Wednesday, 9 July 2025
POLITICS NEWS

ครม.อนุมัติ 1.52 หมื่นล้าน เพิ่มวงเงินลงทุน 2 โครงการด้านไฟฟ้า เพิ่มความมั่นคงทางพลังงานในพื้นที่ EEC 

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2565 ว่า ครม.อนุมัติเพิ่มวงเงินลงทุนจำนวน 2 โครงการ รวมวงเงิน 15,200 ล้านบาท ประกอบด้วย 1)โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า (โครงการ TIPE) เพิ่มวงเงินลงทุนจำนวน 9,000 ล้านบาท จากเดิมที่อนุมัติไว้ 12,000 ล้านบาท รวมวงเงินลงทุนโครงการทั้งสิ้น 21,000 ล้านบาท 2)โครงการระบบส่งไฟฟ้าเพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ ระยะที่ 3 (โครงการ IPP3) เพิ่มวงเงินลงทุนจำนวน 6,200 ล้านบาท จากเดิมที่อนุมัติไว้ 7,250 ล้านบาท รวมวงเงินลงทุนโครงการทั้งสิ้น 13,450 ล้านบาท  โดยใช้วงเงินงบประมาณลงทุนในปี พ.ศ.2564 และปี พ.ศ.2565 ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ

ความจำเป็นที่ต้องปรับเพิ่มวงเงินลงทุนในครั้งนี้ เนื่องจากพื้นที่ดำเนินการก่อสร้างระบบโครงข่ายไฟฟ้าของทั้ง 2 โครงการ อยู่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทำให้ราคาที่ดินและทรัพย์สินที่ต้องนำมาใช้ในการคำนวณค่าทดแทนกรรมสิทธิ์ที่ดินและทรัพย์สินปรับเพิ่มขึ้น จึงต้องนำราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน ปี พ.ศ.2559 - 2562 ที่ยังมีผลบังคับใช้ในปี พ.ศ.2563 ในอัตรา 7.45 เท่า มาใช้เป็นเกณฑ์ในการคำนวณค่าทดแทนตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานกำหนด ทำให้ค่าทดแทนมีราคาสูงกว่าราคาที่ประมาณการไว้ กระทรวงพลังงานจึงต้องเสนอเพิ่มวงเงินลงทุนดังกล่าว สำหรับรายละเอียดโครงการ มีดังนี้

โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า (โครงการ TIPE) มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงระบบไฟฟ้าให้สามารถรองรับโรงไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นและแก้ไขข้อจำกัดด้านระบบกระแสลัดวงจรในระยะยาว คาดว่าจะก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าแรงสูงและสถานีไฟฟ้าแรงสูงแล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2570 ปัจจุบัน มีสายส่งไฟฟ้าแรงสูงที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว 2 แห่ง อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างอีก 5 แห่ง

“วราวุธ” นำพวงมาลัยไหว้ขอโทษ “รมต.แหม่ม” โชว์กอดกันกลม 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเช้าภายหลังจากพิธีทำบุญสงกรานต์ที่ตึกภักดีบดินทร์เสร็จสิ้น ปรากฏว่า ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ตึกสันติไมตรี หลังนอก ทำเนียบฯ นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้นำพวงมาลัยเข้าไปไหว้ น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์รมช.เกษตรและสหกรณ์ ที่มีความอาวุโสกว่า กรณีมีวิวาทะกันในการประชุม ครม.เรื่องถุงพลาสติกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

'สกลธี' ชูทางออกปัญหาปากท้องคน กทม. ด้วยเกษตรวิถีใหม่ ค่าไฟ 0 บาท สร้างต้นแบบ Smart Farming ให้คนกทม.

