Thursday, 26 June 2025
POLITICS NEWS

ไขข้อสงสัย!! เหตุ ‘ลุงตู่’ อนุมัติให้ซื้อไฟฟ้าเพิ่ม ร่ายเหตุผล ปทท.มีแผน 'เพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด' ผลักดัน Net-Zero

(23 เม.ย.66) ผู้ใช้บัญชี ‘Supote Laocharoen’ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า…

ลุงตู่อนุมัติให้ซื้อไฟฟ้าเพิ่มอีกทำไม?

... ถ้าคนมันจะพูดให้เป็นเรื่อง ก็จะพูดแค่ "ลุงตู่อนุมัติให้ซื้อไฟฟ้าเพิ่ม ทั้งที่มีปริมาณไฟฟ้าสำรองมากมาย จนทำให้ค่าไฟฟ้าแพงอยู่ตอนนี้" พูดเพียงเท่านี้ ลุงตู่ก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัยขึ้นมาทันทีว่า เพราะอะไร มีผลประโยชน์กับเอกชนหรือไม่ บลาๆๆๆๆๆๆ

... แต่ถ้าหาข่าวหาข้อเท็จจริง ก็จะเข้าใจได้ว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้อนุมัติให้รับซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาดมาตั้งแต่ 2562 ตามโครงการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561-2580 ไม่ได้เพิ่มการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานฟอสซิล

... ประเทศไทยมีแผนเพิ่มการผลิตไฟฟ้า ด้วยพลังงานสะอาด เพื่อเดินหน้าไปสู่เป้าหมาย Net-Zero Carbon Emission ของประเทศไทยให้ได้ 40% ภายในปี พ.ศ. 2573 ที่ได้ประกาศเจตนารมณ์ไว้ในการประชุม COP26 โดยรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก ที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานน้ำ พลังงานลม พลังงานแสงแดด หรือใช้ขยะเป็นเชื้อเพลิง เพื่อจัดหาไฟฟ้าให้กับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ที่ระบบไฟฟ้าฐานเข้าไม่ถึง จะได้มีไฟฟ้าใช้ในการดำเนินชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงสาธารณูปโภคพื้นฐานอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง รวมถึงเริ่มนำโมเดลเศรษฐกิจเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน 3 ด้าน คือ ชีวภาพ (Bio) หมุนเวียน (circular) และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green) หรือ BCG 

... นี่คือเหตุผลที่ กพช. มีมติให้รับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ซึ่งมันคนละเรื่องกับไฟฟ้าที่ได้มีการทำสัญญารับซื้อไว้สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ปัญหาเดิม มันแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่อนาคตของประเทศไทยก็ต้องเดินต่อไป ถ้าเราเดินช้าก็จะล้าหลัง


ที่มา : https://www.facebook.com/100000780943116/posts/pfbid0FEmT6eHCs4tN9KpzKf64QmJAv2ynS3zFWvmZw1XusxXvy9vFyhsh3YGQGGkSk1dhl/?mibextid=unz460

‘หนุ่ม อนุวัต’ สุดทน!! ยืนประท้วง เรียกร้องคณะกรรมการท้องถิ่น จ.ปทุมฯ ปมขยายถนน ไม่ลงนา แต่ผ่าตลาด ทำชาวบ้านเดือดร้อนกว่า 300 คน

หนุ่ม อนุวัต สุดทน ยืนถอดเสื้อประท้วงกลางสี่แยกตลาดลำไทร เรียกร้องคณะกรรมการผังเมืองจังหวัดปทุมธานี ทบทวนการขยายถนน 30 เมตร ผ่านกลางตลาด ต้องทุบตลาด ทั้งที่สามารถเบี่ยงถนนลงทุ่งนาข้างๆ ได้  ชุมชนชาวบ้านเดือดร้อนกว่า 300 คน 

(23 เม.ย.66) อนุวัต เฟื่องทองแดง ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'อนุวัต จัดให้' โดยระบุว่า...

