Thursday, 12 June 2025
POLITICS NEWS

‘ดร.อานนท์’ เย้ย!! ‘ด้อมส้ม’ เลือกคนโง่ ได้ ‘ผู้แทน’ ที่อ่านตัวเลขไม่เป็น ชี้!! คนที่เลือกมาโง่ยิ่งกว่า เป็นประชาชนชาวไทย ที่มีปัญหาด้านคุณภาพ

(7 ก.ย.67) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ... 

ผมรู้สึกว่า คุณภาพประชาชนชาวไทย มีปัญหาอย่างยิ่ง เพราะเลือกสส. พรรคประชาชนมามากที่สุด

แต่สส. พรรคประชาชน แค่อ่านตัวเลข ยังอ่านผิดอ่านถูก ไม่ว่าจะเป็นธิษะณา ชุณหะวัณ และ บุญเลิศ แสงพันธุ์ ถ้าดูคนไม่ออกเลือกคนอ่านตัวเลข อ่านหนังสือไม่แตกฉานขนาดนี้ แปลได้ชัดเจนว่า คนเลือกมา โง่ยิ่งกว่า สส.ที่พวกเขาเลือกมาเสียอีก

ทั้งธิษะณา ชุณหะวัณ และ บุญเลิศ แสงพันธุ์ จากพรรคส้ม อ่านตัวเลข ยังไม่แตกฉานทั้งคู่ จะตลกไปถึงไหน ทำแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ นะ ประชาชนชาวไทยเสียงข้างมาก เลือก สส. ไว้แสดงตลกให้ดู คลายเครียด

‘ปราชญ์ สามสี’ ฟาดใส่!! ฝ่ายค้าน กรณีอภิปรายเบี้ยเลี้ยงทหาร ในสภาผู้แทนราษฎร ชี้!! เป็นเรื่องเล็กภายในองค์กร ควรใช้เวลาพิจารณานโยบาย ที่กระทบต่อคนทั้งประเทศ

(7 ก.ย.67)  เพจเฟซบุ๊ก 'ปราชญ์ สามสี' ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กระบุว่า...

อันนี้จริง....การนำเรื่องอาหารและเบี้ยเลี้ยงของทหารเกณฑ์มาอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรเป็นการแสดงออกถึงความไร้ประสิทธิภาพอย่างร้ายแรงของการใช้เวลาในสภา การที่ผู้แทนเลือกใช้เวลามาพูดถึงปัญหาภายในกรมทหารที่ควรได้รับการแก้ไขในระดับองค์กรทหารเอง มันสะท้อนถึงการละเลยหน้าที่ที่แท้จริงของสภา ซึ่งควรจะเป็นเวทีสำหรับการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและการพิจารณานโยบายที่ส่งผลกระทบต่อคนทั้งประเทศ

นี่คือการกระทำที่แสดงถึงการใช้สภาอย่างเสียเปล่าและไม่เกิดประโยชน์ สภาไม่ใช่ที่สำหรับการมาวิพากษ์เรื่องเล็กน้อยหรือปัญหาภายในองค์กรเล็ก ๆ การนำประเด็นเช่นเรื่องอาหารและเบี้ยเลี้ยงของทหารเกณฑ์มาเป็นหัวข้ออภิปราย แทนที่จะพูดถึงนโยบายที่มีผลกระทบต่อประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม มันทำให้สภากลายเป็นเวทีสำหรับปัญหาที่ไม่สมควรได้รับการอภิปรายในระดับชาติ

หากผู้แทนยังคงดึงประเด็นเล็กน้อยเช่นนี้มาถกเถียงในสภา นั่นไม่เพียงแต่เป็นการทำให้เวลาของสภาหมดเปลืองไปอย่างไม่คุ้มค่า แต่ยังเป็นการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบที่แท้จริง ซึ่งควรจะมุ่งเน้นไปที่การทำงานของรัฐบาล ความอ่อนแอในการจัดลำดับความสำคัญของผู้แทนเหล่านี้ จะเป็นบ่อนทำลายสภาและเสื่อมเสียต่อประชาธิปไตยอย่างเห็นได้ชัด

โดยมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นดังนี้

- มันแสดงให้เห็นว่าผู้แทนพวกนี้ พุ่งเป้าดิสเครดิตหน่วยงานด้านความมั่นคงอย่างทหารเท่านั้น มันรับงานขององค์กรต่างประเทศมาเล่นงานเฉพาะหน่วยงานดูจากการกระทำหลาย ๆ ครั้งของพวกเขา ทำให้เราคิดแบบนี้ได้

จะอภิปรายเรื่องราคาถาดหลุมที่แพงเกินจริง ก็อภิปรายไป แล้วก็ไปตามจับตามเล่นงานถ้ามีการทุจริตเรื่องอาหารไม่ได้คุณภาพ ถ้ามีการทุจริตก็ไปควานหาคนทำผิดมาให้ได้แบบที่ฝ่ายค้านควรทำ

แต่การแตกประเด็นยิบย่อยเรื่องคุณภาพอาหาร ออกไปในโลกโซเชียลแบบนี้ ที่ไม่รู้จริงเท็จแค่ไหนมันคือการดิสเครดิตเพราะไม่เคยจัดการกับคนทุจริตได้ อย่างโรงเรียนที่ทุจริตเรื่องค่าอาหารเด็กก็ยังตามจับคนทุจริตอย่างผอ.โรงเรียนได้

- เป้าหมายของมันก็คือ เปิดประเด็น ‘ทำลาย’ ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ แล้ว ‘สื่อ’ จะนำไปขยายต่อเอง มันไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่านี้ เหมาะ หรือไม่เหมาะ ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง ไม่สน! เพราะเรื่องมันไปอยู่ในพื้นที่สื่อสามกีบหมดแล้ว พวกกองเชียร์สมองตื้น ๆ ก็พร้อมจะเชื่อและด่า สร้างเป็นกระแสต่อไป

