Tuesday, 29 April 2025
NEWS

ผบ.ตร.สั่ง จเรตำรวจแห่งชาติ เร่งตรวจสอบคดีเครือข่าย 'ทุนมินลัต' หากพบช่วยเหลือใคร ดำเนินการเด็ดขาด ชี้เป็นคดีนอกราชอาณาจักร อยู่ระหว่างพิจารณา ยันไม่มีมวยล้มต้มคนดู สั่ง ผบช.น.ตรวจสอบข้อเท็จจริง

วันนี้ (11 มี.ค.66 ) พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร. เปิดเผยว่า “จากกรณี พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ สว.สส.สน.พญาไท ชี้แจงขั้นตอนการดำเนินคดีกับเครือข่าย 'ทุนมินลัต' จนปรากฎเป็นข่าวที่เกิดขึ้นนั้น 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ได้รับทราบข้อมูลแล้ว ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้สั่งการให้จเรตำรวจแห่งชาติลงตรวจสอบข้อเท็จจริง การทำสำนวนคดี ความล่าช้า ความบกพร่อง ว่ามีหรือไม่อย่างไร หากพบให้ดำเนินการตามหน้าที่อย่างเด็ดขาด ทั้งอาญา วินัย และปกครอง และในส่วนที่มีเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทำคดีดังกล่าวหลุดมา ได้สั่งการให้ ผบช.น. ตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว ว่าเป็นเอกสารจริงหรือไม่ และรายละเอียดที่ปรากฎในเอกสาร เป็นข้อเท็จจริงตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ 

เนื่องจากเนื้อหาในการกล่าวอ้าง เป็นการเปิดเผยขั้นตอนกระบวนการสืบสวนสอบสวนคดี ที่ยังดำเนินการไม่เสร็จสิ้น และที่ผ่านมาไม่เคยได้รับรายงานจาก ผบช.น. ว่ามีเหตุการณ์เช่นที่บรรยายในหนังสือดังกล่าวเกิดขึ้น 

ส่วนประเด็นการดำเนินคดีกับ เครือข่าย 'ทุนมินลัต' คดีนี้ เริ่มจาก พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ สว.สส.สน.พญาไท เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง สว.กก.2 บก.สส.บช.น. หลังสืบสวนพบว่าบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้อง น่าจะมีส่วนกับการทำผิด ได้ยื่นขอหมายจับและศาลเพิกถอนหมายจับ ต่อมาจึงเข้าร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน บก.ปส.3 เมื่อวันที่  4 ต.ค. 2565 และ บช.ปส. เห็นว่าเป็นเป็นคดีนอกราชอาณาจักร จึงได้เสนออัยการสูงสุดรับผิดชอบ เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 65 ต่อมาอัยการสูงสุดเห็นว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักร ได้มอบหมายให้ ผบก.ปส.3 เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบแทน อัยการสูงสุด โดยมอบหมายให้พนักงานอัยการเข้าร่วมสอบสวนด้วยเมื่อวันที่ 21 พ.ย.65 

ต่อมาหลังจากมีประเด็นคดี 'ทุนมินลัต' เมื่อครั้งก่อน ผบ.ตร.ได้เรียก ผบช.ปส. และ ผบก.ปส.3 มากำชับให้ควบคุมกำกับดูแลการทำงานของพนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบ ซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุด ให้ทำการสอบสวนอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา ตามพยานหลักฐานที่ปรากฎ ไม่ละเว้นหรือช่วยเหลือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด รวมทั้งให้สนับสนุนการทำงานของพนักงานสอบสวนในด้านต่างๆที่จำเป็นอย่างเต็มที่ อย่าให้เกิดเป็นอุปสรรคในการทำงานได้ และวันนี้ได้สั่งการ ผบก.ปส.3 รายงานความคืบหน้าในทางคดี ในส่วนที่ไม่เสียต่อรูปคดี มาเป็นระยะ เพื่อที่จะไม่ให้สังคมคลางแคลงใจในความโปร่งใสของการทำงานของพนักงานสอบสวน ซึ่งผบ.ตร.ได้ยืนยันว่าไม่มีใครมาสั่งการ กดดัน หรือเข้าแทรกแซงการทำสำนวนในคดีดังกล่าวแต่อย่างใด และได้กำชับพนักงานสอบสวนให้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ตามพยานหลักฐานที่ปรากฎตามข้อเท็จจริงทุกประการ

จะเห็นได้ว่า ในคดีนี้ พงส.บช.ปส.3 หลังจากที่รับคำกล่าวโทษประมาณ 1 เดือนกว่า ก็ได้เร่งรวบรวมหลักฐาน ทำสำนวนมาตลอด จนพบว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักร จึงส่งสำนวนให้อัยการสูงสุด โดยไม่ได้มีการประวิงสำนวนเพื่อช่วยเหลือใครแต่อย่างไร และ มีการส่งรายงานเพิ่มเติมตามคำร้องขอของอัยการสูงสุดมาอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ทางคดีมีความคืบหน้าไปมาก แต่ยังไม่แล้วเสร็จ อยู่ระหว่างการพิจารณาทางคดีร่วมกันของอัยการ และตำรวจที่ทำคดี ที่ทำงานในรูปแบบคณะทำงาน ตำรวจไม่ได้ทำคดีฝ่ายเดียว โดยได้มีการหารือร่วมกันกับพนักงานอัยการมาโดยตลอด 

‘ชัชชาติ’ สั่งสอบ ผอ.เขตดัง ฝากเด็กเข้าเรียน เตือน! ห้ามใช้เส้นสาย ขอให้เด็กใช้ความสามารถของตัวเอง

(11 มี.ค. 66) ที่สำนักงานเขตธนบุรี นายชัชชาติ สิทธิพันธ์ุ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยถึงเพจเฟซบุ๊กเผยแพร่รูปภาพหนังสือราชการ ขอความอนุเคราะห์พิจารณาเด็กนักเรียนรายหนึ่ง โดยส่งจากสำนักงานเขตบางขุนเทียน ไปยังผู้อำนวยการโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ธนบุรี

นายชัชชาติกล่าวว่า ได้รับทราบเรื่องนี้เรียบร้อย แต่เบื้องต้นไม่ใช่โรงเรียนในสังกัด กทม. เนื้อหาภายในหนังสือเป็นการขอความอนุเคราะห์ อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการนโยบายไม่ให้มีการออกหนังสือในลักษณะเช่นนี้อีก เพราะมันไม่ยุติธรรมกับประชาชน เหมือนเป็นการเขียนใบขอ อีกทั้งยังห้ามไม่ให้มีการใช้เส้นสาย ใช้อภิสิทธิ์ หากเด็กจะเข้าศึกษาโรงเรียนใด ก็ขอให้เขาได้ใช้ความสามารถของตัวเอง ไม่ใช่การแนะนำเด็กผ่านจดหมายราชการ อย่างไรก็ตาม ทราบมาว่าเด็กก็ไม่ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้แต่อย่างใด

