Sunday, 22 June 2025
POLITICS NEWS

'Voter ส้ม' ถาม 'ด้อมส้ม' ต้องการอะไรจาก 'เพื่อไทย' หรือต้องการให้เขามาเป็นฝ่ายค้านด้วยกันถึงจะพอใจ?

(25 ก.ค. 66) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Paranyu Pithayarungsarit' ได้โพสต์ข้อความระบายความรู้สึกในฐานะที่เป็น Voter ทั้งอนาคตใหม่ และก้าวไกลทุกใบ และจะยังโหวตให้ต่อไป โดยอยากพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับด้อมส้มที่กำลังด่าเพื่อไทย ว่า...

ถามจริง ๆ เพื่อไทยทำอะไรผิดวะ? เค้าตามเอ็งทุกอย่าง vote ให้พิธาเป็นนายกก็ครบทุกคน จะเสนอชื่อให้โหวตต่อ ก็เห็นด้วยครบหมด จะบอกว่าไง จริง ๆ มีดีลลับ? ถามหน่อย ถ้ากรณีไม่มีดีลนี่เพื่อไทยต้องทำไงให้พวกเอ็งพอใจวะ มันก็ต้อง vote ให้ครบหมดหน้ากระดานแบบที่ทำอยู่แบบนี้อยู่ดีป่ะ? ก็มี สส. แค่นี้ ให้หมดทุกคนแล้ว มันก็สุดแล้วไหม? 

กลับมาดูสิ่งที่ FC ก้าวไกลเรียกร้อง ตั้งแต่เลือกตั้งเสร็จมีอะไรบ้าง

พรรคที่ได้ที่ 1 ควรเป็นประธานสภา
พรรคที่ได้ที่ 1 ควรได้จัดตั้งรัฐบาล
พรรคที่ได้ที่ 1 ควรได้รับการเสนอชื่อเป็นนายก

แล้วก็ด่าเพื่อไทยยังงั้นยังงี้ พวกเอ็งเพ้อจนลืมอะไรไปหรือเปล่า 

4 ปีก่อน เพื่อไทยได้ที่ 1 ให้ชวนเป็นประธาน และรองประธานไม่มีเพื่อไทยเลย
4 ปีก่อน เพื่อไทยได้ที่ 1 ก็ไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล
4 ปีก่อน เพื่อไทยได้ที่ 1 ก็ไม่เสนอชื่อนายก แถมโหวตให้อนาคตใหม่ที่ได้ที่ 3 ครบหมดหน้าตัก

ถามจริง ๆ ไอพวก FC ส้ม เอ็งต้องการอะไรจากเพื่อไทยวะ?

ถ้าใครตาม story การเมืองมาเรื่อย ๆ พรรคเค้าชัดเจนมาตลอดนะว่าต้องการเอาทักษิณกลับบ้าน (ตั้งแต่ พรบ. นิโทษ), ไม่เคยจะเลิก 112 (ตั้งแต่สมัยเป็นรัฐบาลแล้ว) และต้องการมาเป็นฝ่ายบริหารชัดเจนมาตลอด

พรรคเค้ามีจุดยืนของเค้า และไอด้านบนที่พิมพ์มานี่ ทุกคนก็รู้ก่อนเลือกตั้งแล้วทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย แต่ประชาชนก็ยังเลือกกันได้มาถึง 140 กว่าที่

จะมาร้องเย้ว ๆ มีดีลลับ ๆ ๆ ก็ช่วย Respect the vote ของกองเชียร์เพื่อไทยด้วย ถามจริง ๆ คิดว่าพวก FC เพื่อไทยเค้าไม่รู้กันแต่แรกหรอว่าเพื่อไทยจะมีโอกาสมา solution นี้? เค้ารู้โว้ยย แต่เค้าก็ยังเลือกก

คืออันนี้สงสัยว่า FC ทั้งหลายต้องการให้ทำอะไรอีก? หรือต้องการให้เค้ามาเป็นฝ่ายค้านไปด้วยกันถึงจะพอใจ? อย่าลืมดิ อุดมการณ์เค้าไม่ได้เหมือนก้าวไกล ที่พร้อมจะชนโครงสร้าง เค้าแค่อยากมาบริหารต่อ และเค้าก็ชัดเจนแนวทางนี้มาตลอดนะ 

ต่อให้ดีลลับมีจริงหรือไม่มีจริง (ส่วนตัวก็เชื่อว่ามี) อ่ะ ต่อให้ไม่จริงเลย ยังไง Action ของเพื่อไทยที่ดีที่สุดต่อพรรคอันกับหนึ่งหลังเปิดสภามันก็ยังต้องออกแบบเดิมอยู่ดีป่ะวะ คือ vote ให้หมดหน้าตักแบบที่เห็น ๆ อยู่ แต่แต่ปัญหาคือ สว. กับพรรคอื่นต่างหาก ที่มีจุดยืนว่าจะไม่ร่วมกับพรรคที่ยุ่ง 112 (ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็บอกว่ายอมแก้และจริง ๆ เชื่อว่าพอถึงเวลาก็ไม่กล้า vote แก้หรอก แต่ก็ยังยินดีร่วมกับก้าวไกล คือควรชมเค้ามากกว่าไหม? ที่แทบจะตามทุกอย่าง) หรือด้อมก้าวไกลต้องการบังคับให้เพื่อไทยไปเป็นฝ่ายค้านด้วยกัน? พวกเอ็งเลือกก็ไม่ได้เลือกเค้า ทำไมแนวทางพรรคเค้าต้องฟังเอ็งด้วยวะ?

อยากให้พรรคที่แพ้ Respect the vote ก็อย่าลืมผลโหวตประชามติที่ FC ก้าวไกลทั้งหลาย ที่รับร่างกันมา แล้ววันนี้ต่างก็มาเจ็บปวดกัน เพราะผลการกระทำของตัวเอง จริง ๆ แล้ว FC เพื่อไทยต่างหากที่ควรจะด่า ว่าทำไมตรูต้องมารับกรรมอะไรแบบนี้แทนด้วยวะ ถ้าไม่เชื่อที่พิมพ์ก็ให้ภาพด้านล่างตอบแทนทุกอย่าง ง่ายดี

ที่พิมพ์มาทั้งหมดนี่ ย้ำอีกครั้ง ตรู Vote ให้ส้มมาตั้งแต่รอบแรก ปัจจุบัน และตลอดไป 🧡😆

‘ไทยสร้างไทย’ แถลงจุดยืนทางการเมือง ในการจัดตั้งรัฐบาล ยัน!! ค้านแก้ ม.112 พร้อมยึดมั่นใน 3 สถาบันหลักของชาติ

‘พรรคไทยสร้างไทย’ ประชุมผู้บริหารพรรคแถลง 5 จุดยืนทางการเมืองในช่วงการจัดตั้งรัฐบาล หวังทุกฝ่ายร่วมกันหาทางออกให้กับประเทศชาติ ประชาชน ด้วยความจริงใจและเสียสละ

(25 ก.ค. 66) ที่พรรคสร้างไทย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการประชุมคณะผู้บริหาร นำโดยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, นายสุพันธุ์ มงคลสุธี, นายฐากร ตัณฑสิทธิ์, นายอุดมเดช รัตนเสถียร และ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ซึ่งหลังการประชุม มีการประกาศ 5 จุดยืนทางการเมือง ในช่วงการจัดตั้งรัฐบาล ดังนี้

1.) พรรคไทยสร้างไทยยืนยันเคารพเสียง และเจตนารมณ์ของประชาชน ที่ต้องการเห็นการจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยตามข้อตกลงร่วมในการจัดตั้งรัฐบาลของ 8 พรรค ที่ได้รับฉันทามติจากประชาชน และสนับสนุนให้มีการเดินหน้าตั้งรัฐบาลตามเจตนารมณ์ของประชาชนให้สำเร็จ เพื่อนำประเทศสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง

2.) พรรคไทยสร้างไทย ขอขอบคุณและชื่นชมความเสียสละของพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แม้ระหว่างทางจะมีปัญหาและอุปสรรคบ้าง แต่ขอให้กำลังใจให้เดินหน้าต่อไปเพื่อประเทศชาติ และประชาชน

3.) ขอให้แกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และพรรคร่วมได้หาทางออกร่วมกัน ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรในการหาเสียงสนับสนุนเพิ่มเติมจาก ส.ว. และ ส.ส. ขอให้นำมาพูดคุยกัน
ด้วยความจริงใจและความเสียสละเพื่อประชาชน และถอยกันคนละก้าวเพื่อที่จะนำไปสู่ทางออกของประเทศ

4.) พรรคไทยสร้างไทยมีจุดยืนมั่นคงในการรักษาสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และพรรคไทยสร้างไทยขอสนับสนุนการสร้างประชาธิปไตยถาวร ไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจอย่างเด็ดขาด และไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แต่เห็นว่า รากเหง้าปัญหาของประเทศเกิดจากรัฐธรรมนูญปี 2560