สกลธีเปิดเวทีเสวนา หาทางออกให้กับปัญหาปากท้องคน กทม. นำแนวคิด Smart Farming การเกษตรต้นทุนต่ำ ประหยัดค่าไฟ มาสร้างงานสร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ให้ชุมชนและประชาชน พร้อมสนับสนุนองค์ความรู้ ต้นทุน และช่องทางจำหน่าย ให้ทุกบ้านสามารถทำการเกษตรเป็นอาชีพหลักและอาชีพเสริมได้อย่างครบวงจร

เดินหน้านำเสนอนโยบายอย่างต่อเนื่อง สำหรับ นายสกลธี ภัททิยกุล ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หมายเลข 3 ล่าสุด เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2565 ได้เผยมุมมองในการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน ด้วยการนำแนวคิด Smart Farming มาต่อยอดเป็นนโยบายสร้างงานสร้างอาชีพ โดยยก Res-Q Farm ฟาร์มทดลองขนาด 9 ไร่ ในย่านคลองสามวา  เป็นต้นแบบเกษตรกรรมวิถีใหม่ที่ไม่ใช้สารเคมี สามารถลดต้นทุน และสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ผ่านเวทีเสวนาที่มี 
นายวีระ สรแสดง เจ้าของ Res-Q Farm มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ โดยนายสกลธีพร้อมรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากประชาชน รวมถึงกลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่ในชุมชน

“ผมมองว่าพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ หลายแห่งยังเป็นพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งมักประสบปัญหาด้านต้นทุนและผลผลิต การส่งเสริมให้เกษตรกร รวมไปถึงคนทำงานที่สนใจการเกษตรวิถีใหม่ได้มีความรู้และเข้าใจการทำเกษตรกรรมแบบ Smart Farming ที่สามารถทำได้ไม่ยาก จะช่วยลดปัญหาตรงนี้ลงได้ ซึ่งผมได้เลือก Res-Q Farm เป็นฟาร์มต้นแบบ ซึ่งสามารถเปลี่ยนพื้นที่ที่มีปัญหา ทั้งที่ดินต่ำกว่าถนน น้ำท่วม ไม่มีไฟฟ้า และดินไม่ดี ให้เป็นฟาร์มแบบออร์แกนิก ไม่ใช้สารเคมี และเน้นพลังงานสะอาดในการบริหารจัดการ โดยนำวัสดุเหลือใช้อย่างเช่น มอเตอร์เครื่องซักผ้า มอเตอร์ตู้เย็น อุปกรณ์รถยนต์ มาประยุกต์สร้างสรรค์เป็นเครื่องมือต่างๆ และใช้พลังงานจากโซลาร์เซลเป็นหลัก ทำให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและประหยัดค่าไฟฟ้า ทั้งยังสร้างรายได้ด้วยการส่งขายและแปรรูปเป็นอาหาร” 

“โดยเมื่อครั้งยังเป็นรองผู้ว่าฯ ผมได้นำแนวคิดนี้ไปทดลองทำเป็นแปลงเกษตรและบรรจุสอนเป็นวิชาที่โรงเรียนฝึกอาชีพของกรุงเทพมหานคร (หนองจอก) พร้อมกับทำเป็นศูนย์การฝึกอาชีพของคนพิการทุกประเภทด้วย ซึ่งคาดว่าจะทำการเรียนการสอนได้ในเร็ววันนี้”

“บิ๊กตู่” มอบของขวัญสงกรานต์จากรัฐบาลแบ่งเบาค่าใช้จ่ายประชาชนเดินทางกลับบ้าน เปิดให้ขึ้นทางด่วนฟรี 5 เส้นทาง พร้อมขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ต้องปฏิบัติงานในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2565

เมื่อวันที่ 22 เม.ย.นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงใยประชาชนที่ต้องกลับบ้านในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2565 นี้ โดยกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกประชาชนในการเดินทางกลับบ้าน พร้อมมอบของขวัญวันสงกรานต์และช่วยแบ่งเบาลดภาระประชาชนที่ต้องใช้บริการทางด่วนกลับบ้านช่วงสงกรานต์ด้วยการเปิดให้ขึ้นทางด่วนฟรี 5 เส้นทาง รัฐบาล

โดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม ร่วมกับ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM และบริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด เตรียมพร้อมอำนวยความสะดวกและช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน โดยยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ ดังนี้ 1. ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี) 2. ทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี–สุขสวัสดิ์) โดยทั้งสองเส้นทางเริ่มตั้งแต่วันอังคารที่ 12 เมษายน 2565 เวลา 00.01 น. ถึงวันจันทร์ที่ 18 เมษายน 2565 เวลา 24.00 น. 3. ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางด่วนขั้นที่ 1) 4. ทางพิเศษศรีรัช (ทางด่วนขั้นที่ 2) และ 5. ทางพิเศษอุดรรัถยา (ทางด่วนบางปะอิน-ปากเกร็ด) โดยทั้งสามเส้นทางเริ่มตั้งแต่วันพุธที่ 13 เมษายน 2565 เวลา 00.01 น. ถึงวันศุกร์ที่ 15 เมษายน 2565 เวลา 24.00 น. 

นายธนกร กล่าวว่า นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมยังได้จัดตั้งหน่วยบริการประชาชน โดยบูรณาการการทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทางด่วน บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เพื่อบริการประชาชนที่ใช้ทางพิเศษในช่วงเดินทางขาออกจากกรุงเทพฯ (ระหว่างวันที่ 11-13 เมษายน 2565 ) จัดตั้งหน่วยบริการที่ด่านเก็บเงินค่าผ่านทางพิเศษบางแก้ว 1 ด่านเก็บเงินค่าผ่านทางพิเศษฉิมพลี ด่านเก็บเงินค่าผ่านทางพิเศษบางปะอิน (ขาออก) เวลา 07.00 – 21.00 น. สำหรับช่วงขาเข้ากรุงเทพฯ (ระหว่างวันที่ 14-17 เมษายน 2565) จัดตั้งหน่วยบริการที่ด่านเก็บเงินค่าผ่านทางพิเศษดาวคะนอง ด่านเก็บเงินค่าผ่านทางพิเศษจตุโชติ และด่านเก็บเงินค่าผ่านทางพิเศษบางปะอิน (ขาเข้า) เวลา 07.00 – 21.00 น.

“วิโรจน์” ลุยย่านพระนคร ชูแนวคิด “คืนเมืองที่เท่าเทียมกัน” ไม่หวั่น โพลอื่นคะแนนตก เหตุทำโพลเองเหมือนกัน ชี้ ผลคะแนนทำยิ้มกว้างได้

เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 12 เม.ย. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 1 พรรคก้าวไกล เดินหาเสียงบริเวณตลาดมหานาค และตลาดนางเลิ้ง พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับการตอบรับที่ดี ประชาชนเข้าใจว่าปัญหาของกทม.อยู่ที่โครงสร้าง ที่ลำพังเพียงแค่การบริหารอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องเข้าไปจัดสรรงบประมาณให้เป็นธรรม และเข้าไปแก้ข้อบัญญัติที่นายทุนหรือผู้รับเหมารายใหญ่เอารัดเอาเปรียบ โดยเฉพาะนายทุนเจ้าของห้าง นายทุนอสังหาริมทรัพย์ นายทุนพลังงาน นายทุนสุรา ที่เอารัดเอาเปรียบเรา ทั้งจากค่าธรรมเนียมขยะ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หรือแม้แต่การขอสร้างอาคารสูงในพื้นที่ย่านธุรกิจต่างๆ ประชาชนเข้าใจว่าต้องจัดสรรการบริหารใหม่ เพื่อเดินไปข้างหน้า 

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนจะลงพื้นที่ให้ทั่วครบทุกเขต เพราะพรรคก้าวไกลส่งผู้สมัครส.ก.ด้วย โดยแต่ละพื้นที่มีปัญหาแตกต่างกัน ทั้งปัญหาร่วมและปัญหาเฉพาะ สำหรับปัญหาที่ประชาชนสะท้อนอยากให้เร่งแก้ไขโดยเร็ว คือ 1.เรื่องระบบการระบายน้ำ 2.เรื่องการเดินทางสาธารณะ และ 3.ปัญหาทั่วไปที่มีจำนวนมาก ที่เมื่อชาวบ้านไปร้องสำนักงานเขตก็บอกว่างบประมาณหมด แต่กลับยังทำโครงการต่างๆ ได้ ชาวบ้านเจอแต่คำตอบบอกปัด ตนจึงมีนโยบายกระจายงบประมาณที่ดึงจากส่วนกลางมา 4 พันล้านบาท เพื่อกระจายลงชุมชนทุกเขต 50 เขตได้รับการแก้ไขปัญหาพร้อมกัน