‘ตรีนุช’ นำทีมเปิดงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย เดินหน้าแก้หนี้ครูใน 8 จังหวัดภาคตะวันออก

(11 มี.ค. 66) นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย 'Unlock a Better Life' สร้างโอกาสใหม่เพื่อชีวิตครูไทยที่ดีกว่า ครั้งที่ 3 ในภาคตะวันออก ระหว่างวันที่ 11-12 มีนาคม พ.ศ. 2566 ณมหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว 

นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย 'Unlock a Better Life' สร้างโอกาสใหม่เพื่อชีวิตครูไทยที่ดีกว่า ครั้งที่ 3 ในภาคตะวันออก ระหว่างวันที่ 11-12 มีนาคม พ.ศ. 2566 ณ มหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว สำหรับครูในภาคตะวันออก 8 จังหวัด ได้แก่ สระแก้ว ปราจีนบุรี นครนายก จันทบุรี ตราด ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และระยอง โดยตั้งเป้าหมายแก้ไขปัญหาหนี้สินครูในภูมิภาคนี้กว่า 4,252 ล้านบาท เพื่อให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยมีผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานในพื้นที่เข้าร่วม อาทิ นายสุทิน แก้วพนา รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา นายเชาวเนตร ยิ้มประเสริฐ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว รวมถึงผู้บริหารสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ครู และบุคลากรทางการศึกษา เข้าร่วมกว่า 2,000 คน

นางสาวตรีนุช กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายแก้ไขหนี้ภาคครัวเรือนนั้น กระทรวงศึกษาธิการที่มีบทบาทในการดูแลสวัสดิการและสวัสดิภาพแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้เร่งรัดการขับเคลื่อนตามนโยบายแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาอย่างเต็มที่ ด้วยกลไกเจรจาลดดอกเบี้ยกับสหกรณ์ออมทรัพย์ครู การปรับโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงิน การจัดตั้งสถานีแก้หนี้ร่วมช่วยแก้ปัญหาลดหนี้สิน และการให้ความรู้ทางด้านวินัยการเงินและการลงทุน เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับครูไทยได้มีสุขภาพทางการเงินที่ดี โดยได้ดำเนินการจัดงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทยในส่วนกลาง เมื่อช่วงสิ้นปี 2565 และขยายผลสู่ทั่วประเทศด้วยงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย 4 ภูมิภาค ซึ่งได้จัดขึ้นครั้งแรกที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับกลุ่ม 4 จังหวัด ได้แก่ กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม และขอนแก่น ซึ่งสามารถช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ครูแบบพุ่งเป้าที่กลุ่มลูกหนี้วิกฤติได้กว่า 784,661,570.43 บาท 

นางสาวตรีนุช กล่าวต่อว่า การจัดงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย สำหรับครูไทยภาคตะวันออกในครั้งนี้ ตั้งเป้าหมายช่วยเหลือครูที่มีปัญหาหนี้สินกว่า 2,000 ราย จำนวนมูลหนี้ประมาณ 4,252 ล้านบาท โดยเป็นกลุ่มลูกหนี้วิกฤติ 205 ราย จำนวนมูลหนี้ประมาณ 173.4 ล้านบาท ซึ่งจะพุ่งเป้าหมายให้ความช่วยเหลือกลุ่มลูกหนี้วิกฤติเป็นสำคัญ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนที่สุด ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการมีการจัดการแก้ไขปัญหาหนี้ครูอย่างเต็มที่ เช่น การเจรจาขอลดดอกเบี้ยจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครูที่เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของครูทั้งประเทศ มีการตั้งสถานีแก้หนี้ครู 558 สถานีเพื่อเป็นกลไกช่วยเหลือครูในระดับเขตพื้นที่ ฯลฯซึ่งได้ดำเนินการมาก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้เป้าหมายการแก้ไขปัญหาหนี้ครูในภูมิภาคนี้โดยเฉพาะกลุ่มลูกหนี้วิกฤติมีจำนวนไม่มาก การจัดงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทยในครั้งนี้ จึงเป็นการจัดการปัญหาหนี้ในเชิงรุก ที่จะช่วยให้ครูในกลุ่มที่ยังต้องการความช่วยเหลือสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ทางการเงินสำหรับครูมากยิ่งขึ้น

มูลนิธิร่วมกตัญญูอนุเคราะห์โลงศพสำหรับบรรจุร่างผู้อุทิศร่างกาย เพื่อการศึกษา ปีการศึกษา 2565

พร้อมเคลื่อนย้ายนำส่งไปยังวัดเวตวันธรรมาวาส(วัดเชิงหวาย) แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อกรุงเทพมหานคร เพื่อดำเนินการฌาปนกิจ

(11 มี.ค.66) มูลนิธิร่วมกตัญญู นำโดย นาย เอกพัน บรรลือฤทธิ์ หัวหน้าอาสาสมัคร พรัอมจนท.และอาสาสมัคร มูลนิธิร่วมกตัญญู ,รถบรรทุก และ โลงศพ จำนวน 30 ใบ เพื่อใช้บรรจุร่างผู้อุทิศร่างกายเพื่อการศึกษา (อาจารย์ใหญ่) และ จะเคลื่อนย้ายนำส่งไปยังวัดเวตวันธรรมาวาส (วัดเชิงหวาย) แขวงบางซื่อ เขตบางชื่อ กรุงเทพมหานคร 

เพื่อดำเนินการฌาปนกิจในเบื้องต้น โดยพี่ไทด์ เอกพัน บรรลือฤทธิ์ หัวหน้าอาสาสมัครฯ นำกำลังเจ้าหน้าที่-อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู เข้าช่วยเหลือ เคลื่อนย้าย ตามการร้องขอของภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ทีได้จัดการเรียนการสอน วิชามหกายวิภาคศาสตร์ให้กับนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 2 คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี, โครงการผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช และ คณะแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข วิทยาลัยแพทยศาสตร์ศรีสวางควัฒน ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ โดยใช้ร่างผู้อุทิศร่างกายเพื่อประกอบการศึกษาในวิชามหกายวิภาคศาสตร์ 

‘รองโฆษกรัฐบาล’ เตือน ปชช. อย่าร่วมขบวนการยื่นภาษีเท็จ ชี้ ‘โทษคุก 7 ปี-ปรับ 2 แสน’ แถมเสี่ยงถูกสวมรอยโอนเงิน

