Thursday, 15 May 2025
NEWS

ธรรมะประจำวันวันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคม 2566

‘คนฉลาด’
ไม่ใช่แค่ ‘ฉลาดพูด’ เท่านั้น
ต้องรู้จัก ‘นิ่งอย่างมีสติ’ ให้เป็นด้วย
ต้องรู้ใน ‘สิ่งที่ไม่ควรพูด’
ให้มากยิ่งกว่า ‘สิ่งที่ควรพูด’

-พุทธทาสภิกขุ-

‘ลูกชายผู้บาดเจ็บ’ จาก ‘ทางเลื่อนดอนเมือง’ เผย!! คุณแม่เดินได้ไกลกว่า 15 เมตร - มีกำลังใจดีขึ้น

(8 ก.ค. 66) ส่งกำลังใจให้ ‘ลูกชายผู้บาดเจ็บ’ จากเหตุทางเดินเลื่อนสนามบินดอนเมือง อัปเดตอาการแม่ เผย เดินได้ไกลกว่า 15 เมตรแล้ว ยังต้องฝึกการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การเดินเข้าห้องน้ำ การขึ้นนอนบนเตียง ระบุ แม่แอบบ่นว่า เหมือนกลับมาเป็นเด็กใหม่เลย

จากกรณี ทางเดินเลื่อนสนามบินดอนเมือง ทรุดทำให้ น.ส.สุพรรณี ผู้โดยสารหญิงได้รับบาดเจ็บขาขาดนั้น ล่าสุดนายกฤตย์ กิตติรัตนา ลูกชายของ น.ส.สุพรรณี ผู้บาดเจ็บ โดยระบุว่า วันนี้ 8 กรกฎาคม 2566 แม่ลงมากายภาพที่ยิมของโรงพยาบาล และสามารถเดินได้ไกล กว่า 15 เมตรแล้ว แต่ยังคงต้องฝึกการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การเดินเข้าห้องน้ำ การขึ้นนอนบนเตียง

สำหรับในขณะนี้ แม่กำลังใจดีมากๆ ตั้งใจทำกายภาพ ไม่มีอิดออด แม้จะมีอาการเจ็บแผล และ Phantom Limb Pain (กลุ่มอาการความรู้สึกหลอนว่าแขนขายังคงอยู่) ซึ่งคนในครอบครัวเป็นกองเชียร์ช่วยคุณแม่ศึกษาข้อมูลอุปกรณ์ขาเทียม เพื่อเป็นทางเลือกในอนาคต ตอนนี้มีความหวังมากมายรอบตัว และแม่แอบบ่นว่า.. เหมือนกลับมาเป็นเด็กใหม่เลย แต่ไม่เป็นไรให้คุณพ่อและน้องๆ ช่วยกันดูแล อีกแป๊บนึงคุณแม่ต้องวิ่งไวกว่าแน่ๆ

ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายและการสืบสวน ปล่อยให้ตนเองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการต่อไป

‘SEED Thailand’ ผนึกกำลัง ‘สำนักงานสลากฯ - สถาบันพระปกเกล้าฯ’ จัดกิจกรรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการโครงการ Seed Project รุ่นที่ 3

(8 ก.ค.66) กลับมาอีกครั้งกับโครงการที่ทุกคนรอคอย Seed Project ปี 3 รอบภาคกลาง 

ด้วยเครือข่ายเยาวชน SEED Thailand วุฒิสภาร่วมกับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และมูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าเพื่อสังคม จัดกิจกรรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการโครงการ Seed Project รุ่นที่ 3 เรื่อง My Future Hometown สร้างผู้นำเยาวชน พาท้องถิ่นสู่สากล โดยโครงการจัดขึ้นในวันที่ 6 - 9 กรกฏาคม 2566 ณ ห้องประชุม โรงแรมทีเค พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น แจ้งวัฒนะ 

เมื่อวันที่ 7 ก.ค.66 พันโท หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ ร่วมกับคุณดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ เลขาธิการและกรรมการมูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าเพื่อสังคม เป็นผู้กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมโครงการทั้ง 80 คน 

อีกทั้งมีปาฐกถาเรื่องพลังเยาวชนต่อทิศทางการพัฒนาประเทศไทย โดย คุณนพพล ชูกลิ่น ประธานบริหารโดยในวันนี้ยังมีวิทยากรมากประสบการณ์มาบรรยายให้ความรู้แก่ผู้เข้าร่วม ประกอบด้วย ประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์และความเป็นไทย สู่การสร้างพลัง Soft Power จากท้องถิ่น โดย นายพิชิต วีรังคบุตร รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การสร้างนักข่าวท้องถิ่น Local Reporter โดยนางสาวขวัญธรรมภรณ์ ทิพยโกศัย ผู้ประกาศข่าวสถานีโทรทัศน์ PPTV อีกทั้งมีการสร้างเสริมและแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากพี่ๆ ทีม SEED Thailand

'รองต่อ' ชื่นชมตำรวจขอนแก่น ใช้ยุทธวิธีสยบหนุ่มคลั่งขับรถชนทั่วเมือง

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ชื่นชมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่น ที่ใช้หลักยุทธวิธีในการเข้าระงับเหตุและติดตามจับกุมคนขับรถที่มึนเมายาเสพติดและขับชนรถของประชาชนทั่วไปได้รับความเสียหาย เป็นการสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชนต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ

วันนี้ 8 กรกฎาคม 2566 พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดูแลงานป้องกันปราบปราม ได้เรียกประชุมสรุปเหตุการณ์ กรณีชายคลุ้มคลั่งขับรถเฉี่ยวชนรถยนต์ของประชาชนและเจ้าหน้าที่ จำนวน 6 คัน ได้รับความเสียหาย เหตุเกิดที่ จ.ขอนแก่น และต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ก่อเหตุไว้ได้นั้น

เหตุการณ์ดังกล่าวสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2566 เกิดเหตุชายคลุ้มคลั่งขับรถเฉี่ยวชนรถยนต์และทรัพย์สินของประชาชนได้รับความเสียหาย ภายในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งในตัวเมืองขอนแก่น จากนั้นได้ขับหลบหนีและไปเฉี่ยวชนรถของประชาชนรายอื่นๆ ซึ่งสัญจรผ่านไปมาเสียหาย โดยทันทีที่ พ.ต.อ.ปรีชา เก่งสาริกิจ ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น ได้รับรายงานได้บูรณาการกำลังทุกฝ่ายทั้ง ฝ่ายป้องกันปราบปราม สืบสวน และ จราจร ออกติดตามและสกัดจับรถคันดังกล่าว ไม่ให้สร้างความเสียหายให้กับประชาชนเพิ่มมากขึ้น