ผม หนุ่ม อนุวัต เฟื่องทองแดง ผู้ประกาศข่าว ลูกหลานชาวตำบลลำไทร อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี เกิดและเติบโตที่นี่และหวังว่าจะกลับมาใช้ชีวิตบั่นปลายที่บ้านเกิด

เปิดใจ ‘พรหมภัสสร’ คู่ชีวิตผู้เคียงข้าง ‘จตุพร พรหมพันธุ์’ เหตุผลสำคัญที่ทำให้ 'ตู่' กล้าสู้ แม้ไม่เหลืออะไรเลยก็ตาม

(22 เม.ย.66) ผู้ใช้ติ๊กต๊อก บัญชี ‘อัศวิน ศรีพูแพน’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอของ ‘คุณพรหมภัสสร ณ กาฬสินธุ์’ ภรรยาของ ‘ตู่’ หรือ ‘คุณจตุพร พรหมพันธุ์’ ซึ่งเคยเปิดใจถึงพี่ตู่ในหลายๆ แง่มุมผ่านรายการหนึ่ง ความว่า…

“ในเรื่องการต่อสู้ เขา (จตุพร) เป็นนักสู้จริงๆ เขาสู้จนลืมนึกถึงครอบครัว สู้จนลืมนึกถึงตัวเอง เพราะฉะนั้นเราต้องคอยให้กำลังใจเขา โดยปกติก็จะแลกเปลี่ยนกันตลอด มีทุกเรื่องก็จะปรึกษากัน คือพี่ตู่มาปรึกษาแล้วเราก็จะช่วยคุยช่วยดู ส่วนใหญ่จะอยู่เบื้องหลัง มีอะไรขึ้นมาก็จะบอกเล่ากันเดี๋ยวนั้น และก็จะคอยปรามคอยเบรกอะไรที่มันเกินไป พี่ตู่เขาก็จะรับฟัง พี่ตู่เป็นผู้รับฟังที่ดี”

เกี่ยวกับเรื่องมนุษยสัมพันธ์ พรหมภัสสร เล่าว่า "ส่วนตัวในบ้านพี่ตู่จะเป็นคนที่น่ารัก เป็นคนยิ้มง่าย อารมณ์ดี มีอารมณ์ขัน อารมณ์ขันเหมือนกันกับคุณณัฐวุฒิเลย แต่พอเวลาขึ้นเวทีก็จะเป็นอีกรูปลักษณ์นึง ซึ่งออกมาดูว่าแข็งกร้าว แต่จริงๆ แล้วคนที่ได้ใกล้ชิดพี่ตู่ จะบอกว่าพี่ตู่ไม่ใช่อย่างงั้นเลย 

เกี่ยวกับความไม่ยึดติด พรหมภัสสร กล่าวว่า "ช่วงที่เรารู้จักกันมาตั้งแต่พี่ตู่ไม่มีชื่อเสียงไม่มีใครรู้จัก ยังเป็นรองโฆษกพรรคไทยรักไทย เป็นรองของท่านอดิศร เพียงเกษ พี่ตู่ก็ไม่เคยออกมาตอบโต้อะไร เวลาเขาจัดลำดับที่นั่ง พี่ตู่จะนั่งอยู่ท้ายก็ไม่ได้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจอะไร พี่ตู่ทนอุปสรรคฟันฝ่าบากบั่นมาจนเป็นพี่ตู่ในวันนี้ จนเป็นคุณจตุพร พรหมพันธุ์ในวันนี้

ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด พรหมภัสสร ก็บอกว่า "ตัวเราเป็นกำลังใจดูอยู่เงียบๆ แม้วันนึงที่พี่ตู่ไม่มีตำแหน่งอะไรเลย ทางบ้านก็ไม่เสียใจ เพราะเรารู้ว่าเขามาได้ขนาดนี้ เขาเก่งมากแล้ว พี่ตู่ไม่เป็นอะไรก็ได้ พี่ตู่ก็ยังเป็นพี่ตู่ที่มีเพื่อนรักอยู่เหมือนเดิม"