“เราจะคืนเมืองที่เท่าเทียมกัน เอาใส่ใจคนเหมือนกัน เป็นเมืองที่คนเท่ากัน เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน และยกเว้นอภิสิทธิ์ชน เครือข่ายทหาร และนายทุนต่างๆ ทั้งนี้ ผมจะลุยพื้นที่ต่อเนื่องทุกวัน ส่วนวันนี้ที่มาลงพื้นที่ตลาดนางเลิ้งพบปัญหาเรื่องการระบายน้ำ ทางเท้าและการจัดสรรพื้นที่ค้าขายที่ต้องเป็นธรรม ต้องยอมรับว่าคนกทม.ถูกใช้คำว่าจัดระเบียบจนชิน จนเราคิดว่าเราเป็นผู้ถูกปกครองไปแล้ว ต้องรอให้ผู้มีอำนาจมาชี้ขาด ซึ่งกลไกของเมืองที่พัฒนาแล้วจะเปิดโอกาสให้มีผู้มีส่วนได้เสียได้มีโอกาสมาพูดคุยกัน เพื่อหากติการ่วมกัน โดยผู้ว่าฯที่มาจากประชาชนก็มาธำรงกติกานั้น แต่เมืองนี้ยังไม่เคยสร้างกติกา สร้างพื้นที่ตลาดหรือพื้นที่ให้คนไปค้าขาย ถ้ามีพื้นที่เพียงพอคงไม่มีใครอยากมาค้าขายบนทางเท้า” นายวิโรจน์ กล่าว

เมื่อถามถึงนโยบายการแก้ไขปัญหาทางเท้าในกทม. นายวิโรจน์ กล่าวว่า การออกแบบกฎหมายดีพอสมควร แต่ปัญหาอยู่ที่การตรวจรับ เราควรใช้หน่วยงานอิสระที่เชื่อถือได้มาตรวจรับงานโยธาต่างๆ เพื่อให้ถูกต้องมากขึ้น 

 “นายกฯ” ย้ำ ทุกหน่วยงาน เตรียมพร้อม ช่วงสงกรานต์

เมื่อวันที่ 12 เม.ย.ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า หลังจากศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด19 หรือ ศบค. ได้ผ่อนคลายมาตรการการเดินทางเข้าราชอาณาจักรเพิ่มเติมโดยการยกเลิกการใช้ผลตรวจ RT-PCR 72 ชั่วโมงก่อนเดินทางเข้าประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. เป็นต้นมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ติดตามสถานการณ์การเดินทางเข้าประเทศไทยของนักท่องเที่ยวอย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการปรับปรุงมาตรการต่างๆ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของ ศบค. เพื่อประกาศและดำเนินการในระยะต่อไป   

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การโดยสารทางอากาศยานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ที่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ได้ประเมินว่าระหว่างวันที่ 11 – 17 เม.ย. 2565 ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ ทอท. ประกอบด้วย ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, เชียงใหม่, แม่ฟ้าหลวง เชียงราย, ภูเก็ต และหาดใหญ่ จะมีเที่ยวบินประมาณ 9,310 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 14.48% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 2,490 เที่ยวบิน และเที่ยวบินภายใน ประเทศช 6,820 เที่ยวบิน จำนวนผู้โดยสารที่เดินทางประมาณ 1 ล้านคน เพิ่มขึ้น 103.07% แบ่งเป็นเป็นผู้โดยสารที่เดินทางเข้า-ออกระหว่างประเทศ 238,800 คน และผู้โดยสารภายในประเทศ 843,220 คน  

