Monday, 9 June 2025
NEWS

ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธีประดับเครื่องหมายยศ และมอบประกาศนียบัตรให้แก่ นักเรียนจ่า และนักเรียนดุริยางค์ ประจำปีการศึกษา 2567

เมื่อวานนี้ (22 เม.ย.68) เวลา 14.30 น. พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธีประดับเครื่องหมายยศ และมอบประกาศนียบัตรให้แก่ นักเรียนจ่า (นรจ.) และนักเรียนดุริยางค์ (นดย.) ที่สำเร็จการศึกษาประจำปี 2567 จากโรงเรียนชุมพลทหารเรือ โรงเรียนสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศ โรงเรียนทหารนาวิกโยธิน โรงเรียนอิเล็กทรอนิกส์ โรงเรียนพลาธิการ โรงเรียนนาวิกเวชกิจ โรงเรียนการขนส่งทหารเรือ และโรงเรียนดุริยางค์ กองดุริยางค์ทหารเรือ ณ ห้องเจ้าพระยา หอประชุมกองทัพเรือ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร 

ทั้งนี้มีผู้เข้ารับการประดับเครื่องหมายยศ และมอบประกาศนียบัตร จำนวน 923 นาย ซึ่งประกอบด้วยนักเรียนจ่าจำนวน 909 นาย และนักเรียนดุริยางค์จำนวน 14 นาย

ในการนี้ ผู้บัญชาการทหารเรือได้มอบโอวาทแก่ นักเรียนจ่าและนักเรียนดุริยางค์ทุกนาย โดยมีใจความสำคัญว่า 

"การสำเร็จการศึกษาของนักเรียนจ่า และนักเรียนดุริยางค์ทหารเรือ และได้รับการประดับเครื่องหมายยศเป็น จ่าตรี ถือเป็นความสำเร็จก้าวแรกที่ควรค่าแก่การชื่นชม ความสำเร็จของทุกท่านในครั้งนี้ ล้วนเกิดจากความมุ่งมั่นวิริยะอุตสาหะ และความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ขอให้มีความพร้อมที่จะเป็นกำลังสำคัญของกองทัพเรือ ได้อย่างเต็มกำลังความสามารถ สำนึกในความเป็นทหารเรือ ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต เสียสละประโยชน์ส่วนตน เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในระเบียบวินัย มีคุณธรรม และจริยธรรม และจะต้องหมั่นศึกษาหาความรู้ และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพื่อความเจริญก้าวหน้าของท่าน และกองทัพเรือสืบไป"

สำหรับการศึกษาของนักเรียนจ่า และนักเรียนดุริยางค์ มีการศึกษาในรูปแบบภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ โดยนักเรียนจ่าจะใช้ระยะในการศึกษาเป็นเวลา 2 ปี และนักเรียนดุริยางค์จะใช้เวลา 3 ปี ซึ่งเมื่อสำเร็จการศึกษาเป็นที่เรียบร้อย จะได้รับการประดับยศเป็น “จ่าตรี” และจะได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการตามสาขาวิชาการที่ได้ศึกษาในหน่วยงานต่าง ๆ ของกองทัพเรือ ทั้งนี้ประชาชนสามารถติดตามรายละเอียดการสมัครของนักเรียนจ่าได้ที่เพจเฟซบุ๊ก “นักเรียนจ่าทหารเรือ” หรือสามารถติดต่อได้ที่ สำนักงานนักเรียนจ่าทหารเรือ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2475 3663 ในส่วนของ รายละเอียดการสมัครของนักเรียนดุริยางค์สามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่เพจเฟซบุ๊ก “โรงเรียนดุริยางค์ทหารเรือ” หรือสามารถติดต่อได้ที่ ธุรการโรงเรียนดุริยางค์ กองดุริยางค์ทหารเรือ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2475 3054

ความจริงก็คือความจริง!! พล.ต.อ.สมยศ เปิดใจหลังศาลยกฟ้อง ‘ไม่เคยโกรธแม้ถูกมองในแง่ลบ’ ขอบคุณกำลังใจทุกฝ่าย พร้อมทำตามกฎหมาย

