Thursday, 26 June 2025
POLITICS NEWS

‘ก้าวไกล’ เผย ‘รถเมล์อนาคต’ วาระแรก ผ่านสภา กทม.แล้ว ดันกฎหมายรถเมล์ไฟฟ้าทั้งกรุงเทพฯ ภายใน 7 ปี

(11 เม.ย. 66) เฟซบุ๊กแฟนเพจหลักของ ‘พรรคก้าวไกล - Move Forward Party’ ได้ออกมาโพสต์ข้อความ ถึงประเด็นร่างกฎหมายรถเมล์อนาคต โดยมีเนื้อหาระบุว่า…

[ร่างกฎหมายรถเมล์อนาคต ผ่านสภา กทม. วาระ 1 ด้วยคะแนนเสียง 33-3 เป็นความสำเร็จของ ส.ก.ก้าวไกล ที่ผลักดันกฎหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคน กทม. ลดฝุ่น ลดโลกร้อน ได้รถเมล์ดีมีคุณภาพ]

ส.ก.พุทธิพัชร์ ธันยาธรรมนนท์ ส.ก.เขตยานนาวา พรรคก้าวไกล ในฐานะ ส.ก.คนสำคัญที่ผลักดันข้อบัญญัติรถเมล์อนาคต เปิดเผยว่าเนื้อหาสำคัญของกฎหมาย ‘รถเมล์อนาคต’ คือการเปลี่ยนรถเมล์สันดาป เป็นรถเมล์ไฟฟ้า (EV Bus) ภายใน 7 ปี

นายพุทธิพัชร์ กล่าวว่า กลไกของข้อบัญญัตินี้ ไม่ได้บังคับผู้ประกอบการเดินรถโดยตรง แต่เป็นการบอกว่า “เฉพาะรถเมล์ไฟฟ้าเท่านั้นที่สามารถเดินทางได้ภายในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร”

ทั้งนี้ ภายหลังจากที่กฎหมายฉบับนี้ผ่านสภา กทม. จะมีระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน 1 ปี ถ้าพ้นจาก 1 ปีไปแล้ว นอกจากรถเมล์ที่ยังมีสัมปทานเดินรถ รถเมล์ไฟฟ้าเท่านั้นที่จะสามารถเดินทางสัญจรได้ในพื้นที่ กทม.

ส่วนรถเมล์ที่มีสัมปทานเดินรถเดิม ก็จะทยอยหมดอายุสัมปทาน ซึ่งอายุสัมปทานนานที่สุดที่มีการต่อคือ 7 ปี นั่นหมายความว่าภายใน 7 ปี รถเมล์ทั้งหมดที่วิ่งในพื้นที่กรุงเทพฯ จะเป็นรถเมล์ EV ทั้งหมด

นายพุทธิพัชร์ ยืนยันว่า ข้อบัญญัติที่สภา กทม. ทำไม่ใช่การจำกัดสิทธิเสรีภาพของเอกชน แต่เป็นการใช้อำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยืนยันว่าเราไม่อนุญาตให้รถที่ไม่ผ่านมาตรฐานเดินทางเข้ามาในพื้นที่ กทม.

“เรื่องนี้เป็นการใช้อำนาจของท้องถิ่นปกป้องชีวิตคนในเมือง ในอดีตก็เคยมีการใช้อำนาจแบบเดียวกันมาแล้วในสมัย อดีตผู้ว่าฯ กทม. พิจิตร รัตกุล ที่เคยสั่งห้ามรถเมล์ที่ก่อมลพิษเกินค่ามาตรฐานเข้ามาวิ่งในกรุงเทพฯ” นายพุทธิพัชร์ กล่าว

ข้อบัญญัติรถเมล์อนาคต หลังจากที่ผ่านวาระ 1 รับหลักการในวันนี้แล้ว คาดว่าจะผ่านวาระ 3 ได้ในสมัยประชุมหน้า ต้นเดือนกรกฎาคม 2566 ที่จะถึงนี้ หลังจากที่ข้อบัญญัติ ‘รถเมล์อนาคต’ ผ่าน นายพุทธิพัชร์ เปิดเผยว่า พรรคก้าวไกลเราจะเดินหน้าต่อในการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนเมืองหลวง ไม่ว่าจะเป็นการยื่นร่างแก้ไขข้อบัญญัติควบคุมอาคาร ที่จะมีข้อกำหนดเรื่องการควบคุมการปล่อยความร้อนและพื้นที่สีเขียว หลังจากนั้นเราจะเดินหน้าต่อเรื่องการลดการปล่อยฝุ่นควัน PM2.5 จากแหล่งอื่น ๆ