- เอาจริงนะ ที่ทำไปนั่นน่ะ ก็แค่ไม่อยากถูกประชาชนมองว่า ทำงานไม่สมกับตำแหน่งที่เป็น เพราะไม่ยอมไปตรวจสอบรัฐบาล ทั้ง ๆ ที่มีเรื่องให้ต้องตรวจสอบเยอะแยะ แต่จะมานั่งตากแอร์เย็น ๆ ในสภาเฉย ๆ ก็กลัวถูกตำหนิจากประชาชน จึงหาเรื่องไร้สาระมาอภิปรายเพื่อจะบอกประชาชนว่า นี่ไงทำงานแล้วนะ

-สภาทุกวันนี้เหมือนโรงถ่ายละครกันไปทุกวันผมเลยไม่เห็นประโยชน์ที่จะดู

- มีอะไร ที่เกี่ยวกับ ปชช. บ้างหรือยัง สองวันกับเรื่องของทหารเนี่ย อะไรนักหนา

- ข้าว สส. มื้อละพัน..... ทำงานคุ้มค่าข้าวมาก

- เล่นเรื่องถาดหลุม บอกว่าแพงไป พอไปรู้ราคาต้นทุนจริง ก็วนไปเล่นว่าใช้ถาดใหญ่และดีขนาดนี้ทำไม พอพลาธิการทหารบกชี้แจง ก็ไปเล่นว่าอาหารไม่มีคุณภาพต่ออีก.....ฝ่ายค้านคุณภาพตรงไหนเนี่ย...!!!

นอกจากนี้ เพจ 'ปราชญ์ สามสี' ยังได้โพสต์เฟซบุ๊กอีกว่า พรรคประชาชน (ปชน.) วิจารณ์กองทัพจัดซื้อถาดหลุมทหาร ราคาห้าร้อยทำเป็นบ่น แต่กลับขายเข็มหมุดปักอก ชิ้นละพัน ทำเงียบ สส.เล่นบท จเร เสียเวลาสภามาก ๆ

'สหายใหญ่' บนเก้าอี้เสนาบดีกลาโหม 'อดีต' บอก 'อนาคต' อะไรควรไม่ควรทำ

ถ้าจะเอ่ยนามอดีตนักศึกษา ปัญญาชนที่เข้าป่าจับปืน ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ในห้วงปี 2519-2525 เพื่อต่อสู้กับรัฐบาลภายใต้ธงทฤษฎีของ พคท.ในขณะนั้นว่า "อำนาจรัฐได้มาด้วยกระบอกปืน" แต่สุดท้ายต้องคืนรังกลับมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) และมีโอกาสเข้าสู่วงการการเมือง มีบทบาท มีชื่อเสียง...ก็ต้องบอกว่ามีหลายสิบหรือนับร้อย...

หาได้มีเฉพาะ ภูมิธรรม เวชยชัย 'บิ๊กอ้วน' หรือ 'สหายใหญ่' รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ที่กำลังเป็นตำบลกระสุนตกอยู่ในขณะนี้ไม่...

ขอเอ่ยชื่อ 'บิ๊กเนม' อดีตสหาย ที่ออกจากป่าเมื่อ 40-50 ปีก่อน สู่สภาหรือเป็นเสนาบดีพอเป็นตัวอย่างสักจำนวนหนึ่ง....

มงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา, ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ อดีตรมต., พินิจ จารุสมบัติ อดีตสส./รมต., จาตุรนต์ ฉายแสง สส./อดีตรมต., นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตรมต., ประสาร มฤคพิทักษ์ อดีตสว., อดิษร เพียงเกษ สส./อดีตรมต., ประพันธ์  คูณมี อดีตสว., นพ.เหวง จิราการ อดีตสส., ศุภชัย โพธิ์สุ อดีตรองประธานสภาฯ, นพ.พลเดช ปิ่นประทีป อดีตสว./รมต. ฯลฯ

คนเหล่านี้ก็เหมือนกับนักศึกษา ประชาชนอีก 2-3,000 คนที่หนีกระเจิงหลังการล้อมปราบในเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ไปร่วมกับ พคท. โดย หงา  คาราวาน, อ.ธีรยุทธ บุญมี, ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ฯลฯ ก็อยู่ในชะตากรรมนี้...ก่อนที่ทั้งหมดจะพบว่า พคท. ก็ไม่ใช่ทางออกของประเทศ...

การทำสงครามประชาชนระหว่าง พคท.กับ รัฐบาลนับแต่วันเสียงปืนแตก 7 ส.ค.2508 จนถึงวันที่นักศึกษาประชาชนถั่งโถมโหมแรงไฟ...ในห้วงเวลาดังกล่าว ปิดฉากลงด้วยต้นทุนค่าใช้จ่ายที่แสนแพง ทั้งชีวิตเลือดเนื้อของทั้งสองฝ่าย และความขัดแย้งแตกแยกของสังคมไทย...
 
โชคดีที่ประเทศไทยในห้วงเวลาดังกล่าวมี ในหลวง ร.9 ที่มีพระราชวิสัยทัศน์อันลุ่มลึกยาวไกลดังที่ได้พระราชทานให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบีบีซีว่า...การที่พระองค์ทรงพระกรณียกิจทั้งปวงไม่ได้เป็นการต่อสู้กับ พคท. หากแต่สู้กับความยากจนของคนไทยทั้งหมด หากแก้ปัญหาได้คนไทยเหล่านั้นก็จะได้ประโยชน์ด้วย...

และปี 2523-2525 เรายังมีความโชคดีที่มาถูกที่ถูกเวลา คือ คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 ( และ 65/2525) ว่าด้วยการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ ที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกฯ คนที่ 16 เป็นผู้ลงนาม...แม้เป็นเพียงคำสั่งสำนักนายกฯ แต่พลานุภาพมากล้น ช่วยหยุดความขัดแย้งและการหลั่งเลือดล้มตาย...