เมื่อวันที่ (22 เม.ย. 68) ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ศาลอ่านคำพิพากษาคดีร่วมกันปฏิบัติหน้าที่มิชอบในคดีที่มีการเปลี่ยนแปลงพยานหลักฐานเพื่อช่วยเหลือนายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา ทายาทเครื่องดื่มชูกำลัง ผู้ต้องหาคดีขับรถชนตำรวจเสียชีวิตเมื่อปี 2555 โดยมี พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. และนายเนตร นาคสุข อดีตอัยการสูงสุด รวมทั้งพวกอีก 6 คนเป็นจำเลย

ศาลพิพากษาจำคุกนายเนตร นายเนตร นาคสุข (อดีตรองอัยการสูงสุด) 2 ปี และนายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม (อดีตอัยการอาวุโส) 3 ปี ส่วนจำเลยคนอื่นยกฟ้อง โดยหลังจากศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวด้วยหลักทรัพย์ 200,000 บาท จำเลยทั้งหมดยื่นขอประกันตัวระหว่างอุทธรณ์

พล.ต.อ.สมยศ กล่าวกับสื่อหลังการพิจารณาคดีว่า รู้สึกโล่งใจที่ตนพ้นมลทิน และขอบคุณศาลที่ให้ความยุติธรรม ยืนยันว่าเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของไทยและจะปฏิบัติตามคำสั่งศาล

ทั้งนี้ ศาลได้กำหนดเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศระหว่างการอุทธรณ์ ซึ่งจำเลยทั้งหมดยังคงได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว

จันทบุรี หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรี จัดพิธีรำลึกโอกาสครบรอบ 40 ปีการสถาปนา

เมื่อวานนี้ (22 เม.ย.68) ที่หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรี ต.ทับไทร อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี พลเรือตรี ชรัมม์ภากร พรหมภากร รองผู้บัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด เป็นประธานในงานวันครบรอบจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินปีที่ 40 โดยมีพิธีสงฆ์ ทำบุญและอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับ พร้อมรำลึกถึงวีรกรรมของทหารกล้า ในโอกาสครบรอบ 40 ปีแห่งการสถาปนา โดยมีนายธวัชชัย นามสมุทร รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี พลตำรวจตรีผดุงศักดิ์ รักษาสุข ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี นาวาเอก นพโรจน์ สิริปริยพงศ์ ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรี รวมทั้งอดีตผู้บังคับบัญชา,ดร.รัฐวิทย์ ตั้งเกียรติพชร นายกสมาคมการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา(จันทบุรี) พร้อมผู้แทนสมาคมสื่อมวลชนและเครือข่ายจันทบุรี,หัวหน้าส่วนราชการ ภาครัฐ ภาคเอกชน และแขกผู้มีเกียรติร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง

การจัดพิธีในครั้งนี้นอกจากเป็นการรำลึกถึงความเสียสละของกำลังพลในอดีตแล้ว ยังเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่กำลังพลในปัจจุบัน รวมถึงเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลให้แก่หน่วยและครอบครัวของผู้ปฏิบัติหน้าที่

ทั้งนี้หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรี เป็นหน่วยขึ้นตรงต่อกองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด เริ่มมีบทบาทมาตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2483–2484 ระหว่างเหตุการณ์พิพาทอินโดจีน โดยกองทัพเรือได้สนธิกำลังในนาม “กองพลจันทบุรี” เข้าปฏิบัติภารกิจในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีและตราด ต่อมาในปี พ.ศ. 2504 และ พ.ศ. 2519 ได้รับมอบหมายให้ดูแลแนวชายแดนไทย-กัมพูชาในช่วงสถานการณ์ความตึงเครียด

กระทั่งวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2528 หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรีได้รับการจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ เพื่อแบ่งเบาภารกิจด้านการควบคุมและป้องกันชายแดนที่มีความยาวและซับซ้อน โดยเน้นรับผิดชอบพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ขณะที่หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราดรับผิดชอบพื้นที่จังหวัดตราด ตลอดระยะเวลา 40 ปี หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรีได้ปฏิบัติภารกิจด้านความมั่นคงอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง พร้อมยึดมั่นในอุดมการณ์ ปกป้องผืนแผ่นดินไทย และจะยังคงเดินหน้าอย่างมั่นคงสู่อนาคตต่อไป