พรรคไทยสร้างไทยจึงได้เสนอ ให้คืนอำนาจให้กับประชาชนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ตามร่างที่พรรคไทยสร้างไทยได้เสนอเข้าสภาเรียบร้อยแล้ว เพื่อตัดวงจรการสืบทอดอำนาจทั้งสว. และแผนยุทธศาสตร์ชาติ โดยไม่แก้ หมวด 1 และ 2 เพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญของประชาชนสำเร็จลุล่วงได้จริง

5.) ยอมรับว่าขณะนี้บ้านเมืองต้องการรัฐบาล และปัญหาของประชาชนรอไม่ได้ แต่ถ้าหากสามารถตั้งรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยได้ตามที่ประชาชนคาดหวังก็จะดีที่สุด ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาบ้าง โดยระหว่างนี้ให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาเพื่อพิจารณาและประสานงานกับคณะรัฐบาลรักษาการและหน่วยงานราชการเพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชนไปพลางก่อน

'สำนักข่าวอิศรา' เปิดข้อมูล 11 บริษัท 'ลิ้มเจริญรัตน์' พบ!! พี่ชาย 'เสี่ยชูวิทย์' เคยร่วมธุรกิจอสังหาฯ ด้วย

(25 ก.ค. 66) สำนักข่าวอิศรา เจาะลึกเครือข่ายธุรกิจ 'ลิ้มเจริญรัตน์' ช่วงปี 2503 -2534 ก่อตั้ง 11 แห่ง ค้าขายเชือกป่าน พืชไร่ รับเหมาก่อสร้าง พบ บ.สยามแอสเซ็ท กิจการอสังหาฯ พี่ชาย 'เสี่ยชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์' ร่วมหุ้นด้วย ก่อนเลิกร้างปี 2530

หลายคนอาจไม่รู้ว่า ‘ลิ้มเจริญรัตน์’ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี มีสายสัมพันธ์ทางธุรกิจกับ ‘กมลวิศิษฏ์’ ของนายชูวิทย์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย นักธุรกิจใหญ่ตัวแสดงอีกคน

สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานแล้วว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และนายภาษิณ ลิ้มเจริญรัตน์ น้องชาย เป็นกรรมการธุรกิจรวม 7 บริษัท (รวมบริษัท ออยล์ฟอร์ไลฟ์ จำกัด ธุรกิจน้ำมันรำข้าว) ในจำนวนนี้ 1 บริษัทคือ บริษัท เกร็ทโอเชียนฟู้ด จำกัด จดทะเบียนเลิกเมื่อ 17 ธ.ค. 2553 จดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี เมื่อ 4 ส.ค.2554 โดยก่อนจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี บริษัท โซลิทสึ (ประเทศไทย) จำกัด เจ้าหนี้ ยกเลิกหนี้คงค้างของบริษัทฯให้แก่ บริษัท เกร็ทโอเชียนฟู้ด จำกัด จำนวน 584,302.74 บาท

ล่าสุด จากการตรวจสอบธุรกิจของคนตระกูลลิ้มเจริญรัตน์พบว่า ตระกูลลิ้มเจริญรัตน์ของนายพงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์ บิดานายพิธา มีธุรกิจในอดีตและยังเปิดดำเนินการอยู่ในปัจจุบันกว่า 20 บริษัท ก่อตั้งในช่วงแรกๆ ปี 2500 - 2535 ประมาณ 11 บริษัท...

เริ่มจาก วันที่ 28 ธันวาคม 2503 จดทะเบียน หจก.พรเกียรติ ค้าขายเชือก แห อวน ในย่านสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ ด้วยทุน 6 แสนบาท

วันที่ 4 เมษายน 2505 จดทะเบียน บริษัท ไทยย่งฮั่วเชียง จำกัด

วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2507 จดทะเบียน บริษัท ไทยโรจน์ จำกัด รับเหมาก่อสร้าง

วันที่ 13 กันยายน 2520 จดทะเบียน หจก.อาโกรโพรดักส์ ค้าขายข้าวพืชไร่

วันที่ 28 ธันวาคม 2520 จดทะเบียน บริษัท กิตติอาโกรโพรดักส์ จำกัด

วันที่ 28 ตุลาคม 2524 จดทะเบียน หจก.ขอนแก่นพรเกียรติ ที่ จ.ขอนแก่น วันที่ 20 เมษายน 2527 จดทะเบียน หจก.ทรัพย์พรชัย ขายเชือกมนิลาอยู่แถวพระโขนง

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2525 จดทะเบียนบริษัท สยามแอสเซ็ท จำกัด ประกอบกิจการซื้อ ขายที่ดิน และจัดแบ่งที่ดินออกเป็นแปลง และจำหน่ายพร้อมสิ่งปลูกสร้าง

วันที่ 14 มกราคม 2531 จดทะเบียนบริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีต เอสคอน จำกัด ทำเสาเข็ม

วันที่ 25 กรกฎาคม 2531 จดทะเบียนบริษัท แสงธนาเฮ้าส์ซิ่ง จำกัด รับเหมาก่อสร้าง

วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2534 จดทะเบียนบริษัท บางกอกคอร์เดจ จำกัด นำเข้าเชือกป่าน

ต่อมาขยายอีกสิบแห่ง เฉพาะนายพงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์ ทำธุรกิจน้ำมันพืชร่วมกับชาวญี่ปุ่นและกลุ่มเกษตรรุ่งเรืองในชื่อบริษัท เอส.เอ็น. บี.ผลิตผลการเกษตร จำกัด และ บริษัท ซีอีโอ อกริฟู้ด จำกัด (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ออยล์ฟอร์ไลฟ์ จำกัด)

ทว่า 1 ในธุรกิจ ‘ลิ้มเจริญรัตน์’ อย่าง บริษัท สยามแอสเซ็ท จำกัด ก็มีคนตระกูลกมลวิศิษฏ์ร่วมเป็นกรรมการด้วย

โดยจากการตรวจสอบพบข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า บริษัท สยามแอสเซ็ท จำกัด จดทะเบียนวันที่ 24 พฤศจิกายน 2525 ทุน 2 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 523 ถนนวานิช 1 แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ นายบรรลือ ลิ้มเจริญรัตน์ นายวิโรจน์ กมลวิศิษฎ์ (พี่ชายนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีต ส.ส.) เป็นกรรมการร่วมกับบุคคลอื่นอีก 3 คน รวมเป็น 5 คน ต่อมาได้เลิกกิจการนายทะเบียน ได้ขีดชื่อออกจากทะเบียน เป็นบริษัทร้างเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2530

ทั้งนี้ นายวิโรจน์ กมลวิศิษฎ์ นายชูชาติ กมลวิศิษฎ์ นายฤทัย กมลวิศิษฎ์ พี่ชายนายชูวิทย์ ทำธุรกิจรับสร้างบ้านชื่อ บริษัท กรุงเทพ เอส อาร์ พี จำกัด ธุรกิจขายเครื่องเขียนชื่อ หจก. โกล์ดวอเตอร์ส , บริษัท อิมเมกซ์ เอส อาร์ พี จำกัด , บริษัท ยังเบอร์รี่ จำกัด ทั้ง 4 แห่งตั้งอยู่แถวพุทธมณฑลสาย 2 เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ และทำธุรกิจค้าที่ดินชื่อ บริษัท ซี.ดี.แลนด์ จำกัด ตั้งอยู่ถนนสาธรใต้ แขวงยานนาวา เขตยานนาวา กรุงเทพฯ

ขณะที่ นายผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ เลขานุการส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถือหุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชื่อ บริษัท บี.พี.แลนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ร่วมกับหุ้นส่วนอีก 7 คน และ นายผดุงยังได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ในเวลาต่อมา

เห็นได้ว่า ‘ลิ้มเจริญรัตน์’ เกี่ยวโยงทางธุรกิจกับ ‘กมลวิศิษฎ์’

กระนั้นไม่มีข้อมูลความโยงกันทางการเมือง

‘ปกรณ์วุฒิ’ หอบหลักฐานปึกใหญ่ เตรียมยื่น ป.ป.ช.เพิ่ม จ่อสอย ‘ศักดิ์สยาม’ คดีซุกหุ้น ยัน ไม่เกี่ยวกดดันจัดตั้งรัฐบาล

(25 ก.ค. 66) นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้แถลงข้อมูลเพิ่มเติมคดี นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซุกหุ้น จนนำมาสู่การสั่งให้ยุติปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวว่า ได้รับเอกสารชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาเมื่อ 3-4 สัปดาห์ก่อน ตนพบพิรุธหลายจุด และพบหลักฐานใหม่ว่า มีหนี้สินคงค้างกับห้างหุ้นส่วนฯ ในวันเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี และไม่ได้ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.