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกฯมอบหมายกระทรวงคมนาคมให้ติดตามแนวโน้มจำนวนผู้เดินทางเข้า-ออกประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับประสาน ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน ณ ท่าอากาศยาน (EOC)

สำนักงานการบินพลเรือน แห่งประเทศไทย ท่าอากาศยานที่ได้รับอนุญาตให้ทำการบินเข้า-ออกระหว่างประเทศบิน ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง ตลอดจนหน่วยงานเกี่ยวข้องในการวางแผนรองรับ

โดยทุกระบบของทุกหน่วยบริการ ณ ท่าอากาศยานต้องมีความพร้อม  และสามารถปรับแผนการให้บริการให้สอดคล้องกับจำนวนผู้โดยสาร ด้านกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประสานผู้ประกอบการโรงแรมให้เตรียมการทั้งกำลังคนและรถรับผู้โดยสารจากท่าอากาศยานให้เพียงพอโดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะมีการเดินทางหนาแน่น ทั้งของผู้โดยสารในและระหว่างประเทศกว่า 1ล้านคน ให้สามารถอำนวยความสะดวกให้ผู้เดินทางเป็นไปอย่างคล่องตัว และยังเป็นไปตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด19 ที่เข้มงวด 

"พี่เอ้" ชู นโยบายขายได้ขายดี ส่งเสริมตลาดนัดดึงดูดนักท่องเที่ยว หนุนค้าขายออนไลน์ บริการอินเทอร์เน็ตฟรี 150,000 จุด หวังสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน

เมื่อวันที่ 12 เม.ย. นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 4 พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนเสนอนโยบาย “ขายได้ขายดี” เพราะหลังจากได้ลงพื้นที่มาแล้วทั้ง 50 เขต หลากหลายชุมชนพบว่า อาชีพของคนในชุมชนคือการค้าขาย รวมทั้งวิถีชีวิตของคนในชุมชนผูกพันกับตลาดมาโดยตลอด และเสน่ห์ตลาดของกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็นตลาดราชวัตร ตลาดเทเวศน์ ตลาดบางลำภู ตลาดโกสุม ตลาดโอโซน ก็ล้วนมีเอกลักษณ์ไม่แพ้ใคร 

นายสุชัชวีร์ กล่าวต่อว่า ดังนั้น ตนจึงต้องการสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพราะเมื่อเกิดการจับจ่ายใช้สอยในพื้นที่ ย่อมนำมาสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชน ทำให้คนตัวเล็กมีรายได้อย่างแท้จริง ด้วยการออกนโยบาย “ขายได้ขายดี” คือ 1.ส่งเสริมตลาดนัด เพิ่มพื้นที่ทำมาค้าขาย และเพิ่มตลาดถาวร ให้ประชาชนมีพื้นที่ทำกิน 2.ดึงเอกลักษณ์ของตลาดที่มีอยู่ นำมาเป็นจุดขายเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว และสร้างแลนมาร์กตลาดใหม่ เพิ่มพื้นที่ เพิ่มโอกาสในการค้าขาย

‘บิ๊กตู่’ มอง พล.อ.ประวิตร ขึ้นป้ายยักษ์สวัสดีปีใหม่เป็นเรื่องปกติ มั่นใจไม่ถูกแย่งเก้าอี้ ลั่นไม่มีอะไรทำให้แตกคอกันได้

เมื่อวันที่ 12 เม.ย. 65 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีสังคมวิพากษ์วิจารณ์ภาพ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ขึ้นป้ายสวัสดีปีใหม่ตามถนนเส้นต่างๆ ว่า จากการสอบถามก็มีพรรคอื่นทุกพรรคด้วย ซึ่งแต่ละพรรคก็ทำได้เพราะหากไม่มีอะไรที่ผิดกฎหมายก็ว่ากันไป

เมื่อถามว่ามีการมอง พล.อ.ประวิตร จะมาเป็นนายกฯ เอง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร ยืนยันร้อยครั้งแล้วว่าท่านไม่เป็น