“ปัญหาสิ่งแวดล้อมของคนกรุงเทพฯ เป็นปัญหาที่เรารอไม่ได้ ทุกวันนี้คนกรุงเทพฯ แม้แต่คนที่ไม่ได้สูบบุหรี่ก็กำลังสูดมลพิษทางอากาศเข้าไป เท่ากับสูบบุหรี่วันละ 3.2 มวน อากาศในกรุงเทพฯ เป็นสิ่งที่ทุกคนใช้ร่วมกันไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจน ข้อบัญญัติแบบนี้จึงสมควรมีตั้งนานแล้ว” นายพุทธิพัชร์ กล่าว

นอกจากนี้ ‘Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ประธานคณะก้าวหน้า ได้แสดงความเห็นต่อความสำเร็จของพรรคก้าวไกลในสภากรุงเทพฯ ว่า กฎหมายรถเมล์อนาคตผ่านสภากรุงเทพฯ เป็นการเปิดมิติใหม่ในการพัฒนาเมือง

รถเมล์ไฟฟ้าจะช่วยเรื่องการลดมลพิษทางอากาศ และเพิ่มความสะดวกสบายให้กับคนกรุงเทพฯ ตนภูมิใจมากที่พรรคก้าวไกลเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ และผลักดันจนเป็นกฎหมายเมืองออกมาได้สำเร็จ และมากไปกว่านั้น กฎหมายเมืองฉบับนี้คือมิติใหม่ของการเมืองท้องถิ่นอย่างแท้จริง

ที่ผ่านมา เราแทบไม่เคยเห็นกรุงเทพ, อบจ. จังหวัดต่าง ๆ, เทศบาล หรือ อบต. เสนอกฎหมายเพื่อการพัฒนาบ้านเมืองตัวเองเลย การพัฒนาล้วนแต่ถูกกำหนดกฎเกณฑ์และรูปแบบผ่านส่วนกลาง

นายธนาธร กล่าวเพิ่มเติมว่า กฎหมายฉบับนี้จึงเป็นหมุดหมายประวัติศาสตร์ของการพัฒนาท้องถิ่น เป็นการเปิดประตูบานใหม่ เป็นการเพิ่มเครื่องมือในการพัฒนาเมืองให้กับท้องถิ่น

‘เฉลิม’ ลั่น หากงบแจกเงินดิจิทัลหมื่นบาทไม่พอ  จะไล่รื้อ ‘งบทหาร-เรือดำน้ำ-งบลับนายกฯ’ มาโปะ

‘เฉลิม อยู่บำรุง’ กร้าวถาม ‘เรือดำน้ำซื้อไปทำไม’ ถ้างบนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาทไม่พอ ก็ไปรื้องบทหาร-งบลับนายกฯ มาใช้เป็นประโยชน์กับประชาชนดีกว่า  

(12 เม.ย. 66) ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง ที่ปรึกษาศูนย์ปฏิบัติการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย และผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ, ดร.พวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประธานคณะกรรมการประสานงานด้านการเมืองพื้นที่กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย ผู้บริหารพรรคเพื่อไทย, นายประภัสร์ จงสงวน ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ, นายวราวุธ ยันต์เจริญ ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ และ นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา ผู้สมัครส.ส.เขตเลือกตั้งที่ 29 เบอร์ 9 เขตบางแค (เฉพาะแขวงบางแคเหนือ) และ แขวงบางไผ่, เขตหนองแขม (ยกเว้นแขวงหนองแขม) ร่วมพิธีเปิดศูนย์ประสานงานพรรคเพื่อไทย ที่ซอยบางแวก 97 แขวงบางไผ่ เขตบางแค กรุงเทพมหานคร โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก โดยมีพี่น้องประชาชนผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยมาให้กำลังใจผู้สมัคร ส.ส.อย่างอบอุ่น 

ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง กล่าวให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า ตนเองเป็น ส.ส.สมัยแรก เริ่มต้นที่เขตบางแค และวันนี้ ได้กลับมาช่วย ดร.กฤชนนท์ อัยยปัญญา หาเสียงที่เขตบางแคอีกครั้ง จึงรู้สึกอบอุ่นใจและมั่นใจว่า พรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้งในเขตบางแคนี้แน่นอน ส่วนกรณีที่ นายไพบูลย์ นิติตะวัน กล่าวว่านโยบายเงินดิจิทัล ไม่มีกฎหมายรองรับและถ้าเข้าสภาฯ ส.ว.จะคว่ำนโยบายนี้ว่า นายไพบูลย์พูดไร้สาระ เหมือนมีคนเขียนบทละครมาให้พูด 