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้มีมิจฉาชีพหลอกลวงประชาชนให้ยื่นยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่เป็นเท็จเพื่อขอคืนเงินภาษี โดยมิจฉาชีพทำหน้าที่รวบรวมเลขบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อนำมายื่นแบบภาษีและขอคืนเงินภาษีอันเป็นเท็จให้ และขอเงินส่วนแบ่งเป็นค่าดำเนินการ

ทางกรมสรรพากร แจ้งว่า หากระบบของกรมตรวจพบการขอคืนเงินภาษีที่ทุจริต นอกจากจะถูกระงับการคืนเงินและเรียกให้นำส่งเอกสารหลักฐานเพิ่มแล้ว ยังถูกขโมยข้อมูลส่วนบุคคลด้วย เช่น ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ วันเดือนปีเกิด เลขบัตรประชาชน เลขเลเซอร์หลังบัตร เบอร์โทร ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปสวมรอยทำธุรกรรมทางการเงินได้ มากไปกว่านั้น การขอคืนภาษีโดยทุจริต มีความผิดตามมาตรา 37 แห่งประมวลรัษฎากร มีโทษจำคุกสูงสุด 7 ปี และปรับสูงสุดถึง 200,000 บาท และ

รวมพลคนบาดเจ็บ!! 'เจ๋ง ดอกจิก' รวมเสื้อแดงถูกเท ตั้ง 'กลุ่มรวมใจรักชาติ' ปลุกแดงทั่วไทย หนุน 'ประยุทธ์' หยุดแลนด์สไลด์

'เจ๋ง ดอกจิก' จับมือคนเสื้อแดงที่ถูกทอดทิ้งตั้ง 'กลุ่มรวมใจรักชาติ' เดินสายทั่วประเทศขอคะแนนเสียงหนุนพรรครวมไทยสร้างชาติดัน 'ประยุทธ์' นั่งนายกฯอีกสมัย ลั่นเป้าหมายหลักหยุดแลนด์สไลน์พรรคไทย ชี้หมดยุค 'สู้เพื่อเขาเราติดคุกถูกทอดทิ้ง'
.
(11 มี.ค.66) ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ 'เจ๋ง ดอกจิก' อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เปิดเผยว่า ตนได้ร่วมกับ นายสมหวัง อัสราศี และอดีตแกนนำ นปช.หลายจังหวัดที่เคยเป็นคนเสื้อแดง ร่วมต่อสู้ด้วยกันมาในอดีตมาตั้งกลุ่มรวมใจรักชาติ มีตนเป็นประธานกลุ่มฯ จุดประสงค์ก็เพื่อไปรวบรวมติดตามค้นหาเชิญชวนจูงใจพี่น้องเสื้อแดงในทุกจังหวัดโดยเฉพาะภาคเหนือและภาคอีสาน 17 ที่ถูกทำร้ายถูกทอดทิ้งมาหนุนพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะยังมีคนเสื้อแดงจำนวนมากที่เคยร่วมทัพกันมาแต่ถูกกระทำแบบนี้ ตนติดคุกมา 4 รอบแต่ขาดการเหลียวแล หรือเขาเหลียวแลแต่ถูกอมกลางทางสู้เพื่อเขาแต่เราติดคุกสู้เพื่อเขาแต่เราขาดการเหลียวแลพอแล้ว
.
“กลุ่มรวมใจรักชาติจะร่วมมือกับคนเสื้อแดงทำประโยชน์เพื่อชาติ คนเสื้อแดงเหมือนเปรียบเสมือนหมาล่าเนื้อ ล่าเสร็จเขาก็เอาเนื้อไปแบ่งกันกิน ทอดทิ้งให้หมาเลียแผลตัวเองจากการต่อสู้ที่บาดเจ็บ พอเนื้อหมดก็ให้ออกไปล่าต่อ ขอโทษที่เปรียบเป็นหมาล่าเนื้อ แค่เพียงการเปรียบเปรยเท่านั้น เพราะคนเสื้อแดงถูกย่ำยีถูกทอดทิ้งมาตลอด ผมในนามประธานกลุ่มรวมใจรักชาติ จะไปรวบรวมคนเสื้อแดงที่บาดเจ็บขาดการดูแลถูกทอดทิ้งไม่ให้เกียรติมาเป็นกลุ่มรวมใจรักชาติ เพื่อเชิญชวนให้มาสนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะเป็นพรรคที่ทำประโยชน์เพื่อประชาชนจริงๆ มีนโยบายดีๆออกมาดูแลประชาชนจำนวนมากและจับต้อง” นายยศวริศกล่าว
 

กวาดล้างเรียบ!! ‘ตำรวจไซเบอร์’ บุกทลายโกดัง ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ พร้อมอายัดของกลาง รวมมูลค่ากว่า 80 ล้านบาท

ตำรวจไซเบอร์บุกทลายโกดัง ยึดบุหรี่ไฟฟ้า มูลค่าของกลางกว่า 80 ล้านบาท

(11 มี.ค. 66) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เมืองทอง พล.ต.ต.ไพโรจน์ สุขรวยธนโชติ รองผบช.สอท. พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.สอท.2 ร่วมกันแถลงข่าวผลปฏิบัติการทลายแหล่งซุกซ่อน-จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้ารายใหญ่ 2 ราย ที่จำหน่ายให้กับผู้ค้ารายย่อยในพื้นที่ต่าง ๆ

พล.ต.ต.ไพโรจน์ เปิดเผยว่า รายแรก เป็นแหล่งซุกซ่อนอยู่ในพื้นที่จังหวัดนครปฐม เข้าตรวจค้น 3 จุด คือ อาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง บนถนนจันทราคามพิทักษ์ ตำบลสนามจันทร์ อำเภอเมืองนครปฐม , บ้านหลังหนึ่งที่หมู่ 5 ตำบลถนนขาด อำเภอเมืองนครปฐม และโกดังแห่งหนึ่งบนถนนเทศา ตำบลพระประโทน อำเภอเมืองนครปฐม จับกุมผู้ต้องหาได้ 2 คน น.ส.วีรวรรณ ลี่ผาสุข อายุ 33 ปี น.ส.นาริน หุ้มแพร อายุ 25 ปี 

พร้อมยึดของกลาง และตรวจยึดของกลาง น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า คละแบบ จำนวน 88,214 ชิ้น หัวน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า คละแบบ จำนวน 70,589 ชิ้น บุหรี่ไฟฟ้าแบบดูดแล้วทิ้ง จำนวน 17,631 เครื่อง เครื่องบุหรี่ไฟฟ้า คละแบบ จำนวน 10,350 เครื่อง คอยน์บุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 1,000 ชิ้น อะไหล่หัวบุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 2,705 ชิ้น รวมมูลค่าของกกลางที่ตรวจยึดได้กว่า 50 ล้านบาท