โดยผู้ก่อเหตุได้ขับหลบหนีไปตามถนนศรีจันทร์-หน้าเมือง-หลังเมือง-รอบเมือง-รื่นรมย์ และ ประชาสโมสร เมื่อมาถึงวงเวียนศาลหลักเมืองขอนแก่น ซึ่งเป็นจุดก้าวสกัดจับที่วางกำลังไว้ เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อุปกรณ์ Stop Stick ซึ่งเป็นอุปกรณ์หยุดรถกรณีฉุกเฉินขวางรถผู้ก่อเหตุไว้ เมื่อรถผู้ก่อเหตุขับเหยียบผ่านไปทำให้ยางรถรั่ว แต่ผู้ก่อเหตุไม่ยอมหยุดรถ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แบ่งกำลังไล่ติดตามและวางกำลังในเส้นทางที่คาดว่าจะหลบหนี จนผู้ก่อเหตุขับรถเข้าไปในซอยสุภะภีระ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจนำรถยนต์กระบะมาจอดขวางไว้ ผู้ก่อเหตุได้ขับรถพุ่งชนรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับความเสียหายจนไม่สามารถขับไปต่อได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เข้าควบคุมตัวผู้ขับขี่ไว้ได้ โดยอยู่ในอาการมึนเมายาเสพติด เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาว่า “ขับขี่รถโดยประมาทเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถผู้อื่นได้รับความเสียหาย , ขับขี่รถประมาทหวาดเสียว , ขับขี่รถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย , ขับขี่รถชนแล้วหลบหนี และ ขับขี่รถโดยมีสารเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์) โดยผิดกฎหมาย” นำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ฯ ได้กล่าวชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องทุกนาย และสั่งการให้ตำรวจภูธรภาค 4 ถอดบทเรียนเพื่อนำมาเป็นกรณีศึกษา พร้อมทั้งฝากความห่วงใยไปยังพื้นที่อื่นๆ ซึ่งมีโอกาสจะเกิดเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้ได้ ให้มีการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุสม่ำเสมอ รวมทั้งตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ ให้มีความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ตลอดเวลา

“ขอชื่นชมการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องทุกนายที่ยึดหลักยุทธวิธีในการปฏิบัติหน้าที่ มีการนำอุปกรณ์ Stop Stick มาใช้ เพื่อลดความรุนแรงและความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นทั้งต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ผู้ก่อเหตุ และตัวเจ้าหน้าที่เอง แสดงให้เห็นถึงความพร้อม ความใส่ใจ ความร่วมมือ และความมีมาตรฐาน สามารถเป็นแบบอย่างที่ดีได้ ขอฝากไปยังข้าราชการตำรวจทุกหน่วยให้หมั่นตรวจสอบอุปกรณ์ ฝึกฝนและซักซ้อมแผนเผชิญเหตุต่างๆ อยู่ตลอดเวลา เพื่อเป็นการพัฒนาทักษะและขีดความสามารถในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทั้งยังสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาให้กับพี่น้องประชาชนได้”

สำหรับในปีงบประมาณ พ.ศ.2566 พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้อนุมัติงบประมาณให้แก่ศูนย์บริหารงานป้องกันปราบปราม โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้กำกับดูแล เพื่ออบรมเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจจากทุกหน่วยทั่วประเทศ อาทิเช่น 

• โครงการฝึกอบรมการบริหารเหตุการณ์ศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน 191 
• โครงการฝึกอบรมการระงับเหตุของผู้ปฏิบัติงานสายงานป้องกันปราบปราม 
• โครงการฝึกทักษะยิงปืนให้แก่ข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ในสายงานป้องกันปราบปราม สืบสวน และจราจร ในสถานีตำรวจ
• โครงการฝึกอบรมการสร้างพื้นที่ข่าวออนไลน์  เป็นต้น

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เรียกประชุมเตรียมความพร้อมจัดตั้งศูนย์ประสานงานช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์จากเมียวดี

วันนี้ (7 ก.ค.66) เวลา 15.30 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง (ศพดส.ตร.) เป็นประธานในการประชุมหารือเรื่องการจัดตั้งศูนย์ประสานงานเฉพาะกิจไตรภาคี เพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ในพื้นที่จังหวัดเมียวดี สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ณ ห้องประชุมตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก ซึ่งมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมหลายหน่วยงานเช่น คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 

สืบเนื่องจากผลการประชุมหารือไตรภาคีว่าด้วยการค้ามนุษย์ ระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติไทย กระทรวงความมั่นคงสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และสำนักงานตำรวจแห่งชาติสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 – 24 มี.ค.66 ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้มีมติให้มีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานเฉพาะกิจไตรภาคีฯ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการประสานความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสามประเทศ ในการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ซึ่งถูกหลอกไปในพื้นที่จังหวัดเมียวดี ประเทศเมียนมา โดยให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดตั้งศูนย์ดังกล่าวที่ชายแดนไทย-เมียนมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้มีคำสั่งจัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจดังกล่าวขึ้น โดยมี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์ดังกล่าว โดยเตรียมการในการจัดตั้งศูนย์ประสานงานที่ ตม.จว.ตาก 

วันนี้ ที่ประชุมได้มีการหารือในการกำหนดแนวทางการจัดกำลังในการปฏิบัติหน้าที่ภายในศูนย์ประสานงาน รวมทั้งอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ รวมไปถึงแนวทางการปฏิบัติในการประสานงานช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ที่จะทำให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดภายใต้ทรัพยากรที่มี นอกจากนี้ยังมีการติดตามความคืบหน้าผลการปฏิบัติของหน่วยงานต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์สืบเนื่องจากการประชุมไตรภาคีที่ผ่านมา ทั้งนี้ เมื่อกำหนดแนวทางในการปฏิบัติและการจัดตั้งศูนย์แล้ว จะได้นำผลการประชุมเสนอผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาดำเนินการโดยเร็ว

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า จากการประชุมไตรภาคีร่วมกันของทั้งสามประเทศ เพื่อประสานความร่วมมือกันในการช่วยเหลือเหยื่อจากการค้ามนุษย์ ซึ่งมีความเห็นตรงกันว่า ในห้วงเวลาที่ผ่านมา พบการหลอกลวงผู้เสียหายไปทำงานที่จังหวัดเมียวดี ประเทศเมียนมาเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ดังนั้นจึงมีแนวทางในการจัดตั้งศูนย์ประสานงานดังกล่าวขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประสานความช่วยเหลือผู้เสียหายให้สามารถเดินทางกลับมาตุภูมิของตนเองได้อย่างปลอดภัย โดยหลังจากวันนี้ จะได้มีสรุปแนวทางการจัดศูนย์ประสานงาน เพื่อนำเสนอผู้บังคับบัญชา เพื่อเร่งรัดการจัดตั้งศูนย์ให้สามารถเริ่มการปฏิบัติให้ได้โดยเร็ว

'เด็กไทยรักสถาบันฯ' แสดงจุดยืนต่อ 'เพลงสรรเสริญฯ' ลั่น!! "ทัวร์ลง ก็แค่เสียงลม คิดดีทำดี จะกลัวทำไม"