ตนขอเรียนว่า คนที่วิพากษ์วิจารณ์นโยบายพรรคเพื่อไทย เขาตกใจกับนโยบายของพรรคเพื่อไทย เพราะทีมงานพรรคเพื่อไทยได้คิดผลิตนโยบายออกมาอย่างละเอียด รอบด้าน ตอบโจทย์ทั้งในมิติเศรษฐศาสตร์ มิติด้านกฎหมาย มิติด้านสังคม นโยบายเดียวสามารถแก้ปัญหาให้พี่น้องได้หลายมิติในเวลาเดียวกันและทรงพลัง จนพวกเขาเหล่านั้นนั่งอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ ดังนั้น ถ้าใครถามอะไรพรรคเพื่อไทยตอบได้ทั้งหมด

ส่วนกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม ออกมาบอกว่า งบประมาณปี 2567 เหลืองบประมาณให้ใช้แค่ไม่ถึง 200,000 ล้านบาทเท่านั้น ตนขอบอกว่า ที่เงินไม่พอก็เพราะพวกคุณใช้กันไปแบบไร้ประโยชน์ และถ้าเงินไม่พอจริง ผมก็จะไปรื้องบทหาร งบซื้อเรือดำน้ำ และงบลับของนายกรัฐมนตรีที่เขาปิดปากเงียบไม่เอ่ยถึง ถ้าไม่พอเราจะไปค้นมาใช้เอง

“บอกเงินเหลือแค่ 200,000 ล้านบาทไม่พอใช้ ไม่เป็นไร ถ้าเงินไม่พอ งบเรือดำน้ำเราจะซื้อไปทำไม กฎหมายเรารู้ ระบบราชการเรารู้ เราจะไปรื้องบทหาร งบลับที่นายกฯ นั้นแหละ ถืออยู่เงียบ ๆ เราจะไปเอางบที่ใช้กันอีลุ่ยฉุยแฉก เอามาเป็นงบประมาณมาใช้เพื่อปากท้องและความกินอยู่ที่ดีของประชาชน” ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง กล่าว

ด้าน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ กล่าวว่า ทีมงานของพรรคเพื่อไทยทำงานอย่างมียุทธศาสตร์ มีหลักคิด ทุกนโยบายของเพื่อไทยเช่นนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท ตอบโจทย์อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะเราคิดทั้งระบบภาพรวม ไม่ได้คิดออกมาเป็นส่วน ๆ ดังนั้น ถ้ามีคนวิพากษ์วิจารณ์นโยบายจุดไหน เราพร้อมยินดีตอบคำถาม และขอให้พี่น้องเชื่อใจว่า ทุกนโยบายของเพื่อไทยทำได้ ทำจริง และถ้าเลือกเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์เป็นรัฐบาลเมื่อใด เราจะลงมือทำนโยบายทันทีให้ประสบความสำเร็จเหมือนสมัยที่พรรคไทยรักไทยเคยทำในอดีต

‘โรม’ ชี้ คุมตัว ‘แฮกเกอร์ 9near’ ผิดสังเกตหลายจุด จี้ สธ. ออกมาชี้แจง สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน

(12 เม.ย.66) รังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีการควบคุมตัว จ่าสิบโทเขมรัฐ บุญช่วย หรือแฮกเกอร์ 9near ผู้ต้องหาฐานความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการโพสต์ขายข้อมูลที่อ้างว่าเป็นข้อมูลส่วนตัวของคนไทยกว่า 55 ล้านรายการว่า ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้มีความแปลกประหลาด แปลกที่หนึ่ง คือทั้งที่เจ้าหน้าที่รู้อยู่แล้วว่าใครเป็นแฮกเกอร์ ออกหมายจับตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2556 ปัจจุบันวันที่ 12 เมษายน 2566 ใช้เวลานานถึง 9 วันในการควบคุมตัว

“ค่อนข้างเชื่อว่าเรื่องนี้มีบางคนอยู่เบื้องหลัง อาจเป็นผู้บังคับบัญชา บุคคลระดับสูงในกองทัพ เป็นเหตุผลว่าทำไมการควบคุมตัวแฮกเกอร์คนนี้ ถึงเต็มไปด้วยความยากลำบาก” รังสิมันต์กล่าว