พล.ต.ต.ไพโรจน์ เปิดเผยอีกว่า รายที่ 2 เป็นแหล่งซุกซ่อนในกรุงเทพมหานคร โดยเข้าตรวจค้นคอนโดมีเนียม บนถนนพญาไท แขวงพญาไท เขตราชเทวี จับกุมผู้ต้องหาได้ 1 คน นายยุทธภูมิ ทองย้อย หรือโอม  อายุ 47 ปี และตรวจยึดของกลาง

บุหรี่ไฟฟ้า iqos ตัวแท่งดูด+เครื่องชาร์ต จำนวน 537 เครื่อง บุหรี่ไฟฟ้า IQOS ตัวแท่งดูด จำนวน 189 ตัว มวนบุหรี่สำหรับบุหรี่ไฟฟ้า ยี่ห้อ TEREA จำนวน 6,529 คอตตอน มวนบุหรี่สำหรับบุหรี่ไฟฟ้า ยี่ห้อmarlboro จำนวน 6,017 คอตตอน รวมมูลค่าของกกลางที่ตรวจยึดได้กว่า 30 ล้านบาท 

รวมผลการตรวจค้นทั้ง 2 ราย ยึดของกลางรวมมูลค่ากว่า 80 ล้านบาท จึงดำเนินคดีผู้ต้องหาในความผิด พ.ร.บ.ศุลกากร นำสินค้าห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร , พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค , พ.ร.บ. การส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักร เนื่องจากเป็นสินค้าต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร และอยู่ระหว่างขยายผลถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง

ตม.บุรีรัมย์ จับกุมคนไทยช่วยเหลือต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.เกติ์ฉกาจ นิลประดับ ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.กฤษฎากรณ์ กลิ่นเกษร และ พ.ต.อ.มณุวัฒน์ กอสนาน รอง ผบก.ตม.4 วันที่ 11 มี.ค.66  พ.ต.ท.พิศุทธิ์ สุวรรณภาษิต สว.ตม.จว.บุรีรัมย์ เปิดเผยว่าได้สั่งการให้ จนท.ชุดสืบสวนปราบปราม ตม.จว.บุรีรัมย์ สนธิกำลังกับ สภ.บ้านกรวด, ร้อย ทพ.2604 และ ร้อย ร.213 จับกุม นายปริญญา ศักดิ์ชัย อายุ 42 ปี ข้อหา "ช่วยเหลือซ่อนเร้นฯ" ตาม ม.64 แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และ นางยเกีย อายุ 42 ปี ข้อหา "เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่รับอนุญาต" สถานที่จับกุม ถนนรอยต่อจุดผ่อนปรนช่องสายตะกู ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ นำตัวส่ง สภ.บ้านกรวด ดำเนินคดีต่อไป

ปชป.รุก!!! โชว์อีก 8 นโยบายล็อตสอง ชูถ้าเป็น”แกนนำรัฐบาล

อินเตอร์เน็ตฟรี 1 ล้านจุด  -เรียนฟรีป.ตรี -ตรวจสุขภาพ รักษาฟรี -ชมรมผู้สูงอายุรับ 3 หมื่น -ช่วย sme มีแต้มต่อ -ปลดล็อค กบข. และกองทุนเลี้ยงชีพ เอาเงินไปซื้อบ้านได้-หนุนเกษตรแปลงใหญ่-อกม.มีค่าตอบแทน มั่นใจเรียกคะแนนฐานเสียงหลากกลุ่มทั่วประเทศ

 

11 มี.ค. 2566 เวลา 10.00 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นายนิพนธ์ บุญญามณี นายอลงกรณ์ พลบุตร ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรค ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งทั้งหมดเป็นคณะกรรมการนโยบายของพรรค ได้ร่วมกันแถลงเปิด 8 นโยบาย ชุดที่ 2 เพิ่มเติม หลังจากเมื่อวันที่ 13 ม.ค. ที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ ได้มีการเปิดนโยบายไปแล้ว 8 นโยบาย เพื่อสู้ศึกการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น

 

โดยนายจุรินทร์ กล่าวถึง 8 นโยบายใหม่ ที่ได้ประกาศในวันนี้ ประกอบด้วย

 

นโยบายที่ 1 “อินเทอร์เน็ตฟรี 1 ล้านจุด ทุกหมู่บ้าน ทุกห้องเรียน”

ซึ่งหมู่บ้านดังกล่าว หมายถึงชุมชนในเขตเมือง เขตเทศบาล เขตหน่วยการปกครองท้องถิ่น รวมทั้งในพื้นที่ชุมชนของกรุงเทพมหานครด้วย ซึ่งจะมีทั้งหมดประมาณ 80,000 หมู่บ้าน/ชุมชน และจะมีอินเทอร์เน็ตฟรี รวมกันในหมู่บ้าน/ชุมชน ประมาณ 6 แสนจุด สำหรับห้องเรียน ทั่วประเทศมีประมาณ 350,000 ห้อง โดยจะจัดให้มีอินเทอร์เน็ตฟรีประมาณ 400,000 จุด รวมอินเทอร์เน็ตฟรี 1 ล้านจุด ทุกหมู่บ้าน/ชุมชน ทุกห้องเรียน

 

นโยบายที่ 2 “เรียนฟรี ถึงปริญญาตรี สาขาที่ตลาดต้องการ”

จากการสำรวจเบื้องต้น โดย อว. พบว่ามีสาขาที่ตลาดต้องการ มีอยู่อย่างน้อยจำนวน 1.8 แสนคน โดยประมาณ ใน 12 สาขาสำคัญ หากประชาธิปัตย์เป็นแกนตั้งรัฐบาล จะสนับสนุนให้มีการเรียนฟรีถึงปริญญาตรีในสาขาที่เป็นความต้องการของตลาด เพื่อให้เรียนจบแล้วมีงานทำ สนองตลาดนำการผลิตทางการศึกษาได้ทันที

 

นโยบายที่ 3 “ตรวจสุขภาพฟรี รักษาฟรี โดยใช้บัตรประชาชนใบเดียว”

นโยบายนี้มี 2 เรื่องอยู่ในนโยบายเดียวกัน เรื่องที่ 1 คือ รักษาฟรี ที่เป็นมาตรการในการรักษาพยาบาล เรื่องที่ 2 คือตรวจสุขภาพฟรี เป็นมาตรการในการป้องกัน ดังนั้นถ้าพบว่ามีปัญหาสุขภาพก็จะทำการตรวจรักษาได้ทันท่วงที ถือเป็นการต่อยอดนโยบายเดิมของพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ทำมาตั้งแต่อดีต โดยย้อนไปตั้งแต่ก่อนที่ท่านชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีได้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน เป็นเลขารัฐมนตรี ช่วงปี 31-32 เราได้มีการจัดให้มีการรักษาฟรี สำหรับเด็กประถม ผู้นำชุมชน รวมทั้งผู้สูงอายุ ต่อมาเมื่อนายจุรินทร์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในปี 53 จึงได้ริเริ่มนโยบาย บัตรประชาชนใบเดียวรักษาฟรี 48 ล้านคน โดยไม่ต้องเสีย 30 บาท และสามารถดำเนินนโยบายนั้นได้ด้วยความราบรื่น เพราะฉะนั้นนโยบายนี้จึงเป็นการต่อยอดในสิ่งที่ได้ทำสำเร็จมาแล้วทั้งหมด เพื่อมาเดินหน้าต่อไป