โดยข้อมูลระบุว่า เคยกู้เงินในปี 2558-2559 จำนวน 4 ครั้ง วงเงินจำนวน 108.4 ล้านบาท มีสัญญากู้ยืมเงิน และชำระหนี้คืนทั้งก้อน 22 เม.ย 2562 ก่อนเข้ารับตำแหน่ง 33 วัน โดยอ้างอิงว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อปี 2565 ซึ่งได้ถามว่าหนี้สินที่นายศักดิ์สยามมีกับห้างหุ้นส่วนแห่งนี้ ได้โอนออกพร้อมกับการโอนหุ้นหรือไม่ แต่ไม่เคยได้รับคำตอบ

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวต่อ ข้อมูลดังกล่าวที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดไม่เปิดเผย ชี้เห็นว่า หลังจากการโอนหุ้นแล้วไม่มีการโอนหนี้สินก้อนนี้ออกไปด้วย เอกสารเป็นการมัดตัวว่าหนี้สินจำนวนนี้ ยังเป็นของนายศักดิ์สยาม หลังการโอนหุ้นเมื่อปี 2561 จึงเกิดคำถามว่ามีการชำระหนี้คืนเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2562 จริงหรือไม่

เพราะงบการเงินของห้างหุ้นส่วนสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2562 ระบุชัดเจนว่า ยังมีเงินให้ในส่วนผู้จัดการกู้ยืมคงค้างจำนวน 38 ล้านบาท จากนั้นยอดหนี้สินจึงถูกปิดลงเหลือ 0 บาท ในงบการเงินสิ้นปี 2563 ซึ่งการปิดงบจะต้องสอดคล้องกับเอกสารและยอดเงินในธนาคารทั้งหมดของห้างหุ้นส่วน เพราะจะต้องยื่นต่อหน่วยงานราชการตามกฎหมาย

“จึงเป็นไปได้ว่านายศักดิ์สยามเป็นหนี้ห้างหุ้นส่วนอยู่ 38 ล้านบาทเมื่อสิ้นปี 2562 และไม่ได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. สมมติมองในแง่ดีวันที่ 22 เมษายน 2562 มีการโอนเงิน 108 ล้านบาท ให้ห้างหุ้นส่วนตามเอกสาร” นายปกรณ์วุฒิ กล่าว

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวต่อ พิรุธในประการต่อไป เมื่อพิจารณาเอกสารชี้แจง จะพบว่าห้างหุ้นส่วนได้ระบุว่า นายศักดิ์สยามกู้ยืมเงิน 4 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2559, 2560, 2561 ระบุยอดตรงกัน 69 ล้านบาท ซึ่งตรงกับการกู้ยืมครั้งที่ 3-4 รวมกัน แต่การกู้เงินครั้ง 1-2 เป็นจำนวนเงิน 39 ล้านบาท ทำไมไม่เคยปรากฏในงบการเงินแม้แต่ครั้งเดียว และยอดเงินจำนวนดังกล่าวมาจากไหน

ขอตั้งข้อสันนิษฐานว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ ว่าอาจไม่ได้มีการชำระหนี้และยังมียอดหนี้คงค้างตามงบการเงิน จึงใช้วิธีหายอดเงินที่มีการโอนเข้าห้างหุ้นส่วนจริงๆ ซึ่งอาจเป็นการทำทธุรกรรมเพื่อการอื่นมากล่าวอ้างว่าเป็นการใช้หนี้ แต่ยอดเงินดังกล่าวไม่ตรงกับ 69 ล้านบาท จึงต้องสร้างยอดหนี้ใหม่ที่ไม่เคยปรากฏ ทำสัญญาเงินกู้ขึ้นมา ที่ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญนั้นมีการติดอากรแสตมป์ ที่จะมีการประทับวันที่มีผลทางกฎหมายเป็นทางการหรือไม่ โดยชี้ว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. ที่จะสืบสวนต่อไป

และข้อสงสัยมากที่สุดคือ ตัวเลขในการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สิน ไม่สอดคล้องกับการขายหุ้นของห้างหุ้นส่วนดังกล่าว หากขายจริงและได้รับเงิน 120 ล้านบาทจริงในเดือนมกราคม 2561 เหตุใดในการยื่นทรัพย์สินในช่วง 16 เดือนหลังจากนั้นกลับมีเงินสด ซึ่งเป็นเงินฝากเพียงจำนวน 76 ล้านบาท หากเป็นตัวเลขจริงอาจเป็นการใช้เงินที่ไม่ใช่การซื้อทรัพย์สินอย่างน้อย 40 ล้านบาท ภายใน16 เดือน และตัวเลข 40 ล้านบาทตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า ก่อนเดือนมกราคม 2561 นายศักดิ์สยามไม่มีเงินเลยแม้แต่บาทเดียว

พร้อมทั้งหยิบยกคำชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ของนายศักดิ์สยามว่า เงินจากการขายหุ้นเป็นเรื่องส่วนตัวที่จะนำไปใช้ จึงไม่จำเป็นรายงานต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงตั้งข้อสงสัยว่า หากมีการจ่ายเงินคืนหนี้สิน 22 เมษายน 2562 เหตุใดนายศักดิ์สยามจึงไม่นำข้อมูลหลักฐานมาชี้แจงในสภาฯ ซึ่งหนี้สินก้อนนี้คือฟางเส้นสุดท้ายในการยึดโยงนายศักดิ์สยามกับห้างหุ้นส่วนแห่งนี้

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวต่อ หากมีการชำระหนี้ไปแล้วจริง จะเป็นหลักฐานสำคัญว่า ได้ตัดขาดจากห้างหุ้นส่วนแห่งนี้โดยเด็ดขาด และจะสามารถหักล้างข้อสงสัยได้ทันทีทันใด และยอมรับว่าจะกลายเป็นตนเองนั้นถูกน็อคกลางสภา แต่นายศักดิ์สยามไม่ชี้แจงว่า นำเงินจากการขายหุ้นมาใช้คืนหนี้สินให้กับทางหุ้นส่วนจำกัดแห่งนี้มูลค่า 108 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังกล่าวว่า ยังพบพิรุธในเอกสารที่แจ้ง ต้องถามรัฐธรรมนูญหลายจุดเช่น นายศักดิ์สยามให้ขอเอกสารจากห้างหุ้นส่วนฯ เป็นเอกสารใบรับวางบิล หุ้นส่วนฯ และผู้จัดการคนใหม่ได้เข้ามาควบคุมเซ็นเอกสารตั้งแต่ต้นปี 2561 ตามที่มีการโอนหุ้นจริง

พร้อมกับให้เปิดเผยว่า ได้ยื่นรายชื่อพยานต่อศาลรัฐธรรมนูญจำนวน 22 คน และรายชื่อพยานเอกสาร รายการเพื่อให้ศาลเรียกเพื่อหักล้างคำขี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของนายศักดิ์สยาม และยังพบรายการเดินบัญชี 27 บัญชีของนายศักดิ์สยามและผู้เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันยังมีทีมงานเพื่อชี้เบาะแสผู้ที่น่าเชื่อว่า ร่วมกันกระทำความผิดฐานฟอกเงินที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ‘DSI’

จึงขอเรียกร้องไปยังองค์กรอิสระ ทั้ง ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ เรียกศรัทธาจากสังคมและการปฏิบัติกับทุกคำร้องตามกฎหมาย ตามกำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม และ มาตรฐานในการทำงานที่กำลังถูกสังคมจับจ้องและตั้งคำถาม

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประมาณ 9-10 เดือนที่ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. และฝั่งศาลรัฐธรรมนูญก็มีเวลาใกล้เคียงกันแต่มีความคืบหน้าไปแล้ว ตอนนี้รอเพียงศาลรัฐธรรมนูญเรียกพยานบุคคลไปให้ข้อมูลเพิ่มเติม

เมื่อถามว่า หากเทียบเคียงกับคดีของ สส.ก้าวไกลความรวดเร็วและการทำงานแตกต่างกันอย่างไร นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า คงไม่ใช่แค่เรื่องนี้ และเรื่องนี้คงเป็นแค่เรื่องหนึ่ง หากย้อนไปตั้งแต่ยุคของ คสช.ที่มีการยื่นคุณสมบัติของรัฐมนตรีแต่ละกรณีพิจารณาไม่ต่ำกว่า 300 กว่าวันหรือบางทีก็มากกว่านั้น แต่หากเป็นเคสของพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล ก็จะค่อนข้างรวดเร็วอย่างที่เห็น