ไม่นานมานี้ ผู้ใช้ TikTok บัญชี ‘cancan0823’ ได้โพสต์คลิปแชร์เรื่องราวของ ‘น้องออมสิน วิชญาพร’ เด็กรุ่นใหม่ที่ได้ออกมาแสดงจุดยืนเกี่ยวกับประเด็น ยืนเคารพเพลงสรรเสริญฯ หรือเคารพธงชาติ แล้วโดนกล่าวหาว่าเป็นสลิ่ม ซึ่ง ‘น้องออมสิน’ ได้เปิดเผยความรู้สึกเหล่านี้ว่า…

“เราทำดีอยู่แล้ว เราจะไปกลัวทัวร์ลงทำไม? หนูไปดูหนังในโรง แล้วเขาก็หาว่าหนูเป็นสลิ่ม ตอนนั้นหนูก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน หนูก็ได้ถามกับตัวเอง ที่หนูยืนคือหนูโง่เหรอ? หนูก็แค่แสดงจุดยืนของหนู”

น้องออมสินได้เล่าต่อว่า “มีอยู่วันนึงหนูได้ไปอ่านโพสต์ของพี่เอเกี่ยวกับเรื่อง ‘เพลงสรรเสริญฯ’ และได้ไปคอมเมนต์ใต้โพสต์ว่า “หนูก็ยืน คือมีเพลงสรรเสริญเมื่อไหร่ จะยืนแล้วหยุด” ไม่ใช่แค่เพลงสรรเสริญฯ แต่รวมถึงเพลงชาติ หรือเพลงสวดมนต์ของโรงเรียนอะไรอย่างนี้ก็ต้องยืนแล้วหยุด เป็นการแสดงความเคารพให้กับเพลง หนูยืนตลอด เคยมีเหตุการณ์ที่เข้าไปยืนกับเพื่อน 2 คน แล้วโดนหาว่าเป็นสลิ่ม ก็ไม่ได้ทำยังไงต่อ เพราะพวกหนูยืนของหนูกันอยู่แล้ว ซึ่งก็จะมีคนอื่นเขาหันหน้ามาคุยกันบ้าง อะไรบ้าง แต่หนูก็ไม่ได้สนใจ เราทำหน้าที่ของเรา เราเป็นนักเรียน เราก็ทำหน้าที่ของเราไป เพราะเด็กนักเรียนควรเคารพในเพลงสรรเสริญฯ เพลงชาติ หนูขอถามหน่อยว่า ทำไมโรงเรียนถึงต้องให้เด็กนักเรียนเคารพธงชาติตอน 8 โมงเช้า นั่นเป็นเพราะว่า ‘เราเป็นคนไทย’ มันเป็น ‘เพลงชาติไทย’ ของเรา”

นอกจากนี้ น้องออมสินยังได้เล่าถึงที่บ้านของตน ว่าภายในบ้านจะมีภาพของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในหลวงรัชกาลที่ 5 และในหลวงรัชกาลที่ 10 ติดไว้ในบ้านด้วย อีกทั้งคุณแม่ของตนจะชอบเปิดข่าว ซึ่งตัวของน้องออมสินนั่นเป็นคนชอบฟังข่าวในพระราชสำนักอยู่แล้วด้วย เนื่องจากจะมีภาพฉายให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกปรุงแต่งขึ้นมา และตนเชื่อตามสิ่งที่ตนเห็น 

น้องออมสินยังกล่าวถึงเหตุผลที่ว่า ทำไมตนนั้นไม่เชื่อสื่อที่ให้ร้ายต่อสถาบันฯ ด้วยว่า “เราต้องถามค่ะ อย่างเวลาเห็นอะไรมาหนูจะถามคุณแม่ ว่ามันเป็นแบบนี้จริงเหรอ? ส่วนเพื่อน ๆ นั้นก็จะมีส่งมาให้ดูบ้างเช่นกัน แต่หนูก็จะถามคุณแม่ ซึ่งคุณแม่จะบอกว่า มันก็จะมีพวกแอนตี้อะไรแบบนี้ มันเป็นเฟคนิวส์ ซึ่งหนูก็ไม่ได้โง่ ที่จะยอมให้ใครมาจูงจมูกได้ หนูจะคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนี้ เขามีเจตนาอะไร คือจะรู้อยู่แล้วว่าเขาให้ร้าย หนูเลยเลือกที่จะไม่เชื่อ”

ต่อมา น้องออมสินได้เล่าถึงประเด็น ‘ทัวร์ลง เพราะปกป้องสถาบันฯ’ ว่ามีคนมาคอมเมนต์ด่าหยาบคายและแรงใส่ตน แต่น้องออมสินก็ยังยืนหยัดที่จะขอแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบฯ ต่อไป

“ถ้าหนูจะโดนหาว่าเป็นสลิ่ม ทั้งที่หนูจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ หนูก็ยอมที่จะเป็นสลิ่ม หนูรู้ว่าเรามีความคิดเห็นที่ต่างจากคนอื่น จึงโดนว่าหรือโดนทัวร์ลง แต่หนูก็ไม่กลัว เพราะมันเป็นการแสดงความคิดเห็นของหนู ทำไมหนูถึงต้องกลัว? นั่นเป็นสิ่งที่หนูคิด คนคนหนึ่งคิดเหมือนกัน คนอื่นเขาก็อาจจะมีความคิดเห็นที่ต่างจากเรา หรือคิดเหมือนเรา ซึ่งพวกเขาสามารถคิดได้ ไม่มีใครสามารถมาว่าเราว่าคิดแบบนี้มันไม่ถูกต้อง เวลาเขาแสดงความคิดเห็นของเขา หนูก็รับฟังเหมือนกัน เพราะมันคือการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน เขาแสดงความคิดเห็นและจุดยืนของเขา หนูก็แสดงจุดยืนให้เขาเห็นเหมือนกัน หนูรับฟังความคิดเห็นของเขาอยู่แล้ว ไม่ได้ไปเถียง ไม่ได้ไปโต้แย้งว่าความคิดเห็นของคุณไม่ถูก และเวลาหนูฟัง หนูก็จะวิเคราะห์ตามเสมอว่าสิ่งนั้นถูกหรือไม่ เราต้องคอยเสพข่าวหลายๆ ทาง หาข้อมูลจากที่อื่น ว่าเขาเขียนเหมือนกับที่เราไปเจอไหม แล้วจึงนำข้อมูลเหล่านี้ มาคิดวิเคราะห์แยกแยะอีกทีหนึ่ง ว่ามันถูกต้องหรือไม่” น้องออมสิน กล่าว

นอกจากนี้ น้องออมสินยังได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นที่คนกลุ่มหนึ่งบอกว่า ‘บุญคุณพ่อแม่ ไม่ต้องทดแทน’ ว่า ตนนั้นไม่เห็นด้วย เพราะพ่อแม่ท่านเลี้ยงลูกมา ทำเพื่อลูกได้ทุกอย่าง ให้ความรัก หรืออะไรก็ตาม ท่านเลี้ยงลูกจนเติบโตมาได้ถึงขนาดนี้ แล้วเหตุใดลูกถึงจะไม่กตัญญูต่อท่าน? ตนไม่เข้าใจคนที่คิดแบบนี้ หากสมมติว่าพ่อแม่ไม่อยากมีลูก ทำไมท่านไม่เอาเราออกตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าจะมีลูก ทำไมถึงเลือกที่จะเก็บเอาไว้ จนเป็นภาระตัวเอง