 

นโยบายที่ 4 “ชมรมผู้สูงอายุรับ 30,000บาท ทุกหมู่บ้าน ทุกชุมชน”

ปัจจุบันประเทศไทยมีชมรมผู้สูงอายุที่จดทะเบียนอยู่ประมาณ 30,000 ชมรม และถ้าประชาธิปัตย์เป็นการตั้งรัฐบาลก็จะช่วยสนับสนุนให้ผู้สูงอายุสามารถทำกิจกรรมรวมกลุ่มในลักษณะนี้ต่อไป เพื่อประโยชน์ทั้งทางด้านสุขภาพ ร่างกาย จิตใจและการอยู่ร่วมกันในสังคม รวมทั้งการส่งเสริมอาชีพเพื่อสร้างเงิน สร้างรายได้ให้กับผู้สูงอายุต่อไปด้วย

“ม.หัวเฉียว” เราเป็นมากกว่ามหาวิทยาลัย เปิดตัวศูนย์บริการด้านสุขภาพแบบครบวงจร Grand Opening

ที่บริเวณโซนโรบินสัน ชั้น 1 ศูนย์สรรพสินค้าซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ (มฉก.) และศูนย์สรรพสินค้าซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ จับมือกันอีกครั้งสรรสร้างพื้นที่ทางการค้าเป็นโซนสุขภาพและความรู้ จัดงาน Grand Opening เปิดตัวศูนย์ดูแลด้านสุขภาพและ ด้านจีนศึกษาแบบครบวงจร ภายใต้ชื่องาน ม.หัวเฉียวฯ เราเป็นมากกว่ามหาวิทยาลัย HCU More than a University ระหว่างวันที่ 9-12 มีนาคม 2566 เวลา 10.30 น.ถึง 20.00 น. 

โดยภายในงานเปิดให้บริการฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ตลอด 4 วันเต็ม โดยได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์ ดร.อุไรพรรณ เจนวาณิชยานนท์ อธิการบดี มฉก. พร้อมด้วย คุณไปรเทพ ซอโสตถิกุล อุปนายกสภา มฉก. และ ดร.จักรพล จันทวิมล ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารการตลาด บริษัท ซีคอน ดีเวลลอปเมนท์ จากัด (มหาชน) ร่วมเปิดงาน โดยมี อาจารย์ ดร.โจนาธาน อาร์ คาร์รีออน รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ อาจารย์ฉลอง แขวงอินทร์ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ อาจารย์ทศพร เลิศพิเชฐ ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ อาจารย์ปวินท์ สุวรรณกุล ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ อาจารย์ฟาง เวินกั๋ว ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ตลอดจนเจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์ และนิสิตนักศึกษา จากมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ เข้าร่วมเปิดตัวศูนย์บริการด้านสุขภาพและด้านจีนศึกษาครบวงจร

โดย รองศาสตราจารย์ ดร.อุไรพรรณ เจนวาณิชยานนท์ อธิการบดี มฉก. ได้กล่าว ม.หัวเฉียวฯ เป็นมากกว่ามหาวิทยาลัย เพราะได้นำความรู้ ความชำนาญ ความเข้มแข็ง ด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพและด้านจีนศึกษาที่เปิดสอนในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก มาขยายขอบข่ายจัดตั้งเป็นศูนย์ สถาบัน และคลินิก รวม 19 หน่วย ให้บริการวิชาการด้านสุขภาพและให้ความรู้ด้านต่าง ๆ แก่ประชาชน ซึ่งการดูแลด้านสุขภาพของมหาวิทยาลัยแตกต่างกว่าที่อื่น เพราะได้นำศาสตร์การแพทย์แผนจีนมาบูรณาการเข้ากับแพทย์แผนปัจจุบันเพื่อดูแลรักษาสุขภาพแบบ 4P คือ Health Predictive, Health Promotion, Health Prevention และ Personalized Health Care การจัดงานครั้งนี้ แบ่งเป็น บูธสุขภาพ บูธภาษา บูธให้ความรู้และบริการ รวม 19 บูธ

โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระยศ 'พลตรีหญิง' สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี

10 มี.ค.2566 - เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศเรื่อง ให้นายทหารรับราชการและพระราชทานพระยศทหาร ความว่า

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้นายทหารรับราชการและพระราชทานพระยศทหาร

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ประกอบมาตรา ๒๕ และมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๕๑ และมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติยศทหาร พุทธศักราช ๒๔๗๙ และที่แก้ไขเพิ่มเติม