เมื่อพูดถึงเรื่องชีวิตคู่ เธอเล่าว่า "ตัวทะเบียนสมรสไม่ใช่หลักประกันว่าชีวิตคู่จะอยู่ด้วยกันไปตลอด โดยช่วงแรกที่คุยกัน พี่ตู่บอกว่า จะแต่งงานก็ได้นะ จะจดทะเบียนสมรสก็ได้นะ แต่เราเป็นฝ่ายเลือกเองว่า ไม่ต้องแต่งหรอกและก็ไม่ต้องจด และก็บอกว่าเราอยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆ เหมือนเพื่อนกันดีกว่า”

เมื่อถามว่าทำไมถึงไม่จดทะเบียน พรหมภัสสร เล่าว่า "เหตุที่เป็นฝ่ายเลือกเองว่าไม่จดและไม่แต่ง เพราะมันมีตัวอย่างให้เห็นเยอะ ว่าการแต่งงานหรือการจดทะเบียนสมรส ไม่สามารถที่จะทำให้ผู้หญิงกับผู้ชายสองคนจะอยู่ด้วยกันไปตลอดรอดฝั่ง กลับกันถึงจะไม่ได้จดก็มีหลายคู่ที่อยู่ด้วยกันแบบเพื่อนกันไปจนตลอดชีวิต คือทะเบียนสมรสมันไม่ใช่สิ่งอะไรที่มันจีรังยั่งยืน มันอยู่ที่ใจมากกว่า ถ้าต่างคนต่างเข้าใจกันแล้วตรงนั้นมันก็ไม่จำเป็น"

3 ทางเลือกทำลาย 'ลำไยอบแห้ง' อีกบทพิสูจน์ความโปร่งใสรัฐ

รู้หรือไม่? ในอดีตรัฐบาลไทยได้มีการแก้ไขปัญหากรณีลำไยอบแห้งค้างสต็อก ด้วยการจัดสรรงบประมาณทำลายทิ้ง เพื่อไม่ปล่อยให้ตัวลำไยไหลไร้คุณภาพไหลไปสู่ตลาด ถึงมือผู้บริโภค และคู่ค้าระหว่างประเทศ ถือเป็นอีกการแสดงออกถึงความรับผิดชอบ บนมาตรการที่โปร่งใส ตรวจสอบได้

อันที่จริงแล้ว ในอดีตเกษตรกรภาคเหนือเคยร่ำรวยจากการขายลำไย จนบางรายถึงขั้นกล้าเปลี่ยนแปลงพื้นที่นา และพื้นที่ทำการเกษตรอื่นๆ ให้กลายเป็นสวนลำไยอย่างกว้างขวาง 

อย่างไรก็ตาม ปัญหาราคาลำไยตก ก็เริ่มมีให้เห็น เมื่อเริ่มมีการใช้เทคโนโลยีทางการเกษตรเร่งการผลิตลำไยนอกฤดู ทำให้ราคาลำไยค่อยๆ ลดต่ำลงเป็นลำดับ 

คำถาม คือ เวลาเจอสถานการณ์เช่นนี้ ควรต้องเป็นความรับผิดชอบของใคร? เกษตรกรฝ่ายเดียวหรือไม่? 

คำตอบก็รู้ๆ กันอยู่แล้วว่า ไม่!! 