กรณีของ 'สหายใหญ่' ที่โดนอดีตทหารหาญบางส่วนต่อต้าน คงไม่ได้ต่อต้านไม่ให้เป็นรัฐมนตรี แต่ติดใจที่ทำไมต้องมานั่งเก้าอี้ รมว.กลาโหม แต่ 'สหายใหญ่' ก็พยายามชี้แจงแล้วทำนองว่า เหตุการณ์ในอดีตร่วม 50 ปีก็ให้มันผ่านพ้นไป วันนี้ตนเข้าใจและมั่นใจในการอยู่ร่วมกับกองทัพและช่วยกันพัฒนา...

วิเคราะห์และมองแบบไม่สลับซับซ้อน มองโลกในแง่ดี ก็ต้องเชื่อไว้ก่อนว่าสหายใหญ่คงรู้โจทย์ดีว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ นั่งกินกาแฟกับอดีตรมว.หลาโหม สุทิน คลังแสง สักสองถ้วยก็มองทะลุแล้ว...

เมื่อวันที่ 5 ก.ย.คุณเปลว สีเงิน เจ้าสำนักไทยโพสต์ ก็เขียนบทความยาวเกี่ยวกับเรื่องบิ๊กอ๊วน...แต่บทสรุปอยู่ตรงชื่อเรื่องว่า 'เก้าอี้กห.นั่งได้ -แต่อย่าซน'

ทีมงานบิ๊กอ้วนและตัวบิ๊กอ้วน ควรหาอ่านเป็นเครื่องเตือนใจ...และถ้าเป็นไปได้ช่วยสำเนาไปให้คนชื่อ 'ทักษิณ' อ่านด้วย...เพราะจะว่าไปป๋าเปลวแกไม่ได้ระแวงคนชื่อภูมิธรรม แต่แกไม่ไว้ใจทักษิณ...

เดิมทีวันนี้ 'เล็ก เลียบด่วน' ตั้งใจจะวิเคราะห์ประเด็นโผทหาร...เผือกร้อนในมือ 'บิ๊กอ้วน' แท้ ๆ แต่นำร่องซะยืดย้วย...ขอยกเรื่องโผทหารไปตอนหน้าล่ะกัน

‘รวมไทยสร้างชาติ’ จัดเสวนา ‘มายาธิปไตย 2475’ ณ ม.กรุงเทพธนบุรี แลกเปลี่ยนความรู้-มุมมองประวัติศาสตร์ 2475 ที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้

เมื่อวานนี้ (5 ก.ย. 67)  รศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมด้วย ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมเปิดกิจกรรมเสวนา ‘มายาธิปไตย 2475 #เทสที่สร้างร่างที่เป็น’ และรับชมภาพยนตร์ 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ ณ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี 

โดยมี ผศ.ดร.เสงี่ยม บุษบาบาน รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี, นายวิวัธน์ จิโรจน์กุล ผู้กำกับภาพยนตร์ 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ, ผศ.ดร.เพิ่มศักดิ์ จะเรียมพันธ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ดร.ธนพันธุ์ พลูชอบ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี, นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ, ร.ต.อ.หญิงอัยรดา บำรุงรักษ์ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ นายฤกษ์อารี นานา อดีต ผู้สมัคร สส.กทม. พรรครวมไทยสร้างชาติ และนายอิทธิพัทธ์ เศรษฐยุกานนท์ อดีต ผู้สมัคร สส.กทม. พรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมด้วยนักศึกษา ประชาชนร่วมงานจำนวนมาก

กิจกรรมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ในการศึกษาเรื่องราวเหล่านี้ ทั้งจากมุมมองของนักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนี้

นอกจากนี้ยังเป็นการร่วมไขความจริง ว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี 2475 นั้น เป็นความหวังในการสร้างระบอบประชาธิปไตย หรือที่มีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อย ที่มองว่าเป็นเพียงภาพลวงตาหรือความฝันที่ไม่สามารถตอบโจทย์การเมืองการปกครองของสังคมไทยได้อย่างแท้จริง

หวังว่าการเสวนาครั้งนี้จะเป็นโอกาสที่ดี ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสร้างความเข้าใจ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองและเส้นทางแห่งประชาธิปไตยของไทย ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถนำไปปรับใช้ เพื่อประโยชน์ของสังคมและการเมืองของเราต่อไป

'หมอพรรคส้ม' ห้าว!! ลุกตัดงบกลาโหม ปมขยายโรงงานยาทหาร ด้าน 'จิรายุ' สวน!! เพราะบางยาให้เอกชนผลิตไม่ได้ ต้องควบคุมไง

เมื่อวานนี้ (5 ก.ย. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกกระทรวงกลาโหมฝ่ายการเมือง กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.กัลยพัชร รจิตโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายตัดงบกระทรวงกลาโหม ในส่วนของการสร้างโรงงานเภสัชกรรมทหารแห่งใหม่ 938 ล้านบาท โดยยกข้อมูลที่สับสน ไม่เป็นความจริง นำพาสังคม ไปสู่ความเข้าใจผิดในหลายประเด็น เช่น การตั้งคำถามเกี่ยวกับยาซูโดเอฟีดรีน (pseudoephedrine) หรือยาที่เรียกกันว่า ยาเสียตัว โดยกล่าวว่า ‘หลัง ๆ ยาชนิดนี้ไม่มีขายเท่าไรเพราะเป็นสารตั้งต้นยาบ้า ยาไอซ์‘ พร้อมนำมาอภิปรายผูกติดกับข้อมูลที่ว่า ‘ไทยส่งออกยาไอซ์สูงสุดอันดับ 1’ นับเป็นการกล่าวร้ายประเทศไทยบ้านเกิดของคนไทยอย่างน่าตกใจ จงใจนำข้อมูลที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน มาอภิปรายเชื่อมโยงกันให้ประชาชนเข้าใจผิด จนทำให้คนไทยทั้งประเทศไทยเสียหาย

