Friday, 16 May 2025
NEWS

คณะแพทยฯ ม.เกษตรฯ พร้อม!! หลังแพทยสภารับรอง เริ่มรับนิสิตรุ่นแรก ปีการศึกษา 2567 ผ่าน กสพท. 21 คน

เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้แจ้งว่า หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ผ่านการรับรองจากแพทยสภาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีข้อความระบุว่า

“ประกาศ เรื่อง แพทยสภาให้การรับรองคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผ่านการตรวจประเมินหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต หลักสูตรใหม่ 2567 ณ วันที่ 15 กันยายน 2566”

ทั้งนี้ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีกำหนดรับนิสิตใหม่รุ่นละ 48 คน โดยแบ่งฝึกปฏิบัติการที่โรงพยาบาลศูนย์สกลนคร และโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช จ.สุพรรณบุรีแห่งละ 24 คน โดยขณะนี้เปิดรับสมัครนิสิตรุ่นแรก ปีการศึกษา 2567 ผ่านกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.) นำร่องจำนวน 21 คน 

สำหรับวิชาเรียน หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต ม.เกษตรศาสตร์ เรียน 6 ปี จำนวนหน่วยกิตตลอดหลักสูตร 244 หน่วยกิต จากโครงสร้างหลักสูตร วิชาเรียนในกลุ่มวิชาบังคับไม่ได้ต่างจากหลักสูตรของมหาวิทยาลัยอื่น ๆ เพราะจะเน้นการเรียนที่ปูพื้นฐานด้านการแพทย์และเจาะลึก รวมถึงการฝึกปฏิบัติงานในระดับชั้นคลินิก หรือ ในโรงพยาบาลกลุ่มวิชาเฉพาะที่ส่งเสริมสมรรถนะที่เป็นจุดเด่นของสถาบัน และกลุ่มวิชาเฉพาะที่ส่งเสริมศักยภาพ

อาทิ วิชาเวชศาสตร์ระดับเซลล์และโมเลกุลเพื่อการตรวจวินิจฉัยโรค, วิชาพันธุศาสตร์ทางการแพทย์และเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์, วิชาองค์ความรู้จากการศึกษาในต่างประเทศ, วิชาการฝึกปฏิบัติการดูแลประคับประคองสำหรับผู้ป่วยสูงอายุ, วิชากีฏวิทยาทางการแพทย์, วิชาพืชสวนบำบัดและสัตว์บำบัดเพื่อสุขภาพ, วิชาสุขภาพและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ,

วิชาการพัฒนาแอปพลิเคชันการดูแลผู้ป่วย, วิชาวิทยาศาสตร์ข้อมูลทางการแพทย์และการประยุกต์, วิชาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก, วิชาพืชสมุนไพรเพื่อสุขภาพ, วิชาสปาทางการแพทย์, วิชาการฝึกปฏิบัติเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ ฯลฯ 

'รศ.ดร.ษัษฐรัมย์' เผย!! คนรุ่นใหม่หนุนข้อเสนอรัฐสวัสดิการเปิดเผย ไม่เชื่อ!! ขยันแล้วชีวิตดีขึ้น เพราะเป็นเรื่องที่ถูกสร้างโดยคนมีอำนาจ

ไม่นานมานี้ เฟซบุ๊ก 'Sustarum Thammaboosadee' โดย รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

สัปดาห์ก่อน มีจังหวะโอกาส สอนที่ จุฬา เกษตร และ มธ. (ที่สอนประจำ) พร้อมกันทั้งสามมหาวิทยาลัย

ผมบอกได้ว่า unity ทางเศรษฐกิจการเมืองของคนรุ่นใหม่ชัดเจนมาก 

พวกเขาไม่เชื่อในระบบทุนนิยมเสรี แบบประชากร Gen X - GenY ส่วนใหญ่

พวกเขาส่วนใหญ่สนับสนุนข้อเสนอรัฐสวัสดิการอย่างเปิดเผย

และคิดว่า การเก่ง ขยัน ทำงานหนัก ทำให้ชีวิตดีขึ้น เป็นเรื่องที่ถูกสร้างขึ้นโดยคนมีอำนาจ และพวกเขาไม่คิดว่าคนมีอำนาจในสังคมเก่ง ขยัน หรือทำงานหนักแต่อย่างใด 

‘ต้อม ยุทธเลิศ’ จัดหนัก ‘เพชร กรุณพล’ เตรียมฟ้อง 5 ล้านบาท ฐานหมิ่นประมาท ลั่น!! ไม่ต้องมาขอโทษเหมือน ‘ไอซ์ รักชนก’

(28 ก.ย. 66) นายยุทธเลิศ สิปปภาค หรือ ‘ต้อม’ ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง โพสต์อินสตาแกรม ‘baddirector.nmg’ ระบุข้อความถึงนายกรุณพล เทียนสุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรคก้าวไกล คู่กรณีคดีหมิ่นประมาทว่า…

“คิวต่อไปของพรุ่งนี้ครับ รายนี้ผมไม่ต้องการคำขอโทษครับ ผมฟ้องเรียกค่าเสื่อมเสียชื่อเสียงไป 5 ล้าน”

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 เพชร กรุณพล โพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ Petchkaroonpon ว่า…

“ผู้ชายคนที่พูดจาถ่อยๆ ตบและถีบผู้หญิง นี่ใช่คนเดียวกับคนที่ขอเงินชาวบ้านไปทำหนังแต่จนตอนนี้ยังเงียบสนิท ใครถามก็ไล่บล็อกใช่ไหมครับ ไม่รู้ว่าหยาบแต่กำเนิดหรือเพิ่งหยาบตอนมีชื่อเสียงครับ #เก่งกับผู้หญิงนะเราอะ”