ส่วนที่ต้องยื่นเอกสารใหม่อีกครั้งที่ ป.ป.ช. เพราะเป็นหลักฐานเพิ่มเติมและเป็นเด็นที่แยกย่อยมาจากคำร้องครั้งที่แล้วในคดีซุกหุ้น จึงอยากให้ ป.ป.ช.เรียกดูเอกสารตามอำนาจที่มี ทั้งจากธนาคาร และเอกชน รวมถึงราชการที่จะมาเชื่อมโยงได้ว่าทั้งหมดที่มีการกล่าวอ้างจริงหรือไม่ และตัวเลขหนี้ที่คงค้างอยู่ในงบการเงินนั้น เป็นความผิดพลาดทางงบการเงิน หรือเป็นความผิดพลาดที่ไม่เคยมีการใช้หนี้มาก่อน

เมื่อถามว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับประเด็นการจัดตั้งรัฐบาลที่มีการพูดถึงพรรคอันดับที่ 3 จะมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลด้วยหรือไม่ นายปกรวุฒิ กล่าวว่า ตนได้รับทราบว่ามีเอกสารชุดนี้เมื่อประมาณ 4 สัปดาห์ที่แล้วจาก พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ และช่วงที่ผ่านมาตนก็ได้ยังไม่มีเวลาที่จะดูเรื่องนี้ แต่หลังจากเปิดประชุมสภาแล้ว และได้มีเวลาดูเอกสารประมาณ 1 สัปดาห์ ก็ทำเรื่องนี้เสร็จเมื่อวันเสาร์ (22 ก.ค.) ที่ผ่านมา จึงนำมาสู่การแถลงข่าว โดยไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องรออะไรในการที่จะไปยื่น เพราะหากรอไปเกิดมีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น อาจจะไม่ทันการ จึงคิดว่าจะต้องยื่นเลย

ส่วนจะกระทบไปยังการจัดตั้งรัฐบาล ที่มีการขอเสียงพรรคภูมิใจไทยหรือไม่นั้น มองว่า เป็นการทำหน้าที่ตามปกติ เพราะตนก็ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ ตั้งแต่ปีที่แล้ว และยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเอง รวมไปถึงยื่นต่อป.ป.ช.และศาลรัฐธรรมนูญเอง ดังนั้น ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไม่ทำ ส่วนเรื่องการร่วมรัฐบาลหรือไม่ร่วมรัฐบาล เราเคยประกาศชัดเจนอยู่แล้วว่า ต่อให้นายพิธา เป็นนายกฯ หรือไม่ได้เป็นนายกฯ ก็จะตรวจสอบรัฐมตรีทุกคน ไม่เว้นแม้แต่รัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล รวมไปถึงประเด็นเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต ที่ได้เซ็นต์ไว้ใน MOU ของ 8 พรรคร่วมด้วย

ส่วนจะเป็นการสื่อสารว่า ไม่เอาพรรคภูมิใจไทยหรือไม่นั้น นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า จริงๆ ก็ไม่ใช่ไม่ว่าเราจะร่วมหรือไม่ร่วม ในท้ายที่สุดเราก็ต้องทำงานตรวจสอบพรรคร่วมรัฐบาลทุกคน รวมไปถึงพรรคตัวเองด้วย ที่เข้าไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี หากมีพฤติกรรมอย่างไรที่ไม่ดีหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเจรจา เพราะการเจรจาร่วมรัฐบาลในตอนนี้ เป็นหน้าที่ของพรรคเพื่อไทยและทีมเจรจาของพรรคก้าวไกล ซึ่งตนไม่ได้อยู่ในทีมเจรจา

เมื่อถามว่า ยอมรับหรือไม่ว่า จะกระทบกับการจัดตั้งรัฐบาล มองว่า ไม่กระทบ เพราะถือว่าเป็นระบบปกติ ทุกคนทราบอยู่แล้วว่า ดีเอ็นเอของพรรคก้าวไกลเป็นแบบนี้ ตนคิดว่าถ้าพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลแะนายพิธา ได้เป็นนายกฯ ภาพของการที่พรรคก้าวไกลตรวจสอบพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกังเอง คงไม่เป็นที่น่าแปลกใจเท่าไร ดังนั้นเมื่อเคยพูดแบบไหนก็ทำแบบนั้นดีกว่า วันนี้แกล้งทำเป็นหลับหูหลับตา แล้ววันหนึ่งเรากลับมาตรวจสอบเขาอย่างเข้มข้น ตนคิดว่าเป็นภาพที่ดูไม่งามเท่าไร ซึ่งตนคิดว่าการตรวจสอบการทุจริตไม่มีเวลาที่ไม่เหมาะสม ในการยืนยันสิ่งที่ถูกต้อง

ส่วนจะบีบให้ทางเลือกเหลือน้อยลงหรือไม่ เพราะหากไม่เอาพรรค 2 ลุง ก็จะเหลือทางเลือกเดียวคือภูมิใจไทย โดยมีนายศักดิ์สยาม เป็นเลขาธิการพรรค นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า เป็นเรื่องของทีมเจรจาว่า จะไปเจรจาด้วยเงื่อนไขอย่างไร แต่เราก็ยืนยันตรงนี้ ว่าเราทำหน้าที่ของเราอย่างต่อเนื่อง ถ้าจะบอกว่าเราต้องรอการเจรจาให้จบก่อน ก็ไม่รู้ว่าการเจรจาจะจบเมื่อไร แล้วจะต้องรอเรื่องที่เราตรวจสอบไว้นานแล้ว ไปอีกนานเท่าไร ดังนั้นจึงมองว่า ไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้ นอกจากทำไปตามกระบวนการตามปกติ

ทั้งนี้ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่านายศักดิ์สยาม จะยังคงตำแหน่งรัฐมนตรีอยู่เหมือนเดิมหรือไม่ เพราะจะมีผลในอนาคต หากคำร้องนี้มีคำวินิจฉัยว่าผิดจริง อย่างน้อยก็ไม่สามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้อีกอย่างน้อยสองปี

จากนั้นในเวลา 11.30 น. นายปกรณ์วุฒิเดินทางไปยัง ป.ป.ช. เพื่อยื่นหนังสือและเอกสารเกือบ 100 แผ่น ให้ตรวจสอบการยื่นบัญชีทรัพย์สิน ของนายศักดิ์สยามต่อไป

‘อนุทิน’ ชี้!! ประเทศรอเลือกนายกฯ อีก 10 เดือนไม่ได้  พร้อมส่งกำลังใจหนุนให้ ‘เพื่อไทย’ จัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ

(25 ก.ค. 66) ที่พรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าประชุมสส.ของพรรค กรณีที่มีข้อเสนอให้ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล รอให้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) หมดวาระช่วงเดือนพ.ค.67 ก่อนที่จะเลือกนายกรัฐมนตรี ว่า พรรคภูมิใจไทยรอไม่ได้ เพราะไม่เป็นผลดีต่อการบริหารงานของประเทศ

ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยเชิญเข้าไปพูดคุย เพื่อหาทางออกให้วิกฤตประเทศ นายอนุทิน กล่าวว่า เป็นเพียงการไปพูดคุย ซึ่งมีการแถลงข่าวไปแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามที่แถลงข่าว คือพรรคภูมิใจไทยจะไม่ร่วมงานกับพรรคที่เสนอแก้มาตรา 112 คือพรรคก้าวไกล ทั้งนี้ ขอส่งกำลังใจให้พรรคเพื่อไทยในการเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลให้สำเร็จ ส่วนพรรคภูมิใจไทยหากมีเรื่องใดสามารถพูดคุยหรือช่วยเหลือได้ก็ยินดีที่จะทำ

เมื่อถามว่า หากพรรคอันดับ 2 อย่างพรรคเพื่อไทยไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ พรรคอันดับ 3 อย่างพรรคภูมิใจไทยมีความพร้อมหรือไม่ นายอนุทิน ระบุว่า ให้ถึงเวลานั้นก่อนค่อยพูด เพราะตอนนี้ยังไม่มีอะไรที่แน่นอน

‘อดีตตุลาการศาล รธน.’ ชี้ ศาลฯ ไม่มีโอกาสชี้แจงผ่านออนไลน์ ทำได้แค่เขียนคำวินิจฉัยให้กระจ่าง วอนสื่อช่วยเชื่อมความเข้าใจ

(25 ก.ค. 66) ที่โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทารา ศูนย์ราชการ และคอนเวนชันเซ็นเตอร์ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ จัดโครงการศาลรัฐธรรมนูญพบสื่อมวลชน ประจำปี 2566 โดยมีนายวรวิทย์ กังศศิเทียม ประธานศาลรัฐธรรมนูญ เป็นประธานเปิดโครงการ โดยมีสื่อมวลชวนจำนวน 25 สำนักข่าวเข้าร่วม

โดยนายจรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “บทบาทของสื่อมวลชนในการส่งเสริมประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม” ว่า ศาลรัฐธรรมนูญและทุกศาลไม่มีโอกาสพูดแก้ตัวต่อสังคมผ่านช่องทางสื่อของศาล และศาลไม่มีไอโอ งานในฝ่ายตุลาการท่านได้สร้างประเพณีไว้ว่าอยากจะพูดอะไรกับประชาชนก็เขียนลงในคำวินิจฉัยให้กระจ่างให้หมด แล้วไม่ต้องไปโต้แย้งโต้เถียงหรือแก้ตัวอย่างใด ๆ กับประชาชน ขอให้ประชาชนที่เกี่ยวข้องตั้งใจนำเอาร่างคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไปวิเคราะห์แล้วจะวิพากษ์วิจารณ์ หรือเสนอแนะโดยถูกต้องสุจริต เป็นธรรมนั้นก็จะเป็นประโยชน์แก่ศาลรัฐธรรมนูญเราเอง เพราะเสียงติติงของผู้มีใจเป็นธรรมในสังคม เหมือนผู้ที่ชี้ขุมทรัพย์ให้กับศาลเราได้พัฒนาปรับปรุง เพราะไม่มีอะไรในโลกทางวัตถุนี้จะสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์หรือทำอะไรถูกหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ มันก็ต้องมีขาดมีเกิน แต่ขอให้ทำโดยความบริสุทธิ์ ยุติธรรม ตรงไปตรงมา ไม่เบียดเบียน ไม่หลงเชื่อไปตามพยานหลักฐานเท็จ ใช้กฎหมายให้ถูกต้องตามหลักนิติธรรม

นายจรัญ กล่าวอีกว่า ถ้าเราสามารถพัฒนาระบบงานกฎหมาย ยุติธรรมของประเทศเราให้มั่นคงบนหลักการนี้ได้ก็จะช่วยให้ระบอบการปกครอง ระบบการเมือง ระบบกฎหมายงานยุติธรรม ระบบเศรษฐกิจ ระบบคิดและวิถีของประชาชนจะมีคุณภาพมาตรฐานดีขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้พัฒนาการของศาลรัฐธรรมนูญ และศาลอื่นๆคือเสียงสะท้อนที่ทรงคุณประโยชน์ที่ใช้สติปัญญาความรู้ที่เป็นธรรม และวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงสร้างสรรค์ให้เราได้มีโอกาสรับไปปรับพัฒนา ซึ่งความจริงแล้วศาลท่านแทบไม่ได้พูดสื่อสารหลักเกณฑ์พื้นฐานให้ประชาชนได้เข้าใจ ตั้งแต่ก่อนที่คดีจะเข้าสู่ศาล ซึ่งข้อขัดแย้งในสังคมความจริงก็สับสนวุ่นวายอยู่ในโลกเสรี หรือโลกไซเบอร์มาอย่างชุลมุนสับสน อย่างศาลแทบจะไม่มีโอกาสได้เข้าไปร่วมแสดงหลักการอะไรได้เลย เพราะถ้าศาลพูดก่อนที่คดีจะมาศาลนั่นศาลก็จะไม่มีใจที่จะพิจารณาคดีนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ฝ่ายตุลาการต้องระมัดระวังไม่ล่วงล้ำเข้าไปในพื้นที่นั้น

ในระหว่างที่คดีเข้ามายังศาลก็ไม่สามารถไปบอกอะไร ๆ ให้ประชาชนรับรู้ในเชิงลึกในเนื้อหาของคดีได้ แล้วกระแสกดดันในสังคม ในคดีแพ่ง คดีอาญา คดีปกครองอาจจะไม่รุนแรงเท่าคดีที่มาสู่ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเดิมพัน หรือผลของการแพ้ชนะกันที่ศาลรัฐธรรมนูญมันมหาศาล กระทบคนเป็นล้านเป็นสิบล้าน กระทบสถาบันหลักของชาติ เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่แรงกดดันของฟากฝ่ายต่าง ๆ ของสังคมก็จะอยากให้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไปในทิศทางที่เป็นคุณประโยชน์แก่ตน พอแพ้ไม่ได้ก็จะเป็นสถานะยากลำบากของศาล วันนี้เราตั้งประเด็นว่าแล้วสื่อมวลชนมีเสรีภาพที่ยิ่งใหญ่ และถือเป็นเสาหลักเสาหนึ่งของการปกครองระบอบเสรีประชาธิปไตย เป็นปากเป็นเสียงของประชาชน เป็นเวทีเปิดกว้างให้คนที่ไม่มีพื้นที่เป็นของตัวเองสามารถสะท้อนคิดความเห็น ข้อมูล ออกไปสู่การรับรู้ของประชาชนอย่างมาก ดังนั้นถือเป็นวิชาชีพที่สูงมาก มีมาตรฐาน อุดมการณ์และจริยธรรม ที่ไม่ได้ต่ำต้อยน้อยหน้าไปกว่าอาชีพ อื่น นายจรัญ กล่าว

นายจรัญ กล่าวว่า วันนี้เราใช้ระบบการเมืองแบบรัฐสภา เราเลือกที่จะไม่ใช้ระบบแบบประธานาธิบดี และส่วนใหญ่เราก็เลือกใช้ระบบ 2 สภา ระบบกฎหมายก็สำคัญสำหรับสื่อมวลชนที่จะใช้เสรีภาพ เพราะถ้าเราใช้เสรีภาพล่วงละเมิดกฎหมายบ้านเมืองจะมีปัญหา แล้วเราจะไปโทษว่าคนที่มากล่าวหา ดำเนินคดีกับเราเป็นการกลั่นแกล้ง นั่นมันก็ไม่กระจ่าง ฉะนั้นเราก็ต้องมีกรอบมาในระบบกฎหมายและระบบงานยุติธรรม

อย่างไรก็ตามสื่อมวลชนถือเป็นกลไกลสำคัญในระบอบการปกครอง ระบบการเมือง ระบบกฎหมาย เศรษฐกิจของประเทศเราที่จะช่วยให้วิถีชีวิตของประชาชนค่อยๆพัฒนาขึ้น แต่ต้องระวังอย่าหักด้ามพร้าด้วยเข่า อย่าใจเร็วด่วนได้ว่าต้องดีขึ้นวันนี้พรุ่งนี้เลย ไม่เช่นนั้นแตกหัก ถ้าสื่อใดพลาดไปอย่างนั้นตนว่าน่าห่วง อีกทั้งตัวร้ายที่เรามองข้ามไป  มหาอำนาจจากโลกเสรี ประชาธิปไตย ทุนนิยมสุดโต่งทรงพลังครอบงำการปกครองระบบการเมืองของเรา ระบบกฎหมาย ระบบงานยุติธรรมของเรา มีอย่างที่ไหนศาลกำลังพิจารณาพิพากษาคดีสำคัญอยู่แต่ส่งตัวแทนต่างชาติเข้ามา แม้จะบอกว่าเข้ามาเพื่อประดับรู้ แต่ผลกระทบมันคือการกดดันผู้พิพากษาที่ทำภารกิจนั้นอยู่ เว้นแต่ท่านจะมั่นคง ตรงไปตรงมาจริงๆไม่หวั่นไหว แต่แรงกดดันแบบนี้เป็นไปได้ และเคยเป็นไปแล้วให้เราได้เห็น ไม่มีประเทศไหนเขายอมอย่าว่าแต่ผู้แทนต่างชาติเลยแม้แต่คนในประเทศพอคดีสำคัญเข้าสู่ศาลต้องหยุดกดดัน เพราะเราก็ไม่มั่นว่าผู้พิพากษาท่านจะหวั่นไหวหรือไม่ ถ้าท่านหวั่นไหวก็ทำงานง่ายตัดสินตามกระแสกดดัน แบบนี้แล้วฝ่ายตรงข้ามที่ไม่มีกระแสหนุนหลังเขาจะได้รับความเป็นธรรมหรือไม่

หลักการพื้นฐานเมื่อคดีเข้าสู่ศาลต้องสกัดการกดดันศาลทุกรูปแบบเพื่อหวังว่าเราจะได้คุณภาพของคำวินิจฉัย หรือถ้ากลัวว่าไม่กดดันเราจะได้รับความเป็นธรรมหรือไม่นั้นต้องบอกว่าถ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมเราต้องจัดการ ซึ่งมันมีช่องทางมากมาย มีตัวอย่างคนในแวดวงตุลาการที่ดูแลองค์กรนี้อยู่ท่านไม่ปล่อยให้เนื้อร้ายเจริญงอกงามแน่ มะเร็งร้ายจะต้องถูกกำจัดไปโดยกระบวนวิธีการของท่านที่ไม่ต้องการประฌานเชื้อโรคหรือเนื้อร้ายนั้น