จึงขอเรียกร้องให้ สส.คนดังกล่าว อภิปรายด้วย ‘ความทรงภูมิใหม่’ เพื่อชี้แจงความจริงต่อสังคมว่า ผู้ที่สามารถจำหน่ายซูโดอีฟีดรีนสูตรเดี่ยวนั้น ความจริงคือผลิตได้เฉพาะผู้รับอนุญาตให้มีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ฯ กระทรวง ทบวง กรม สภากาชาดไทย องค์การเภสัชกรรม หรือ ‘สถาบันอื่นของทางราชการตามที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา’ เท่านั้น ดังนั้น โรงงานเภสัชกรรมทหาร เป็นหน่วยงานในกระทรวงกลาโหม จำเป็นต้องผลิตทางการแพทย์ตามกฎหมาย และยานี้ห้ามขายในร้านขายยาทั่วไปตามกฎหมายอยู่แล้ว

นายจิรายุ กล่าวอีกว่า การอภิปรายในสภา โดยไม่มีฐานข้อมูลรองรับที่ว่า ‘แทบทั้งโลกเลิกผลิตซูโดอีฟีดรีนแล้ว ไปใช้ยาตัวอื่น’ ไม่เป็นความจริง ณ วันนี้ยังมีการผลิตยาดังกล่าวเพื่อใช้ในการรักษาพยาบาล เป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาสูง ซึ่งเรื่องนี้ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ ‘หน่วยงานใดเป็นผู้ผลิต’ แต่ที่ผ่านมาคือ ‘การควบคุมการใช้ยา‘ โดยปัจจุบัน ยาชนิดนี้ถูกจัดให้อยู่กลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 (วจ.2) การใช้ต้องขออนุญาตทุกครั้งและจำกัดการใช้ ในทางการแพทย์ ยาทั้ง 2 ตัว เป็นยาที่อยู่ในกลุ่มที่ใช้รักษาภาวะอาการเดียวกัน ทั้งหมดจึงเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วย

ส่วนวาทกรรมที่ว่า ‘การผลิตยาไม่ใช่ภารกิจของกองทัพ’ และ ‘กองทัพทำงานที่ไม่ใช่ธุระ’ พร้อมไล่เรียงเนื้อหาเพื่อเข้าสู่ปลายทางการตัดงบสร้างโรงงานเภสัชกรรมทหารแห่งใหม่ที่จังหวัดราชบุรีนั้น ข้อเท็จจริงคือ โรงงานเภสัชกรรมทหาร เกิดขึ้น พ.ศ. 2484 - 2488 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงที่การผลิตยาเพื่อช่วยเหลือประชาชน และ ทหารในภาวะสงคราม จนปัจจุบันยังอยู่ในสังกัดปลัดกระทรวงกลาโหม ผลิตยาเพื่อใช้ในกองทัพ และที่ผ่านมาโรงงานเภสัชกรรมทหาร ช่วย GPO องค์การเภสัชกรรม ภายใต้กำกับของกระทรวงสาธารณสุข ผลิตยาใช้ในยามวิกฤต เช่น ช่วงสถานการณ์น้ำท่วมปี 2554 ที่องค์การเภสัชกรรม ผลิตยาไม่ทัน เช่นกัน

ส่วนการอภิปรายเชิงประชดประชันว่า ‘ทหารเป็นหวัดคัดจมูกกันเยอะขนาดนั้นเลยเหรอคะ’ ทั้งที่โรงงานเภสัชกรรมทหาร ผลิตยาป้อนเข้าโรงพยาบาลอื่นๆ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปใช้ยานี้ได้ เนื่องจากเป็นยาที่ควบคุมการผลิต และจำเป็นที่จะต้องควบคุมการผลิต และส่งให้กับโรงพยาบาลเพื่อรักษาคนไข้ การยกเอาฤทธิ์ของยาที่ถูกจำกัดการใช้ และนำเหตุผลว่ายานั้นเป็นสารตั้งต้นของยาเสพติดขึ้นมาอภิปราย เพื่อ ‘สร้างความกลัว’ ให้กับสังคม ทำให้เข้าใจผิดคิดว่า ยานี้ให้โทษมากกว่าให้คุณ เป็นสิ่งที่ผู้ที่เป็นแพทย์ ไม่สมควรทำ และพรรคการเมืองเองก็ไม่สมควรที่จะเผยแพร่ข้อมูลด้านเดียวให้ประชาชนเข้าใจผิด

ขณะที่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Passakorn Ton Kongsakorn' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า... "ห้ามทหารผลิตยา แต่สนับสนุนสุราเสรี ไม่เลวจริงทำไม่ได้นะครับ"

'ชัยวุฒิ' มั่นใจ!! 'ลุงป้อม' ยังมุ่งมั่นในอุดมการณ์ คนไทยต้องอยู่ดีกินดี แต่จากนี้ พปชร. คงไม่เกรงใจใคร พร้อมเล่นบทฝ่ายค้านใน-นอกสภา

(6 ก.ย.67) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมใหญ่สามัญ กรณีที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ประกาศรีแบรนด์พรรคใหม่ ว่า "ไม่ถึงกับรีแบรนด์ ยังคงเป็นพรรค พปชร.เหมือนเดิม เพียงแต่เน้นอุดมการณ์ให้ชัดเจน และแนวทางการทำงานต่อไปที่เราจะต่อสู้ในอนาคต ทุกอย่างยังเหมือนเดิม"