ก่อนหน้านี้ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กระบุข้อความถึงนายยุทธเลิศ สิปปภาค คู่กรณีคดีหมิ่นประมาท ว่า…

“ข้าฯ นางสาว รักชนก ศรีนอก ขอโทษ คุณยุทธเลิศ สิปปภาค ในกรณีที่ข้าฯ ได้โพสเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ ที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียชื่อเสียงแก่คุณยุทธเลิศ ซึ่งต่อจากนี้ไปทั้งสองฝ่ายจะไม่กระทำการใดๆ อันเป็นการล่วงเกินซึ่งกันและกันให้เกิดเสียหายอีก”

สืบเนื่องจาก ต้อม ยุทธเลิศ และ ไอซ์ รักชนก เคยมีกรณีวิวาทกันในประเด็นที่ต้อมกล่าวหาแกนนำม็อบโกงเงินบริจาคสนับสนุนการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า ‘กลุ่มราษฎร’ เหตุเกิดบนเรือที่ชื่อว่าไฮซีซัน ที่จอดบริเวณท่าเทียบเรือแจมแฟกตอรี เมื่อคืนวันที่ 22 พ.ย. 2564 และ น.ส.รักชนก โพสต์ข้อความอ้างว่าถูกนายยุทธเลิศทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บ และได้เข้าแจ้งความต่อ สน.ปากคลองสานในเวลาต่อมา

ผบช.ทท.รับลูกฟรีวีซ่า! เปิดที่ทำการงานสืบสวน กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1 (ส่วนหน้า) ภาคตะวันออก

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 27 กันยายน 2566 ได้มีพิธีเปิดอาคารที่ทำการงานสืบสวน กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1 (ส่วนหน้า) ภาคตะวันออก อย่างเป็นทางการ โดยได้รับเกียรติจาก พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดแพรคลุมป้าย 

โดยในช่วงเช้าได้จัดพิธีสงฆ์ทำบุญเลี้ยงเพลพระสงฆ์จำนวน 5 รูป จากวัดชัยมงคลพระอารามหลวงพัทยาใต้ เพื่อความเป็นสิริมงคล โดยมี พล.ต.ต.ม.ล.สันธิกร วรวรรณ ผบก.ทท.1 พ.ต.ท.ปริญ ศรีภัทรกุลชัย สว.กก.2 บก.ทท.1 และ พ.ต.ท.พิชญะ เขียวเปลื้อง สว.ส.ทท 4 บก.ทท.1 นำคณะเจ้าหน้าที่เข้าร่วมในพิธี

ทั้งนี้ ด้วยกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว มีนโยบายสำคัญในการยกระดับงานสืบสวนที่เป็นโอเปอร์เรชั่นให้สมบูรณ์ ครบวงจร แบบ One Stop Service เพื่อดูแลความปลอดภัย และสร้างความมั่นใจต่อประชาชน ตลอดจนนักท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออกในการเปิดฟรีวีซ่าให้นักท่องเที่ยวจีนและอุซเบกิสถาน จึงเกิดการดำเนินการก่อสร้างและเปิดอาคารดังกล่าวขึ้นเพื่อรองรับอนาคต

สำหรับอาคารที่ทำการงานสืบสวน กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1 (ส่วนหน้า) ภาคตะวันออก ตั้งอยู่เลขที่ 406/357 ถนนสายลงชายหาดจอมเทียน ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี จัดสร้างกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวด้วยงบประมาณ 2 ล้านบาท บนที่ดินราชพัสดุ กรมธนารักษ์ 

โดยทางกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ได้ทำเรื่องขอใช้ประโยชน์ปลูกสร้างเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ขนาดความสูง 3 ชั้น ภายในแบ่งเป็น ชั้นล่างเป็นโซนต้อนรับ, ห้องศูนย์ปฏิบัติการฯ, ห้องทำงาน และห้องจับกุม/ควบคุม บริเวณชั้น 2 เป็นห้องเก็บรักษายุทธภัณฑ์ และห้องทำงานของนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร ส่วนชั้น 3 เป็นห้องพักของเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัด

ผบช.ทท.ปล่อยแถวระดมกวาดล้างอาชญากรรม สร้างความมั่นใจเมืองพัทยา หลังรัฐบาลมีนโยบายฟรีวีซ่าให้นักท่องเที่ยว

เวลา 16.30 น.วันที่ 27 ก.ย.66 ที่ลานอเนกประสงค์ ท่าเทียบเรือท่องเที่ยวพัทยา (บาลีฮาย) จ.ชลบุรี พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ได้เดินทางมาเป็นประธานปล่อยแถวระดมกวาดล้างอาชญากรรมเพื่อยกระดับมาตรการในการรักษาความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

ตามที่รัฐบาลมีนโยบายให้นักท่องเที่ยวจีน และคาซัคสถาน เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยยกเว้นวีซ่ามีระยะเวลา 5 เดือน เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทยนั้น กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1 ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการรักษาความปลอดภัย ให้แก่นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยในห้วงเวลาดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เมืองพัทยา ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจเดินทางมาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก 

ดังนั้น กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1 จึงได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อันได้แก่ ตำรวจท่องเที่ยว, ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี, สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา, ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดชลบุรี, กองบังคับการตำรวจน้ำ, กองบังคับการตำรวจทางหลวง, เมืองพัทยา, ฝ่ายปกครองอำเภอบางละมุง, เจ้าท่าภูมิภาคสาขาพัทยา, ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดชลบุรี, อาสาสมัครตำรวจท่องเที่ยว และภาคเอกชนในพื้นที่เมืองพัทยา

ทั้งนี้ เพื่อระดมสรรพกำลังร่วมปฏิบัติภารกิจกวาดล้างอาชญากรรมในพื้นที่เมืองพัทยา เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย ปลอดภัย และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว ตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