เชียงใหม่-คณะพยาบาลศาสตร์ มช. เปิดตัวคณบดีและแถลงแผนมุ่งสู่ 50 อันดับแรกของโลก

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุภารัตน์ วังศรีคูณ คณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นประธานกล่าวเปิดและเป็นวิทยากรในกิจกรรมการถ่ายทอดและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแผนพัฒนาการศึกษาของคณะฯ ระยะที่ 13 (2566-2570) ฉบับปรับปรุง ประจำปีงบประมาณ 2568 'Together We Rise: Building on Our Pride, Shaping Our Future' โดยมี คณะผู้บริหาร คณาจารย์ และบุคลากรเข้าร่วมรับฟัง 

ภายในงานคณบดีแถลงวิสัยทัศน์ใหม่ ได้แก่ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นสถาบันการศึกษาพยาบาลชั้นนำระดับสากล เพื่อสร้างสุขภาวะที่ยั่งยืน รวมทั้งชี้แจงเกี่ยวกับกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนองค์กร เป้าหมายที่สำคัญ ประกอบด้วย เข้าสู่ 50 อันดับแรกของโลกในการจัดอันดับของ QS Ranking by subject , Socio-economic impact 300 ล้านบาท 

และ การได้รับรางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ ในระดับ Thailand Quality Class Plus : TQC Plus จากสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ กระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมทั้งบอกเล่าเรื่องราวความสำเร็จและน่ายินดีที่เกิดขึ้นภายในคณะฯ ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา ตลอดจนร่วมพูดคุยแบบเป็นกันเองในการรับฟังข้อเสนอแนะเพื่อการนำไปสู่การบรรลุวิสัยทัศน์ร่วมกัน 

ช่วงท้ายแนะนำเพลงใหม่ประจำคณะฯ ใช้สำหรับการสร้างความรักความผูกพันและเป็นตัวแทนสื่อถึงวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง บ้านสีแสด ร่วมแรงร่วมใจ ก่อนถ่ายภาพเป็นที่ระลึกร่วมกันเปิดงานอย่างยิ่งใหญ่ ณ ห้องเอ็มเพรสแกรนด์ฮอลล์ ชั้น 3 โรงแรมดิเอ็มเพรส จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันอังคารที่ 22 เมษายน 2568

สมเด็จพระสังฆราช ประทานพระอนุเคราะห์ กรณีสามเณรถูกเหตุร้ายในพื้นที่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา จนทำให้มีสามเณรถึงมรณภาพ 1 รูป และอาพาธ 1 รูป

ตามที่ เกิดเหตุคนร้ายประทุษร้ายสามเณร ณ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา เมื่อวันอังคาร ที่ 22 เมษายน 2568 ทำให้มีสามเณรถึงมรณภาพ 1 รูป และอาพาธ 1 รูป ความทราบตามข่าวสารที่ปรากฏแล้ว นั้น

เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงปลงธรรมสังเวชและโปรดประทานผ้าไตร 1 ไตร พร้อมไม้จันทน์ 1 ช่อ สำหรับการฌาปนกิจ พร้อมทั้งมีพระบัญชาโปรดให้ไวยาวัจกรจัดกัปปิยภัณฑ์เท่าจำนวน 20,000 บาท (สองหมื่นบาทถ้วน) ประทานแก่เจ้าภาพศพสามเณรพงษ์กร ชูมาปาน เพื่อช่วยการบำเพ็ญกุศล

อนึ่ง โปรดประทานเหรียญพระรูปแก่สามเณรโภคนิษฐ์ โมราศิลป์ เพื่อเป็นกำลังใจ พร้อมทั้งมีพระบัญชาโปรดให้ไวยาวัจกรจัดกัปปิยภัณฑ์เท่าจำนวน 10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) ประทานแก่เป็นคิลานปัจจัย

ทั้งนี้ มีพระบัญชาโปรดให้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นผู้เชิญสิ่งของและกัปปิยภัณฑ์ประทานไปถวายแด่เจ้าคณะจังหวัดสงขลา เพื่อมอบแก่เจ้าภาพศพและสามเณรผู้อาพาธตามพระประสงค์