โฆษกพรรคก้าวไกลกล่าวต่อว่า แปลกที่สอง คือมีความพยายามปกป้องไม่ให้มีการเข้าถึงจ่าสิบโทคนดังกล่าว เห็นได้จากตอนควบคุมตัว สัญญะที่สื่อออกมาค่อนข้างชัดเจนว่าไม่ต้องการให้สื่อมวลชนซักถาม ราวกับจะกีดกันเพราะเกรงว่าแฮกเกอร์อาจซัดทอดไปยังผู้ที่เกี่ยวข้อง จึงขอเรียกร้องให้มีการขยายผลให้เกิดความชัดเจน อย่าให้จบแค่การควบคุมตัว เพราะหากสุดท้ายจับคนเบื้องหลังไม่ได้ ได้แค่คนตัวเล็กตัวน้อย ข้อมูลของประชาชนก็อาจหลุดได้อีก

“พรรคก้าวไกลเป็นห่วงเรื่องนี้ รวมถึงการจัดการข้อมูลที่หลุดออกมา จะทำอย่างไรให้แน่ใจได้ว่าไม่มีแบ็กอัป หรือสำรองไว้ที่ใดที่อาจทำให้ข้อมูลหลุด ให้มิจฉาชีพคนอื่นแสวงหารายได้หรือผลประโยชน์ ทำให้ประชาชนจำนวนมากอาจตกเป็นเหยื่อ” รังสิมันต์กล่าว

ทั้งนี้ ขอฝากไปถึงกระทรวงสาธารณสุข เงียบมากในเรื่องนี้ ทั้งที่ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าข้อมูลหลุดมาจากแอปหมอพร้อม ควรออกมาให้ความมั่นใจแก่ประชาชนหรือไม่ว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก

“ทำไมทหารยศจ่าสิบโทถึงสามารถแฮกได้ ถ้าไม่ได้เป็นเพราะจ่าสิบโทคนดังกล่าวเก่งมาก ก็เป็นไปได้ว่าระบบจัดการข้อมูลของรัฐอ่อนแอมาก หรือเป็นเพราะข้อมูลเหล่านี้ ฝ่ายความมั่นคงในกองทัพเข้าถึงได้อยู่แล้ว ดังนั้น ควรชี้แจงให้ประชาชนรู้สึกมั่นใจว่าการใช้เครื่องมือของรัฐมีความปลอดภัย ไม่ใช่ใครจะล้วงออกไปง่ายๆ” รังสิมันต์กล่าว

‘อดีตผู้ว่าการ ธปท.’ เศร้าใจ!! หลังหลายพรรคออกนโยบาย ไร้ความรับผิดชอบต่อ ปชช.

“เห็นนโยบายไร้ความรับผิดชอบแบบนี้แล้วเศร้าใจค่ะ นอกจากการสร้างหนี้โดยไม่จำเป็นแล้ว ยังเป็นการสร้างนิสัยให้ประชาชนขาดวินัยทางการเงิน คอยแต่จะแบมือรับ แทนที่จะติดอาวุธให้ประชาชนมีทักษะ มีความสามารถในการยกระดับความเป็นอยู่ของตัวเองให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน มากกว่าเงินช่วยเหลือจากนักการเมือง” นางธาริษา วัฒนเกส อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าว

 

‘เสธ.หิ’ งง!! ลง ‘พะเยา’ ครั้งแรกถูกโยงเอี่ยวกร่าง หลัง ‘ธรรมนัส’ อ้างคนสนิท ‘เสธ.คนดัง’ ใช้ทหาร-อาวุธขู่

จากกรณีที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ผู้สมัคร ส.ส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ และประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคเหนือ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า บ้านใหญ่เจ๊ ล. ขาใหญ่อำเภอปง พะเยา ซึ่งเป็นพี่สาว ผู้สมัคร ส.ส. พะเยา เขต 3 ของพรรคหนึ่ง ที่ตอนนี้ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลกร่าง ผู้นำท้องถิ่น ท้องที่ เล่าให้ฟังว่า พอไปถึงบ้านเจ๊ ล. ก็มีกองกำลังทหารเกือบ 1 หมวด พกอาวุธ (ปืนสั้น) ภายใต้การควบคุมของเสธ น. (ลูกน้องเสธ นอกราชการคนดัง) และข่มขู่ว่าจะจัดการกับผู้นำขั้นเด็ดขาดหากไม่ช่วยผู้สมัครรายนี้ จะเริ่มปฏิบัติการโดยใช้กองกำลังทหารค้นบ้านผู้นำทุกรายที่เห็นต่าง

ทั้งนี้ การออกมาโพสต์ข้อความดังกล่าว ประจวบเหมาะกับ ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) รับผิดชอบการเลือกตั้งภาคเหนือของพรรค ได้เดินทางไปร่วมโชว์วิสัยทัศน์ ในรายการ BIG DEBATE เวทีจังหวัดพะเยา ซึ่งจัดโดยสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 66 ที่ผ่านมา พอดี