รพ.อาภากรเกียรติวงศ์ ฐท.สส. ยกระดับพัฒนาศูนย์การแพทย์ฉุกเฉินทางทะเล

นาวาเอก ไพรัช ยิตติพินิจ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ (รพ.อากรเกียรติวงศ์ ฐท.สส.) เป็นประธานในพิธี เปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ การพัฒนาศูนย์การแพทย์ฉุกเฉินทางทะเล ในหัวข้อ “Organization Development : Alignment and Application” 

โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อยกระดับการปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉิน ให้กับผู้ป่วยฉุกเฉินทางทะเล และบูรณาการใช้ทรัพยากรของหน่วยงานรัฐ เพื่อให้เกิดกลไกการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินที่ประสบอันตรายหรืออุบัติภัยทางทะเล เพื่อให้หน่วยสามารถดำเนินงาน ให้บรรลุวัตถุประสงค์ การจัดตั้งและดำเนินการด้านระบบการแพทย์ฉุกเฉินทางทะเล อย่างมีประสิทธิภาพ ได้มาตรฐาน 

เพื่อโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ มุ่งสู่วิสัยทัศน์ “ศูนย์การแพทย์ทางทะเลของกองทัพเรือ ในปี 2572” ณ ห้องประชุมลุมพิกานนท์ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566

นาวิกโยธิน จัดพิธีย่ำพระสุริย์ศรีและสวนสนามเทิดเกียรติ ผู้บัญชาการทหารเรือ ในโอกาสเกษียณอายุราชการ

วันที่ 26 ก.ย.66 เวลา 17.30 น. พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เดินทางมาที่หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เพื่อเป็นประธานในพิธีอำลาชีวิตการรับราชการ และพิธีย่ำพระสุริย์ศรี ซึ่งหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ได้จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้บัญชาการทหารเรือ ในโอกาสเกษียณอายุราชการ โดยมี พลเรือโท เผดิมชัย สุคนธมัต ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน และนายทหารระดับชั้นนายพลเรือเกษียณอายุราชการ นายทหารระดับสูงของกองทัพเรือ และข้าราชการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ให้การต้อนรับ

พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้ตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ รับคำกล่าวคำสดุดี จากผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ผู้บัญชาการทหารเรือกล่าวขอบคุณและกล่าวอำลาชีวิตราชการ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน พร้อมด้วยคุณ ธนิกา สุคนธมัต ประธานชมรมภริยานาวิกโยธิน มอบของที่ระลึกและมอบช่อดอกไม้ ให้แก่ผู้บัญชาการทหารเรือ และคุณจตุพร ชมเชิงแพทย์ นายกสมาคมภริยาทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารเรือ และนายกสมาคมภริยาทหารเรือ มอบของที่ระลึกให้กับ พลเรือเอกเถลิงศักดิ์ ศิริสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการทหารเรือ และคุณอรัญญา ศิริสวัสดิ์ อุปนายกสมาคมภริยาทหารเรือ พลเรือเอกวุฒิชัย สายเสถียร ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพเรือ และคุณเนตรสุภา สายเสถียร อุปนายกสมาคมภริยาทหารเรือ 

นอกจากนี้แล้ว พิธีการอำลาชีวิตราชการของผู้บัญชาการทหารเรือในวันนี้ กองทัพเรือโดยหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ยังได้จัดให้มีการแสดงการกระโดดร่มแบบดิ่งพสุธา จากนักกีฬาโดดร่มกองทัพเรือทั้งหญิงชาย จำนวน 22 นาย ที่ล่าสุดนำทีมนักกีฬาครองถ้วยพระราชทาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และถ้วยชนะเลิศโดดร่มกีฬากองทัพไทย ครั้งที่ 53 ที่สามารถครองแชมป์ได้เป็นสมัยที่ 8 ติดต่อกัน การแสดงยิงปืนฉับพลันและท่าบุคคลทำการรบของอาสามสมัครทหารพรานชายและอาสาสมัครทหารพรานหญิง จากหน่วยเฉพาะกิจทหารพรานนาวิกโยธิน พิธีเชิญธงราชนาวีลงจากยอดเสาเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า โดยใช้ชื่อว่า "พิธีย่ำพระสุริย์ศรี" ด้วยความหมายเป็นนัยว่า "เป็นการจบลงอย่างสง่างาม" เพื่อให้ผู้บัญชาการทหารเรือและผู้ที่ต้องอำลาชีวิตราชการ มีความภาคภูมิใจ ประทับใจ และเพื่อความทรงจำที่ดีตลอดไป อีกทั้งเป็นการเชิดชูเกียรติที่ท่านได้ทุมเทแรงกาย แรงใจและสติปัญญา ในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติบ้านเมืองและเพื่อกองทัพเรือ อย่างเต็มขีดความสามารถตั้งแต่เริ่มต้น จนกระทั่งอำลาชีวิตรับราชการสร้างรากฐานให้กับกองทัพเรือ ให้เป็นหน่วยทหารที่ทรงคุณค่า ให้อนุชนรุ่นหลังจดจำคุณงามความดี ที่ท่านได้กระทำไว้และยึดถือการกระทำของท่าน เป็นแบบอย่างที่ดีต่อไป

ต่อมาเป็นพิธีสวนสนามทางบก โดยมีการสนธิกำลังหน่วยสวนสนามจาก หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน และหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง รวม 6 กองพันสวนสนาม ประกอบด้วย การเดินสวนสนาม การวิ่งสวนสนาม และการสวนสนามยานยนต์ ก่อนที่จะจบลงด้วยการจุดพลุและดอกไม้ไฟ จำนวน 9 ชุด ขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างสวยสดงดงามและสมเกียรติยิ่ง แด่ผู้บัญชาการทหารเรือ และผู้ที่ครบเกษียณอายุราชการ ประจำปี 2566 ในครั้งนี้