แน่นอนว่า ในห้วงที่ราคาผลผลิตทางการเกษตรดี ไม่มีเกษตรกรคนใดไม่อยากรวย ไม่อยากปลดหนี้ ฉะนั้นผู้ที่ควรรับผิดชอบที่สำคัญในจังหวะเวลาดังกล่าว จึงต้องเป็นหน่วยงานต่างๆ ที่เข้ามาส่งเสริมการผลิต ไม่เว้นแม้แต่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ที่ปล่อยกู้อย่างมีเงื่อนไข หากเกษตรกรระบุวัตถุประสงค์การกู้ว่าจะนำเงินไปลงทุนปลูกลำไย ก็จะได้รับการอนุมัติอย่างรวดเร็ว และจนถึงวันที่ผลของการผลิตอย่างไม่มีการวางแผนการตลาดล่วงหน้าก็ย้อนกลับมาทำลายระบบตลาดลำไย เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ปัญหาลำไยเป็นปัญหาที่ต้องแก้ทั้งระบบอย่างเร่งด่วน เพราะเป็นปัญหาที่สะท้อนการพัฒนาของประเทศ ทุกๆ ปัญหาที่ถาโถมเข้ามา รัฐบาลจำเป็นต้องเข้ามาจัดการแบบแก้ไปทำไป เพื่อต่อลมหายใจให้เกษตรกรไม่พังกันเป็นแถบ

มีกรณีศึกษาหนึ่งที่น่าสนใจ โดยย้อนไปในช่วงปี 2552 กับการแก้ปัญหาลำไยอบแห้งค้างสต็อกปี 2546/2547 กว่า 4.6 หมื่นตันที่ค้างคามานาน 

ตอนนั้นคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2552 ได้มีมติให้ทำลายลำไยด้วยวงเงินไม่เกิน 90 ล้านบาท แต่ยังเป็นที่ถกเถียงว่าจะทำลายด้วยวิธีใดที่จะคุ้มค่าที่สุดและไม่เปลืองงบประมาณ ที่สุด

ผลจากการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการและทำลายลำไยอบแห้งปี 2546 และปี 2547 ครั้งที่ 1/2552 ในวันที่ 24 มิถุนายน โดยมีนายจรัลธาดา กรรณสูตร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เป็นประธานคณะกรรมการ ได้สรุป 3 แนวทางในการจัดการปัญหาลำไยค้างสต็อกเพื่อเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 30 มิถุนายน 2552

>> แนวทางแรก : เป็นการบดแล้วนำไปทำลายด้วยการฝังกลบ 
>> แนวทางที่สอง : เป็นการบดแล้วนำไปทำลายด้วยการเผา 

ทั้ง 2 วิธีนี้ จะใช้งบประมาณในการทำลายเฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.67 บาท รวมกับค่าดำเนินการอีกกิโลกรัมละ 0.25 บาท เบ็ดเสร็จเชื่อว่างบประมาณที่ใช้ในการทำลายขึ้นกับปริมาณลำไยอบแห้งค้างสต็อกคาดว่าจะไม่เกิน 78 ล้านบาท

>> ส่วนแนวทางที่สาม : เป็นการนำไปทำพลังงานชีวมวลโดยการนำลำไยดังกล่าวบดให้ละเอียดแล้วอัดเป็นแท่งตะเกียบ โดยความร่วมมือของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และศูนย์วิจัยพลังงานชีวมวล คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งปัจจุบันมีเครื่องต้นแบบแล้วจำนวน 3 เครื่อง วิธีนี้ใช้วิธีการทำลายจำนวน 60 ล้านบาท

นายจรัลธารา ยืนยันว่าทั้ง 3 แนวทางจะโปร่งใสไม่มีลำไยค้างสต็อกออกมาเล็ดลอดปลอมปนกับลำไยที่กำลังจะออกสู่ท้องตลาดในฤดูกาลใหม่ในขณะนั้นอย่างแน่นอน เพราะจะมีการทำลายด้วยการบดละเอียดทีละโกดังที่กระจายอยู่ทั้งหมด 59 โกดังใน 4 จังหวัด คือ เชียงใหม่, เชียงราย, ลำพูน และลำปาง อีกทั้งยังเป็นการเช็กสต็อกลำไยอบแห้งไปด้วยในตัว หากปริมาณที่บดทำลายน้อยกว่าที่ขึ้นทะเบียนไว้ไม่ตรงกันโดยหักค่าเสื่อมน้ำหนักไม่เกิน 10% เจ้าของโกดังต้องเป็นผู้รับผิดชอบตามกฎหมายโดยถือเป็นจำเลยที่ 1