เป็นไปได้ว่า เสธ.นอกราชการคนดัง ที่ ร.อ.ธรรมนัส ระบุถึง ก็คือ ดร.หิมาลัย นั่นเอง

ล่าสุด ดร.หิมาลัย ได้กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ตนเองเพิ่งมีโอกาสเดินทางไปจังหวัดพะเยาครั้งแรก เมื่อวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา เพื่อร่วมเวทีดีเบต ซึ่งทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 เป็นผู้จัด เมื่อเดินทางถึงจังหวัดพะเยา ก็ได้ไปพูดคุยกับคุณไพโรจน์ ตันบรรจง ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค เพื่อต้องการรับทราบประเด็นปัญหาของจังหวัดพะเยา สำหรับใช้เป็นข้อมูลในการดีเบต จากนั้น จึงเดินทางไปยังเวทีดีเบต และอยู่ในพื้นที่นั้นตลอดเวลาโดยไม่ได้เดินทางออกนอกพื้นที่เลย

‘เต้น ณัฐวุฒิ’ รำลึก 13 ปี สลายการชุมนุม 10 เม.ย.53 ให้คำมั่น!! จะตามหาความยุติธรรมให้ทุกคนอย่างถึงที่สุด

(12 เม.ย.66) เพจ ‘พรรคเพื่อไทย’ ได้โพสต์ข้อความเล่าเรื่องราวของ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ระบุว่า…ในคืนวันที่ 10 เมษายน ตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา ไม่เคยหลับตาลงง่ายๆ บางปีถ้าอยู่คนเดียว มันก็จะคิดอ่านรำพึงรำพันกับตัวเองไปสารพัด บางช่วงบางปีอยู่ในสถาการณ์อยู่กับเพื่อนพี่น้อง ก็นั่งคุยกันจนดึกดื่นขึ้นรุ่ง เพื่อที่จะให้มันหลับลงได้ 

คืนวันนั้น เราอยู่กันที่นั้นแต่แต่หัวค่ำยังเช้า อยู่เพื่อให้พี่น้องเราไปแย่งศพของคนที่ถูกยิงตาย เพราะเรากลัวว่าเขาจะเอาศพไปทำลาย เพื่อนพี่น้องเราถูกไล่ยิงตามตรอกซอกซอย หนีตายหัวซุกหัวซุน จนเสื้อแดงตัวที่ใส่ไม่ใช่เปียกแค่เหงื่อ แต่มันเปียกไปด้วยน้ำตาประชาชน น้ำตาพี่น้องที่วิ่งมาร้องไห้หลังเวที

สำหรับผม มันไม่มีอะไรหนาวเท่าหนาวน้ำตาประชาชนอีกแล้ว เวลาเขามาร้องไห้กับอกเรา เวลาเขาเข้ามากรีดร้องอยู่กับอก แล้วผมให้คำตอบไม่ได้ว่าใครอยู่ที่ไหน ใครเจ็บ ใครตายแล้วศพอยู่ตรงไหนอย่างไร นี่มันคือ มันคือสิ่งที่ มันวิ่งอยู่ในชีวิตผมมาตลอด

ผมก็เลยไม่รู้ว่า จะต้องแสดงออกอย่างไรว่า ว่าเรื่องนี้มันคือชีวิตผม ผมก็เลย ตั้งชื่อลูกผมนี่แหละครับ ผมตั้งชื่อลูกสาวผมซึ่งเกิดท่ามกลางสถานการณ์ล้อมปราบที่ราชประสงค์ว่า ด.ญ.ชาดอาภรณ์ ซึ่งกว่าผมจะได้อุ้มลูกครั้งแรกก็ต้องไปติดคุกอยู่ 9 เดือนกว่าเราจะได้เจอหน้ากัน

ชื่อเสื้อแดง เป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดในชีวิตเอ่ยปากได้ภูมิใจว่าเป็นคนเสื้อแดง ชีวิตเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง อยากเป็นผู้แทนฯ สมัครตั้งแต่อายุ 25 ปี โดยไม่เคยคิดออกมาต่อสู้เป็นแกนนำม็อบ ไม่เคยคิดเกิดมามีอุดมการณ์ยิ่งใหญ่ใดๆที่จะเติบโตมากับโลกที่บอกว่ามาเพื่อความเปลี่ยนแปลงอะไร 

'แก้วสรร' ถาม 'แจกเงินดิจิทัล สินบนเลือกตั้ง’ หรือเป็น ‘นโยบายงี่เง่า’ โดยสุจริตเท่านั้น