‘หนุ่ม คงกะพัน’ ยืนยัน ‘เพชรบลูไดมอนด์’ ไม่มีอยู่จริง แค่กระแสข่าวที่ตีแผ่ จนทำให้เกิดการเข้าใจผิด

เมื่อไม่นานนี้ ‘พี่หนุ่ม คงกะพัน แสงสุริยะ’ นักแสดงและพิธีกรชาวไทย ได้ออกมาเล่าย้อนความคดีดังในหน้าประวัติศาสตร์ไทย ‘คดีเพชรซาอุฯ’ ผ่านรายการ ‘แฉ’ ตอน ความลับ 30 ปี ‘เพชรซาอุฯ บลูไดมอนด์’ โจรกรรมสะท้านโลก ออกอากาศเมื่อวันที่ 22 ก.ย. 66 ดำเนินรายการโดย มดดำ คชาภา, ดีเจดาด้า และ น็อต วรฤทธิ์ 

โดยพี่หนุ่มได้เล่าว่า เรื่องราวทั้งหมดนั้น ต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 2532 หรือเมื่อ 34 ปีก่อน นายเกรียงไกร เตชะโม่ง (ปัจจุบันเปลี่ยนนามสกุลเป็น ‘เกรียงไกร มงคลสุภาพ’) อดีตคนงานไทย ตำแหน่งพนักงานทำความสะอาดประจำพระราชวังของ ‘เจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด อัล ซะอูด’ แห่งซาอุดีอาระเบีย ได้ทำการขโมยเพชรและเครื่องประดับ โดยเริ่มจากการฉกฉวยของมีค่าเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น ช้อนส้อมที่ทำจากทองคำขาว ซึ่งก็นับว่ามีมูลค่ามากแล้ว

หลังจากนั้นจึงค่อยๆ ขโมยของชิ้นใหญ่มากขึ้น จนกลายเป็นการโจรกรรมเครื่องเพชรกว่า 4 กระสอบ น้ำหนักรวมกันกว่า 91 กิโลกรัม หอบหนีกลับประเทศไทย โดยสาเหตุของจุดเริ่มต้นเกิดจากการที่นายเกรียงไกรเสพติดการเล่นพนัน และต้องหาเงินมาจ่ายเจ้าหนี้ จนนำไปสู่การโจรกรรมเพชรล็อตใหญ่จากราชวงศ์ซาอุดีอาระเบีย

หลังโจรกรรมสำเร็จ นายเกรียงไกรได้กระจายเพชรที่ขโมยมาได้ผ่านพ่อค้าคนกลาง ไปยังร้านค้าเพชรและตลาดเพชรพลอยทั่วประเทศ โดยรายงานของตำรวจพบว่า ร้านของ ‘นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์’ พ่อค้าเพชรย่านบ้านหม้อ เป็นแหล่งใหญ่สุดในการรับซื้อเพชรจากเกรียงไกร และขายต่อไปยังพ่อค้ารายย่อย-กลุ่มบุคคลต่างๆ นายสันติจึงเป็นผู้กุมความลับเรื่องการกระจาย ‘เพชรซาอุฯ’

ต่อมา ได้มีการอุ้มหายภรรยาและลูกชายของนายสันติ จากการวิธีการเค้นสอบนอกรีตด้วยฝีมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจคนสนิทของ ‘พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ’ ผู้บัญชาการประจำกรมตำรวจในเวลานั้น ที่ต้องการจะไล่ล่าหาเครื่องเพชรส่งคืนซาอุฯ เพื่อกู้หน้าและเรียกคืนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทยและวงการตำรวจ

จนในที่สุด ‘พล.ต.ต.วีระศักดิ์ มีนะวาณิชย์’ อดีตผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 8 นักสืบมือฉกาจ ผู้ได้รับฉายา ‘เชอร์ล็อก โฮล์มส์ เมืองไทย’ ได้ตามสืบจนสามารถนำส่งคืนราชวงศ์ซาอุฯ ได้จำนวนหนึ่ง

นอกจากนี้ พี่หนุ่มได้เล่าว่า ‘เพชรบลูไดมอนด์’ ในตำนานนั้น ‘ไม่มีอยู่จริง’ แต่เพชรที่ทางราชวงศ์ซาอุฯ ต้องการได้รับคืน คือ ‘สร้อยพลอยสีแดงเม็ดใหญ่’ ที่เป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษ ซึ่งใช้ประกอบพิธีละหมาด รวมถึงสร้อยไข่มุก โดยข้อเท็จจริงนี้ ทางการของประเทศซาอุดีอาระเบียก็ได้มีการออกมายืนยันแล้วเช่นกัน ว่าไม่ได้มี ‘เพชรบลูไดมอนด์’ ปรากฏอยู่ในรายชื่อของมีค่าที่ถูกขโมยแต่อย่างใด เรื่องราวและตำนานอาถรรพ์ทั้งหมดนั้น ถูกนำเสนอโดยสื่อในขณะนั้น ที่ต้องการจะตีกระแสข่าวจนทำให้เกิดการเข้าใจผิด

อีกทั้ง พล.ต.ต.วีระศักดิ์ ยังได้เคยออกมาเปิดเผยว่า สิ่งที่ราชวงศ์ซาอุฯ ต้องการมากที่สุด คือ ‘อัลบั้มภาพถ่ายครอบครัวของราชวงศ์’ ซึ่งเป็นความทรงจำที่สามารถประเมินค่าได้ และหาสิ่งใดมาทดแทนไม่ได้ เนื่องจากในสมัยนั้น ยังไม่มีพัฒนาการในการเก็บไฟล์ภาพแบบดิจิทัล การจะเก็บรักษาภาพถ่าย คือต้องนำภาพถ่ายมาอัดล้าง และเก็บรักษาไว้ในอัลบั้มเท่านั้น