อย่างไรก็ตาม แนวทางที่ 3 ถือเป็นแนวโน้มที่มีความเป็นไปได้กว่า 70-80% ซึ่งหลายฝ่ายก็เห็นด้วยและ ครม.ก็ไม่ติดขัดให้ดำเนินการทำลายแล้วนำมาอัดแท่งเป็นเชื้อเพลิงแท่งตะเกียบ 

กกต.ไม่ขัด!! หาก ‘นายกฯ’ ชงงบแก้ 'ค่าไฟแพง' ด้าน 'สมชัย' ขวาง!! กกต.ไฟเขียว มีสิทธิ์ติดคุก

(21 เม.ย.66) จากกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์เรื่องการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าว่าจะต้องขออนุมัติจาก กกต. เนื่องจากเป็นการใช้งบประมาณในช่วงของการหาเสียงเลือกตั้งนั้น ด้านพันตำรวจตรีณัฐวัตน์ เสงี่ยมศักดิ์ รองเลขาธิการฯ ด้านกิจการพรรคการเมือง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ระบุว่า เรื่องดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมาย หากเรื่องใดที่คณะรัฐมนตรีช่วงรักษาการ อนุมัติเกี่ยวกับเรื่องเงิน ก็ต้องผ่านความเห็นชอบจาก กกต. ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนและ กกต.ก็จะพิจารณา ไม่มีอะไรซับซ้อน

ด้านนายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. กล่าวกรณีรัฐบาลเตรียมทำเรื่องถึง กกต. เพื่อขออนุมัติใช้งบประมาณช่วยเหลือประชาชนจากปัญหาค่าไฟแพง ว่า หากเสนอมาก็ต้องนำเข้ากกต. ซึ่งจะมีเกณฑ์การพิจารณาอยู่ ยืนยันว่าไม่เป็นปัญหาต่อกกต.แต่อย่างใด เพราะเราต้องพิจารณาไปตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้

เมื่อถามว่าการพิจารณาของกกต.อาจถูกมองว่าเอื้อประโยชน์ปลดล็อกให้รัฐบาล นายอิทธิพร กล่าวว่า อาจจะถูกมองเช่นนั้นได้ แต่ในพิจารณา ถ้าเราเห็นว่ามันเป็นการทำที่ถูกต้อง เราก็อนุมัติไป และเราก็ต้องรับผลกระทบไป เพราะมันเป็นหน้าที่ของเรา แต่ถ้าเราเห็นว่าไม่ใช่ เราก็ต้องบอกว่าไม่ใช่ ไม่ได้ แค่นั้นเอง

“เรายืนอยู่ตรงกลางอยู่แล้ว ผลสุดท้ายถึงเวลาจริง เขาก็ต้องให้เราทำ ซึ่งไม่คิดว่ากกต.ถูกยืมมือเป็นเครื่องมือใคร แต่กกต.คิดว่าเป็นเรื่องบทบาทหน้าที่ของเราที่ต้องทำ และการตัดสินของเรามีทั้งถูก ทั้งผิด มีทั้งเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ซึ่งผลจะออกมาเป็นอย่างไร เมื่อเราตัดสินแล้วก็ต้องรับผิดชอบและเราไม่ตัดสินก็ไม่ได้ แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับว่าถ้ามีเหตุผลดีและสนับสนุนคำขอก็ต้องตัดสินว่าให้อนุญาต และเราก็รับผลไปเมื่อมีผู้ไม่เห็นด้วย แต่หากเราเห็นว่าไม่ควรทำเรื่องนี้ ในเวลานี้เราก็บอกรัฐบาลว่าไม่ได้” นายอิทธิพร กล่าว

เมื่อถามต่อว่า มีผู้มองว่าเรื่องนี้ควรเป็นการพิจารณาของรัฐบาลหน้า นายอิทธิพร กล่าวว่า หากเสนอเรื่องมาที่กกต. เราก็ต้องพิจารณาไป จะไปหลบใต้โต๊ะ บอกว่าไม่พิจารณาก็ไม่ได้