เมื่อถามย้ำว่าคนรอบข้างอาจสนับสนุนให้ พล.อ.ประวิตร จะมาเป็นนายกฯ นั้น พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า ตนไม่ทราบว่าใครพูด แต่พล.อ.ประวิตร พูดกับผมทุกครั้ง และเราไม่เคยพูดหรือสงสัยในเรื่องนี้

"ไม่มีอะไรที่จะทำให้ผมแตกคอกันได้ทั้งสิ้น ไม่มีอะไรทั้งสิ้น"

"นายกฯ "ย้ำหลัก 3 ป. ประเมิน -ปรับ- ปฏิบัติ ร่วมกันควบคุมโควิด-19 ช่วงสงกรานต์   โดยผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้  รวม 19,982 ราย เสียชีวิต 101 ราย

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ย้ำสงกรานต์ปลอดโควิด-19 ด้วยมาตรการ COVID FREE Setting

โดยเชิญชวนประชาชนและผู้ประกอบการ ทุกภาคส่วน เน้นหลัก 3 ป. ของกระทรวงสาธารณสุข ดังนี้1. ป.ประเมิน- ความเสี่ยงกิจกรรมหรือรูปแบบงาน ได้แก่ ความหนาแน่นของจำนวนผู้ร่วมงาน  หรือการเว้นระยะห่าง การพูดคุย  การสวมหน้ากากและการระบายอากาศ ซึ่งหากพบกิจกรรมที่มีลักษณะเสี่ยงตั้งแต่ 2 ข้อขึ้นไป ถือว่ามีความเสี่ยงสูง 2.ป.ปรับ - ถ้าประเมินว่ามีความเสี่ยง

ควรปรับตามมาตรการความปลอดภัย  COVID FREE Setting ทั้ง 3 ด้าน  เจ้าภาพ ผู้จัดงาน ให้เลือกสถานที่ ที่มีการระบายอากาศที่ดีมีการทำความสะอาดจุดสัมผัสร่วมหรือจุดเสี่ยงต่างๆ จัดสถานที่สำหรับล้างมือ  เลี่ยงหรืองดกิจกรรมที่มีลักษณะที่มีการใกล้ชิดกันหรือเน้นการจำกัดจำนวนคนในบางกิจกรรม  รวมทั้ง ผู้จัดงานและผู้ร่วมงานควรได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ รวมทั้ง ประเมินความเสี่ยงตนเองด้วย Thai Stop COVID Plus หากพบว่ามีความเสี่ยงสูงควรงดไปร่วมงาน 3.ป.ปฏิบัติ - ปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน DMHTA  ในระหว่างร่วมงานอย่างเคร่งครัด  หลังจากเข้าร่วมงานควรเฝ้าระวังตนเองอย่างน้อย 10 วัน

นายธรกร กล่าวว่า นายกฯย้ำถึงมาตรการ 2 U ป้องกันควบคุมโรคโควิดในช่วงนี้ ทั้ง Universal Prevention สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง เมื่อ ใกล้ชิดผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง รวมทั้งงดรับประทานอาหารร่วมกัน รวมถึงการดูแลตนเองให้ปลอดความเสี่ยงติดเชื้อ (Self clean-up) ก่อนกลับไปเยี่ยมญาติ ผู้ใหญ่ และ Universal Vaccination ทุกกลุ่มอายุเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั้งเข็มปกติและเข็มกระตุ้นอีกด้วย

“วราวุธ” ฟิต “หัวใจเสริมใยเหล็ก” ลั่น ขอทำงาน เพื่อปชช. พร้อมดูแลสุขภาพ 

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงการตรวจสุขภาพ พบว่าเส้นเลือดตีบต้องทำบอลลูน ว่าหัวใจเสริมใยเหล็ก ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง 

ผู้สื่อข่าวถามกรณีที่ภรรยาโพสต์ข้อความเป็นห่วง เพราะทำงานตลอดเวลา นายวราวุธ กล่าวว่า “เดี๋ยวก็ได้พักเอง ตอนนี้เป็นรัฐมนตรี ขอทำงานก่อน ทำให้คุ้มภาษีประชาชน” 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top