด้านเดียวให้ประชาชนเข้าใจผิด

ขณะที่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Passakorn Ton Kongsakorn' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า... "ห้ามทหารผลิตยา แต่สนับสนุนสุราเสรี ไม่เลวจริงทำไม่ได้นะครับ"

'ชัยวุฒิ' มั่นใจ!! 'ลุงป้อม' ยังมุ่งมั่นในอุดมการณ์ คนไทยต้องอยู่ดีกินดี แต่จากนี้ พปชร. คงไม่เกรงใจใคร พร้อมเล่นบทฝ่ายค้านใน-นอกสภา

(6 ก.ย.67) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมใหญ่สามัญ กรณีที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ประกาศรีแบรนด์พรรคใหม่ ว่า "ไม่ถึงกับรีแบรนด์ ยังคงเป็นพรรค พปชร.เหมือนเดิม เพียงแต่เน้นอุดมการณ์ให้ชัดเจน และแนวทางการทำงานต่อไปที่เราจะต่อสู้ในอนาคต ทุกอย่างยังเหมือนเดิม"

ผู้สื่อข่าวถามว่า สมาชิกพร้อมรับกับการรีแบรนด์พรรคใหม่ครั้งนี้หรือไม่? นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "คนที่อยู่สู้กับพรรคมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำงานการเมืองต่อกับเรา มีอุดมการณ์ร่วมกัน ส่วนคนที่ไม่อยู่ถือว่าออกไปแล้ว ซึ่งมีความชัดเจน และตนไม่อยากจะพูดถึง ส่วนคนที่อยู่คือรักกัน ทำงานร่วมกันแน่นอน"

เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้พรรคย้ำเรื่องของการไม่แตกแยก แต่ภาพที่ปรากฏออกมามันสวนทางกัน? นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "เป็นธรรมดาของพรรคการเมือง มีคนหลายกลุ่มหลายฝ่ายอยู่ด้วยกันก็มีความเห็นที่ไม่ตรงกันบ้าง ตนว่าอย่ามองที่พรรคพลังประชารัฐเลย ทุกพรรคมีปัญหาแบบนี้ เพียงแต่ว่าแต่ละพรรคจะบริหารจัดการภายในพรรคอย่างไร ซึ่งของพรรคพลังประชารัฐที่เกิดปัญหาในครั้งนี้มันไม่ได้เกิดจากภายในพรรคอย่างเดียว แต่เกิดจากบุคคลภายนอกพรรคที่เข้ามาครอบงำ เข้ามาสั่งการด้วย จึงทำให้เกิดปัญหา"

เมื่อถามว่า คนที่ครอบงำเป็นคนจากพรรคอื่นใช่หรือไม่? นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "ดูจากการจัดตั้งรัฐบาลที่มีบุคคลภายนอกเข้ามาสั่งการ ครอบงำ มีการสร้างเงื่อนไขให้เกิดความแตกแยกในพรรค ถ้าภาษาการเมืองเขาเรียกว่าดูด หรืองูเห่า แบบนี้มันไม่ใช่ลูกผู้ชาย มันไม่ใช่กระบวนการทางการเมืองแบบตรงไปตรงมา ซึ่งทำให้เกิดปัญหากับพรรคพลังประชารัฐ แต่เรื่องนี้ผ่านไปแล้วไม่อยากพูดถึง ตอนนี้เราเดินหน้าทำงานต่อไป"

เมื่อถามว่า กลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา ได้โหวตสวนในการลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณประจำปีงบประมาณ 2568 ไม่ได้เป็นพฤติการณ์ให้ขับออกจากพรรคได้ใช่หรือไม่? นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "ยังไม่ถึงจุดนั้น ถ้าถึงจุดนั้นค่อยว่ากันอีกที และในพรรคเรายังไม่มีการพูดคุยถึงการขับ ไม่เป็นไร ใจเย็น ๆ"

เมื่อถามย้ำว่า ท่าทีขึงขังของ พล.อ.ประวิตร ในที่ประชุมใหญ่สามัญ เป็นการส่งสัญญาณอะไรหรือไม่? นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "ไม่ทราบ"