‘องอาจ’ ฉะ ‘บิ๊กป้อม’ อ้าง ปชป.เท ‘มาร์ค’ หวังร่วม รบ. ยัน!! มาร์คออกเพราะสปิริต และร่วมรัฐหลังได้ หน.ใหม่

(21 เม.ย. 66) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ดูแลพื้นที่กรุงเทพมหานคร กล่าวถึงบทความของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้ารรคพลังประชารัฐ (พปช.) เรื่องจะจัดตั้งรัฐบาลอย่างไร ที่เขียนลงในเฟซบุ๊กพาดพิงถึงพรรคประชาธิปัตย์ว่า หัวหน้าพรรค คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศไม่ยอมให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ แต่พอถึงเวลาจัดตั้งรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วม โดยหัวหน้าพรรคคนใหม่ แต่ให้คุณอภิสิทธิ์ลาออกไป โดยมีประโยชน์ของประชาชนมากมายมาอ้างว่า ข้อความที่ พล.อ.ประวิตร เขียนนี้ยังคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะในความเป็นจริงแล้ว นายอภิสิทธิ์ ได้ประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคฯ ตั้งแต่กลางคืนวันที่ 24 มี.ค. 2562 หลังจากทราบผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการว่าเรามีจำนวน ส.ส.ที่ได้รับเลือกตั้งน้อยกว่าเดิม โดยการลาออกนี้เป็นการแสดงสปิริตความรับผิดชอบต่อผลการเลือกตั้งที่เกิดขึ้น

‘ต่าย ชุติมา’ โผล่คอมเมนต์ให้กำลังใจ ‘พิธา’ หลังพูดถึงปมความรุนแรงในครอบครัว

ต่าย ชุติมา โผล่คอมเมนต์ พิธา พูดถึงปมความรุนแรงในครอบครัว แฟนๆ แห่ส่งกำลังใจ

(21 เม.ย. 66) จากกรณี ‘ทิม’ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตสามีนักแสดงสาว ‘ต่าย’ ชุติมา ให้สัมภาษณ์กับสื่อตอนหนึ่ง ถึงเรื่องความรุนแรงในครอบครัว โดยยืนยันไม่เคยมีความรุนแรงในครอบครัว ตนต้องคิดถึงสิทธิสตรี สิทธิครอบครัว สิทธิเด็ก และสิทธินักการเมือง แต่ทุกคนก็เคยเป็นตัวร้ายในเรื่องเล่าของคนอื่นทั้งนั้น

ปรากฏว่า ต่าย ชุติมา อดีตภรรยาได้เข้าไปคอมเมนต์ในข่าวดังกล่าวว่า…

‘ธนาธร’ หวัง!! จนท.การบินไทยจะไม่โดนลงโทษ  ชี้!! แค่ให้กำลังใจ ไม่ได้ทำให้องค์กรเสียหาย 

‘ธนาธร’ ขออภัยทำการบินไทยกังวล หลังโพสต์ภาพข้อความบนสแน็คบอกซ์ไทยสไมล์เขียน “ขอให้โชคดีในการเลือกตั้ง”

(20 เม.ย.66) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าและผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล โพสต์ภาพประกาศบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ที่ 004/2566 เรื่อง นโยบายความเป็นกลางทางการเมือง ผ่านทวิตเตอร์ @thanathorn_fwp พร้อมระบุว่า…

“ขออภัยที่ทวีตของผมทำให้การบินไทยกังวลจนต้องมีแถลงนี้ออกมา หวังว่าเจ้าหน้าที่ที่ให้กำลังใจผมจะไม่โดนลงโทษ เพราะไม่ได้ทำให้องค์กรเสียหาย หรือนำองค์กรไปเกี่ยวข้องกับการเมือง เหมือนตอนที่มีพนักงานการบินไทยบางกลุ่มออกหน้าสนับสนุนรัฐประหาร”

