Sunday, 22 June 2025
POLITICS NEWS

‘เสรีพิศุทธ์’ เตือน ‘ก้าวไกล’ อย่าก้าวก่าย ‘เพื่อไทย’ จัดตั้งรัฐบาล

(24 ก.ค. 66) พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวเตือน พรรคก้าวไกล และอีก 6 พรรคร่วมฯ ไม่ควรไปยุ่ง หลังมอบหมายให้ 'เพื่อไทย' หาคะแนนเสียงโหวตนายกฯ เหตุ ยังไม่ใช่การรวมเสียงเพื่อร่วมรัฐบาล ขออย่าหลงประเด็น ตอนนี้เป็นช่วงของการหาเสียงโหวตนายกฯ ให้สำเร็จเท่านั้น

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยืนยันสิ่งที่เคยเสนอให้ก้าวไกลเสียสละ หมายถึงให้ถอยไปอยู่ข้างๆ ไม่ใช่ให้ถอยไปเป็นฝ่ายค้าน ให้เสียสละให้เพื่อนขึ้นฝั่งให้ได้ก่อน ในเมื่อคุณไม่ช่วยเพื่อนแล้วจะเป็นตัวถ่วงเพื่อนทำไม ถอยเพื่อให้เพื่อไทยโหวตนายกฯ ให้สำเร็จก่อน จะไปยุ่งอะไรกับเขา เมื่อเรามอบให้เป็นสิทธิ์ในการบริหารของแต่ละพรรค ถ้าเขาจัดไม่ดีเขาก็ต้องรับผิดชอบเอง พรรคก้าวไกล ไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับเขา ไปก้าวก่ายเขาทำไม ตอนคุณจัดไม่ได้ก็เพราะคุณไม่มีเพื่อนเอง สำหรับประชาชนถ้าคิดว่า พรรคเพื่อไทย ทำไม่ดี คราวหน้าก็ไม่ต้องเลือก ไม่ใช่ไม่ได้ไปก็ก่อม็อบ แบบนี้ทำเกินกว่าเหตุ

'ผู้ตรวจการแผ่นดิน' มีมติส่งศาลรัฐธรรมนูญเพื่อชี้ขาด กรณี 'มติสภาห้ามชงชื่อซ้ำ' พร้อมขอให้ชะลอโหวตนายกฯ

(24 ก.ค. 66) ที่สำนักงาน​ผู้ตรวจการ​แผ่นดิน​ พ.ต.ท.กีรป กฤตธีรานนท์ เลขาธิการ​สำนักงาน​ผู้ตรวจการ​แผ่นดิน​ แถลงผลวินิจฉัยกรณีขอให้ยื่นคำร้องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญตีความกรณีรัฐสภาลงมติวินิจฉัยว่าการเสนอชื่อบุคคลให้รัฐสภาเห็นชอบเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีถือเป็นญัตติ ซึ่งต้องปฏิบัติตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 ข้อ 41 ว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 19 ก.ค.ในที่ประชุมรัฐสภาได้เสนอชื่อนายพิธา ลิ้ม​เจริญ​รัตน์​ หัวหน้า​พรรค​ก้าวไกล​ ให้ที่ประชุมพิจารณาเป็นครั้งที่ 2 แต่มีประเด็นโต้แย้งว่าการเสนอชื่อเป็นญัตติซ้ำเป็นข้อห้ามของข้อบังคับรัฐสภา กรณีที่ญัติใดที่ตกไปแล้วห้ามเสนอชื่ออีกในสมัยประชุมเดียวกัน

โดยสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียนจากสมาชิกรัฐสภา และประชาชนจำนวน 17 คำร้อง ขอให้ผู้ตรวจการ​แผ่นดิน​เสนอคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ​ เพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 213 จากกรณีที่ประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2566 ลงมติวินิจฉัยว่า การเสนอชื่อบุคคลให้รัฐสภาเห็นชอบเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีถือเป็นญัตติ ซึ่งต้องปฏิบัติตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 ข้อ 41 ซึ่งกำหนดว่าญัตติใดที่ตกไปแล้ว ห้ามนำญัตติซึ่งมีหลักการเช่นเดียวกันขึ้นเสนออีกในสมัยประชุมเดียวกัน เป็นการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องเรียน จึงขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญนั้น

ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ประชุมปรึกษาหารือและเห็นชอบร่วมกัน โดยพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียนว่า เข้าองค์ประกอบ เงื่อนไข และหลักเกณฑ์ ในการเสนอคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2561 หรือไม่