'แก้วสรร' ออกบทความด่วน แจกเงินดิจิทัล: สินบนเลือกตั้ง? ตั้งคำถาม กกต. น่าจะไต่สวนให้ละเอียดว่า โครงการเป็นสินบนเลือกตั้ง หรือนโยบายงี่เง่าโดยสุจริตเท่านั้น
.
(12 เม.ย.66) นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระ ออกบทความเรื่อง ‘แจก ‘เงินดิจิทัล’ : สินบนเลือกตั้ง???’ ในรูปแบบถาม-ตอบ มีเนื้อหาว่า...

ถาม: ‘เงินดิจิทัล’ หนึ่งหมื่นบาท ที่เพื่อไทยประกาศจะแจกให้ทุกคนนั้น มัน เป็น ‘นโยบาย’ หรือ ‘สินบนเลือกตั้ง’?
ตอบ: ตามความเข้าใจของผมนั้น ‘เงินดิจิทัล’ ของเพื่อไทย ก็คล้ายกับคูปอง ที่เราต้องซื้อเวลาไปศูนย์อาหารตามห้างสรรพสินค้า ซื้อมาแล้วก็ใช้ได้ แต่ซื้ออาหารในศูนย์นั้นเท่านั้น...เงินดิจิทัลที่เพื่อไทยจะแจกก็เหมือนกัน คือ แจกให้ทุกคนที่อยู่ในเขตชุมชนรัศมี 4 กิโล ให้ได้คูปองไปซื้อหาสินค้าในวงสี่กิโลเมตรนี้ได้ โดยเขาอ้างว่า นี่คือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชนสี่กิโลเมตร ใครขายของได้เงินดิจิทัลหรือคูปองนี้มา ก็เอามาขึ้นเงินจากงบประมาณแผ่นดินได้ในที่สุด โดยทั้งหมดนี้ต้องยุติใน 6 เดือน

ถาม: โครงการทั้งแผ่นดิน ให้สิทธิผู้คนถึง 55 ล้านคน วงเงิน 5 แสนล้านอย่างนี้ บริหารจัดการได้อย่างไร?
ตอบ: ก็ทำได้โดยอาศัยระบบออนไลน์ ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะนั่นแหละครับ

ถาม: มันต่างจากเงินที่ได้เปล่าอื่นๆ สมัย นายกฯ ตู่อย่างไร?
ตอบ: มันมุ่งจ่ายเมื่อมีธุรกรรมซื้อขายเกิดขึ้นเหมือนกัน แต่ไม่ใช่จ่ายคนละครึ่ง เขาจ่ายให้หมดเลย แล้วของเพื่อไทยนั้นจ่ายโดยไม่มีเหตุเศรษฐกิจซบเซา ในช่วงโควิด หรือช่วยคนจนเลย อยู่ดีๆ ก็จ่ายให้ไปซื้อของ อ้างว่ามุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน ผู้คนจะรวยหรือจนก็ได้เงินหมด ขอให้เอาไปจับจ่ายในรัศมีสี่กิโลเมตรก็พอแล้ว...ข้อที่มุ่งกระตุ้น ‘การจับจ่ายในพื้นที่’ นี่แหละครับ ที่ทำให้แจกดะทุกคน ทุกหนแห่งเลย

ถาม: ถ้าผมไปเป็นผู้สมัคร ส.ส. แล้วประกาศว่า ชนะเลือกตั้งเมื่อไหร่ ห้างเดอะมอลล์จะแจกคูปองอาหารให้พี่น้อง 6 เดือนเลย อย่างนี้ผมผิดกฎหมายเลือกตั้งฐานสัญญาว่าจะให้ไหม?
ตอบ: ผิดครับ คุณจะให้เองหรือเดอะมอลล์ให้ ก็ผิดเหมือนกัน

ถาม: ถ้าผิด อย่างนั้นสัญญาว่าชนะเลือกตั้งแล้ว รัฐบาลจะแจกเงินดิจิทัลให้ทุกคน อย่างนี้ก็ต้องผิดเหมือนกันใช่ไหม?
ตอบ: เขาต้องยกข้อต่อสู้ว่า นี่คือเงินรัฐที่จ่ายตามนโยบายสาธารณะ ไม่ใช่สินบนซื้อเสียง

‘อดีตผู้ว่าการ ธปท.’ ชี้ นโยบายแจกเงิน ก่อหนี้โดยไม่จำเป็น จวก!! ไร้ความรับผิดชอบ ทำ ปชช.ขาดวินัย-ทักษะทางการเงิน

(11 เม.ย. 66) นางธาริษา วัฒนเกส อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เขียนข้อความเรื่องภาระการคลังของการแจกเงิน โดยระบุว่า…

ประชากรอายุ 16 ปีขึ้นไปมีประมาณ 85% ของประชากร 67,000,000 คนจึงเทียบเท่ากับประมาณ 55,000,000 คน แจกให้คนละ 10,000 บาท เทียบเท่ากับค่าใช้จ่ายทั้งหมด 550,000 ล้านบาท

ถามว่าจะเอาค่าใช้จ่ายส่วนนี้มาจากไหน?