โดยอัลบั้มภาพถ่ายแห่งความทรงจำของราชวงศ์ซาอุฯ นั้น ได้ถูกนายเกรียงไกรขโมยติดมือมาพร้อมกับเครื่องเพชรด้วย และต่อมา นายเกรียงไกรหวาดระแวง กลัวจะถูกตามรอยสืบสวนสาวเบาะแสมาถึงตนได้ จึงทำการ ‘เผา’ อัลบั้มภาพถ่ายเป็นการทำลายหลักฐานจนสิ้นซาก

อย่างไรก็ตาม จากประเด็นการโจรกรรมสะท้านโลก สะเทือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและซาอุดีอาระเบีย จนเกิดเป็นรอยร้าวฉานยาวนานกว่า 30 ปี ก็ได้จบลง ภายใต้สถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ค่อยๆ ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยฝีมือการบริหารของรัฐบาลในยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ ‘ลุงตู่’ ที่พยายามติดต่อ เจรจาในทุกมิติกับทางซาอุฯ อย่างต่อเนื่อง จนสามารถฟื้นสายใยสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้ง 2 ประเทศได้อีกครั้ง

'นักข่าวรับเงิน' เลือดขุ่นวงการสื่อ ถือไพ่เป็นต่อเหนือแหล่งข่าว เปลี่ยนสถานะจากผู้ตรวจสอบ สู่ปากกระบอกเสียงฟอกขาว

(27 ก.ย.66) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Tossapol Chaisamritpol' ได้โพสต์ข้อความถึงบทบาทสื่อมวลชนบางกลุ่ม ระบุว่า...

“นักข่าวรับเงิน … เรื่องใหญ่ ไม่ใหญ่?”

บิ๊กโจ๊ก บอกว่า “จ่ายเงินนักข่าว ครั้งละ 10,000 บาท” พร้อมระบุชื่อเล่นออกมาชัดเจน นี่เป็นการเปิดเผยเรื่องที่นักข่าวเรา ๆ ซุกไว้ใต้พรมมานานแล้ว

ถามว่า รับเงินแหล่งข่าวผิดไหม ก็ต้องถามว่า ข่าวนั้นเป็น Advertorial หรือ Sponsored Content หรือเปล่าก่อน ถ้าใช่และมีการระบุชัดเจนในคลิป หรือในคอนเทนต์…สำนักข่าวก็ถือเป็นการขายพื้นที่โฆษณาเหมือนโทรทัศน์นั่นแล หรือเป็น Partnership หรือ Press Trip อันนี้ ถือเป็นการจับมือร่วมกันทำคอนเทนต์ ก็พิจารณาตามเหมาะสม

แต่ถ้ารับเงินจาก ‘แหล่งข่าว’ ที่เป็นบุคคลสาธารณะ ที่สื่ออย่างเราควรต้องไปตรวจสอบ ไม่ใช่รับเงินมาเป็นกระบอกเสียงให้เขา…อันนี้ อันตรายอยู่นะครับ ไม่เพียงความน่าเชื่อถือของบุคคลนั้น องค์กรสื่อนั้นๆ ไปจนถึงทั้งวิชาชีพ ที่เดี๋ยวอีกหน่อยทำข่าวไป ประชาชนก็จะครหาได้ว่า “รับเงินเขามาหรือเปล่า”

ไม่ว่าจะเหตุผลส่วนตัวประการใด เข้ามาในวิชาชีพสื่อสารมวลชนแล้ว การรับเงินจากแหล่งข่าวในลักษณะหลังนี้ ถือว่า ‘เลือดขุ่น’ ไปแล้ว เพราะหากคุณรับเงินเขามา มันมีผลด้านจิตวิทยาว่า คุณจะ Bias และ Lean ไปในทางให้ประโยชน์เขา…ถ้าเขาเป็นคนร้าย คนสีดำ-เทา ก็เท่ากับคุณใช้อาชีพสื่อ ไปฟอกสีให้เขาขาวไร้มลทิน

แหล่งข่าว ถือไพ่เหนือกว่าด้วยนะ เพราะคุณถูกจับเป็นตัวประกันทางวิชาชีพ ในวันที่คุณกลายเป็นอริกับเขา เขาเปิดโปงจนคุณจบอาชีพสายนี้ไปได้เลย โดยเฉพาะหากแหล่งข่าวนั้นเป็นระดับ รอง ผบ.ตร. 

เงินหมื่น สะสมเป็นเรือนแสนนั้น จะทำให้คุณกลายเป็นจำเลย ที่แหล่งข่าวอยากใช้อะไรคุณก็ทำได้ เหมือนธนาคารที่คุณกู้สินเชื่อ ก็ต้องไปชำระหนี้เขานั่นแหละ

ปกติแล้ว ถึงจะให้ก็จะบอกไม่รับ ยิ้มบอกไปว่า “เนื้อหานี้เราเห็นประโยชน์เพื่อสังคม ไม่เป็นไรครับ” หรือบอกให้ เอาไปทำบุญดีกว่า…เงินนั้น สีดำสีเทา เราก็ไม่รู้

อย่างไรก็ดี ดีที่มีการพูดเปิดอกกันเรื่องนี้ รอสมาคมสื่อต่างๆ ออกแถลงการณ์ อย่าให้การจ่ายเงินสื่อที่เป็นปัจเจก มาทำให้วงการมีมลทินมัวหมอง

(สุรินทร์) มทบ.25จัดพิธีเทิดเกียรติกำลังพลเกษียณอายุราชการ ประจำปี 2566 “จากวันที่พากเพียร สู่วันเกษียณที่ภาคภูมิ”