“ผมไม่ได้อยู่กับคนไหนฝ่ายไหน ผมไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ไม่ใช่ทุนนิยม และผมก็ไม่เสรีสุดโต่ง แต่ผมก็ไม่อาจจะยอมรับการกดขี่ข่มเหงของผู้ทรงอำนาจในประเทศ ไม่ว่าจะรูปแบบไหน ทรงอำนาจอาวุธหรือเสียงข้างมาก เพราะในชีวิตผมเติบโตมาในแวดวงการตุลาการไทย เราเคารพเสียงข้างมาก ยอมรับมติให้เป็นไปตามเสียงข้างมาก แต่เราขอให้เราที่เป็นเสียงข้างน้อยได้แสดงความคิดเห็น เหตุผลหลักวิชาของเราให้ปรากฏไว้ว่า ไม่ใช่เพราะผมเป็นตะบึงตะบอนเห็นแต่ความเห็นของตัวเอง ไม่เคารพความคิดเห็นของคนอื่น นี่คือวัฒนธรรมของการทำงานของฝ่ายตุลาการของประเทศเรา แต่มันก็ไม่ค่อยได้มีการเผยแพร่ให้ประชาชนรับรู้ เพราะมันเกินกำลังของศาลที่จะเผยแพร่อะไรต่างๆที่เป็นเรื่องเฉพาะตัว นั่นจึงจะเป็นหน้าที่สื่อมวลชนที่จะได้เป็นตัวกลางเชื่อมสื่อสารให้ประชาชนรับรู้เข้าใจ ความโกธรแค้นต่างๆก็จะได้เบาบางลง” นายจรัญ กล่าว

นายจรัญ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามสื่อมวลชนจะต้องเป็นสื่อกลางที่จะเชื่อมระหว่างรัฐ กับประชาชน และประชาชนด้วยกันเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ขณะเดียวกันสื่อจะต้องมีเสรีภาพเพื่อไม่ให้ตัวกลางหายไป ถ้าหายไปประชาชนก็จะถูกปลุกปั่นให้เป็นเครื่องมือของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล แล้วจะต้องเป็นตัวกลางระหว่างสองฝ่ายที่มักจะขัดแย้งกันเพื่อให้ไปสู่ศาลกระบวนการยุติธรรมไม่ใช่ยุยงให้ลงถนนเพราะการลงถนนของประชาชนต้องเป็นเส้นทางสุดท้ายของสังคม เพราะฉะนั้นจะกลายเป็น Mob Rule  หรือกฎหมู่ เป็นภัยอันตรายมหาศาลของระบอบเสรีประชาธิปไตย ไม่ค่อยเป็นภัยต่อระบอบเผด็จการ ซึ่งประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์เขาไม่กลัว Mob Rule อีกทั้ง Mob Rule เป็นตัวบ่อนทำลายหลักของหลักธรรมาภิบาล และหลักนิติธรรมที่ทรงพลังที่สุด รวมถึงทำให้เกิดความสูญเสียในสังคม มีผู้วิจารณ์การเมืองบอกว่าถ้าเลือกตั้งใหม่จะเสียค่าอีก 5- 6 พันล้าน ซึ่งเป็นเรื่องเล็กมากถ้าเปรียบเทียบกับความล้มสลายทางเศรษฐกิจเป็นล้านล้าน ถ้าเกิด Mob Rule ซึ่งเสียหายทุกฝ่ายรวมทั้งม็อบเองก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการเดินถนน จึงขอให้นั่นเป็นวิธีสุดท้ายที่หมดปัญญาแล้ว ไม่มีปัญญาจะแก้ปัญหาของประเทศชาติโดยวิธีสันติได้แล้ว

'ปราชญ์ สามสี' ขยายผลชื่อ 'สส.ก้าวไกล' แฉ!! เร่งรื้อแก้ 112 เพราะโยงทุนต่างชาติ 

จากกรณีที่ทวิตเตอร์ ‘Headache Stencil’ ของ นายสมรนนท์ แย้มอุทัย หรือ ‘แป้ง’ ศิลปินกราฟฟิตี้ชื่อดัง แนวร่วมม็อบราษฎร ทวีตข้อความ “กูได้เงินสนับสนุนจากต่างประเทศมาทำงานศิลปะด่าการเมืองด่าระบบประเทศ ไม่ได้ผิดกฏหมายนี่ แต่ ส.ส. กูไม่แน่ใจว่ะ”

ล่าสุดเพจเฟซบุ๊ก ‘ปราชญ์ สามสี’ โพสต์ข้อความระบุว่า “มีคนสารภาพแล้วหนึ่ง…. แล้วไงต่อ …. #รังสิมันโรม #ก้าวไกล #พรรคนอมินีต่างชาติ”

‘ปราชญ์ สามสี’ ยังระบุข้อความอีกว่า สมศักดิ์ เจียมใช้เงินใคร อยู่ดีกินดีที่ฝรั่งเศส? ดูเหมือนว่า เรื่องการเร่ง เอา 112 มาเป็นประเด็นของ ฝ่ายนักการเมืองพรรคก้าวไกล จะทำพิษรุนแรงกับ ฝ่ายเดียวกันเองจน ฐานมวลชนที่เคยสนับสนุนกันมาตลอดเริ่มตั้งคำถาม ถึงการ มุ่งน่า ยกเลิกม.112 จนเสียโอกาสเป็นเป็นรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เรื่องนี้ headche stencil (ขอเรียกว่านายซิ่ว) หนึ่งในนักเคลื่อนไหว ทั้งเรื่อง 112 และต่อต้านการรัฐประหาร ได้ออกมาแฉเรื่องราวไว้ค่อนข้างน่าสนใจ

โดยเฉพาะ สาเหตุที่ทางฝ่าย ส้มรีบเร่ง เล่นยกเลิก 112 โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ …เพราะ มีใบสั่งจาก ‘คนเบื้องหลัง’ ที่สนับสนุนความเป็นอยู่ของพวกที่ลี้ภัยในต่างประเทศ เช่น สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล…นาย ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ รวมไปถึงพวกผู้ลี้ภัยที่อาศัยอยู่ เยอรมนีและฝรั่งเศส อีกหลายๆ คน…รีบเร่งให้มีการเคลื่อนไหวเพราะ เป็นเรื่องของงบประมาณการเคลื่อนไหวอันเกี่ยวข้องกับปากท้อง…เพราะหาก สถานการณ์ที่ก้าวไกลยอมวาง ม112…ลงจะส่งผลให้ ปากผู้ลี้ภัยที่ต่อต้านสถาบันฯ ในต่างประเทศหมดลง…

(ในกรณีที่นายซิ่วออกมาแฉนั้น ‘คนเบื้องหลัง’ นั้น มีแนวโน้มที่ค่อนข้างชัดเจน ว่าเป็นเงินทุนจากกลุ่มทุนระหว่างประเทศที่จ้างเอาไว้ทำงานทำร้ายสถาบันกษัตริย์ของไทย ซึ่งปัจจุบันกำลังเดือดร้อนเพราะ ในหลากหลายประเทศเริ่มรู้เท่าทันและไม่ทำตามความประสงค์ขององค์กรเหล่านี้แล้ว…เรื่องนี้ ดูที่เฮนรี่ คริสทิงเจอร์ ที่ปรึกษาด้านต่างประเทศของสหรัฐฯ โดดไปคุยกับ กลาโหมจีนแผ่นดินใหญ่ ก็พอจะเห็นทิศทาง )

หลายคนอาจจะตั้งคำถามว่าสิ่งที่นายซิ่วถามถึงนั้น เป็นจริงหรือ? และพยายามตั้งแง่โจมตีว่า นายซิ่วไม่มีทางรู้จักปวิน หรือเครือข่ายต่างประเทศได้…ซึ่งเรื่องนี้ นายซิ่วก็พอพยายาม อธิบาย ไว้ในทวิตเตอร์ส่วนตัว…ถึงความเป็นจริงที่เขาเคยพบเจอ

อนึ่งคือ…ในทัศนะของข้าพเจ้า…สิ่งที่ นายซิ่วพูด ค่อนข้างน่าเชื่อถือ เพราะ ปูมหลัง นายซิ่ว เป็นนักเคลื่อนไหวสายบันเทิงที่เคยเป็นตัวตึงในม็อบสามนิ้ว ที่เคยได้รับการยอมรับ จากแกนนำทั้งในพื้นที่ และในต่างประเทศ จนกระทั่งเคย จิบชา ที่ Château de mareil-le-guyon สุดหรูร่วมกับขบวนการระดับอินเตอร์!!!!! ทั้งเครือข่ายผู้ลี้ภัยในต่างประเทศ ทั้งปวิน สมศักดิ์ หรือแม้แต่ คนในเครือข่ายกลุ่ม จรรยา ยิ้มประเสริฐ และอาจารย์ชาวต่างชาติ ที่เคยเคลื่อนไหวร่วมกัน

จนกระทั่ง นายซิ่วขัดแย้งกับขบวนการ ม็อบสามนิ้ว (ช่วงทราย บุ้ง รุ้ง และเพนกวิ้นเป็นแกนนำ) ในปม **อมตังม็อบ** นายซิ่วจึงเริ่มวางมือ…ถอยห่างลง