ถ้าเงิน 550,000 ล้านบาทที่ใช้จ่ายออกไปมีการเก็บภาษีวีเอที 7% เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็จะได้ภาษี 38,500 ล้านบาท แต่จริง ๆ เป็นไปไม่ได้ที่จะเก็บได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเพราะร้านขายของในละแวกบ้าน นอกอาจจะเป็นร้านเล็ก ๆ ยังไม่อยู่ในระบบภาษี แต่เอาเถอะยกผลประโยชน์ให้ว่าเก็บได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะเขาอาจจะโต้แย้งได้ว่าเงิน 550,000 ล้านบาทสามารถหมุนได้หลายรอบ ก็จะเก็บภาษีได้หลายรอบ และบริษัทที่ผลิตสินค้าขายได้มากขึ้นก็น่าจะเก็บภาษีนิติบุคคลได้มากขึ้น

ดังนั้น ยังต้องหาเงินมาโปะส่วนที่ขาดอีก 511,500 ล้านบาท ปัดตัวเลขกลมๆเป็น  500,000 ล้านบาทเลยก็ได้ ถ้าไม่ขึ้นภาษีก็ต้องเบียดมาจากการใช้จ่ายรายการอื่น ๆ ซึ่งไม่น่าจะเบียดมาได้มากนัก เพราะตัวเลข 500,000 ล้านบาทนี้ เทียบเท่ากับ 17 ถึง 18% ของงบประมาณคาดการณ์ของปี 2023 จึงเป็นสัดส่วนไม่น้อย เมื่อหาเงินหรือลดค่าใช้จ่ายรายการอื่นไม่ได้ ก็ต้องกู้มาโปะส่วนที่ขาดดุลมากขึ้นนี้

อัตราส่วนหนี้ต่อจีดีพีในปี 2023 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 61.36% ถ้าต้องกู้มากขึ้นอีก 500,000 ล้านบาทสัดส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นอีก 2.8% รวมเป็น 64.16%

เราเคยตั้งเป้าว่าสัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีจะไม่ให้เกิน 60% แต่ช่วงที่ผ่านมาเราต้องประคับประคองเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิด จึงยอมให้สัดส่วนนี้สูงเกิน 60% และมีเป้าหมายจะดึงลงมาให้อยู่ในระดับ 60% โดยเร็ว

นโยบายแจกเงินนี้มีผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ในปีหน้าคาดว่าเศรษฐกิจจะโตประมาณ 3 ถึง 4% โดยมีตัวช่วยคือการท่องเที่ยว ที่ผ่านมาในช่วงโควิดรัฐบาลได้ใช้เงินไปในการพยุงเศรษฐกิจมามากพอแล้ว ปีหน้าจึง​ไม่มีความจำเป็นที่ต้องกระตุ้นต่อเนื่อง และการจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตโดยการใช้จ่ายเป็นวิธีที่ไม่รับผิดชอบ (ยกเว้นในกรณีจำเป็น อย่างเช่นในช่วงโควิดที่หัวรถจักรทางเศรษฐกิจตัวอื่น ๆ ไม่ทำงาน) เพราะใช้แล้วก็หมดไป ไม่มีผลในการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจในระยะยาว

‘บิ๊กป้อม’ เปิดพรรคให้แกนนำ-สื่อ เข้ารดน้ำดำหัว พร้อมอวยพรขอให้ ปชช. เดินทางปลอดภัย-สมหวังตลอดปี

(11 เม.ย.66) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค ได้เปิดโอกาสให้คณะกรรมการบริหารพรรค รดน้ำอวยพรเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2566 อาทิ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดีอีเอส ในฐานะรองหัวหน้าพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค นายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีม กทม. นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค นายวราเทพ รัตนากร กรรมการนโยบายและฝ่ายอำนวยการนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ กรรมการบริหารพรรค รดน้ำขอพร บรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่น 