ตำรวจ ปส.(NSB) และ AITF คุมเข้ม สกัดกั้นยาเสพติด การนำเข้าและส่งออกต่างประเทศ

วันที่ (11 มี.ค.66) พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เปิดเผยผลการสกัดกั้นจับกุมผู้ต้องหาพร้อมยาเสพติดที่ถูกลักลอบซุกซ่อนมากับอุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่านสายการบินจากต่างประเทศ และการเตรียมส่งออกนอกประเทศ โดย ภายใต้การขับเคลื่อนภารกิจปราบปรามยาเสพติดของ พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร.(กม)/ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.คมสิทธิ์ รังไสย์ ผบก.ปส.3  จัดกำลังสืบสวนตรวจตราจับกุมขบวนการค้ายาเสพติด ที่คอยปรับเปลี่ยนวิธีด้วยการซุกซ่อนลำเลียงขนส่งยาเสพติดในรูปแบบต่างๆ ผ่านระบบ Logistics อาทิ พัสดุภัณฑ์, ไปรษณีย์, ทางท่าเรือ, และทางอากาศ  เพื่อให้ก้าวตามทันขบวนการเหล่านี้ ไม่ใช่เป็นแค่การจับกุมตามเส้นทางถนนซึ่งขบวนการได้ใช้ลำเลียงเป็นหลักเท่านั้น ต้องทำควบคู่กันในทุกมิติ ของการปราบปรามไม่ว่าจะลักลอบลำเลียงด้วยวิธีใดก็ตามเจ้าหน้าที่ตำรวจยังสามารถติดตามเฝ้าระวังและสกัดจับได้ในทุกช่องทางอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาตำรวจ หน่วยปราบปรามยาเสพติดสุวรรณภูมิ (NSB) ได้ประสานความร่วมมือภายใต้โครงการด้านปราบปรามและสกัดกั้นยาเสพติดในพื้นที่ท่าอากาศยานนานาชาติ หรือ AITF ประกอบด้วย ป.ป.ส.,กรมศุลกากร ,ศรภ. จนสามารถนำไปสู่การสกัดกั้นยาเสพติดในห้วงเดือน ตุลาคม - ปัจจุบัน พ.ศ.2566 ได้หลายรายการ อาทิ ไอซ์ 12 กก., ยาบ้า 11,823 เม็ด, เคตามีน 1.7 กก., โคเคน 5.3 กก., เฮโรอีน 4.2 กก. และยาสำหรับใช้ทางการแพทย์ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง, กล่อมประสาท และยานอนหลับ 79,200 เม็ด มีทั้งนำเข้ามาจาก ต้นทาง เมืองโจฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ และประเทศเอธิโอเปีย ขณะที่การส่งออกพบปลายทางไปยังฮ่องกง, ไต้หวัน, เกาหลี และออสเตรเลีย เลี่ยงการถูกจับด้วยการซุกซ่อนไปกับเครื่องครัว, ถุงขนม, หมอนพื้นบ้าน, ตู้ลำโพง, กระเป๋าผ้าพื้นเมืองชาวเขา และ ถุงแป้งทำขนม สำหรับการปราบปรามนี้เป็นไปตามนโยบายและข้อสั่งการของ พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในการเร่งรัดการกวาดล้างจับกุมเครือข่ายยาเสพติด รวมทั้งสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดจากต่างประเทศไม่ให้เข้ามาสู่พื้นที่ประเทศไทยและพื้นที่ขั้นใน รวมทั้งการส่งออกยาเสพติดไปยังประเทศที่ 3 

ปิดฉาก SVB!! สหรัฐฯ สั่งปิดธนาคารปล่อยกู้แก่ธุรกิจสตาร์ตอัป เหตุการณ์แบงก์มะกันล้มครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่วิกฤตปี 2008

นับเป็นการล้มของแบงก์สหรัฐฯ ที่ขนาดใหญ่ที่สุดตั้งแต่วิกฤต 2008 เลยก็ว่าได้ สำหรับ Silicon Valley Bank (SVB) ธนาคารปล่อยกู้แก่ธุรกิจสตาร์ตอัพในกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งหากย้อนไปในปี 2008 ปัญหาที่หมักหมมในสหรัฐฯ เริ่มส่งกลิ่นไม่ดีเป็นเวลาหลายปีก่อนที่ฟองสบู่จะแตกตัวในปี 2008 

โดยก่อนหน้านั้นเกิดกระแสการจำนองโดยที่ผู้กู้นำหลักทรัพย์ด้อยคุณภาพมาค้ำประกัน เพราะดอกเบี้ยในตลาดช่วงนั้นต่ำมาก ประกอบกับธนาคารมีเงื่อนไขการปล่อยกู้ที่ผ่อนปรนกว่าแต่ก่อน ซึ่งเปิดทางให้ประชาชนสามารถซื้อบ้านได้ทั้งที่ยังไม่มีความสามารถในการจ่าย 

ผลกระทบที่ธนาคารและสถาบันทางการเงินสหรัฐฯ ได้รับในเวลานั้นก็คือ การขาดทุนอย่างย่อยยับ และ 'เลห์แมน บราเธอร์ส' ก็ได้ประกาศล้มละลาย เนื่องจากไม่สามารถดำเนินกิจการได้ต่อไป เพราะมีภาระหนี้สินถึง 6.13 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่แฮงก์ พอลสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ในเวลานั้นได้ยืนยันว่ารัฐบาลจะไม่อัดฉีดเงินเข้าไปช่วยโอบอุ้มธนาคาร ส่งผลให้นักลงทุนในตลาดเกิดความตื่นตระหนก โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ร่วงลงกว่า 350 จุดจากข่าวดังกล่าว นอกจากนี้ยังส่งแรงกระเพื่อมสะเทือนไปทั้งตลาดเงินทั่วโลก

กลับมาที่เหตุการณ์ล่าสุด กระทรวงปกป้องการเงินและนวัตกรรมแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียประกาศปิดกิจการของ Silicon Valley Bank (SVB) ในวันนี้ (11 มี.ค.66) พร้อมกับมอบหมายให้บรรษัทค้ำประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC: Federal Deposit Insurance Corporation) เป็นผู้ดูแลเงินฝากของ SVB

ทั้งนี้ FDIC ได้จัดตั้ง Deposit Insurance National Bank of Santa Clara (DINB) และได้โอนเงินฝากทั้งหมดจาก SVB ที่ได้รับการค้ำประกันเข้าสู่ DINB เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้ฝากเงิน

FDIC เปิดเผยว่า เจ้าของเงินฝากจะสามารถเข้าถึงเงินฝากของตนเองได้ภายในช่วงเช้าของวันจันทร์ที่ 13 มี.ค. ซึ่งสาขาต่างๆ ของ SVB จะเปิดทำการ แต่อยู่ภายใต้การควบคุมของ FDIC

อย่างไรก็ดี กฎระเบียบของ FDIC ให้การคุ้มครองเงินฝากไม่เกิน 250,000 ดอลลาร์ต่อผู้ฝาก 1 ราย ต่อ 1 ธนาคาร

ข้อมูล ณ สิ้นเดือน ธ.ค.2565 ระบุว่า SVB มีสินทรัพย์ทั้งหมดราว 2.09 แสนล้านดอลลาร์ และมีเงินฝาก 1.754 แสนล้านดอลลาร์

เชือดไก่ให้ลิงดู!! ‘สวนสัตว์พาต้า’ ทุ่ม 1 แสนบาท ตั้งรางวัลนำจับ ล่าผู้บุกรุก หลังโดนมือดีพ่นสีใส่ผนัง จี้ปล่อย กอริลลา ‘บัวน้อย’

เพจ "สวนสัตว์พาต้า" โพสต์คำแถลงการณ์ กรณีการประกาศเรื่องต่อสู้และดำเนินคดีความกับผู้ต่อต้านและบุกรุก พร้อมตั้งรางวัลนำจับ 1 แสนบาท เพื่อตามล่ากลุ่มคนทำลายทรัพย์สิน ร้องปล่อยตัวลิงกอริลลา "บัวน้อย" โดยเขียนว่า “Free Buanoi” และอักษรภาษาอื่น ๆ เป็นทางยาวกว่า 20 เมตร