****เพิ่มเติม ฝ่ายที่ ตรวจสอบ เงินม็อบเป็นฝ่ายนายซิ่ว แต่ดูเหมือนกว่า จะทะเลาะกัน จนโยนความผิดไปที่ซิ่วนั้นเอง****

จนกระทั่งล่าสุดนายซิ่ว ปรากฏตัวแล้วตั้งคำถามถึง โรม สมศักดิ์ เครือข่ายกลุ่มที่หลบหนี้ไปต่างประเทศปม 112 ว่าจะรีบเร่งไปเพราะอะไร โดยชี้ว่า เครื่อข่ายฝ่ายล้มล้างสถาบันที่ลี้ภัยต่างประเทศกำลังห่วงกระแส ที่ก้าวไกลขึ้นเป็นนายกโดยทิ้งการยกเลิกมาตรา 112 ไปจะทำให้ ปากท้องขบวนการ ต่อต้านสถาบันฯ ราว 20 กว่าชีวิตอาจต้องสูญเสีย งบนอก ที่เลี้ยงปากท้องเวลานี้นั้นเอง

นายซิ่วทิ้งท้ายว่า อาจจะตามหาความจริงให้ ถามผู้ลี้ภัย ชื่อ นพพร….
ป.สามสี จับประเด็น #ก้าวไกล #พรรคนอมินีต่างชาติ

ทั้งนี้ ‘ปราชญ์ สามสี’ ยังได้โพสต์อีกว่า เปิดรายชื่อ เครือข่ายฝรั่งและคนไทยที่ไปกองกันที่เยอรมนี เพื่อตั้ง เครือข่าย แทรกแซงสถาบันฯ และประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2561

ปรากฎชื่อของนาย ซิ่ว…และ สส.รังสิมันโรมและภรรยาอิวาน่า ชาวอินโด รวมไปถึง กฤษดา อัคคะประชา ซึ่งเปลี่ยนสัญชาติเป็นชาวแคนนาดา (ลูก บ.ตาใบห่อ) ที่เคยขู่ฆ่า บอย โกศิยพงษ์ เพราะจงรักภักดีต่อในหลวง ร.๙ ด้วย

ตามรายชื่อที่ปรากฎ
Pavin Chachavalpongpun [email protected]
– นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์
Ivana Kurniawati [email protected]
– น.ส.อิวาน่า คูร์เนียวาติ (ภรรยา นายรังสิมันต์ โรม)
Dhyta Caturani [email protected]
– น.ส.ดีไฮต้า คาทูรานี นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนและสิทธิสตรี ชาวอินโดนีเซีย)
Cha Roque [email protected]
– น.ส.ชา ร็อค (ผู้สร้างภาพยนตร์และผู้สนับสนุน LGBT ชาวฟิลิปปินส์)
Ramon Guillermo [email protected]
– นายรามอน กีลเยอร์โม (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ภาควิชาภาษาฟิลิปปินส์และวรรณคดีฟิลิปปินส์ มหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์)
Elia Fofi [email protected]
– นายเอฐ์เรียฐ์ ฟอฟิ (แอดมินเพจศิลปะปลดแอก,กลุ่มเห็นต่าง)
Rangsiman Rome [email protected]
– นายรังสิมันต์ โรม
headache stencil [email protected]
– นายสมรนนท์ แย้มอุทัย

Kritsada Akkhapracha [email protected]
– นายกฤษดา อัคคะประชา
Aum Neko [email protected]
– นายศรัณย์ ฉุยฉาย
Chan Nilgianskul [email protected]
– นายชาญ นิลเจียรสกุล
[email protected]
– น.ส.รวิตะวัน โสภณพนิช (อาจารย์ประจำสาขาวิชาภาษาและวรรณคดีอังกฤษ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)
Kyaw Thu [email protected]
– นายคยอว์ ธู (นักแสดงและผู้กำกับภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลออสการ์สองครั้งจากเมียนมาร์)
M Zarni
[email protected]
– นายหม่อง ซาร์นี (นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน ชาวเมียนมา)
Chum Chandarin [email protected]
chandarin chum [email protected]
– นายแชนเดอรีน ชุม (วิทยากรจากประเทศกัมพูชา)
Channtha
[email protected]
– นายจันทา โส (อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ สากลวิทยาลัยกัมพูชา)
sangar gopalapillai [email protected]
– นายซังการ์ โกพัลพิไล (เพจเฟซบุ๊ก Tamiljust/กลุ่มชาวทมิฬเรียกร้องความยุติธรรมจากการเหยียดเชื้อชาติ)
Don Le
[email protected]
– นายดอน ลี (ผู้ประสานงานด้านสื่อของ Viet Tan ซึ่งเป็นองค์กรที่ส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงประชาธิปไตยในเวียดนาม)
Admin [email protected]

ล่าสุดนายซิ่ว #สารภาพ แล้วว่า #รับเงินต่างชาติ #โจมตีรัฐบาลตู่…
แล้วไงต่อละทีนี้

ข้าพเจ้า เห็นควรว่า ราชการควรคุ้มครอง นายซิ่ว เป็นพยานปากสำคัญด่วนครับ

“ขอเรียกร้อง ให้ #คุ้มครองพยาน #headchestencil…ครับ เขาคือ #whistleblower ตัวจริง ที่รู้ว่า ใครคือทุนหนุนหลังพวกก้าวไกล ไม่ให้ฟังเสียงประชาชน… #ใครคือคนทำร้ายประเทศไทย”

นอกจากนี้ ‘ปราชญ์ สามสี’ ยังโพสต์อีกว่า งานเวิร์คชอปอะไร????…มีชุมนุมเดินประท้วงต่อท้ายคาบด้วย!!!! แถมคนชวน คือ จรรยา ยิ้มประเสริฐ และปวิน นักเคลื่อนไหวโจมตีสถาบันฯ อันนี้อย่าแถเลย ที่ stencil แฉน่ะถูกแล้ว รับเงิน ต่างชาติมาแทรกแซงประเทศไทย

ดิจิตัล ฟุดปริ้น ไม่หลอกหรอก!!!
เลิกแถได้แล้ว
#ก้าวไกล #พรรคนอมินีต่างชาติ

“ส่วน พวกล้มเจ้าเคยทำอะไร หักหลังกันยังไง ก็ไปตามโพสต์เก่าๆ เอานะ น่าจะเป็นช่วงเวลาเดียวกัน (ก่อนหลัง ซักปี) ที่ stencil ถูกเชิญเข้าร่วมที่เยอรมนี”

‘ไบร์ท ชินวัตร’ แฉ!! ขบวนการ ตปท.จ้องทำลายสถาบันฯ เผย ไม่เห็นด้วย ปมแก้ ม.112 ลั่น!! “ถ้าผมทำ ผมโคตรบาป”

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ใช้ TikTok บัญชี @3geeb_2475 ได้โพสต์คลิปวิดีโอ ‘ไบร์ท ชินวัตร’ หรือนายชินวัตร จันทร์กระจ่าง เล่าเปิดใจก่อนมอบตัวคดี 112 โดยระบุว่า…

“การเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันฯ มันก็จะมีความชัดเจนว่า เขาจะมีการล้มล้างอะไรในประเทศไทย แต่สุดท้ายที่ผมอยู่ไป ๆ แล้วเราได้สัมผัสกับกลุ่มต่างประเทศ ที่มีการไลฟ์เข้ามาบ้าง หรือในโซเชียลบ้าง ซึ่งมีการโจมตีสถาบันแล้วมันทําให้เรารู้แล้วว่า อ๋อ… มันมีขบวนการจากต่างประเทศ ในการจ้องจะทําลายสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างความเสื่อมเสียให้แก่สถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทยของเรา ดังนั้น ผมจึงเริ่มไม่ค่อยเห็นด้วยแล้ว และยังผิดต่อเจตนารมณ์อีกด้วย แล้วถ้าผมทําลงไป ถ้าผมเป็นส่วนหนึ่งในขบวนการการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมนี่จะโคตรบาปมาก เพราะว่าปู่ย่าตายายของผม ทุกคนมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด ตั้งแต่ผมเกิดมาและจําความได้ ตาของผมได้แขวนภาพพระเจ้าอยู่หัวไว้บนหัว หรือแค่ผมกลับจากโรงเรียน แล้วเอาเข็มขัดหรือเอากางเกงไปแขวน ผมก็โดนด่าแล้ว”

‘อี้ แทนคุณ’ ร้อง ‘ปธ.สภาฯ’ สอบจริยธรรม ‘พิธา’ ปมให้เด็ก 10 ขวบขึ้นเวทีการเมือง-สร้างความเกลียดชัง