เมื่อถามว่า กลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัส อยากให้พรรคขับออกเพื่อจะไปร่วมงานกับพรรคอื่น แต่ดูเหมือน พรรค พปชร.พยายามดึงรั้งไว้? นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "ไม่ทราบ เพราะยังไม่มีการพูดคุยกัน ตนว่าเรื่อง สส.ที่แยกตัวออกไป คงต้องดูสถานการณ์อีกทีว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ตอนนี้พรรคยังไม่มีท่าที เรื่องนี้ปล่อยให้ฝ่ายต่าง ๆ ทำหน้าที่กันต่อไป ยังไม่ถึงเวลาที่จะมาแตกหักกัน"

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่เกิดขึ้น มองว่าเป็นลักษณะการแก้แค้นของนายทักษิณ ชินวัตร กับ พล.อ.ประวิตร หรือไม่? นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "ไม่ทราบ ต้องไปถามท่าน ตนตอบแทนไม่ได้ แต่การเมืองอย่าพูดเรื่องแค้นหรือความโกรธเคืองอะไรกันเลย เพราะต่างคนต่างทำหน้าที่ และสถานการณ์การเมืองมันเปลี่ยนไปตลอด อย่างวันหนึ่งเห็นหรือไม่ว่าคนที่ไม่ถูกกันยังกลับมารักกันเลย ผลประโยชน์ลงตัวก็ทำงานด้วยกันได้"

เมื่อถามว่า แสดงว่าถ้ามีโอกาสเคลียร์ใจคงจะสามารถกลับมาทำงานร่วมกันได้ใช่หรือไม่? นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "ไม่ทราบ"

เมื่อถามอีกว่าที่พรรคพปชร.เป็นแบบนี้ เป็นเพราะ พล.อ.ประวิตร เสื่อมการปกครองใช่หรือไม่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "ไม่ทราบ ดูกันเองแล้วกันว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ตนว่า พล.อ.ประวิตร ยังเป็น คนเดิม มีความมุ่งมั่นตั้งใจ มีพลังที่จะทำงานขับเคลื่อนการเมืองต่อไป ใครจะอยู่ใครจะไปเป็นเรื่องของคนภายนอก ไปบังคับเขาไม่ได้ แต่ตนเชื่อว่าอุดมการณ์หลักของพรรคในการที่จะทำงานเพื่อประชาชนให้อยู่ดีกินดี เศรษฐกิจทันสมัยขึ้น ปกป้องสถาบัน ทำให้บ้านเมืองมั่นคง เป็นแนวทางหลักของพรรคที่จะทำงานต่อไปแน่นอน"

ผู้สื่อข่าวถามว่า สมาชิกพรรคพร้อมที่จะทำหน้าที่ฝ่ายค้านหรือไม่? นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "รอดูต่อไปแล้วกัน การที่เราประชุมพรรควันนี้แสดงว่าเราพร้อม มีการตั้งกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ และยืนยันกับสมาชิกพรรคว่าจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ส่วนการตรวจสอบรัฐบาลมีหลายช่องทางอยู่แล้ว ทั้งในสภาผ่านการอภิปราย เราจะทำให้เต็มที่ และการตรวจสอบด้านกฎหมาย ใครทำผิด ใครทำทุจริต เราก็ว่าไป เราจะทำเต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจกันแล้ว เพราะไม่ได้อยู่ร่วมกัน ก็ไม่ต้องเกรงใจกัน ทำให้เต็มที่ เมื่อก่อนเกรงใจกัน แต่ตอนนี้ไม่ต้องเกรงใจกันแล้ว" 

เมื่อถามว่า พร้อมทำงานร่วมกับพรรคประชาชน ใช่หรือไม่? นายชัยวุฒิ กล่าวว่า การจะทำงานร่วมกันในส่วนของพรรคฝ่ายค้านก็เป็นไปตามกติกาประชาธิปไตย ส่วนจะทำงานร่วมกันแบบไหนต้องมีการพูดคุยกัน อย่างน้อย ๆ การอภิปรายในสภาต้องมาคุยเรื่องเวลาที่ต้องมาแบ่งเวลากัน ส่วนการลงมติก็เป็นเรื่องของแต่ละพรรคที่มีทิศทางอยู่แล้วว่าจะอย่างไร คงไม่จำเป็นต้องตามกันทุกเรื่อง"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top