ผู้สื่อข่าวถามว่า สมาชิกพร้อมรับกับการรีแบรนด์พรรคใหม่ครั้งนี้หรือไม่? นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "คนที่อยู่สู้กับพรรคมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำงานการเมืองต่อกับเรา มีอุดมการณ์ร่วมกัน ส่วนคนที่ไม่อยู่ถือว่าออกไปแล้ว ซึ่งมีความชัดเจน และตนไม่อยากจะพูดถึง ส่วนคนที่อยู่คือรักกัน ทำงานร่วมกันแน่นอน"

เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้พรรคย้ำเรื่องของการไม่แตกแยก แต่ภาพที่ปรากฏออกมามันสวนทางกัน? นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "เป็นธรรมดาของพรรคการเมือง มีคนหลายกลุ่มหลายฝ่ายอยู่ด้วยกันก็มีความเห็นที่ไม่ตรงกันบ้าง ตนว่าอย่ามองที่พรรคพลังประชารัฐเลย ทุกพรรคมีปัญหาแบบนี้ เพียงแต่ว่าแต่ละพรรคจะบริหารจัดการภายในพรรคอย่างไร ซึ่งของพรรคพลังประชารัฐที่เกิดปัญหาในครั้งนี้มันไม่ได้เกิดจากภายในพรรคอย่างเดียว แต่เกิดจากบุคคลภายนอกพรรคที่เข้ามาครอบงำ เข้ามาสั่งการด้วย จึงทำให้เกิดปัญหา"

เมื่อถามว่า คนที่ครอบงำเป็นคนจากพรรคอื่นใช่หรือไม่? นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "ดูจากการจัดตั้งรัฐบาลที่มีบุคคลภายนอกเข้ามาสั่งการ ครอบงำ มีการสร้างเงื่อนไขให้เกิดความแตกแยกในพรรค ถ้าภาษาการเมืองเขาเรียกว่าดูด หรืองูเห่า แบบนี้มันไม่ใช่ลูกผู้ชาย มันไม่ใช่กระบวนการทางการเมืองแบบตรงไปตรงมา ซึ่งทำให้เกิดปัญหากับพรรคพลังประชารัฐ แต่เรื่องนี้ผ่านไปแล้วไม่อยากพูดถึง ตอนนี้เราเดินหน้าทำงานต่อไป"

เมื่อถามว่า กลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา ได้โหวตสวนในการลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณประจำปีงบประมาณ 2568 ไม่ได้เป็นพฤติการณ์ให้ขับออกจากพรรคได้ใช่หรือไม่? นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "ยังไม่ถึงจุดนั้น ถ้าถึงจุดนั้นค่อยว่ากันอีกที และในพรรคเรายังไม่มีการพูดคุยถึงการขับ ไม่เป็นไร ใจเย็น ๆ"

เมื่อถามย้ำว่า ท่าทีขึงขังของ พล.อ.ประวิตร ในที่ประชุมใหญ่สามัญ เป็นการส่งสัญญาณอะไรหรือไม่? นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "ไม่ทราบ"

เมื่อถามว่า กลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัส อยากให้พรรคขับออกเพื่อจะไปร่วมงานกับพรรคอื่น แต่ดูเหมือน พรรค พปชร.พยายามดึงรั้งไว้? นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "ไม่ทราบ เพราะยังไม่มีการพูดคุยกัน ตนว่าเรื่อง สส.ที่แยกตัวออกไป คงต้องดูสถานการณ์อีกทีว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ตอนนี้พรรคยังไม่มีท่าที เรื่องนี้ปล่อยให้ฝ่ายต่าง ๆ ทำหน้าที่กันต่อไป ยังไม่ถึงเวลาที่จะมาแตกหักกัน"

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่เกิดขึ้น มองว่าเป็นลักษณะการแก้แค้นของนายทักษิณ ชินวัตร กับ พล.อ.ประวิตร หรือไม่? นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "ไม่ทราบ ต้องไปถามท่าน ตนตอบแทนไม่ได้ แต่การเมืองอย่าพูดเรื่องแค้นหรือความโกรธเคืองอะไรกันเลย เพราะต่างคนต่างทำหน้าที่ และสถานการณ์การเมืองมันเปลี่ยนไปตลอด อย่างวันหนึ่งเห็นหรือไม่ว่าคนที่ไม่ถูกกันยังกลับมารักกันเลย ผลประโยชน์ลงตัวก็ทำงานด้วยกันได้"

เมื่อถามว่า แสดงว่าถ้ามีโอกาสเคลียร์ใจคงจะสามารถกลับมาทำงานร่วมกันได้ใช่หรือไม่? นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "ไม่ทราบ"

เมื่อถามอีกว่าที่พรรคพปชร.เป็นแบบนี้ เป็นเพราะ พล.อ.ประวิตร เสื่อมการปกครองใช่หรือไม่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "ไม่ทราบ ดูกันเองแล้วกันว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ตนว่า พล.อ.ประวิตร ยังเป็น คนเดิม มีความมุ่งมั่นตั้งใจ มีพลังที่จะทำงานขับเคลื่อนการเมืองต่อไป ใครจะอยู่ใครจะไปเป็นเรื่องของคนภายนอก ไปบังคับเขาไม่ได้ แต่ตนเชื่อว่าอุดมการณ์หลักของพรรคในการที่จะทำงานเพื่อประชาชนให้อยู่ดีกินดี เศรษฐกิจทันสมัยขึ้น ปกป้องสถาบัน ทำให้บ้านเมืองมั่นคง เป็นแนวทางหลักของพรรคที่จะทำงานต่อไปแน่นอน"