โดยเห็นว่า รัฐสภาเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นหนึ่งในสามของอำนาจอธิปไตย รัฐสภาจึงถือเป็นหน่วยงานซึ่งใช้อำนาจรัฐ หากการกระทำของรัฐสภาละเมิดสิทธิเสรีภาพ ย่อมถูกตรวจสอบได้โดยศาลรัฐธรรมนูญและการกระทำของรัฐสภา ในการลงมติวินิจฉัยว่าการเสนอชื่อบุคคลให้รัฐสภาเห็นชอบเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีถือเป็นญัตติ ซึ่งต้องปฏิบัติตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 ข้อ 41 นั้น เป็นการนำข้อบังคับการประชุมไปทำให้กระบวนการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีไม่เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้กำหนดเรื่องการพิจารณาให้ความเห็นชอบเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีไว้เป็นการเฉพาะแล้วตาม มาตรา 159 ประกอบ มาตรา 272 การกระทำของรัฐสภาดังกล่าวจึงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญการกระทำของรัฐสภาในการลงมติวินิจฉัยดังกล่าว เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้ร้องเรียนโดยตรง

โดยผู้ร้องเรียนเป็นสมาชิกรัฐสภาและประชาชนผู้ทรงสิทธิและเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้ ตามหมวด 3 ว่าสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย หากการกระทำของรัฐสภาดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ การกระทำดังกล่าวย่อมเป็นอันใช้ไม่ได้ และมีผลเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องเรียน นอกจากนี้ ปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของการกระทำของรัฐสภาดังกล่าวยังคงมีอยู่และมิได้รับการวินิจฉัยให้เป็นที่ยุติย่อมส่งผลกระทบต่อความมั่นคงแห่งสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องเรียนและประชาชนทั่วไป ซึ่งอยู่ภายใต้การใช้อำนาจของรัฐโดยรัฐสภา ผู้ร้องเรียนรวมถึงประชาชนทั่วไปจึงได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้

นอกจากนี้คำร้องเรียนส่วนหนึ่ง ได้ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุติการเลือกนายกรัฐมนตรีไว้ก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีข้อวินิจฉัยในเรื่องนี้ออกมา ซึ่งเป็นคำขอเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดมาตรการหรือวิธีการใด ๆ เป็นการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัย ซึ่ง ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อป้องกันความเสียหายที่ยากแก่การเยียวยาในภายหลัง และเป็นคำขอที่อยู่ในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่จะเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาได้ จึงได้ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้รัฐสภารอการดำเนินการเกี่ยวกับการเสนอชื่อบุคคลให้รัฐสภาเห็นชอบเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีไว้ก่อนจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญมีข้อวินิจฉัยในเรื่องนี้ออกมา ซึ่งก็เป็นดุลยพินิจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะพิจารณาตามความเหมาะสมกับข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่อไป

ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาแล้วเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวอาจจะขัดต่อกฎหมาย และอาจทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประเทศ และยากที่จะเยียวยาแก้ไข จึงเห็นด้วยกับคำร้องที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ​กำหนดการชะลอพิจารณานายกฯ ออกไปก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญ​จะมีคำวินิจฉัย อย่างไรก็ตามการยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ​ นี้คาดว่าจะเป็นวันพรุ่งนี้ 25 ก.ค. หรือ 26 ก.ค.นี้

'พรรคเพื่อไทย' หารือ 'สมาคมพลังงานลม' ร่วมผลักดันนโยบายพลังงานสะอาด

(24 ก.ค. 66) พรรคเพื่อไทย นำโดย จุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ หัวหน้าคณะทำงานด้านนโยบายพลังงานและสิ่งแวดล้อม พรรคเพื่อไทย จักรพล ตั้งสุทธิธรรม อดีต สส.เชียงใหม่, กฤชนนท์ อัยยปัญญา, วิกรม เตชะธีราวัฒน์, รัฐพงศ์ ระหงษ์, สิริพัชรระ จึงธีรพานิช, พงศภัค นครศรี และศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ ให้การต้อนรับตัวแทนสมาคมพลังงานลม (ประเทศไทย) ประกอบด้วย อิศเรศร์ ภมรนิยม ประธานสมาคม, วรวิทย์ วิสูตรชัย กรรมการ, โทมัส ลีโอนาร์ด กรรมการ และคณะ ร่วมหารือผลักดันนโยบายพลังงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดและพลังงานทางเลือก เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม ที่มีแหล่งกำเนิดตามธรรมชาติ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และไม่มีวันหมดไป

ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน ได้มีการใช้ประโยชน์จากการใช้พลังงานลมเพื่อการผลิตพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น แต่ยังอยู่ในอัตราส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับในต่างประเทศ ดังนั้น หากประเทศไทยจะมีการผลักดันให้ใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้จัดทำเป็นนโยบายและเกิดขึ้นได้จริง รวมถึงพรรคเพื่อไทยก็เล็งเห็นประโยชน์ของการใช้พลังงานดังกล่าวเพื่อส่งเสริมสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนด้วยเช่นกัน

‘ชลน่าน’ ยัน!! ‘เพื่อไทย’ พยายามจัดตั้ง รบ. ให้สำเร็จ ชี้!! เลื่อนโหวตนายกฯ ขึ้นอยู่กับความเห็นวิป 3 ฝ่าย

(24 ก.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยให้สัมภาษณ์ถึงการประสานพูดคุยกับ สว. อย่างไรบ้างว่า พรรคเพื่อไทยมีคณะทำงานไปพูดคุยกับ สว.รายบุคคล ไม่มีการเชิญมาลักษณะองค์กรหรือตัวแทน สว. เช่นตนก็ไปประสาน สว. ที่รู้จักแล้วเอาสิ่งที่ได้รับมาสรุปกัน โดยการพูดคุยกับ 8 พรรคร่วมวันที่ 25 ก.ค.นั้น วาระสำคัญคือนำการบ้านที่ 8 พรรคร่วมมอบให้เพื่อไทยในฐานะพรรคแกนนำไปดำเนินการ สิ่งที่เราจะเสนอคือคำตอบของสว.และสส.ว่าตอบอย่างไร มีความเห็น เงื่อนไขอย่-างไร เมื่อถามว่ามีคำแนะนำจากสว.บางส่วนออกมาบอกว่าหากไม่มีพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เขาพร้อมโหวตให้ จะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า เป็นคำตอบของ สว. แต่ละท่าน เป็นข้อมูลนำเข้าที่จะไปพูดคุยในที่ประชุม 

เมื่อถามว่าในส่วนที่ นพ.ชลน่าน ได้พูดคุยกับ สว. ได้รับเสียงสะท้อนมาอย่างไร นพ.ชลน่าน กล่าวว่า หลายคนที่ตนได้พูดคุยก็ได้ยืนยันว่าไม่ยึดติด ว่าใครได้เป็นรัฐบาล แต่เจตนารมณ์คือยึดหลักการเดิมเหมือนที่ได้เสนอไปในรัฐสภาวันที่ 13 ก.ค. เมื่อถามว่าพรรคเพื่อไทยจะสรุปเนื้อหาที่ได้พูดคุยกับ สว.วันไหน นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เราพยายามทำให้เสร็จก่อนหารือกับ 8 พรรควันที่ 25 ก.ค. 

เมื่อถามถึงข้อเสนอให้เลื่อนโหวตออกไป 10 เดือนจนกว่า สว .จะหมดอำนาจ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ข้อเสนอดังกล่าวได้รับการวิพากษ์วิจารณ์พอสมควร สิ่งที่เราต้องมาดูในรายละเอียดคือผลสัมฤทธิ์จะเป็นตามที่เราคาดหวังหรือไม่ แต่ระบบรัฐสภาเป็นระบบเสียงข้างมาก หนึ่งเสียงชนะสองเสียงไม่ได้ แม้เราอยากจับมือกันไป 10 เดือน ถ้าเสียงข้างมากเขาไม่ยอม แทนที่จะได้สิ่งที่เราต้องการเหมือนไปส่งเสริมสิ่งที่ทุกคนไม่อยากทำ ข้อแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ตลอด นี่คือผลกระทบทางการเมือง สิ่งที่คาดการณ์กันไว้อาจเกิดขึ้นได้ เพราะ สส. หนึ่งคนมีสิทธิ์เท่ากันแต่ใครจะมีเสียงมากกว่ากันในระบบเสียงข้างมาก เป็นสิ่งที่พึงระวัง เราคิดแบบโลกสวยไม่ได้ ในทางการเมืองมันมีหลายมิติ ก็ต้องมาคิดกันว่าถ้าเราไม่ทำ แพ็กกันแน่นอยู่แบบนี้ แล้วคนอื่นไม่มีวิธีคิดหรือ เขาก็มีวิธีคิด และเขาก็สามารถรวบรวมเสียงได้ในที่ประชุมรัฐสภา ถามว่าเราทำอะไรได้ เราก็ต้องยอมรับ แม้แต่การโหวตข้อบังคับว่าการเลือกนายกฯ เป็นญัตติทั้งที่เราบอกว่าไม่ใช่ เมื่อแพ้เราก็ต้องยอมรับ เมื่อถามว่าในทางการเมืองสามารถรอ 10 เดือนให้ สว. หมดอำนาจได้หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า สิ่งที่ตนตอบไปคือมิติทางการเมืองที่เรากลัว อีกทั้งยังมีผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เราต้องไปดูในรายละเอียด 