โดยภายหลังได้โพสต์ข้อความเพิ่มระบุว่า “*แก้ไขครับ* แถลงนี้มีขึ้นก่อนหน้าเหตุการณ์ที่ผมทวีตขอบคุณเจ้าหน้าที่ไทยสไมล์ แต่มีผู้ให้ข้อมูลว่า เจ้าหน้าที่ท่านนั้นถูกพักงาน โดยองค์กรอ้างว่าได้เคยมีประกาศเตือนพนักงานไม่ให้แสดงออกทางการเมืองไปแล้ว ผมยืนยันอีกครั้งว่า ผมกังวลใจอย่างยิ่งหากจะมีการลงโทษพนักงานด้วยเหตุนี้”

ย้อนดูผู้ชนะการประมูล ฮุบกำลังผลิตไฟฟ้ากว่า 5,000 เมกะวัตต์ผู้เดียว ความไม่โปร่งใส จากการปรับปรุงแผน PDP ของรัฐบาลใคร?

(20 เม.ย.66) ร้องกันขรม 'ค่าไฟแพงโหด' แล้วก็ถล่มกันใหญ่
รัฐบาลลุงตู่นั่นแหละตัวการ ลุงตู่กินนอก-กินในกับนายทุนพลังงาน 5,000 เมกะวัตต์
ลุงตู่นอกจากไม่แก้ปัญหาและแก้ปัญหาไม่ได้แล้ว 
ลุงตู่ยังให้ 'ขึ้นค่าไฟ' ซ้ำเติมชาวบ้าน!
ลุงตู่นี่ "เป็นที่สุดของแจ้" จริงๆ ...........
เป็นทั้งเผด็จการ ทั้งยาสามัญประจำบ้าน  ทั้งกระโถนท้องพระโรง ทั้งส้วมสาธารณะ        

เพราะฉะนั้น ลุงตู่ถือว่ามีบุญ เป็นทั้งถนน เป็นทั้งสะพาน เป็นทั้งฐาน เป็นทั้งยอดพระเจดีย์ ใครอยากขี้รด-ขี้ ใครอยากปิดทอง-ปิด
จะว่าไป ก็น่าอิจฉานะ!
เรื่องค่าไฟแพงชนิดก้าวกระโดดนี้ ทุกคนรู้คร่าวๆ ว่า มาจากการประมูลกำลังผลิตไฟฟ้าเอกชน 5,000 เมกะวัตต์ ที่ กฟผ.ทำสัญญาซื้อขายกับเอกชน

ต้นทุน-กำไรมันก็สะท้อนออกมาเป็นค่าไฟ ตามสูตร 'ปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ' ที่เราเรียกค่า Ft แล้วไอ้ 5 พันเมกะวัตต์นี้ มันมายังไงกัน? ความจริงไม่ใช่เรื่องลึกลับ........
เราไม่จำกันเอง มันก็มาตะเภาเดียวกับ 'จำนำทุกเมล็ด-โกงทุกเมล็ด' นั่นแหละ
ไอ้พวกนักการเมืองขี้โกง มันรู้จุดอ่อนคนไทย จำอะไรไม่ค่อยได้ 'ลืมง่าย' จึงเท่ากับ 'หลอกง่าย'!

ฉะนั้น เวลาตอโผล่ ไอ้นักการเมืองตัวการ จะทำเฉไฉ ไม่รู้-ไม่ชี้ เรื่องนี้...ไม่ใช่ข้า แถมหาเสียงผสมโรงด่ารัฐบาลหน้าเสื่อมันไปซะเลย
ถ้างั้น วันนี้ มารู้ให้ชัดกันไปซะที ว่าโรงไฟฟ้าเอกชน 5 พันเมกะวัตต์ ต้นเหตุค่าไฟแพงนี้ มันเป็นมาไงกัน? จากข่าวมีเยอะ แต่เดี๋ยวจะว่า เอียงข้างโน้น-ข้างนี้ ฉะนั้น ผมจะนำเนื้อหาจาก 'วิทยานิพนธ์' มาให้เรียนกันเลย