(10 มี.ค. 66) ที่ผ่านมา เพจ "สวนสัตว์พาต้า" ได้ออกมาโพสต์คำแถลงการณ์ กรณีการประกาศเรื่องต่อสู้และดำเนินคดีความกับผู้ต่อต้านและบุกรุก พร้อมตั้งรางวัลนำจับ 1 แสนบาท เพื่อตามล่ากลุ่มคนทำลายทรัพย์สิน ร้องปล่อยตัวลิงกอริลลา "บัวน้อย" โดยทางเพจระบุข้อความว่า "เมื่อเวลาประมาณตี 1 ของเช้าวันที่ 6 มีนาคม 2566 ได้มีกลุ่มผู้กระทำความผิด จำนวน 5 คน บุกรุกพื้นที่ของห้างสรรพสินค้าพาต้า โดยใช้การปีนสะพานลอยผ่านเข้ามายังขอบอาคารชั้น 3 ด้านหน้าห้าง ฯ และ ทำลายทรัพย์สินของบริษัทด้วยการพ่นสีใส่ผนังอาคาร เป็นข้อความในเชิงต่อต้านการครอบครองลิงกอริลลาของสวนสัตว์พาต้า โดยเขียนว่า “Free Buanoi” และอักษรภาษาอื่น ๆ เป็นทางยาวกว่า 20 เมตร

ซึ่งทำให้ตัวอาคารได้รับความเสียหาย และก่อให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของบริษัทเป็นอย่างมาก ทั้งที่การประกอบกิจการของสวนสัตว์พาต้านั้น อยู่ในความดูแลของหน่วยงานผู้เกี่ยวข้องและผ่านขั้นตอนการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ โดยเหตุการณ์การต่อต้านเรื่องการครอบครองลิงกอริลลาของห้างฯ พาต้านั้น มีมานานกว่า 20 ปี และเพิ่งจะได้รับความเข้าใจจากประชาชนโดยส่วนใหญ่เมื่อประมาณ 4 เดือนที่ผ่านมา จากแถลงการณ์ครั้งแรกของบริษัทฯ ถึงเหตุผลต่าง ๆ และที่มาที่ไปของบัวน้อย ลิงกอริลลา เพศเมีย วัยชรา ที่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีตลอดมา ที่แม้ทางบริษัทจะประสบภาวะขาดทุนสะสมอย่างต่อเนื่อง แต่ทางผู้บริหารก็ยังไม่เคยทอดทิ้ง หรือ ตั้งราคาบัวน้อยในราคา 30 ล้าน ตามที่เป็นข่าว

ล่าสุดทางฝ่ายบริหารของทั้งห้างและสวนสัตว์พาต้า ได้เคลื่อนไหวในเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยจะขอนำเรื่องการบุกรุกและทำลายทรัพย์สินของบริษัทในครั้งนี้ เป็นกรณีตัวอย่างของการละเมิดสิทธิ์ที่ผิดกฎหมาย ที่บุคคล กลุ่ม หรือองค์กรพิทักษ์สัตว์มากมาย ทั้งในและต่างประเทศได้กระทำกันมาช้านาน

ทั้งการโพสต์โซเชียลมีเดียถึงการวิจารณ์ไปในทางหมิ่นประมาทและทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงต่อสวนสัตว์พาต้า, การรวมตัวกันเรียกร้องให้ปิดสวนสัตว์และปล่อยตัวบัวน้อย ด้วยการใช้ภาพถ่ายเน้นลูกกรงให้ดูเศร้า รวมถึงการปรับเล่นกับโทนสีของภาพให้ดูหม่นหมอง เพื่อการเรียกร้อง และนำภาพบัวน้อยไปใช้กันอย่างแพร่หลาย จนนำไปสู่การขอรับบริจาคในโครงการของตนเองหลายต่อหลายครั้ง โดยไม่มีการแจ้งถึงยอดเงินดังกล่าวอย่างเป็นทางการว่าได้นำเงินนั้นไปใช้ในทิศทางใด

และสวนสัตว์พาต้า ขอใช้โอกาสและพื้นที่ตรงนี้เพื่อแจ้งว่า “สวนสัตว์พาต้า ไม่เคยรับทราบถึงที่มาที่ไปของเงินบริจาคดังกล่าว ทั้งในและต่างประเทศ ที่มีการเรี่ยไรกระทำการกันอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย มาเป็นเวลาเกือบ 20 ปี”
.
รวมไปถึงนักอนุรักษ์สัตว์บางรายที่เคยฉวยโอกาสจากเหตุการณ์ต่อต้านสวนสัตว์พาต้า โดยกระทำการอบรมให้ข้อมูลแก่เยาวชนถึงในสถานศึกษา เพื่อใช้เด็กและเยาวชนเป็นแรงสนับสนุน มุ่งไปที่การ “ปล่อยตัวบัวน้อย” ให้เด็ก ๆ ซึมซับว่าบัวน้อยได้รับความทุกข์ทรมาน โดยที่เด็กและเยาวชนเหล่านั้น อาจไม่รู้ และไม่เคยมาเที่ยวสวนสัตว์พาต้าเลยสักครั้งในชีวิต ซึ่งถือเป็นการมอมเมาเด็กและเยาวชนจากหลักฐานที่ผู้ต่อต้าน ชี้แนะให้เด็ก ๆ จำนวนมาก เห็นสิ่งที่สวนสัตว์พาต้า กระทำตลอดมา ว่าเป็นความผิด ทั้งที่การประกอบกิจการทั้งหมดนั้นอยู่ภายใต้กฎหมาย

ตลอดจนให้เด็ก ๆ เหล่านั้นเขียนข้อความ ลงลายมือชื่อ และนามสกุล เพื่อต่อต้านสวนสัตว์พาต้า ซึ่งเชื่อว่าเหตุการณ์เหล่านี้ มีผู้ปกครองมากมายไม่ทราบเรื่องราวว่า บุตรหลานของท่านได้ถูกบุคคลนักอนุรักษ์สัตว์ผู้นี้ ชี้นำให้กระทำการต่อต้านในสิ่งที่ยังไม่สามารถวิเคราะห์ได้ด้วยวุฒิภาวะของตนเอง ทั้งยังให้เด็ก ๆ เหล่านั้น ลงลายมือชื่อ และนามสกุล รวมถึง มีข้อความเรียกร้องให้ปล่อยตัวบัวน้อยออกจาก “คุก !” ไว้เป็นเป็นหลักฐาน ด้วยการชี้นำของตน โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงผลเสียที่จะตามมาในตัวของเด็กและเยาวชนเหล่านั้น ว่าจะสามารถนำไปสู่หลักฐานเพื่อใช้ในการต่อสู้ทางคดีความ ที่จะต้องมีรายชื่อเด็ก ๆ เหล่านั้นอยู่ในสำนวนคดี