“พ่อแม่เขาสร้างเรามาเพื่อให้เราเป็นคนดีของสังคม ถ้าเราไม่กตัญญูต่อท่าน แล้วอ้างว่าเพราะเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องเลี้ยงดูลูกๆ อยู่แล้ว หนูคิดว่ามันไม่ถูกต้อง และการตอบแทนบุญคุณนั้นไม่ได้มีเพียงแค่พ่อแม่เท่านั้น เราสามารถตอบแทนบุญคุณกับคุณครู ญาติ พี่น้อง หรือคนที่คอยให้ความช่วยเหลือในยามที่เราลำบากได้อีกด้วย ใครจะมองว่าหนูหัวโบราณ ก็ช่างเขาไป”

ทั้งนี้ น้องออมสิน ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “ที่หนูกตัญญูต่อสถาบันฯ เพราะว่า ในหลวงท่านทรงทำงานหนัก ทรงเหนื่อย ท่านทำเพื่อประชาชนมามากมาย หนูคิดว่าคนที่ยังจงรักภักดีต่อสถาบันฯ ก็ยังมีอยู่ในคนรุ่นใหม่ ขอให้กล้าที่จะแสดงจุดยืนของตัวเอง ไม่ต้องไปกลัวว่าทัวร์จะลง หรือว่าจะโดนอะไร ไม่ต้องไปสนใจคนที่เขามาว่า ส่วนคนที่มาว่า เราก็คิดเสียว่าเป็นเสียงลม เสียงนก เสียงไม้ ไม่ต้องไปสนใจ มันเป็นความคิดเห็นของเรา เราทำดี คิดดีตลอด เราจะไปกลัวทำไม”

'วปอ.-พระปกเกล้า' ถกร่วม ใช้ศุภชลาศัย จัดใหญ่ฟุตบอลประเพณี 'รักเมืองไทย'

วันที่ 7 กรกฎาคม ที่ห้องประชุมย่อย 5 สถาบันพระปกเกล้า ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ศิษย์เก่า-ปัจจุบันสถาบันพระปกเกล้า หลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูง 4 หลักสูตร (ปปร. -สสสส. -ปรม.-ปศส.) นำโดย ดร.วิกร ภูวพัชร์ ประธานรุ่น ปปร.26 ดร.ดำรง ประทีป ณ ถลาง ปปร.26 พร้อมด้วยผู้แทน สสสส. คุณมณฑาทิพย์ คงจรูญ ดร.สิปปภาส  สีลเตโชธาม นายสมชาย จรรยา และนายนพดล ลิปิเวชกุลกิจ พร้อมด้วยพลโท นักรบ บุญบัวทอง ผู้แทนจากวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) เข้าพบ นายวิทวัส ชัยภาคภูมิ เลขาธิการ สถาบันพระปกเกล้า เพื่อประชุมหารือเตรียมความพร้อมการจัดงานฟุตบอลประเพณี “รักเมืองไทย” ที่จัดขึ้นวันเสาร์ที่ 26 สิงหาคม 2566 ณ สนามศุภชลาศัย 

โดยที่ประชุมของทั้งสองสถาบัน ได้หารือ ถึงวัตถุประสงค์ และรูปแบบการจัดกิจกรรม ประกอบด้วย การจัดทำถ้วยรางวัล การเชิญประธานเปิดงาน การเชิญแขกวีไอพี การจัดทำเสื้อนักกีฬา การจัดทำเสื้อเชียร์ ทั้ง วปอ.-พระปกเกล้า การกำหนดธีมขบวนพาเหรด วางหลักเกณฑ์นักฟุตบอลของทั้งสองสถาบัน มี 2 คู่ ประกอบด้วย ทีมเล็ก อายุ 45 ปีขึ้นไป ทีมใหญ่ อายุ 55 ปีขึ้นไป รวมทั้งการถ่ายทอดสด เพื่อให้ผู้ชมทางบ้านได้รับชมด้วย 

พลโท นักรบ บุญบัวทอง เปิดเผยว่า เป็นครั้งแรกที่ 2 สถาบันจัดกิจกรรมกีฬาประเพณีระดับชาติ ขณะนี้ได้จัดแบ่งหน้าที่ของแต่ละฝ่ายไปดำเนินการ เพื่อให้งานครั้งนี้ลุล่วงสำเร็จ เกิดความรัก ความสามัคคี และส่งต่อให้กับรุ่นต่อไปได้สืบสานเพื่อเกิดความยั่งยืนในอนาคต จึงขอประชาสัมพันธ์เชิญชวนศิษย์เก่า-ศิษย์ปัจจุบันของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) และสถานบันพระปกเกล้า (KPI) มาร่วมในกิจกรรมครั้งนี้ให้มากๆ โดยจะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในเร็วๆ นี้ 

73 ปี มทบ.44 จัดกิจกรรมวันคล้ายวันสถาปนามณฑลทหารบกที่ 44

วันที่ 7 ก.ค. 66 เวลา 07.00 น.  พล.ต.เสนีย์ ศรีหิรัญ ผบ.มทบ.44  ร่วมกับแม่บ้าน ทบ.สาขา มทบ.44, ร.25 พัน.1 , ป.5 พัน.25 และ กำลังพลค่ายเขตอุดมศักดิ์ ได้จัดงานวันสถาปนามณฑลทหารบกที่ 44 ครบรอบปีที่ 73  ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรม  สักการะอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ณ พระอนุสาวรีย์ฯ กิจกรรมการมอบทุนการศึกษาให้กับบุตรข้าราชการ ณ.บก.มทบ.44 พิธีมอบประกาศเกียรติคุณให้กำลังพลที่มีผลการปฏิบัติงานดีเด่น และมอบรางวัลการประกวดสื่อสร้างสรรค์

เวลา 10.00 น  พล.ต.เสนีย์ ศรีหิรัญ ผบ.มทบ.44 เป็นประธาน วันสถาปนา มณฑลทหารบกที่ 44 ครบรอบปีที่ 73 ณ กองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 44 ค่ายเขตอุดมศักดิ์ อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร โดยหน่วยได้จัดให้มีการประกอบพิธีทางศาสนา เพื่อเป็นสิริมงคลแก่หน่วยกำลังพลและครอบครัว และเป็นการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับกำลังพลผู้เสียชีวิต

ก.แรงงาน ยกทัพความอร่อยปักหมุดเมืองอุบลฯ เปิดงานสตรีทฟู้ดไทย สร้างผู้ประกอบการ เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจชุมชน

วันที่ 7 กรกฎาคม 2566 เวลา 17.00 น. นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นางโสภา เกียรตินิรชา หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานกล่าวเปิดงาน “IT Tastes Good อร่อยปักหมุด สตรีทฟู้ดไทย จังหวัดอุบลราชธานี” ภายใต้โครงการพัฒนาส่งเสริมอาชีพผู้ประกอบการร้านสตรีทฟู้ด (Street Food) กระทรวงแรงงาน โดยมี นางทรงลักษณ์ วรภัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี หัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดอุบลราชธานี ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ผู้ประกอบการร้านค้าสตรีทฟู้ด และประชาชนที่มาร่วมงาน ร่วมให้การต้อนรับ นายบวร ดรุณสนธยา แรงงานจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การจัดงาน ณ ลานร้อยพันธุ์บัว หน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี 

นางโสภา กล่าวว่า ตามที่กระทรวงแรงงาน ได้จัดทำโครงการพัฒนาส่งเสริมอาชีพผู้ประกอบการร้านสตรีทฟู้ด (Street Food) กระทรวงแรงงาน โดยมีกิจกรรมประกอบด้วย การเปิดตัวโครงการ การจัดฝึกอบรมผู้สนใจประกอบอาชีพสตรีทฟู้ดรายใหม่ และผู้ประกอบอาชีพสตรีทฟู้ดรายเดิม จำนวนกว่า 30,000 ราย รวมทั้ง การจัดกิจกรรมแสดงร้านค้าสตรีทฟู้ดในวันนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพสตรีทฟู้ด สร้างรายได้ และกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชน เป็นการประชาสัมพันธ์อาหารในท้องถิ่นและร้านอาหารต่างๆ ให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไป อีกทั้งยังเป็นการยกระดับผู้ประกอบอาชีพสตรีทฟู้ดของจังหวัด ให้มีโอกาสนำเสนอรูปแบบการขายใหม่ เช่น รูปแบบฟู้ดทรัค (Food Truck) ซึ่งถือเป็นทางเลือกสำหรับผู้ต้องการเริ่มต้นธุรกิจสตรีทฟู้ดในรูปแบบต่าง ๆ 

นางโสภา กล่าวต่อว่า กระทรวงแรงงาน ขอขอบคุณจังหวัดอุบลราชธานีที่ให้ความสำคัญกับโครงการพัฒนาส่งเสริมอาชีพผู้ประกอบการร้านสตรีทฟู้ด (Street Food) โดยคัดเลือกร้านค้าสตรีทฟู้ดที่มีชื่อเสียงของจังหวัดกว่า 60 ร้านมาร่วมกิจกรรมแสดงร้านค้าสตรีทฟู้ดในครั้งนี้ และขอเชิญชวนผู้ที่ประกอบอาชีพสตรีทฟู้ดอยู่เดิม ประชาชนผู้สนใจที่จะประกอบอาชีพสตรีทฟู้ด ตลอดจนพี่น้องประชาชนชาวอุบลราชธานีและจังหวัดใกล้เคียง มาเที่ยวชมงาน “It Tastes Good อร่อยปักหมุด สตรีทฟู้ดไทย จังหวัดอุบลราชธานี” ณ ลานร้อยพันธุ์บัว หน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลอุบลราชธานี ระหว่างวันที่ 7 - 9 กรกฎาคมนี้ ซึ่งกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย การออกบูธจําหน่ายอาหารจากผู้ประกอบการร้านสตรีทฟู้ดจํานวนกว่า 60 ร้านค้า กิจกรรม Workshop พัฒนาอาชีพ กิจกรรมอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการประกอบอาชีพร้านค้าอาหาร และกิจกรรมความสนุกความบันเทิง อาทิ พบกับการแสดงของนักร้องศิลปิน เฉลิมพล มาลาคำ ซึ่งนอกจากจะได้รับทั้งความรู้เกี่ยวกับการประกอบอาชีพสตรีทฟู้ดแล้วยังได้เลือกชิมเลือกซื้ออาหารสตรีทฟู้ดที่มีคุณภาพของจังหวัดอุบลราชธานีจากงานนี้ด้วย

มั่นใจ!! ‘เสาตอม่อสะพานพระราม 3’ แข็งแรง แม้ดูบาง หลักวิศวกรรมต่างประเทศ ก็ยังใช้เสาแบบนี้

กลายเป็นเรื่องดรามาหลังจากที่นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นถ่ายภาพ ‘เสาตอม่อ สะพานพระราม 3’ พร้อมวิจารณ์ถึงว่า เสาตอม่อสะพานพระราม 3 ทำไมดูบางขนาดนี้ ดูไม่แข็งแรงทนทานเลย เพิ่งได้เห็นกับตาดูน่ากลัว ความปลอดภัยอยู่ที่ไหนหลังจากนั้นก็มีชาวญี่ปุ่นเข้ามาคอมเมนต์จำนวนมาก ภาพที่ถูกแชร์ออกไปก็เล่นเอาคนไทยตกอกตกใจ เพราะหากเทียบกับเสาตอม่อของสะพานอื่นๆ ก็ดูเหมือนว่า เสาตอม่อ สะพานพระราม 3 จะเล็กจริงๆ   

ทว่า แท้จริงแล้ว ‘สะพานพระราม 3’ เป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีรูปแบบ ‘อสมมาตร’ ที่สูงที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก โดยสะพานพระราม 3 ก่อสร้าง วันที่ 29 สิงหาคม 2539 และเปิดให้สัญจรในวันที่ 30 มี.ค. 2543  

สำหรับ ‘สะพานพระราม 3’ สร้างขนานกับสะพานกรุงเทพ เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจร เนื่องจาก สะพานกรุงเทพยังคงต้องเปิด-ปิดสะพานอยู่ จึงต้องสร้าง ‘สะพานพระราม 3’ ให้สูง เพื่อให้เรือสินค้าแล่นผ่านได้ ปัจจุบันเปิดใช้งานมาแล้ว 23 ปี โดยมีกรมทางหลวงชนบทเป็นผู้ดูแลและก่อสร้าง 

‘สะพานพระราม 3’ ถูกออกแบบการก่อสร้างเป็นแบบ สะพานคานรูปกล่อง (Box Girder) 6 ช่องจราจร 2 ทิศทาง 23 เมตร ยกเว้นเชิงสะพานทั้งสองฝั่ง มี 4 ช่องจราจร เนื่องจากช่องจราจรด้านซ้ายสุดทั้งสองช่องเป็นสะพานเชื่อมต่อกับถนนเจริญกรุงและถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน) ใช้งบประมาณก่อสร้างทั้งหมด 411,489,540 บาท และจากกองทุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจโพ้นทะเลแห่งญี่ปุ่น (OECF) 2,481,181,265 เยน หรือราวๆ 607 ล้านบาท 