‘ขัตติยา’ ส.ส.เพื่อไทย ร้องขอความเป็นธรรมให้คนเสื้อแดง ลั่น!! ต้องรื้อฟื้นคดี ลาก ‘ทหาร’ ขึ้น ‘ศาลพลเรือน’ ให้ได้

(11 เม.ย. 66) เฟซบุ๊กแฟนเพจหลักของ ‘พรรคเพื่อไทย’ ได้ออกมาโพสต์ข้อความ เนื่องในโอกาสรำลึกครบรอบ 13 ปี การสลายการชุมนุม 10 เมษายน 2553 โดยมีเนื้อหาระบุว่า…

‘ขัตติยา สวัสดิผล’ ประกาศทวงคืนความยุติธรรมให้คนเสื้อแดงอีก 62 ศพ ต้องรื้อฟื้นคดีและลาก ‘ทหาร’ ขึ้น ‘ศาลพลเรือน’ ให้ได้

ขัตติยา สวัสดิผล ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวในงานรำลึกครบรอบ 13 ปี การสลายการชุมนุม 10 เมษายน 2553 กล่าวทวงความยุติธรรมให้คนเสื้อแดงว่า จะรื้อฟื้นคดีเสื้อแดงที่ยังมีอีก 62 คดี ขึ้นมาฟ้องพร้อมกับเอาทหารที่ยิงประชาชนวันนั้น มาขึ้นศาลพลเรือนแทนศาลทหาร 

ขัตติยา สวัสดิผล กล่าวถึงความคืบหน้าในส่วนของคดีความคนเสื้อแดงว่า ในช่วงก่อนปี 2554 คดีคนเสื้อแดงรวมถึงคดีของคุณพ่อ (พลตรีขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก) ไม่มีความคืบหน้า เพราะตอนนั้นพรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็นรัฐบาล แต่ก็ได้รับความเมตตาจากท่านทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติในปัจจุบัน ซึ่งขณะนั้นได้แนะนำแนวทางทางกระบวนการยุติธรรมให้ซึ่งต้องยอมรับว่าบรรยากาศตอนนั้นไม่ได้เปิดโอกาสให้เราค้นหาความจริงได้เลย 

แต่เมื่อพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งปี 2554 คดีความต่าง ๆ ของคนเสื้อแดงเดินหน้าคืบหน้าไปได้เร็ว เพราะเรามีสารตั้งต้นจากชั้นตำรวจ ไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ จนกระทั่งนำไปขึ้นสู่ศาลได้ ซึ่งการที่เราสามารถพาคดีไปถึงศาลได้ก็ต้องยอมรับว่าเป็นความสำเร็จขั้นหนึ่ง ถึงแม้ว่าทั้งคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น จะใช้เทคนิคทางกฎหมายบอกว่าเราไม่สามารถยื่นฟ้องเขาในศาลอาญาได้ เราก็ต้องไปเริ่มต้นใหม่ ไปฟ้องเขาที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นั้นหมายความว่า เราต้องเริ่มต้นนับ 1 ใหม่ และแม้จะน่าเสียดายที่ ปปช.ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่มีผลพวงจากรัฐประหารตีตกบอกว่า ทั้งคุณอภิสิทธิ์และคุณสุเทพ ทำในฐานะผู้สั่งการตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งคนที่จะต้องไปเอาผิดคือทหารที่ปฏิบัติการอยู่ที่สี่แยกราชประสงค์และแยกคอกวัว ถ้าเราจะเอาผิดคนดังกล่าว เท่ากับเราต้องเอาเขาไปขึ้นศาลทหาร

ขัตติยา กล่าวต่อว่าเรื่องนี้เราจะเดินหน้าต่อไม่หยุด พรรคเพื่อไทยถ้ามีโอกาสเป็นรัฐบาล จะทวงคืนสอบถามความยุติธรรมในคดีอีก 62 ศพที่เหลือ เราจะตั้งกรรมการขึ้นมาพิจารณาว่า ในแต่ละคดีของทั้ง 62 คดีนั้น จะต้องไปยื่นฟ้องใครที่ศาลใดถึงจะสัมฤทธิ์ผลที่สุด ซึ่งตรงนี้จะเกี่ยวเนื่องกับ ปปช. ที่บอกไปว่า จะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า ถ้าคดีที่ ปปช. ชี้ว่าไม่มีมูล ประชาชนสามารถส่งให้อัยการสูงสุดชี้มูลได้ และถ้าอัยการสูงสุดไม่ชี้มูล ก็ต้องให้อำนาจประชาชนในฐานะผู้เสียหาย สามารถฟ้องศาลได้โดยตรง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top