เมื่อถามว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะพิจารณากรณีที่นายสมชาย แสวงการ สว. ที่ออกมาเสนอให้เลื่อนการโหวตนายกฯ จากวันที่ 27 ก.ค. ออกไปก่อนหากยังไม่พร้อม นพ.ชลน่าน กล่าวว่า การเลื่อนประชุมเป็นอำนาจประธานรัฐสภา และขึ้นอยู่กับความเห็นวิปทั้ง 3 ฝ่าย อย่าง 8 พรรคร่วมเป็นเพียงความเห็นของหนึ่งใน 3 ที่จะเสนอ ถ้าเราพร้อมแต่อีกสองฝ่ายไม่พร้อม ประธานรัฐสภาก็สามารถเลื่อนได้จึงต้องฟังความเห็นของทั้ง 3 ฝ่าย 

เมื่อถามว่าขณะนี้ในส่วนของพรรคเพื่อไทยมีการหยิบยกเรื่องเลื่อนการโหวตนายกฯ มาพูดคุยบ้างหรือยัง นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ยังครับ เราดำเนินการตามกระบวนการที่กำลังดำเนินการอยู่ สิ่งที่พอจะตอบได้คือทิศทางที่จะได้พูดคุยกันวันที่ 25 ก.ค. ผลเป็นอย่างไร ตรงนั้นจะนำมาประกอบการพิจารณา 

เมื่อถามว่าเป้าหมายของพรรคเพื่อไทยขณะนี้คือการโหวตนายกฯ วันที่ 27 ก.ค. ให้ได้เสียงเกิน 375 เสียงใช่หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เราเดินตามไทม์ไลน์ที่กำหนดไว้ 

เมื่อถามอีกว่าพรรคเพื่อไทยอยากเลื่อนโหวตหรือไม่เพราะจะได้พูดคุยกับ สส. และ สว. ให้ละเอียดก่อน นพ.ชลน่าน กล่าวว่า หน้าที่เราเอาวันที่ 27 ก.ค.เป็นตัวตั้ง เรารับโจทย์มาอย่างนั้นและพยายามทำให้ถึงที่สุด เมื่อผลการประชุมวันที่ 25 ก.ค. ออกมาก็เป็นองค์ประกอบของฝ่ายเรา แต่เข้าใจว่าการประชุมวิป 3 ฝ่ายของประธานรัฐสภาน่าจะประชุมก่อนที่เรามีความเห็น 

เมื่อถามว่าหลังจากนี้หากพรรคเพื่อไทยตัดสินใจอย่างหนึ่งอย่างใด อยากจะบอกอะไรกับประชาชน นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ต้องรอดูการตัดสินใจที่จะเกิดขึ้นเพราะยังไม่เกิด 

เมื่อถามว่าผลการหารือกับพรรคการเมืองส่วนใหญ่มีเสียงตรงกันว่าไม่เอาพรรคก้าวไกลในการจัดตั้งรัฐบาล เมื่อไปพูดกับพรรคก้าวไกลเราต้องการคำตอบอะไรจากก้าวไกล นพ.ชลน่าน กล่าวว่า โจทย์เรามีหน้าที่นำข้อมูลที่ได้รับมาเข้าสู่การประชุม 8 พรรคแล้วร่วมพิจารณา ทางเลือกทั้งหมดจะออกมาอย่างไรอยู่ที่การพูดคุย ตนยังตอบไม่ได้ว่าจะเป็นมุมไหน 

เมื่อถามถึงกรณีที่มีการพูดถึงการสลาย 8 พรรค ร่วม พรรคเพื่อไทยได้นำมาคิดบ้างหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เพื่อไทยคิดหรือไม่คิดไม่มีประเด็นเพราะสิ่งสำคัญคือการตัดสินใจของ 8 พรรค 

เมื่อถามว่าขอให้ขยายความที่ได้ให้ไปสัมภาษณ์สื่อว่าหาก 2 พรรคหมดปัญญาจะมอบให้พรรคอันดับ 3 นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ไม่อยากขยายความเดี๋ยวตีความผิดอีก ความหมายของตนคือทางเลือกมีคนเสนอเยอะ ตนเพียงจะบอกว่าทางเลือกอื่นมีคนเสนอมาทำนองนี้ว่าเราหมดปัญญาแล้ว การมอบให้พรรคที่ 3 เป็นไปได้หรือไม่ ตนจึงบอกไปว่ามันเป็นทางเลือกจะเกิดขึ้นหรือไม่เราไม่รู้ และตนยังพูดไปชัดว่าเป็นการมอบอำนาจให้เสียงข้างน้อย เมื่อถามย้ำว่าให้จบที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลใช่หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เราจะพยายาม