ด้าน รศ.เอนก ศิริพานิชกร กรรมการควบคุมอาคาร ที่ปรึกษาสาขาวิศกรรมโยธา วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.) อธิบายว่า หากมองตามความรู้สึกขนาดของเสาตอม่อ ‘สะพานพระราม 3’ อาจจะดูไม่มั่นคงแข็งแรง เพราะมีขนาดที่บางมาก โดยภาพเสาตอม่อที่แชร์กันนั้นเป็นเสาตอม่อช่วงบริเวณเชิงสะพานยกระดับเชื่อมกับสะพานใหญ่ (Approach Rlevated Bridge) แม้ว่าเสาจะมีขนาดเล็กแต่ในทางวิศกรรมมีการวางตอม่อต่อเนื่องกัน 4 ช่วงคาน ดึงรวดอัดแรงที่ละ 4 ช่วง มีรอยต่อน้อย หากเสามีขนาดใหญ่จะส่งผลต่อการดึงรวดอัดแรงหรือการเสริมกำลังในสะพาน เพราะจะเสริมแรงได้น้อยลง โดยทางวิศวกรรมเรียกว่าให้การออกแบบเชิงโครงตั้งฉากอาศัยการถ่ายแรงจากพื้นมายังเสา เนื่องจากเป็นช่วงเชิงสะพานการออกแบบจึงไม่ได้ใช้เสาตอม่อขนาดใหญ่ 2 ต้น เหมือนโครงสร้างสะพานอื่นๆ อาทิ เสาตอม่อของทางด่วน ประกอบการต้องมีการความคุมการยืดหยุ่นของ สะพานในช่วงเชิงคานสะพาน การออกแบบเสาตอม่อให้เล็กจึงหมาะสมมากกว่า 

รศ.เอนก อธิบายเพิ่มเติมว่า แม้ว่าเสาจะมีขนาดเล็ก และบางกว่าเสาตอม่อที่เราคุ้นเคยกัน แต่มีความแข็งแรงไม่น้อยไปกว่าสะพานที่ใช้เสาตอม่อขนาดใหญ่ 2 ต้น เพราะมีการวางเสาต่อเนื่องกัน และในการถ่ายเทน้ำหนัก ซึ่งปัจจุบันการ ออกแบบเสาตอม่อให้เล็กมีความนิยมกันมาก เพราะประหยัดพื้นที่ ให้พื้นที่ด้านล่างน้อย โดยเฉพาะในต่างประเทศมีการใช้เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นประเทศนิวซีแลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ประเทศญี่ปุ่น การทำโครงตั้งฉากในลักษณะดังกล่าวจะลดรอยต่อให้น้อยลง ทำให้ดังนั้นจึงมั่นใจไดว่าเสาตอม่อ ‘สะพานพระราม 3’ มีความแข็งแรงมั่นคงพอ และที่สำคัญจุดดังกล่าวเป็นเชิงสะพานก่อนเข้าถึงตัวสะพานกลางแม่น้ำเท่านั้น แต่พอไปถึงช่วงกลาง สะพานการออกแบบเสาตอม่อก็ให้เสาตอม่อขนาดใหญ่เหมือนสะพานอื่น ๆ อีกทั้งการออกแบบลักษณะดังกล่าว จะทำให้สะพานขยับตามแนวทิศทางการวิ่งของรถ ลดรอยแตกร้าวได้ดี 

‘พิมรี่พาย’ จัดโปรฯ ขาย ‘น้ำปลาร้า’ 15 นาที ได้ 3 แสนขวด ปัดตอบคำถามดรามา ลั่น!! “เล่าแน่ แต่จะเล่าในชั้นศาล”

(7 ก.ค. 66) จากกรณี ‘คุณกบ’ เจ้าของโรงงานน้ำปลาร้า ออกมาร้องสื่อ ระบุถูก ‘พิมรี่พาย พิมรดาภรณ์ เบญจวัฒนะพัชร์’ แม่ค้าออนไลน์ชื่อดัง สั่งผลิตน้ำปลาร้า จนต้องกู้เงินมาสร้างโรงงานเพื่อรองรับการผลิตน้ำปลาร้า แต่สุดท้ายพิมรี่พายไม่รับของ มูลค่าความเสียหายนับ 10 ล้านบาท ทุกวันนี้กินไม่ได้นอนไม่หลับ ร้องไห้ทุกวัน ขณะที่พิมรี่พายไลฟ์สดโต้ ยกเลิกเพราะคู่กรณีผลิตสินค้าไม่ได้มาตรฐานเอง

หลังจากเกิดกระแสดรามา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงค่ำของวันที่ 6 ก.ค. ที่ผ่านมา ‘พิมรี่พาย’ ได้ไลฟ์สดขายน้ำปลาร้า โดยระบุว่า โปรโมชันดรามาซึ่งเป็นราคาพิเศษ และเธอลั่นไว้ว่า…

“ขาดทุนก็ให้ขาดไป เพราะราคานี้เป็นโปรโมชันดรามา”

ซึ่งผ่านไปไม่ถึง 1 นาที ยอดขายถล่มทลายขายได้ 5 หมื่นขวด และขายไปได้ไม่ถึง 15 นาที ยอดขายทะลุ 3.5 แสนขวด และเธอได้หยุดการขาย พร้อมถอนสายบัวขอบคุณลูกค้า

ทั้งนี้ พิมรี่พาย ระบุในไลฟ์สดว่า “ทุนไม่ใช่ 13 บาท เพราะว่าไม่ได้ทำ และไม่ทำ ถ้าไม่ได้คุณภาพ มาตรฐานที่แบรนด์ตั้งไว้ ด้วยความเป็นแบรนด์ของแม่อิพิม ที่ขายตั้งแต่ปี 2564 ปีนี้เข้าปีที่ 3 ความเป็นแบรนด์แม่อีพิม สี กลิ่น เนื้อ รส ความเข้มข้น ต้องเป๊ะ”

หลังจากจบการขายน้ำปลาร้าไปแล้ว เธอก็ไลฟ์ขายของต่อ โดยระบุว่า “ขายก่อน เดี๋ยวค่อยพูด”

ทั้งนี้ แม้จะขายของไปจำนวนมากแล้ว แต่ยังไม่ชี้แจงประเด็นดังกล่าว ทำให้คนเข้ามาถามเธอจำนวนมากในประเด็นดรามาดังกล่าว จนเธอพูดว่า “กูเล่าแน่ แต่จะเล่าในชั้นศาล ไปแล้วบ๊ายบาย” ก่อนจะปิดไลฟ์ไป

สำนักงานตำรวจแห่งชาติส่งมอบรถรับบริจาคโลหิตให้กับสภากาชาดไทย และจัดกิจกรรมจิตอาสาร่วมบริจาคโลหิต สำหรับใช้ช่วยชีวิตผู้ป่วยและผู้ประสบเหตุต่างๆ ให้เพียงพอ ตามหลักคิด "ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก"