(25 ก.ค. 66) ที่รัฐสภา นายแทนคุณ จิตต์อิสระ อดีต สส.กทม.และรักษาการประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคระหว่างประเทศ เข้ายื่นหนังสือต่อ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่าน นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ คณะทำงานประธานสภา เพื่อขอให้ตรวจสอบพฤติการณ์การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล มีการปล่อยปละละเลยและสนับสนับให้เด็กอายุ 10 ปี ขึ้นเวทีการเมืองและกล่าวคำพูดลักษณะสร้างความเกลียดชัง และกรณีของ นายสิริน สงวนสิน สส.กทม.พรรคก้าวไกล ทำร้ายสตรี

โดย นายแทนคุณ กล่าวว่า เนื่องจากเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พรรคก้าวไกลได้จัดงานงานเพื่อขอบคุณประชาชน และฟังเสียงทุกคนก่อนโหวตนายก โดยมีประชาชนร่วมรับฟังจำนวนมาก ณ ลานหน้าห้างเซนทรัลเวิร์ล โดยมีการนำเด็ก 10 ปี 2 คน ขึ้นเวที และนายพิธาได้กล่าวคำพูดในลักษณะยุยงให้เกิดความเกลียดชัง เช่น ตอนหนึ่งระบุว่า อยากให้พิธาเป็นนายกฯ หากว่านายกรัฐมนตรีคนที่ 30 อยากให้ว่าชื่อพิธา อยากให้จัดการกับระบบปรสิต ซึ่งเป็นแนวคิดเดียวกับพรรคก้าวไกลและขบวนการปลุกปั่นทางสังคมได้สื่อสารมาอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการสนับสนุนให้เด็กนำเสนอแนวคิดทางการเมืองเป็นการละเมิดสิทธิเด็ก และแสวงหาประโยชน์ทางการเมืองต่อเด็ก เนื่องจากเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะ

นายแทนคุณ กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นขอเรียกร้องให้ตรวจสอบจริยธรรมอย่างร้ายแรงของนายสิริน ที่มีข่าวทำร้ายร่างกายแฟนสาว ทั้งต่อยที่ใบหน้า และดึงศีรษะให้ลงจากรถจนสตรีผู้นั้นได้รับบาดเจ็บตามที่เป็นข่าวไปแล้ว ถือเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนและขัดกับจริยธรรมอย่างร้ายแรง ทำให้ภาพลักษณ์ของสมาชิกผู้แทนราษฎรเสื่อมเสีย จึงไม่อยากให้ประธานสภาปล่อยปะละเลยผู้กระทำการละเมิดทั้ง 2 กรณีที่เป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดีต่อเด็ก เยาวชน และคนทั่วไป จึงอยากให้ประธานสภาตรวจสอบและสอบสวนข้อเท็จจริงว่ามีพฤติกรรมฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม หรือประมวลจริยธรรมข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2564 หรือขัดกับกฎหมายระเบียบข้อบังคับอื่นใดหรือไม่ เพื่อจะได้ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

‘อดีตติ่งส้ม’ ฟาดแรง!! หลังตาสว่างที่เลือกพรรคผิด ถาม ‘พิธา’ ปมแก้ ม.112 ยังมีความเป็นคนอยู่หรือไม่?

เมื่อไม่นานนี้ ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่ง ชื่อ ‘user9614268366121’ ได้ออกมาโพสต์คลิปวิดีโอฝากข้อความถึงนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ โดยในคลิประบุว่า…

“14 ล้านเสียงจริงๆ เหรอ? 14 ล้านเสียงจริงๆ เหรอคะ? คุณรู้ไหมคะ ว่าคุณกําลังทําให้คนที่เขาเลือกคุณมา เกลียดคุณมากขึ้นแค่ไหน ไม่ใช่เพราะใครเลยค่ะ เพราะคุณเอง เขาเสียความรู้สึกกับคุณมาก ๆ นะ เพราะเขาเลือกคุณมาเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ที่เขาคิดว่าลุงตู่ทําไม่ได้ แล้วคุณบอกคุณทําได้ แต่คุณไม่เริ่มที่จะลงมือทําเลยด้วยซ้ำ พวกคุณทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น สส.ในพรรคคุณ ไม่เริ่มที่จะแก้ไขปัญหาเลยด้วยซ้ำ คุณสร้างความเกลียดชังให้กับคนที่เขาเคยรักคุณ คุณรู้ไหมคะว่าคุณเป็นคนทํา ไม่ใช่ใครเลยค่ะ คิดสักนิดค่ะคุณพิธา คุณเป็นคนที่มีความสามารถ คุณทําอะไรเพื่อประเทศชาตินี้ได้อีกมากเลย แล้วคุณก็รู้ว่าสิ่งที่คุณทํา และพวกของคุณกําลังโกหกอะไรอยู่ ไม่มีหลักฐานอะไรที่บ่งบอกว่าสิ่งที่พวกคุณพูดมันเป็นเรื่องจริงสักอย่าง แต่พวกเรามีหลักฐานที่จะหักล้างได้ว่าพวกคุณพูดเท็จ และคนที่เขาเปลี่ยนทัศนคติจากการที่เคยไปร่วมชุมนุมกับคุณ และชอบคุณ ทําไมถึงหันมารักสถาบันฯ เพราะเราเห็น เรารู้ ไม่ใช่แค่ดิฉันที่เห็นและสํานึก ดิฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกันที่เคยเชื่อ เคยสนับสนุนเสื้อแดง นปช.มาก่อน แต่ก็รักสถาบันฯ มากขึ้น และมากขึ้นทุกวัน เพราะเราเห็น เรารู้ เรามีความสํานึก เรามีความเป็นมนุษย์ค่ะ”

“คุณรู้ไหมคะ ว่าคนที่เขาเกลียดคุณจริงๆ เขาไม่ได้แช่งแค่คุณนะ เขาแช่งไปถึงลูกคุณ ถึงครอบครัวของคุณด้วย แล้วลูกหลานของคุณในอนาคตจะต้องอยู่บนแผ่นดินไทยนี้อีกนานเลยค่ะ ลูกคุณน่ารักนะคุณพิธา น่ารักมาก คุณทําเพื่อใครอยู่ ในอนาคตคุณไม่ได้อยู่กับเขาตลอดชีวิตนะคะ คุณจะรู้ได้ยังไงว่า ลูกของคุณจะเจออะไรในอนาคตบ้าง หลานของคุณในอนาคตจะเจออะไรบ้าง คุณรู้ไหมคะ ว่าเวรกรรมที่คุณทําอยู่ มันเป็นกรรมพันธุ์ ที่มันจะติดตัวลูกของคุณและหลานของคุณไปอีกนานเลยค่ะ คิดดีๆ ค่ะคุณพิธา คิดดีๆ คุณก็รู้ ว่าความดีต้องชนะความเลวอยู่แล้ว คุณคิดว่าสิ่งที่คุณกําลังทํามันเป็นความดีแล้วเหรอคะ? ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่สถาบันพระมหากษัตริย์จะต้องมาเจออะไรแบบนี้ เหตุผลที่เราหาได้คือ พวกคุณอิจฉา พวกคุณต้องการที่จะยึดอํานาจ เพราะอยากจะได้อํานาจนั้น พวกคุณทําเพื่อใครก็ไม่รู้ แต่สิ่งที่เรารู้คือมันไม่มีอะไรที่พวกคุณพูดมาเป็นความจริงเลย และไม่ใช่แค่พวกเรา คนเกือบทั้งโลกค่ะ แน่นอนมันย่อมเปอร์เซ็นต์มากกว่าคนที่ไม่ชอบ เราอยู่ในโลกที่มันอยู่บนความเป็นจริงคุณพิธา ถ้าคุณกําลังเชื่ออะไรที่มันผิดๆ อยู่”

“คุณเป็นคนที่มีความสามารถ คุณน่าจะหาความรู้ได้ไม่ยาก และพวกเราที่เป็นคนไทย เป็นลูกของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พร้อมที่จะให้โอกาสคุณนะ ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ที่ทำตัวแย่มาขนาดไหน หากกลับใจ กลับใจจริงๆ ด้วยความจริงใจ เราพร้อมเสมอ คนไทยพร้อมเสมอที่จะให้โอกาส เพราะนอกจากพวกเราคนไทยด้วยกันแล้ว ไม่มีใครที่จะช่วยเราได้หรอกค่ะคุณพิธา ไม่มีใครที่จะช่วยเราได้เหมือนคนไทยช่วยกันเอง แล้วตอนที่เราช่วยเหลือกัน เราไม่เคยที่จะแบ่งแยกสีด้วยซ้ำ คิดดีๆ ค่ะ คุณโชคดีมากขนาดไหนที่คุณเกิดบนผืนแผ่นดินไทย ที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ทุกพระองค์แบบนี้ โชคดีมากๆ จริงๆ ค่ะ คิดดีๆ ถ้าคุณยังมีความเป็นคนอยู่นะคะคุณพิธา ถ้าคุณยังมีความเป็นคนอยู่ คิดดีๆ ให้นึกถึงลูกคุณ นึกถึงครอบครัวคุณ ฝากไว้แค่นี้ค่ะ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top