ยังไม่นับรวมถึงพฤติกรรมของนักอนุรักษ์สัตว์รายนี้ ที่ได้โพสต์ข้อความว่าได้นำเรื่องราวและหนังสือบัวน้อยที่ตนเองได้สร้างขึ้นเพื่อจำหน่ายไปยังหลายประเทศ และตั้งใจส่งไปรษณีย์ไปเพื่อให้ถึงมือเจ้าชาย George องค์น้อย แห่งราชวงศ์อังกฤษ โดยมีข้อความบางตอนที่โพสต์ว่า “หากท่านทรงเดินทางมาเมืองไทย และทรงแวะเยี่ยมบัวน้อย ท่านคงจะทรงตกพระทัยมิใช่น้อย ที่คนไทยไม่สามารถดูแลมรดกโลกได้ดีไปกว่านี้”

ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สวนสัตว์พาต้า รวมถึงประเทศชาติ ถูกตัดสินความผิดจากความรู้สึกของบุคคลผู้นี้ โดยไม่ยึดในข้อกฎหมายเป็นหลัก และยังเพิ่มความกดดัน โดยการนำเรื่องราวของบัวน้อย ออกไปไกลให้ถึงราชวงศ์ของต่างประเทศอย่างมีนัยยะ ด้วยข้อความที่ดูถูกและดูแคลนศักยภาพ และหน่วยงานผู้ดูแลกิจการ จนถึงผู้ประกอบการสวนสัตว์ของไทยอย่างเป็นหลักเป็นฐาน
.
ซึ่งเหตุการณ์ต่อต้านเรียกร้องมากมายที่เกิดขึ้นตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในประเทศที่มีกฎหมายและหน่วยงานของการควบคุมการทารุณกรรมสัตว์ ดังเช่นในประเทศไทย และสวนสัตว์พาต้า ขออนุญาตและขออภัยหากข้อความต่อไปนี้ จะถือเป็นการสอนท่านผู้อนุรักษ์สัตว์รายนี้ ว่า “นักอนุรักษ์ที่มีมาตรฐานสูงทั่วโลก จะเริ่มจากพื้นฐานแห่งจิตสำนึกด้วยการไม่ต่อต้านสิ่งที่ถูกกฎหมายบนพื้นแผ่นดินในประเทศของตน

นักอนุรักษ์สัตว์ที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี ไร้ซึ่งนัยยะเคลือบแคลง มักจะมุ่งทำประโยชน์ให้กับชีวิตสัตว์ที่น่าสงสารอีกมากมายอย่างต่อเนื่อง โดยไม่เลือกแม้ตัวตน เพศ ชนิด สายพันธุ์ หรือราคาของสัตว์ตัวนั้น ๆ จนนำไปสู่โอกาสของการสร้างชื่อเสียง รายได้ และการออกสื่อ หรือเข้าถึงบุคคลผู้ทรงเกียรติที่เกี่ยวข้อง เพื่อหน้าตาทางสังคมของตนเป็นนิจ

ลองกา 'ก้าวไกล' ‘พิธา’ มั่นใจ ก้าวไกล 10 คน 10 เขต พลิกเมืองคอน เปลี่ยน 'นครศรีฯ' จากเมืองรอง สู่ เมือง 'ต้องลอง'

ชิมโกปี้ ไม่มีขมปี๋ เพราะวงน้ำชาก้าวไกลสุดคึกคัก พิธา ศิริกัญญา เยือนเมืองคอน ตอบทุกคำถามคาใจ ชูแก้หนี้เกษตร กระจายอำนาจสร้างนครศรีธรรมราช ให้กลายเป็นเมืองที่ 'ต้องลอง'

เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2566 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ควง ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค หวังปักธงก้าวไกลทั้งจังหวัด โดยเปิดวงน้ำชา ณ ร้านโกปิ๊ ซึมซับบรรยากาศและวัฒนธรรมการถกเถียงแลกเปลี่ยนทางการเมือง กลางเมืองคอน นครศรีธรรมราช พร้อมด้วย ปกรณ์ อารีย์กุล ว่าที่ผู้สมัครส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 1 จากพรรคก้าวไกล ร่วมเสวนาพบปะพี่น้องประชาชนด้วยกัน

พิธา ได้กล่าวกับพี่น้องประชาชนที่มาร่วมแลกเปลี่ยนว่าต้องการเห็นนครศรีธรรมราช ที่เป็น 'เมืองรอง' ให้กลายเป็นเมืองที่ต้องมา 'ลอง' ชี้เป็นเมืองที่มีครบทั้ง 3 ธรรม ทั้งธรรมะ ธรรมชาติ และธรรมดา เป็นเมืองที่มีอารยธรรมรุ่งเรืองในอดีต สถานที่ทางประวัติศาสตร์ และธรรมชาติที่สมบูรณ์ จึงคิดว่าสามารถยกระดับจังหวัดนครศรีธรรมราชให้ดีกว่านี้ได้ พร้อมประกาศว่ามั่นใจในตัวผู้สมัครทั้ง 10 คน 10 เขต ที่พรรคก้าวไกลส่งลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งนี้ และเชื่อจะสามารถเปลี่ยนเมืองคอนให้ดีได้กว่านี้ จากนั้นมีการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนสอบถาม โดยคำถามส่วนใหญ่เป็นเรื่องของปัญหาหนี้สิน ที่ดินทำกิน และการกระจายอำนาจจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่น

พิธา เริ่มต้นตอบคำถามถึงเรื่องการกระจายอำนาจปลดล็อกท้องถิ่น พร้อมเน้นย้ำว่า ต้องกระจายทั้งงบประมาณและบุคลากร ในด้านของ พ.ร.บ. ต้องเพิ่มงบประมาณ อิสระในการตรวจสอบ ตลอดจนสามารถออกพันธบัตรในพื้นที่ได้ในด้านที่สนใจ อย่างเช่น นครศรีธรรมราชสามารถใช้พันธบัตรแก้ไขประเด็นต่าง ๆ โดยไม่ต้องรอนโยบายจากส่วนกลาง ไม่ต้องเกษตรจังหวัด อุตสาหกรรมจังหวัด ท่องเที่ยวจังหวัด  เพราะฉะนั้นสิทธิชุมชน การบริหารน้ำประปาในพื้นที่ ท้องถิ่นสามารถทำได้ พิธา ย้ำว่า สิ่งนี้ เกาถูกที่คันแน่นอน ส่วนกรณีราคายางตกต่ำ หากส่งออกแล้วเขาไม่รับ พรรคก้าวไกล ได้ออกแบบอุตสาหกรรมที่ใช้ยาง เป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น การนำประปาก้าวหน้า ในส่วนประกอบ แต่ละส่วนต้องใช้ยางร่วมด้วย หรือของเล่นเด็กและพื้นรองเท้า ผลิตภัณฑ์เหล่านี้สามารถสร้างงานและซ่อมประเทศไปพร้อมกันได้  ยาง 3 แสนตัน ต้องสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top