‘วิโรจน์’ ลั่น!! ‘ก้าวไกล’ ยืดหยุ่น-รับฟังลดเพดานแก้ 112 ชี้!! ‘อุดมการณ์ต่างกัน’ แค่ข้ออ้างเตะออกจากพรรคร่วมฯ

(24 ก.ค. 66) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ ‘แนวคิดในการบริหารประเทศของพรรคก้าวไกล เป็นอย่างไร ทำไมต้องเกี่ยงต้องกลัวกันนัก’ ระบุว่า…

หากติดตามสถานการณ์ทางการเมืองในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา กับคำสัมภาษณ์เกี่ยวกับมุมมองต่อพรรคก้าวไกลประมาณว่า “ไม่ได้ติดขัดแค่เรื่อง ม.112 แต่แนวทางอุดมการณ์ต่างกัน ไม่สามารถให้พรรคก้าวไกลมีอำนาจทางการเมืองมากไปกว่านี้ได้” และ “ไม่สามารถทำงานได้ หากมีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาล เพราะแนวความคิดต่างกัน” สะท้อนว่า ประเด็นเรื่องการแก้ไข ม.112 น่าจะเป็นเพียงข้ออ้าง อย่างที่หลายคนตั้งข้อสันนิษฐานไว้จริงๆ และถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงข้ออ้างก็ตาม หาก สว. ท่านใด หรือพรรคการเมืองไหน ยังคงมีความกังวลในเรื่องนี้ พรรคก้าวไกลก็ยินดีเปิดใจรับฟังครับ

เพียงแต่อยากให้สรุปเป็นข้อเสนอมาเลยว่า คำว่า “ถอย” หรือ “ลด” ที่พูดๆ กัน นั้นมีรายละเอียดอะไรบ้าง ผมเชื่อว่าหากไม่กระทบกับจุดยืน และเจตนารมณ์ที่ดีอย่างรุนแรง การยืดหยุ่นภายใต้สถานการณ์ที่เป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นการขยายกรอบระยะเวลา การจัดลำดับก่อนหลังในการดำเนินการ การมีกระบวนการเพิ่มเติม ในการทบทวนเนื้อหา และรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายอย่างรอบคอบรอบด้านมากขึ้น ก็เป็นเรื่องที่พิจารณาได้

ที่ผ่านมาการแก้ไข ม.112 เราก็ยืดหยุ่นมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการไม่บรรจุให้เป็น MOU ของ 8 พรรคร่วม และไม่มีข้อผูกมัดใดๆ ต่อพรรคร่วมรัฐบาลเลย เอาว่าวาทกรรมเรื่อง “ถอย” หรือ “ลด” เอาเนื้อหามากางคุยกันก่อนดีกว่าครับ เพื่อจะได้คลี่คลายความกังวลร่วมกันอย่างเปิดเผย และเป็นรูปธรรม มิฉะนั้นเรื่อง ม.112 ก็จะถูกนำมาเป็นข้ออ้างลอยๆ แบบไม่จบไม่สิ้น

สำหรับข้อกล่าวหาที่ระบุว่า แนวความคิดของพรรคก้าวไกลนั้นมีความแตกต่าง ขนาดที่ถึงกับต้องพูดว่า ถ้ามีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาลด้วย จะทำงานไม่ได้ แถมยังปล่อยให้พรรคก้าวไกลมีอำนาจทางการเมืองไปมากกว่านี้ไม่ได้ ผมว่าประเด็นนี้ ทำให้ประชาชนอยากรู้นะครับว่า แนวความคิดของพรรคก้าวไกล ในการบริหารประเทศ นั้นเป็นอย่างไร ทำไมถึงกับต้องเกี่ยง ต้องกลัวกันถึงขนาดนี้ ผมตอบสั้นๆ ได้เลยครับว่า แนวความคิดของพรรคก้าวไกลในการจัดการงบประมาณ และการบริหารราชการแผ่นดิน จริงๆ แล้วเป็นเรื่องพื้นฐานที่ประเทศที่พัฒนาแล้วเขาทำกัน และไม่ได้มีอะไรที่น่ากลัวเลยครับ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 8 ประเด็น ดังนี้

1. การปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันอย่างเอาจริงเอาจัง 
2. การเปิดเผยข้อมูลการบริหารราชการอย่างโปร่งใส การใช้จ่ายงบประมาณต้องมีประสิทธิภาพ 
3. การจัดการกับปัญหาทุนผูกขาด ให้ประชาชนมีโอกาสลืมตาอ้าปาก ประกอบกิจการตามความฝันของตน 
4. การจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นธรรม ไม่ยอมให้กลุ่มอภิสิทธิ์ชนเครือข่ายอุปถัมภ์ กินรวบทรัพยากรของประเทศ ยึดกุมสัมปทานที่เอารัดเอาเปรียบ มัดมือชกรีดนาทาเร้นประชาชน อย่างไม่เป็นธรรม 
5. การกระจายอำนาจ กระจายการลงทุนไปสู่ท้องถิ่น ไม่กระจุกความเจริญไว้ที่ส่วนกลาง 
6. การปรับปรุงสวัสดิการ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเท่าเทียมกันในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน 
7. การลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อนำพาประเทศไปสู่ความก้าวหน้า พร้อมที่จะแข่งขัน และร่วมมือกับนานาอารยประเทศ 
8. การปกป้องคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ ของประชาชน ในฐานะที่ประชาชนเป็นเจ้าของอธิปไตย และกองทัพอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน ไม่มีการทำรัฐประหารอีกต่อไป

แนวความคิดทั้ง 8 ข้อ ข้างต้น ล้วนเป็นเรื่องที่ดีทั้งสิ้น ผมไม่เห็นว่าจะมีตรงไหนที่น่ากลัวเลยครับ คนที่บอกว่าทำงานกับแนวความคิดของพรรคก้าวไกลไม่ได้ อาจจะยังไม่เข้าใจก็ได้ ก็เลยรู้สึกกังวลไปเอง อย่างไรสามารถทบทวนใหม่ได้นะครับ ถ้าบอกว่า แนวความคิดของพรรคก้าวไกล จะทำให้โกงไม่ได้ ทุจริตไม่ได้ คอร์รัปชันไม่ได้ ฮั้วประมูลไม่ได้ อันนี้ผมจะไม่เถียงเลยสักคำ จริงๆ แล้ว สถานการณ์ในตอนนี้ อาจจะเป็นการปะทะกันระหว่างวลี 2 วลี อยู่ก็ได้นะครับ วลีแรก “กูไล่มึงออก มึงไม่ออกกูจะแดกยังไง” กับวลีที่สอง “กูไม่ออก ออกแล้วประชาชนจะเอาอะไรแดก” ซึ่งประชาชนคงต้องติดตามต่อไปว่าในท้ายที่สุดแล้ว วลี 2 วลีนี้ วลีไหนจะเป็นฝ่ายชนะ

'วีระ' ลั่น!! คำพูดที่ลืมไปตอนใช้หาเสียง ประชาชนส่วนใหญ่จะจดจำไม่มีวันลืม

(24 ก.ค.66) นายวีระ สมความคิด ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

คำพูดที่เคยใช้หาเสียง กับความจริงของชีวิต
คนพูดมันอาจลืมไปแล้ว หรือไม่ได้รู้สึกอะไร
แต่ประชาชนส่วนใหญ่จะจดจำไม่มีวันลืม
และเจ็บปวดทุกครั้ง ที่รู้สึกว่าถูกพวกมันหลอกอีกแล้ว

วีระ สมความคิด
23 ก.ค. 2566

#สัตว์ที่เตรียมตัวสูญพันธุ์

‘พิธา’ ลั่น!! ถ้ามีพรรคลุงร่วมรัฐบาล จะไม่มีก้าวไกล

เมื่อวานนี้ 23 ก.ค. 66 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ภายหลังจากปราศรัยขอบคุณประชาชน ชาวจันทบุรี ระบุว่า…

“มีพรรคลุง ไม่มีก้าวไกล...ถ้าพรรคลุง หรือ พรรคทหารจำแลง เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล ถ้าเป็นการเชิญเข้ามาร่วมรัฐบาลจริงๆ ก้าวไกลอยู่ด้วยไม่ได้จริงๆ ในสมการนั้น ถ้าเชิญมาร่วมรัฐบาลจริงๆ จะไม่มีก้าวไกล” 

'หมออั้ม' กระตุก 'ด้อมส้ม' ตีกันโดยไร้หลักการสภาฯ ถึงเวลา 'ภูมิใจไทย' เสียบ ก็กรี๊ดคาบ้านแล้วกัน

(24 ก.ค.66) หมออั้ม อิราวัต อารีกิจ อดีตนักร้องค่ายดัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ 'ระหว่างที่ตีกัน โดยไม่เข้าใจหลักการสภาฯ' ระบุว่า...