วันที่ 26 กันยายน 2566 พล.ต.ชินวิช เจริญพิบูลย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 ประธานพิธี พร้อมด้วย คุณอุไรวรรณ เจริญพิบูลย์ ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขา มณฑลทหารบกที่ 25 นายทหาร กำลังพล มณฑลทหารบกที่ 25 จัดพิธีเทิดเกียรติและอำลาชีวิตราชการทหาร ให้กับกำลังพลที่เกษียณอายุราชการและกำลังพลที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด จำนวนทั้งสิ้น 20 นาย ประกอบด้วย 2 พิธี ได้แก่ พิธีประดับเครื่องหมายยศ พิธีลอดซุ้มกระบี่และมอบเกียรติบัตร ณ สโมสรค่ายฯ นอกจากนี้ ยังได้มีการมอบของที่ระลึก เพื่อเป็นการแสดงมุทิตาจิต ซึ่งกันและกัน จากนั้นร่วมรับประทานอาหารร่วมกัน สร้างความประทับใจให้กับกำลังพล ที่เกษียณอายุราชการ และครอบครัว เพื่อตอบแทนคุณงามความดี และเชิดชูเกียรติ เป็นขวัญและกำลังใจให้กำลังพล ซึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่มาด้วยความวิริยะอุตสาหะ ตลอดระยะเวลาในการรับราชการทหาร จนครบกำหนดเกษียณอายุราชการ อย่างสมเกียรติและภาคภูมิ               

#ครอบครัวทหาร #oldsoldierneverdie #เกษียณราชการ #กองทัพบก #กองทัพภาคที่2 #มณฑลทหารบกที่25

‘วราวุธ’ สั่งดย.เร่งสำรวจ หวังดันค่าอาหารเด็กในสถานรองรับ ชี้ มื้อละ 19 บาท ถือว่าน้อย หากเทียบกับหน่วยงานอื่น

(27 ก.ย. 66) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยถึงการผลักดันการปรับเพิ่มงบประมาณ ค่าอาหาร สำหรับเด็กและเยาวชนในสถานรองรับเด็ก สังกัดกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ว่า ขณะนี้ มีสถานรองรับเด็ก จำนวน 31 แห่งทั่วประเทศ ที่ดูแลคุ้มครองเด็กและเยาวชนตั้งแต่แรกเกิดถึง 18 ปี จำนวนกว่า 5,000 คน แต่ได้รับค่าอาหาร 57 บาทต่อหัวต่อวัน ซึ่งเมื่อเฉลี่ยอาหารสามมื้อแล้ว จะอยู่ที่มื้อละเพียง 19 บาทเท่านั้น ถือว่าน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับเด็กและเยาวชนที่อยู่ในความดูแลของหน่วยงานอื่นๆ ทั้งที่คุณภาพของอาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อพัฒนาการและการเติบโตทั้งร่างกายและจิตใจของเด็ก 

ทั้งนี้ จึงคิดว่าเราต้องมานั่งทบทวนกันใหม่ โดยได้มอบหมายให้ ดย. สำรวจสัดส่วนที่เหมาะสม ที่ควรจะปรับเพิ่มค่าอาหารเป็นเท่าไหร่ ซึ่งช่วงวัย 0 - 6 ปีอาจจะรับประทานอาหารในปริมาณไม่มากเมื่อเทียบกับเด็กโต แต่คุณภาพอาหารนับเป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญ ซึ่งเด็กในช่วง 6 ปีแรก นับเป็นช่วงสำคัญของพัฒนาการและการซึมซับสิ่งที่มีประโยชน์เข้าสู่ร่างกาย ขณะที่เด็กโต 6-18 ปี ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบของอาหารทั้งปริมาณและคุณภาพ

นายวราวุธ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนได้มอบหมาย ดย. ให้เร่งสำรวจข้อมูล เพื่อผลักดันการปรับเพิ่มค่าอาหาร เป็นหน้าที่ของฝ่ายการเมืองที่ต้องดูแลและทำอย่างไรให้เด็กและเยาวชนที่อยู่ในความดูแลของกระทรวง พม. ได้รับอาหารที่มีคุณภาพ ต้องช่วยให้เขาเติบโตในสังคมทั้งร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง ซึ่งที่ผ่านมา บางหน่วยงาน เช่น หน่วยงานที่ดูแลผู้ต้องขัง สถานพินิจ นักเรียนทหาร เด็กนักเรียนสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ยังได้ปรับงบประมาณค่าอาหารเพิ่มขึ้น แต่ของเด็กและเยาวชนในสถานรองรับของ ดย. ยังไม่เคยได้ปรับค่าอาหารเพิ่มขึ้นมานานแล้ว 

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้อาจจะไม่ทันงบประมาณปี 2567 แต่จะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุดเพื่อให้ทันเวลาในงบประมาณปี 2568

‘กองทุนดีอี’ ร่วมผลักดัน EEC สู่ศูนย์กลางด้านดิจิทัลของภูมิภาค ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ ผ่านโครงการจัดหาระบบ 5G Smart City

‘กองทุนดีอี’ ร่วมผลักดัน EEC สู่ศูนย์กลางด้านดิจิทัลของภูมิภาค ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ ผ่าน โครงการจัดหาระบบและอุปกรณ์ 5G Smart City สำหรับพื้นที่ EEC เพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการเมืองและส่งเสริมความเป็นเมืองน่าอยู่

โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)  เป็นโครงการพัฒนาพื้นที่ โดยมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อต่อยอดการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก ด้วยการกำกับดูแลและการกำหนดนโยบายที่ชัดเจน ทำให้แผนพัฒนา EEC ได้รับการพัฒนาแบบบูรณาการ เพื่อเป็นประตูสำคัญสู่ทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียแปซิฟิก โดยมุ่งเน้นพัฒนาพื้นที่ 3 จังหวัดในภาคตะวันออก ได้แก่ ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา โดยเล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาพื้นที่ทั้งกายภาพและทางสังคม เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เพื่อให้ EEC เป็นเมืองอัจฉริยะ สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่มีภารกิจขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศตามแนวทางประเทศไทย 4.0 และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยมีเป้าหมายพัฒนาเมืองอัจฉริยะ  7 ด้าน ได้แก่ สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment) การเดินทางและขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility) การดำรงชีวิตอัจฉริยะ (Smart Living) พลเมืองอัจฉริยะ (Smart People) พลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) เศรษฐกิจอัจฉริยะ (Smart Economy) และ การบริหารภาครัฐอัจฉริยะ (Smart Governance) ภายใต้แนวคิดการพัฒนา เมืองน่าอยู่ เมืองทันสมัย ให้ประชาชนในเมืองมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข  อย่างยั่งยืน

โครงการจัดหาระบบและอุปกรณ์ 5G Smart City สำหรับพื้นที่ EEC เพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการเมืองและส่งเสริมความเป็นเมืองน่าอยู่ นำเสนอโดย บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) เป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เนื่องจากเป็นโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่มีภารกิจขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ เพื่อพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานและบริการด้านดิจิทัลในการสนับสนุนพัฒนาพื้นที่ EEC ได้อย่างพอเพียงและมีประสิทธิภาพ โดยมีวัตถุประสงค์ ในการสร้างเครือข่าย Internet Of Thing และ CCTV พร้อมทั้งต่อยอดการพัฒนาเครือข่าย 5G Mobile และสร้างให้มีการใช้พื้นที่ที่มีศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เพื่อสร้างความพร้อมในการพัฒนา Service Platforms ควบคู่กับการพัฒนาผู้ประกอบการเพื่อให้เกิดธุรกิจใหม่ในด้านเมืองอัจฉริยะ และสร้างรายได้ให้กับเมือง และส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการแก้ปัญหา พร้อมต่อยอดการพัฒนาพื้นที่ EEC เพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการเก็บข้อมูลและการเชื่อมโยงข้อมูลในพื้นที่ เพื่อให้หน่วยงานในพื้นที่สามารถร่วมบริหารจัดการและสร้างความปลอดภัยในเขตพื้นที่ EEC และส่งเสริมพัฒนาเมืองให้เป็นเมืองอัจฉริยะตามแนวทางของ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทั้ง 7 ด้าน 

โดยผลการดำเนินโครงการ ได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในพื้นที่ EEC (เมืองพัทยา) ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพและมีความพร้อมในการเชื่อมโยงและยกระดับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศเพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการเมืองและความเป็นเมืองน่าอยู่ โดยได้จัดหาระบบและอุปกรณ์ 5G Smart City ซึ่งมีอุปกรณ์ประกอบด้วย Smart Pole ชนิดความสูง 6 เมตร และชนิดความสูง 9 เมตร ที่สามารถรับสัญญาณ 5G ได้ พร้อมระบบ CCTV ระบบติดตามสภาพอากาศ ระบบไฟอัตโนมัติ ระบบ Public Wi-Fi และระบบ Emergency Call & Public Announcement โดยมีการติดตั้งเสา Smart Pole จำนวน 90 ต้น ในเขตเมือง ชุมชน และแหล่งท่องเที่ยวในเทศบาลเมืองพัทยา เพื่อประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล IoT และระบบ CCTV ผ่านเครือข่าย 5G ในการส่งเสริมการบริหารจัดการเมืองและความปลอดภัยของประชาชนและนักท่องเที่ยวในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันมีศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะ Intelligent Operation Center (IOC) ตั้งอยู่ที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา ในการบริหารจัดการและดูแลระบบในการให้บริการประชาชนและนักท่องเที่ยวเพื่อยกระดับเมืองพัทยาให้เป็น Smart City 

จากการสนับสนุนโครงการจัดหาระบบและอุปกรณ์ 5G Smart City สำหรับพื้นที่ EEC เพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการเมืองและส่งเสริมความเป็นเมืองน่าอยู่ ของกองทุนฯ ในครั้งนี้ มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้ EEC เป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลเทคโนโลยีของภูมิภาค  ส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ อีกทั้งยังช่วยยกระดับทักษะด้านดิจิทัล (Digital Skills) ของนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ช่วยลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มโอกาสของประชาชนให้เข้าถึงบริการด้านดิจิทัลอย่างเป็นธรรม ได้รับบริการที่ดีจากภาครัฐ สร้างรายได้และมีมาตรฐานชีวิตที่ดีขึ้น และยังส่งเสริมให้พื้นที่ EEC บริหารจัดการเมืองให้เป็นเมืองน่าอยู่  ยกระดับคุณภาพของประเทศในทุกภาคส่วนและขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การเป็นประเทศที่มีรายได้สูงต่อไป

‘ไอซ์ รักชนก’ ขอโทษ ‘ต้อม ยุทธเลิศ’ คดีดูหมิ่นกล่าวหาทำร้ายร่างกาย

(27 ก.ย.66) จากกรณี ‘ต้อม ยุทธเลิศ สิปปภาค’ ผู้กำกับภาพยนตร์ กับ ‘น.ส.รักชนก ศรีนอก’ สส. พรรคก้าวไกล เขตบางบอน ได้มีปากเสียงกันในประเด็นการกล่าวหาว่ามีคนทุจริตเงินบริจาคสนับสนุนการชุมนุมทางการเมือง ของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มราษฎร บนเรือที่ชื่อว่าไฮซีซัน ที่จอดบริเวณท่าเทียบเรือแจมแฟกตอรี เมื่อคืนวันที่ 22 พ.ย. 2564 และ น.ส.รักชนก โพสต์ข้อความอ้างว่าถูกนายยุทธเลิศทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บ และได้เข้าแจ้งความต่อ สน.ปากคลองสานในเวลาต่อมา