ผู้สื่อข่าวถามว่า สมาชิกพรรคพร้อมที่จะทำหน้าที่ฝ่ายค้านหรือไม่? นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "รอดูต่อไปแล้วกัน การที่เราประชุมพรรควันนี้แสดงว่าเราพร้อม มีการตั้งกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ และยืนยันกับสมาชิกพรรคว่าจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ส่วนการตรวจสอบรัฐบาลมีหลายช่องทางอยู่แล้ว ทั้งในสภาผ่านการอภิปราย เราจะทำให้เต็มที่ และการตรวจสอบด้านกฎหมาย ใครทำผิด ใครทำทุจริต เราก็ว่าไป เราจะทำเต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจกันแล้ว เพราะไม่ได้อยู่ร่วมกัน ก็ไม่ต้องเกรงใจกัน ทำให้เต็มที่ เมื่อก่อนเกรงใจกัน แต่ตอนนี้ไม่ต้องเกรงใจกันแล้ว" 

เมื่อถามว่า พร้อมทำงานร่วมกับพรรคประชาชน ใช่หรือไม่? นายชัยวุฒิ กล่าวว่า การจะทำงานร่วมกันในส่วนของพรรคฝ่ายค้านก็เป็นไปตามกติกาประชาธิปไตย ส่วนจะทำงานร่วมกันแบบไหนต้องมีการพูดคุยกัน อย่างน้อย ๆ การอภิปรายในสภาต้องมาคุยเรื่องเวลาที่ต้องมาแบ่งเวลากัน ส่วนการลงมติก็เป็นเรื่องของแต่ละพรรคที่มีทิศทางอยู่แล้วว่าจะอย่างไร คงไม่จำเป็นต้องตามกันทุกเรื่อง"

โหวตงบฯ 68 รัฐบาลไม่แตกแถว 309 ต่อ 155 ปชป.งดออกเสียง 4 บ้านป่าไม่เห็นด้วย 9 เสียง

เมื่อวานนี้ (5 ก.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร โหวตผ่านวาระ 3 ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ด้วยคะแนน 309 ต่อ 155 งดออกเสียง 4 ไม่ลงคะแนน 1 ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่า เสียงที่เห็นด้วยส่วนใหญ่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล โดย ‘พรรคเพื่อไทย’ (พท.) ส่วนใหญ่พบว่าปกติ ยกเว้น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง, พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี สส.บัญชีรายชื่อ, น.ส.ณัฐจิรา อิ่มวิเศษ สส.นครราชสีมา, นพ.ทศพร เสรีรักษ์ สส.แพร่ ที่ไม่พบว่าลงมติใดๆ

ขณะที่ ‘น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์’ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. กดไม่ลงคะแนนเสียง แต่ได้รับการชี้แจงภายหลังว่า กดเห็นด้วย แต่เครื่องลงคะแนนเสียงมีปัญหา ขณะที่ ‘พรรคประชาธิปัตย์’ (ปชป.) ซึ่งงดออกเสียง ประกอบด้วย นายชวน หลีกภัย, นายบัญญัติ บรรทัดฐาน, นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์สส.บัญชีรายชื่อ และ นายสรรเพชญ บุญญามณี สส.สงขลา

ขณะที่ ‘พรรคพลังประชารัฐ’ (พปชร.) ที่แบ่งออกเป็นสองขั้ว ระหว่างขั้วของ ‘ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า’ สส.พะเยา กับ ‘พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ’ สส.บัญชีรายชื่อ พบว่า สส.ในกลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัส ที่มีจำนวน 20 คน ลงมติเห็นชอบ ยกเว้นนาย’ชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว’ สส.สงขลา ในส่วนของ สส.กลุ่ม พล.อ.ประวิตร มี 20 คน แต่ลงมติไม่เห็นด้วยเพียง 9 คน ส่วนคนที่เหลือไม่ปรากฏว่า ลงมติใดๆ อาทิ พล.อ.ประวิตร, น.ส.ตรีนุช เทียนทอง สส.สระแก้ว, นายโชติวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ สส.สิงห์บุรี, นายปริญญา ฤกษ์หร่าย สส.กำแพงเพชร เป็นต้น

ส่วนของ ‘พรรคไทยสร้างไทย’ (ทสท.) ยังคงเป็นกลุ่มที่เคยโหวตสวน ประกอบด้วย นางสุภาพร สลับศรี สส.ยโสธร, นายหรั่ง ธุระพล สส.อุดรธานี และ นายอดิศักดิ์ แก้วมุงคุณทรัพย์ สส.อุดรธานี สำหรับพรรคเล็ก 6 พรรค ที่เป็นของรัฐบาลก็โหวตเห็นด้วยเช่นกัน ส่วนพรรคเล็กที่อยู่ฝ่ายค้าน 3 เสียง นั้น นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ สส.กทม. ‘พรรคไทยก้าวหน้า’ และ นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ ‘พรรคเป็นธรรม’ ลงมติไม่เห็นด้วย ยกเว้น นายกฤดิทัช แสงโยธิน สส.บัญชีรายชื่อ ‘พรรคใหม่’ ที่จัดว่าอยู่ฝ่ายค้าน แต่รอบนี้โหวตเห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ส่วน ‘พรรคเสรีรวมไทย’ 1 เสียง ที่หัวหน้าพรรคประกาศว่าขอเป็นฝ่ายค้านนั้น ‘นายมังกร ยนต์ตระกูล’ สส.บัญชีรายชื่อและเลขาธิการพรรค ไม่แสดงตนและไม่ลงคะแนน

อย่างไรก็ตาม ‘พรรคประชาชน’ (ปชน.) พบว่า ส่วนใหญ่ลงมติไม่เห็นด้วย มีเพียงแค่ นายวิทวิสิทธิ์ ปันสวนปลูก สส.ลำพูน และนายสิริน สงวนสิน สส.กทม. ที่พบว่าไม่มีการลงมติใด ๆ

'ไอซ์ รักชนก' ถล่มศาลรธน. ของบ 1 ล้าน สำรวจความเห็นประชาชน แต่ปิดคอมเมนต์ในเพจเฟซบุ๊กศาล ประชาชนเข้าไปวิจารณ์ไม่ได้