ถ้าโหวตนายกฯ ครั้งที่ 2 จากพรรคเพื่อไทย
(ครั้งแรกพิธา จากก้าวไกล ในฐานะพรรคอันดับ 1) 
แล้วเกิดปัญหา โหวตไม่ผ่าน

การโหวตนายกฯ ครั้งที่ 3 จะเกิดขึ้น

โดยพรรคอันดับที่ 3 คือ พรรคภูมิใจไทย
จะได้สิทธิ์ ในการจัดตั้งรัฐบาล รวมพรรคต่าง ๆ
ให้ได้เสียง เป็นรัฐบาลข้างมาก 

ซึ่งไม่ต้องคิดครับ เขาทำได้แน่ๆ

จะได้ยังไงอ่ะหมอ ตลกละ
เพราะก้าวไกล 151 + เพื่อไทย 141 ก็ 292 แล้วนะ
และพรรคร่วมอีก 6 พรรค เป็น 310+

ถ้าใครไม่เดียงสาทางการเมือง ก็จะคิดแบบนั้นล่ะครับ

แต่คนที่รู้ บอกเลย ว่า ‘อนุทิน’ จัดการได้
ถึงเวลานั้น ก็อย่า #กรี๊ดคาบ้าน ก็แล้วกัน
เมื่อสีที่เชียร์ ๆ กัน เปลี่ยนเป็นเขียว

งูเห่าในตำนาน พรรคไหนเลื้อยมากสุด
ผมคงไม่ต้องบอกนะครับ..

จะเลื้อยกันยั๊วเยี๊ยะในสภา อีกเกือบครึ่งร้อย

และนายกรัฐมนตรี จะเป็นขั้วเดิม
แถมมีศักยภาพเพิ่ม ไม่รู้อีกกี่ปี ระหว่างนั้น
ฝ่ายเผด็จการจะเรียนรู้และแทรกแซง
ไม่ให้เกิดการแก้กฎหมาย
ซ้ำต่ออายุกฎหมายเฉพาะกาลบางอย่าง
แบบที่เขาทำกันมาแล้ว

ต่อให้ยุบสภาฯ อีก เขาก็ยังเป็นต่อ

---------------------------

นาทีนี้ พวกซอมบี้คลั่ง ช่วยเอาหัวทุบกำแพง
แล้วเอาน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงาตนเองที 
ว่าที่กรี๊ดที่โหยหวนนี้ ต้องการอะไรกันแน่

และตกลงศัตรูของพวกคุณ คือใคร?
พรรคเพื่อไทย หรือ ฝั่งเผด็จการ

เมื่อเราเดินทางมาถึงจุดที่พรรคก้าวไกล 
ไม่สามารถไปต่อได้แล้ว ในจุดนี้
เราดัน เราพยุง เราโอบอุ้มเต็มที่แล้ว

ผมก็ขอฝากให้ พรรคเพื่อไทย 
มีความเด็ดเดี่ยวเด็ดขาด และตัดสินใจอย่าลังเล
เอาประโยชน์ของประเทศ เป็นที่ตั้ง
เพราะความหวังในการโหวตนายกฯ รอบ 2
อยู่ที่การตัดสินใจของพรรคเพื่อไทย

ภารกิจตอนนี้ คือ ประชาชนทั้งประเทศ
ไม่ใช่แค่พรรคใดพรรคหนึ่ง ที่เราช่วยสุด ๆ แล้ว

หันกลับมามอง Voter เพื่อไทยที่เหนียวแน่น
พวกเขาไม่ได้เลือกท่าน มาเป็นพรมเช็ดเท้าใคร
ไม่ได้เลือกท่านมาเป็นสนามอารมณ์ของใคร

และ เขาเลือกท่านมาเป็นรัฐบาล
ไม่ใช่ฝ่ายค้าน ที่ไร้ศักยภาพ

10 เดือน ถ้ารอ เจอรัฐประหารแน่
ไม่ทางตรง ก็ทางอ้อม พวกเขาสืบอำนาจแน่ๆ
แน่นอนว่าเศรษฐกิจทุกภาคส่วน พังยับ 
ปัญหาปากท้องประชาชนจะยิ่งวิกฤติ

เด็ดขาด และเงยหน้ามองประชาชน
เลิกก้มหน้า กุมเป้า แคร์แต่มิตรปลอมๆ
ที่คอยทิ่มแทง เหยียดหยามท่านไม่เว้นวัน

อ่อ ไม่ต้องกลัวจะสูญพันธุ์
เพราะไม่ว่าครั้งนี้ หรือครั้งไหนๆ
พวกปากแจ๋ว มันก็ไม่เลือกท่าน

แคร์คนที่แคร์ และลงคะแนนให้ท่านจริงๆ
จะเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติมากกว่า

‘เพื่อไทย’ รีบแจงเหตุ ยัน!! ไม่มีดีลลับ คุยกับทุกพรรคเปิดเผย มุ่งเดินหน้าหาเสียงเพิ่ม ชี้ หากไม่คุยกับใคร ก็อาจไม่มีคะแนน

(24 ก.ค. 66) พรรคเพื่อไทย ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ @PheuThaiParty ระบุว่า...

พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งรับภารกิจมาจากพรรคก้าวไกล และ 8 พรรคร่วม

เราไม่มีดีลลับ เราพูดคุยกับทุกพรรคอย่างเปิดเผย กับ สว.ก็มีคนไปคุย เพื่อบอก ‘เพื่อน 8 พรรค’

เราเดินหน้าทำงานหาเสียงเพิ่ม เติมเสียงใหม่ เพราะหากไม่คุยกับใคร ก็อาจไม่มีคะแนน

ข้อความดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่ประชาชนรุมกระหน่ำ ‘ทัวร์ลง’ พรรคเพื่อไทย ที่หันไปเจรจากับพรรคการเมืองซีกพรรคร่วมรัฐบาลเดิม

‘สว.เสรี’ แนะ ‘เพื่อไทย’ รวมเสียงจัดตั้ง รบ. ให้ครบก่อน เชื่อ!! ‘สว.’ ยกมือให้ หากไม่มีนโยบายกระทบสถาบัน

(24 ก.ค. 66) ที่รัฐสภา นายเสรี สุวรรณภานนท์ สว. กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทย จัดคณะพูดคุยกับสมาชิกวุฒิสภา เพื่อหาทางออกวิกฤตประเทศ โดยมีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นหัวหน้าคณะเจรจา ว่า พรรคเพื่อไทย ไม่จำเป็นต้องมา เพราะจุดยืนของ สว. ชัดเจนแล้วว่า หากมีพรรคการเมืองใดที่จะแก้รัฐธรรมนูญในหมวดที่ 1 และหมวดที่ 2 หรือแก้ไขกฎหมายใดที่จะไปกระทบต่อสถาบันหลักของชาติ สว. ก็จะไม่สนับสนุน และหากมีการพูดคุยกับคณะเจรจาของพรรคเพื่อไทย ก็อาจจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมีบทบัญญัติถึงการทำหน้าที่ของ สว. ที่จะต้องไม่อยู่ภายใต้อาณัติของพรรคการเมือง ดังนั้นจึงเห็นว่า พรรคเพื่อไทย ไม่ต้องเดินทางมาพูดคุยกับ สว. เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา

เมื่อถามว่าหากการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ที่จะนำเสนอชื่อ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย โดยพรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน สว. จะสนับสนุนหรือไม่ นายเสรี กล่าวว่า กระบวนการพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก็จะต้องนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมตามปกติ ขอแนะนำให้พรรคเพื่อไทย รวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลให้เพียงพอ และมีนโยบายที่ไม่กระทบต่อสถาบันหลักของชาติ ก็เชื่อว่าสมาชิกวุฒิสภาพร้อมสนับสนุน เพราะมองว่ากระบวนการแก้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลนั้น เป็นข้ออ้างที่ใช้เป็นจุดเริ่มต้นเพื่อเป้าหมายที่ไกลกว่านั้น

เมื่อถามว่า เห็นอย่างไรที่นายสมชาย แสวงการ สว. เสนอให้เลื่อนวันโหวตนายกฯ จากวันที่ 27 ก.ค. 66 ออกไปก่อน หลังกระบวนการเจรจาพูดคุยของพรรคเพื่อไทยยังไม่เสร็จสิ้น นายเสรี กล่าวว่า สว.ไม่มีความขัดข้องว่าจะมีการประชุมรัฐสภาให้เลือกนายกรัฐมนตรีในวันใด แต่ขอให้พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลไปพูดคุยตกลงกันให้ได้ข้อสรุปก่อน 

ส่วนกรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง เตรียมเปิดเผยข้อมูลลับของนายเศรษฐา ในวันที่ 25 ก.ค.นี้ จะมีผลต่อการตัดสินใจลงมติให้ความเห็นชอบหรือไม่นั้น นายเสรี กล่าวว่า จะต้องไปพิจารณาถึงความน่าเชื่อถือ เพราะหากมีการฟังความข้างเดียวก็อาจไม่เป็นธรรม ดังนั้นจะต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top