เรื่อง 'มาตรการทางกฎหมายในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าของประเทศไทยเพื่อป้องกันการทุจริต'

ผู้ทำวิทยานิพนธ์ฉบับนี้คือ 'นางสาวรพีพร อภิภัทรางกูร'
เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร 'นิติศาสตรมหาบัณฑิต' สาขากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปีการศึกษา 2560

ในหัวข้อ 2.3.1 ปัญหาทุจริตเชิงนโยบาย เฉพาะ 'บางส่วน-บางตอน' จากหน้าที่ 33 ดังนี้
2.3.1 ปัญหาทุจริตเชิงนโยบาย
กรณีที่เคยปรากฏเป็นข้อกังขาของสังคมเกิดขึ้นในช่วงเวลาการปรับปรุงแผน PDP สมัยรัฐบาลนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาและมีมติเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ.2555 เห็นชอบตามมติ กพช. ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2555 เรื่องการปรับปรุงแผน PDP 2010 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 3
ประเด็นที่เป็นความเคลือบแคลงสงสัย ในเรื่องความไม่โปร่งใสจากการปรับปรุงแผน PDP ฉบับดังกล่าว ที่ยังคงเป็นประเด็นที่ถูกกล่าวถึง และมีการเรียกร้องให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจนกระทั่งปัจจุบัน คือ กรณีที่แผน PDP ได้กำหนดให้มีการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าจากผู้ผลิตเอกชน IPP ในปริมาณ 5,400 เมกะวัตต์ 

โดยระบุว่า.... "จะต้องเป็นพลังงานไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงเป็นก๊าซธรรมชาติทั้งหมด" ทำให้ กกพ. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน-เปลว) ซึ่งมีหน้าที่ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ตามที่ มาตรา 11 (4) แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 กำหนดไว้ ต้องไปดำเนินการ ออกระเบียบ และหลักเกณฑ์ในการจัดหาไฟฟ้าและออกประกาศเชิญชวนรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชน โดย กกพ.ได้ดำเนินการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดหากำลังการผลิตไฟฟ้า เพื่อทำหน้าที่ศึกษาและจัดทำระเบียบ หลักเกณฑ์ในการจัดหาไฟฟ้า ประเมินและคัดเลือกข้อเสนอของผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ ซึ่งเป็นที่มาของการออกประกาศเชิญชวนการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตเอกชนรายใหญ่ (IPP) ปริมาณ 5,400 เมกะวัตต์ เมื่อปี พ.ศ. 2556 โดยคณะอนุกรรมการการจัดหากำลังการผลิตไฟฟ้าได้จัดทำเอกสารรายละเอียดการยื่นประมูล (Request for Proposal:  RFP) สำหรับกำหนดการผลิตในช่วงปี พ.ศ. 2564-2569
ซึ่งในการออกประกาศเชิญชวนครั้งดังกล่าว มีผู้ผลิตให้ความสนใจและซื้อเอกสาร RFP จำนวน 89 ราย อย่างไรก็ตาม ภายหลังการเปิดซองข้อเสนอด้านเทคนิค คงเหลือผู้ยื่นข้อเสนอโครงการรวมทั้งสิ้น 9 ราย จาก 5 กลุ่มบริษัท ท้ายที่สุดแล้ว ได้ผู้ชนะการประมูลคือ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นเอกชนรายเดียวที่ได้กำลังผลิตไฟฟ้าปริมาณกว่า 5,000 เมกะวัตต์ ไปครอบครองแต่เพียงผู้เดียว และได้เข้าทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับกฟผ. ในฐานะผู้ได้รับการคัดเลือกจากการประกาศรับซื้อไฟฟ้าของ กกพ. ซึ่งผูกพันระยะเวลานานกว่า 25 ปี การชนะประมูลของเอกชนรายดังกล่าว จนหลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความไม่โปร่งใส อันมีที่มาจากการปรับปรุงแผน PDP ของรัฐบาล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top