เมื่อวานนี้ (5 ก.ย. 67) ‘นางสาวรักชนก ศรีนอก’ สส.กทม.พรรคประชาชน อภิปรายมาตรา 31 ศาล ถึง โครงการสำรวจความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการอำนวยความยุติธรรมของศาลรัฐธรรมนูญ ปี 68 จำนวน 1 ล้านบาท ซึ่งปรากฏว่าเมื่อมีการสอบถามในชั้นกรรมาธิการงบประมาณฯ ได้รับคำตอบว่าอาจจะทำเป็นรูปแบบการสอบถามออนไลน์ แต่เมื่อดูในแฟนเพจเฟซบุ๊กของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญกลับไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้

“ท่านปิดคอมเมนต์เฟซบุ๊ก แต่ท่านมาของบประมาณ 1 ล้านบาท เพื่อไปสำรวจความคิดเห็นผ่านช่องทางออนไลน์ นี่เป็นการเขียนคำของบประมาณที่ย้อนแย้งของท่านหรือไม่ ขอ 1 ล้านบาท อยากจะฟังความคิดเห็น แต่ปิดเมนต์ฉ่ำ ไม่สามารถมีประชาชนคนไหน ที่เข้าไปคอมเมนต์ของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้”

นางสาวรักชนกมองว่า ช่องทางออนไลน์เป็นช่องทางที่สามารถรับฟังความเห็นได้อย่างไม่จำกัด มีประชาชนเข้ามา เพื่อให้สามารถสำรวจความเห็นได้ทั้งวันทั้งคืน โดยไม่เสียเงินสักบาท ไม่แน่ใจว่าท่านปอดแหกหรือไม่ ที่ไม่กล้าเปิดคอมเมนต์ในเฟซบุ๊ก และสุดท้ายจะเป็นการกรองเอาความเห็นที่มีประโยชน์ หรือตรงไปตรงมาหรือไม่

โดยยกตัวอย่างการใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียของตัวเองในการสอบถามเรื่องนี้ เสมือนเป็นการนำร่องโครงการให้ ซึ่งมีความเห็นมากมายหลากหลาย อาทิ ”ฝากบอกว่าประชาชนกินข้าวไม่ได้กินหญ้า …รับใช้เผด็จการ“, “ศาลตัดสินโดยใช้หลักการอย่างนี้อย่างเลย ถ่วงความเจริญของประชาชน”, ” ไม่มีความเชื่อมั่นในความยุติธรรมของศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากขอบเขตอำนาจของตัวเอง เกินกว่าที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยไม่มีใครสามารถเอาผิดได้“, ”เป็นองค์กรที่มีอำนาจมากเกินไป จนอาจใช้เป็นเครื่องมือทางการได้“

นางสาวรักชนก ชี้ว่า ความคิดเห็นทั้งหมดนี้ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณซักบาทเดียว เพียงแค่เปิดคอมเมนต์เฟซบุ๊ก ให้ประชาชนเข้ามาชื่นชมการทำงานของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แม้ว่าคอมเมนต์ที่ตนเองได้ยกตัวอย่างไปนั้น คนในสำนักงานฯ อาจจะบอกว่า เป็นประชาชนที่ไม่ได้รู้กฎหมาย พร้อมยกตัวอย่างคลิปวิดีโอ ‘บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญไทย ผ่านสายตา 6 อาจารย์นิติศาสตร์‘

นางสาวรักชนก ทิ้งท้ายว่า การนำร่องโครงการในครั้งนี้ ทำให้เห็นว่า ไม่จำเป็นต้องของบประมาณในส่วนนี้ จึงขอตัดงบประมาณทิ้งทั้งหมด ด้วยความเคารพ คนในสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ตนเข้าใจในหัวอกดีว่า การทำงานในหน่วยงานนี้ อาจจะได้รับคอมเมนต์ และคำชม ที่อาจทำให้ไม่สบายใจ แต่เป็นด้วยผลของการกระทำของคนในองค์กรท่าน

‘ปธ.กมธ.อุตฯ’ เสนอ 2 ร่าง กม. ปฏิรูปการกำจัดของเสียภาคอุตสาหกรรม เพิ่มโทษผู้ประกอบการละเมิดกฎ - ตั้งกองทุนกำจัดสารพิษ กากของเสีย

(5 ก.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม ได้อภิปรายร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2568 ในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรม ว่า…

ทุกวันนี้ปัญหาในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เป็นปัญหาใหญ่ คือปัญหาในการจัดการสารพิษ กากของเสีย และมลภาวะของโรงงานและผู้ประกอบการ ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต และสุขภาพของพี่น้องประชาชนในพื้นที่นั้น ๆ อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในพื้นที่จังหวัดราชบุรี จังหวัดระยอง และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

จากปัญหาดังกล่าวตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้ดำเนินการให้คณะทำงานของคณะกรรมาธิการยกร่างพระราชบัญญัติโรงงาน 2 ฉบับ ดังนี้

ฉบับแรกจะเป็นการเพิ่มโทษทางอาญาแก่ผู้กระทำความผิดในการปล่อยกากของเสีย มลภาวะสู่สิ่งแวดล้อม เนื่องจากปัจจุบันพระราชบัญญัติโรงงานมีเพียงโทษปรับ 200,000 บาทต่อกรณีเท่านั้น ส่งผลให้ผู้กระทำความผิดไม่มีความเกรงกลัวต่อกฎหมาย ดังนั้นในร่างพระราชบัญญัติโรงงานจะมีการเพิ่มโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีเข้าไปด้วยเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว 

และร่างพระราชบัญญัติอีกฉบับหนึ่งที่ยกร่างเรียบร้อย อยู่ระหว่างการได้รับการรับรองจากนายกรัฐมนตรีเนื่องจากเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงิน กฎหมายฉบับนี้จะเป็นการจัดตั้งกองทุนโรงงาน หรือกองทุนจัดการของเสียอุตสาหกรรม 