ต่อมา เมื่อวันที่ 23 ก.ย. ทวิตเตอร์ @BadDIRECTOR_ ของ ‘ต้อม ยุทธเลิศ’ โพสต์ข้อความระบุว่า "To #ส่องทวิตยามเช้า 21 ก.ย.ที่ผ่านมา ผมไปขึ้นศาลในคดีดูหมิ่นจากเหตุการณ์บนเรือของงานส่องทวีต โดยมีผู้หญิงไอซ์เป็นจำเลย ซึ่งจำเลยให้การสารภาพ ศาลลดโทษให้กึ่งหนึ่ง จึงปรับแค่ 2,500 บาท แต่ต้องไหว้ขอโทษผมด้วยความจริงใจ ผมรับไหว้ด้วยความเต็มใจ ส่วนจำเลยจะจริงใจหรือเปล่านั้น ผมมิอาจรู้จริงๆ"

ล่าสุดวันนี้เฟซบุ๊ก ‘Rukchanok Srinork’ หรือ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส. พรรคก้าวไกล ได้ออกมาโพสต์ขอโทษ ‘ต้อม ยุทธเลิศ’ โดยระบุข้อความว่า "ข้าฯ นางสาว รักชนก ศรีนอก ขอโทษ คุณยุทธเลิศ สิปปภาค ในกรณีที่ข้าฯ ได้โพสต์เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ ที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียชื่อเสียงแก่คุณยุทธเลิศ ซึ่งต่อจากนี้ไปทั้งสองฝ่ายจะไม่กระทำการใดๆ อันเป็นการล่วงเกินซึ่งกันและกันให้เกิดเสียหายอีก"

‘พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล’ รองผบ.ตร. ผู้อาวุโสลำดับที่ 4 ผงาดรับตำแหน่ง ‘ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนที่ 14’

(27 ก.ย.66) มีรายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เพื่อคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนที่ 14 แทน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ที่จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ซึ่งมีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม

การประชุมเริ่มต้นตั้งแต่ 14.00 น. ก่อนที่ประชุมจะมีมติในเวลา 16.28 น. ให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนที่ 14 ซึ่งเป็นผู้อาวุโส ชิงตำแหน่งในลำดับที่ 4 ซึ่งเป็นลำดับสุดท้าย

วาระการประชุมแต่งตั้ง ผบ.ตร. ในวันนี้อยู่ในวาระที่ 65 ซึ่งเป็นวาระสุดท้าย แต่ได้เลื่อนขึ้นมาพิจารณาก่อน เป็นวาระแรก โดยระหว่างการพิจารณาได้เชิญ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธ์เพ็ชร์ และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ผู้ชิงตำแหน่งที่มาร่วมประชุมกันเพียง 2 คน ออกจากห้องประชุม เพื่อให้คณะกรรมการได้พิจารณาเรื่องคุณสมบัติก่อนลงมติ

ทั้งนี้ ลำดับอาวุโสของ รอง ผบ.ตร. 4 นาย ที่เป็นผู้ชิงตำแหน่ง ผบ.ตร.ในวันนี้ คือ ลำดับที่ 1 พล.ต.อ.รอย, ลำดับที่ 2 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล, ลำดับที่ 3 พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ และลำดับที่ 4 พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล

ภายหลังการประชุม ก.ตร.แล้วเสร็จ และมีรายงานว่า มติที่ประชุมแต่งตั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็น ผบ.ตร.คนที่ 14

จากนั้นในเวลา 17.05 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ประธานในที่ประชุม ก.ตร.ได้เดินทางออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน

ขณะที่ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม. ในฐานะ โฆษก ตร. กล่าวว่า การประชุม ก.ตร.ครั้งที่ 10/2566 วันนี้ได้คัดเลือกแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ โดยพิจารณารายชื่อเรียบร้อยแล้ว แต่อยู่ระหว่างขั้นตอนทางธุรการ เพื่อนำความกราบบังคมทูล จึงยังไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ในวันนี้

‘คุณลุงผู้รวยน้ำใจ’ ใช้แผ่นปูนเรียงเป็นทางเดินให้ ปชช.สัญจร หลังฝนตกหนักทำน้ำท่วมกรุง โซเชียลชม!! ลุงทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น

(27 ก.ย. 66) ชีวิตคนกรุงเมื่อต้องเผชิญกับวันฝนตก น้ำท่วม ก็จะพบกับความทุลักทุเลในการเดินทาง แต่คลิปนี้เชื่อว่าทำให้หลายคนรู้สึกใจฟูขึ้นมาบ้าง โดยผู้ใช้ติ๊กต็อกชื่อว่า ‘saiikhim_is’ ได้โพสต์คลิปคุณลุงท่านหนึ่ง กำลังช่วยเหลือผู้เดินทางหลายคนที่ต้องลุยน้ำท่วมขัง ด้วยการใช้แผ่นปูนมาเรียง ปูเป็นทางเดินบนน้ำท่วมขัง เพื่อให้ผู้คนได้เดินข้ามไปโดยที่ไม่ต้องลุยน้ำ

เจ้าของคลิปบอกว่า “เมื่อฝนตกน้ำท่วม ชาวออฟฟิศนับร้อยต้องกลับบ้าน ขอบคุณคุณลุงมากๆค่ะ ความใจดีของคุณลุง ทำให้โลกนี้ สดใสขึ้นเป็นกองค่ะ” คลิปนี้มีผู้เข้าชมแล้วกว่า 2.2 ล้านครั้ง ต่างก็ชื่นชมคุณลุงจำนวนมาก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top