วันนี้ (7 ก.ค.66) เวลา 09.30 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการหลักสูตรการพัฒนาผู้บริหารระดับสูง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือหลักสูตรรวมมิตร พร้อมกลุ่มนักศึกษารวมมิตร ได้ร่วมกันมอบรถรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ ซึ่งจัดหาจากรายได้ในการจัดกิจกรรมคอนเสิร์ต และแข่งขันกอล์ฟรวมมิตรสามัคคีที่ผ่านมา  ให้แก่ สภากาชาดไทย จำนวน 1 คัน โดยมีรองศาสตราจารย์ แพทย์หญิง ดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เป็นผู้รับมอบ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรับบริจาคโลหิตแบบเคลื่อนที่ ลดปัญหาความขาดแคลนโลหิต สำหรับใช้ช่วยชีวิตผู้ป่วยและผู้ประสบเหตุต่างๆ ให้เพียงพอ ตามหลักคิด "ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก"

โดยมี พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.อนุชา รมยะนันทน์ ผู้บัญชาการสำนักงาน ก.ตร. , พล.ต.ท.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ ผู้บัญชาการประจำสำนักงาน ผบ.ตร. , พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง ผู้บัญชาการประจำสำนักงาน ผบ.ตร./โฆษก ตร. ,พล.ต.ต.วัชรินทร์ ประสพดี เลขานุการตำรวจแห่งชาติ , พล.ต.ต.วริศร์สิริภ์ ลีละสิริ ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 3 , พล.ต.ต.สุนทร อรุณนารา ผู้บังคับการสำนักงาน ก.ต.ช. และ พล.ต.ต.พัลลภ แอร่มหล้า ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมด้วยกลุ่มรวมมิตร อาทิ คุณกฤษฎา จีนะวิจารณะ , คุณกนกศักดิ์ ปิ่นแสง , คุณสารัชต์ รัตนาภรณ์ ร่วมพิธี

นอกจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จัดกิจกรรมจิตอาสาร่วมบริจาคโลหิต ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเชิญชวนข้าราชการตำรวจในสังกัดที่มีที่ตั้งอยู่ใน ตร. ร่วมบริจาคโลหิตในครั้งนี้ สำหรับในส่วนของหน่วยงานในสังกัดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั่วประเทศ กำหนดให้มีการจัดกิจกรรมดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งต่อโลหิตสนับสนุนภารกิจของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติตระหนักถึงความสำคัญของการบริจาคโลหิต ถือเป็นการทำกุศลอันยิ่งใหญ่ด้วยการเป็นผู้ให้ โดย 1 คน จะสามารถบริจาคได้ ครั้งละ 350 – 450 ซีซี สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้ถึง 3 คน การบริจาคโลหิตเป็นส่วนหนึ่งของการทำความดี เสียสละเพื่อส่วนรวม โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน อีกทั้งยังเป็นการสำรองโลหิตให้มีปริมาณเพียงพอ และทันต่อการให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยทั่วประเทศ

หลังจาก ผบ.ตร. และคณะผู้บังคับบัญชา ได้ส่งมอบรถรับบริจาคโลหิตให้กับสภากาชาดไทยเรียบร้อยแล้ว ได้ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจข้าราชการตำรวจที่มาร่วมบริจาคโลหิตในครั้งนี้ ณ จุดรับบริจาคโลหิต ห้องโถง ชั้น 1 อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ด้วย

องคมนตรี เป็นประธานเปิดงานนิทรรศการ รายอกีตอ ตอน 100 ปี หลักรัฐประศาสโนบายล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 น้อมนำ สืบสาน สู่การปฏิบัติ เพื่อเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใน จชต. มีจิตสำนึกการเป็นข้าราชการที่ดี

ที่ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารศูนย์ราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ จังหวัดยะลา ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เปิดงานจัดแสดงนิทรรศการ รายอกีตอ ตอน 100 ปี หลักรัฐประศาสโนบาย ล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 น้อมนำ สืบสาน สู่การปฏิบัติ โดยมี พลเอก เฉลิมชัย สิทธิสาท องคมนตรี เป็นประธานเปิดกิจกรรม มี พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต. หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ และประชาชนในพื้นที่ร่วมกิจกรรม และให้การต้อนรับ

กิจกรรม รายอกีตอ ตอน 100 ปี หลักรัฐประศาสโนบาย ล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 น้อมนำ สืบสาน สู่การปฏิบัติ จัดขึ้นสืบเนื่องจาก พื้นที่ จชต. ที่ผ่านมา ได้รับพระกรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ จากบูรพกษัตริย์ไทยทุกพระองค์ โดยเฉพาะพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระราชทานยุทธศาสตร์ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา และพัฒนา จชต. และได้รับการสืบสานโดย พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎร ตลอดไป” นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีคุณูปการอันใหญ่หลวงต่อพื้นที่ จชต. ครั้นเสด็จเยือนพื้นที่ ขณะนั้นด้วยพระองค์ทรงคำนึงถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของประชาชน จึงพระราชทานหลักรัฐประศาสโนบาย สำหรับผู้ปฏิบัติงานราชการในมณฑลปัตตานี โดยพระราชหัตถเลขาที่ 3/74 และวันนี้ (6 กรกฎาคม 2566) บรรจบครบรอบ 100 ปี ศอ.บต. จึงจัดกิจกรรมเพื่อเทิดพระเกียรติ และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณบูรพกษัตริย์ไทยทุกพระองค์ ที่ทรงมีคุณูปการต่อ จชต. เพื่อสร้างการรับรู้คุณูปการอันใหญ่หลวงของบูรพกษัตริย์ไทย ผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ เพื่อสื่อสารให้ข้าราชการตระหนักถึงความสำคัญและน้อมนำหลักรัฐประศาสโนบายสู่การปฏิบัติ พร้อมจัดแสดงนิทรรศการรายอกีตอ ใน 5 จังหวัด และผลิตสื่อประชาสัมพันธ์สนับสนุนการจัดกิจกรรมทุกแพลตฟอร์ม นอกจากนี้ยังมีการประกวดอนาชีดและกล่าวสุนทรพจน์ ภายใต้กิจกรรม 100 ปีหลักรัฐประศาสโนบาย อีกด้วย

สำหรับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อ จชต. ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีลักษณะพิเศษทั้งด้าน เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ดังประจักษ์แจ้งในรัชสมัยของพระองค์ โดยการเสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ ทรงพระราชทานเครื่องประกอบ “ลูกเสือมณฑลปัตตานี” ขึ้นเป็นการเฉพาะ เพื่อให้สอดคล้องกับวัฒนธรรม การแต่งกายของชาวไทยมุสลิมในพื้นที่ และทรงสืบสานกิจการรถไฟต่อจากรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของทางรถไฟสายมณฑลปัตตานี ที่นำพาความเจริญในด้านต่างๆ มาสู่พื้นที่ อีกทั้ง ได้พระราชทาน หลักรัฐประศาสโนบายสำหรับผู้ปฏิบัติราชการในมณฑลปัตตานี โดยพระราชหัตถเลขา ซึ่งเวียนบรรจบครบ 100 ปี ในวันนี้ โดยในข้อ 5 เป็นแนวทางที่สำคัญต่อการบริหารจัดการและพัฒนาเจ้าหน้าที่ของรัฐ จชต. โดยมุ่งให้คนดีเข้ามาพัฒนาบ้านเมือง ความว่า “ข้าราชการที่แต่งตั้งออกไปประจำตำแหน่งในมณฑลปัตตานีพึงเลือกเฟ้น แต่คนที่มีนิสัยซื่อสัตย์สุจริต สงบเสงี่ยมเยือกเย็น ไม่ใช่สักแต่ว่าไปบรรจุให้เต็มตำแหน่งหรือส่งไปเป็นทางลงโทษเพราะเลว เมื่อจะส่งไปต้องสั่งสอนชี้แจงให้รู้ลักษณะทางการอันจะพึงปฏิบัติระมัดระวังโดยหลักการที่กล่าวไว้ในข้อ 1 ข้อ 3 และข้อ 4 ข้างบนนั้นแล้ว ผู้ใหญ่ในท้องที่พึงสอดส่องฝึกฝนอบรมกันต่อๆ ไป ในคุณธรรมเหล่านั้นเนืองๆ ไม่ใช่แต่คอยให้พลาดพลั้งลงไปก่อน แล้วจึงว่ากล่าวลงโทษ”

ทั้งนี้ ในส่วนของ ศอ.บต. ได้วางกรอบ การบริหารจัดการและพัฒนาเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายพลเรือน ให้กับทุกส่วนราชการน้อมนำไปปฏิบัติ โดยกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนา บรรจุในหลักสูตรการฝึกอบรมเจ้าหน้ารัฐฝ่ายพลเรือนทุกหลักสูตร อาทิ หลักสูตร การอบรมเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายพลเรือนก่อนเริ่มปฏิบัติงานใน จชต. หลักสูตรผู้นำรุ่นใหม่ใน จชต. เป็นต้น เพื่อน้อมนำหลักรัฐประศาสโนบาย สู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

เด็กน้อยชั้น ป.2 เก็บเงินวันละ 60 บาท เพื่อมากินชาบู เจ้าของร้านใจดีลดราคาให้ ชาวเน็ตแห่ชม-ชวนกันอุดหนุน

เมื่อวันที่ 6 ก.ค. 66 โลกออนไลน์ในจังหวัดภูเก็ต ได้มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอน่ารักๆ โดยในคลิปเป็นเด็กนักเรียน 2 คน มานั่งรับประทานชาบูที่ร้านชาบูแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งผู้โพสต์คือ ‘Thippanat Thongrod’ ผ่านโซเชียล TikTok โดยระบุว่า…

“วันนี้ไปกินชาบูกับแฟน ไปโต๊ะแรก สักพักมีน้อง 2 คนเดินเข้ามา น้องบอกว่ามากินชาบู พี่ๆ ในร้านเห็นน้อง 2 คนตัวเล็กมาก เลยถามมีเงินคนละเท่าไร น้องบอกมีคนละ 400 บาท พี่ๆ น่าจะโทรหาเจ้าของร้าน ที่น่ารักคือ เจ้าของร้านคิดน้องแค่คนละ 200 บาท จากคนละ 289 บาท ถ้าฟังไม่ผิด แถมยังรีฟิลน้ำอัดลมอีก ซึ่งปกติราคา 289 บาท ได้แค่น้ำชามะลิ น้ำหวานแถม พี่ๆ ในร้านคือ บริการน้องดีมาก ใส่ใจดูแล คอยถามตลอด พี่ๆ ถามว่า น้องๆ เรียนอยู่ชั้นไหนแล้ว น้องบอก ป.2 เก็บเงินวันละ 60 บาท ไว้มากินชาบู #ความน่ารักของเด็กๆ #ความน่ารักของพี่ๆ #shabushabubyphuketboi น้องในคลิปและพี่ๆ พนักงานนะคะ”

จากนั้นได้มีการแชร์คลิปดังกล่าวกันไปเป็นจำนวนมาก พร้อมกับแสดงความคิดเห็น เช่น

“ร้านชาบูนี้อยู่ที่ไหน จะไปกิน”
“เจ้าของใจดีมาก”
“ร้านนี้ดีค่ะ แถมพนักงานน่ารักมากกกกก บริการดียิ้มแย้มแจ่มใส”
“ร้านนี้เถ้าแก่ใจดีอยู่แล้วครับ เพราะว่าผมไปกินบ่อย”
“เด็กๆ รู้จักอดออม เจ้าของร้านก็มีน้ำใจ น่าชื่นชมทั้งคู่เลยค่ะ”

จากนั้นผู้สื่อข่าวได้ไปยังร้านชาบูดังกล่าว ชื่อร้าน ‘ชาบูชาบู’ ตั้งอยู่ตรงข้ามคริสต์จักร ถนนเจ้าฟ้าตะวันออก ต.ตลาดเหนือ อ.เมือง จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นบุฟเฟ่ชาบู โดยเจ้าของร้านชื่อ ‘คุณนิ่ม’ เล่าให้ทีมข่าวฟังว่า ตอนนั้นกำลังไปซื้อของเข้าร้านเพิ่มเติม จากนั้น น้องๆ ที่ร้านได้โทรมาแจ้งว่า มีน้องๆนักเรียนมาทานชาบู แต่มีเงินคนละ 200 บาท โดยทั้งสองคนเก็บเงินกันวันละ 60 บาท เพื่อมาทาน ตนเองจึงลดราคาให้จาก 289 เหลือคนละ 200 บาท แถมน้ำฟรีตลอด จนกระทั่งมาเห็นคลิปที่มีลูกค้าถ่ายไว้ รู้สึกปลื้มใจที่น้องๆ อุตส่าห์เก็บออมเงินกันมาทานชาบู

‘ส.ว.สมชาย’ ยัน 250 ส.ว. ยึดถือพระราชดำรัสในหลวง มุ่งมั่นทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย

(7 ก.ค. 66) นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า สมาชิกวุฒิสภาย่อมเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทยเช่นเดียวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย

วุฒิสภาชุดที่ 12 มาจากรัฐธรรมนูญ 2560 ดังนี้ 
1) ตามตำแหน่ง 6 คน 
2) สรรหาตรงจากคณะกรรมการสรรหา 194 คน 
3) สรรหาจากการเลือกกันเองทั่วประเทศ 50 คน

สมาชิกวุฒิสภาทั้ง 250 คน ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา ตามมาตรา 269 ตามรัฐธรรมนูญ แตกต่างจากสมาชิกวุฒิสภาในอดีต ทั้งรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 ที่มาจากการเลือกตั้งโดย และสรรหา ผสมเลือกตั้ง เมื่อได้ครบตามจำนวนแล้ว มีแค่การประกาศรับรองโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเท่านั้น มิได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเช่นสมาชิกวุฒิสภาชุดนี้

ดังนั้นสมควรอย่างที่สมาชิกวุฒิสภาทั้ง 250 คน จักได้น้อมนำพระราชดำรัสในพิธีเปิดประชุมรัฐสภา เมื่อวันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม 2566


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top