กองทุนจัดการของเสียอุตสาหกรรมนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมในอนาคต โดยที่มาของเงินทุนของกองทุนดังกล่าวจะมาจากการเรียกเก็บจากผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเงินส่วนนี้จะมีการคืนให้แก่ผู้ประกอบการเมื่อเลิกกิจการ 

ที่ผ่านมาประเทศไทยได้ใช้เงิน 2 ส่วนในการจัดการกับของเสียอุตสาหกรรมที่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของพี่น้องประชาชน คือ ส่วนแรกจากงบประมาณของรัฐบาล ซึ่งเป็นการของบกลาง ส่วนที่สองจากกองทุนสิ่งแวดล้อมซึ่งต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะดำเนินการขออนุมัติได้  

ดังนั้นกฎหมายในการจัดตั้งกองทุนจัดการของเสียอุตสาหกรรมจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากจะช่วยลดภาระงบประมาณของรัฐในการจัดการของเสียอุตสาหกรรมจากผู้ประกอบการที่ขาดความรับผิดชอบต่อสังคมได้ และงบประมาณส่วนนี้จะได้ใช้สำหรับการลงทุนอื่น ๆ เพื่อสร้างรากฐานของการพัฒนาประเทศต่อไป

และสุดท้ายตนเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่านายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมคนใหม่ ซึ่งเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์ จะสามารถจัดการปัญหาที่กล่าวถึงข้างต้นได้อย่างแน่นอน

'นายกฯ อิ๊งค์' วอนทุกฝ่ายขอให้ดูที่ความตั้งใจ หลังถูกวิจารณ์เป็น 'ครม.สืบสันดาน' ลั่น!! เป็นนายกฯ แล้ว ไม่พร้อมข่มเหงใคร ยินดีรับฟังและให้เกียรติทุกฝ่าย

(5 ก.ย. 67) ที่อาคารชินวัตร 3 ‘น.ส.แพทองธาร ชินวัตร’ นายกรัฐมนตรีเดินทางเข้ามาปฏิบัติภารกิจโดยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า การที่ตนเข้ามาทำงาน ได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรติ จากการโหวตของสภา ก็ต้องขอบคุณทุกท่าน และเมื่อเป็นนายกฯ แล้วไม่พร้อมที่จะข่มเหงใคร แต่พร้อมที่จะรับฟังและพร้อมที่จะให้ความเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นคิดว่าหลักคิดตรงนี้จะทำให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น อย่างไรก็ตามข้อวิจารณ์และข้อร้องเรียนต่าง ๆ ไม่คิดว่าจะทำให้เกิดการบั่นทอนการทำงานของตัวเอง ซึ่งทุกคนก็มีสิทธิที่จะวิพากษ์วิจารณ์ และถ้าเป็นการวิจารณ์ด้วยเหตุผลไม่ใช่อารมณ์ คิดว่าน่าจะดีแต่สามารถเกิดขึ้นได้

เมื่อถามถึงข้อวิจารณ์ว่าเป็นคณะรัฐมนตรีสืบสันดาน หรือ ครม.ครอบครัว ‘น.ส.แพทองธาร’ กล่าวยอมรับว่า…

“เป็นคำที่แรงจริงๆ ด้วยใช้คำแรงจัง ความจริงมีหลายรูปแบบมีหลายคนที่ไม่ได้มาจากครอบครัว หรือเกี่ยวข้องกันและก็มีหลายคู่ที่เป็นครอบครัวต่อมา ส่วนตัวอยากให้มองถึงความตั้งใจ ที่ตั้งใจถ่ายทอดกันมาในคนใกล้ชิดและคนรู้จัก หลายอย่างในชีวิตที่ต้องทำต้องอาศัยแรงผลักดัน และความภูมิใจของคนรอบข้าง ครอบครัว เพราะฉะนั้นคำว่าเป็นครอบครัวมันไม่ใช่ข้อเสียมันเป็นแรงผลักดันให้กันมากกว่า”

ส่วนข้อวิจารณ์และการร้องเรียนหนีไม่พ้นคำว่าครอบงำ โดยเฉพาะจากการพูดของ ’นายทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีกล่าวว่า…

“สงสารนายกฯ บ้างอย่าฟ้องอะไรเยอะเลย ดิฉันเป็นนายกฯ ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ตั้งใจทำงานเต็มที่ ขอย้ำอีกครั้งว่าบางครั้งเรื่องเล็ก ๆ อย่าให้ความสำคัญมากนัก คนฟ้องก็อย่าฟ้องเยอะเลยมันไม่ได้มีอะไรผิดแบบนั้นอยู่แล้ว”

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในส่วนของการแบ่งงานให้กับรองนายกรัฐมนตรีนั้น ขอเวลาพิจารณาถึงงานต่าง ๆ ก่อน รวมถึงจะมอบหมายการกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ให้กับ ‘นายภูมิธรรม เวชยชัย’ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ด้วยหรือไม่ ขอพิจารณาดูอีกครั้ง

นายกรัฐมนตรีเปิดเผยด้วยว่า วันเดียวกันนี้จะพิจารณาในส่วนของนโยบายรัฐบาลที่จะนำสู่การแถลงต่อรัฐสภาโดยเฉพาะของพรรคเพื่อไทย วันเดียวกันนี้ก็จะมีการพูดคุยกันตกผลึกในทุกๆ ประเด็น เช่นเดียวกับในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาลได้มีการส่งเข้ามาแล้วบางพรรค รวมทั้งนโยบายของพรรคภูมิใจไทยในเรื่องของกัญชาขอให้รอสักนิดซึ่งที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยกันมาโดยตลอดรอให้ได้ข้อสรุปแล้วจะมาชี้แจงอีกครั้ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top