อนึ่ง มีรับสั่งประทานกำลังใจแก่ครอบครัว ญาติมิตรของผู้ถึงมรณภาพ ให้ทุเลาความโศก และความหม่นหมอง อีกทั้งโปรดประทานพรให้เจ้าหน้าที่ ผู้ประสบเหตุ และผู้ตระหนกเสียขวัญจนถึงพร้อมด้วยขันติ สติ และปัญญาอันเข้มแข็ง เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ความสงบร่มเย็นของชาติ และความสถาพรของพระพุทธศาสนาในราชอาณาจักรไทยให้ดำรงมั่นคงอยู่สืบไป

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ลุยเดินสายซับน้ำตา บรรเทาทุกข์ - เยียวยาผู้ประสบภัยอัคคีภัย ในพื้นที่จังหวัดราชบุรี และ มอบเงินช่วยเหลือค่าฌาปนกิจแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวต่อเนื่อง

(22 เม.ย.68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ พร้อมด้วย นายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย นำทีม แผนกสาธารณภัย ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอัคคีภัยในพื้นที่ซอยโรงธูป อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี  รวมจำนวน 49 คน โดยมอบเงินสดคนละ 3,500 บาท พร้อมมอบเครื่องอุปโภคบริโภค รวมจำนวน 17 ชุด รวมงบประมาณการช่วยเหลือผู้ประสบอัคคีภัยทั้งสิ้น 214,000 บาท  โดยมี นายนรสิงห์ อรุณบรรเจิดกุล ปลัดเทศบาลเมืองบ้านโป่ง ปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีเมืองบ้านโป่ง พร้อมด้วย คณะมูลนิธิรวมใจการกุศลราชบุรี และ คณะอาสาสมัครเฉพาะกิจ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมในพิธี ณ เทศบาลบ้านโป่ง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี   หลังจากนั้น นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พร้อมคณะ ได้เดินทางไปยัง สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อมอบเงินช่วยเหลือค่าฌาปนกิจแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหว จำนวน 7 รายๆ ละ 20,000 บาท รวมเป็นเงิน 140,000 บาท 

รวมงบประมาณการช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยทั้งสองเหตุเป็นเงินทั้งสิ้น 354,000 บาท (สามแสนห้าหมื่นสี่พันบาทถ้วน) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอแสดงความเสียใจและอาลัยอย่างสุดซึ้ง และขอส่งกำลังใจไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวทุกท่านมา ณ ที่นี้

เมื่อเกิดเหตุสาธารณภัย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ดำเนินการเชิงรุกอย่างบูรณาการร่วมกันทั้งด้านงานบรรเทาสาธารณภัย และงานสังคมสงเคราะห์ ดังเช่น เหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ ได้จัดส่งทีมสาธารณภัย ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการมอบสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นให้แก่โรงพยาบาลที่ทำการอพยพและเปิดรับบริจาคสิ่งของ พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเยียวยาครอบครัวผู้สูญเสียและผู้บาดเจ็บ ทั้งชาวไทยและเมียนมา รวมมูลค่าการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและมอบเงินค่าฌาปนกิจศพแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวจนถึงปัจจุบันไม่ต่ำกว่า 5 แสนบาท โดยปัจจุบันมูลนิธิฯ ยังคงติดตามและเข้ามอบเงินช่วยเหลือแก่ญาติผู้ประสบเหตุดังกล่าวต่อไป

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ขอขอบพระคุณผู้มีจิตศรัทธาที่ร่วมบริจาคทรัพย์ เครื่องอุปโภคบริโภค สมทบทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยต่าง ๆ ขอบุญบารมีหลวงปู่ไต้ฮง (ไต้ฮงกง) ส่งผลให้ท่านและครอบครัว มีความสุขความเจริญตลอดไป ท่านสามารถติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung  

กว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

‘ต๊ะ พลัฏฐ์’ โพสต์เตือนใจ บทเรียนการล่มสลายของ 4 ราชวงศ์จีน เกิดขึ้นเพราะขุนนางโกง-คอร์รัปชัน-ผู้นำนโยบายล้มเหลว

(22 เม.ย. 68) นายพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ต๊ะ สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวที่สะท้อนถึงการล่มสลายของหลายราชวงศ์ในประวัติศาสตร์จีน ซึ่งเกิดจาก…

ประเทศจีนในหลายราชวงศ์ ล่มเพราะเศรษฐกิจ การ corruption และภัยธรรมชาติ

ราชวงศ์สุย ฮ่องเต้ หยางกว่าง สร้าง Grand canal ที่สร้างคุณประโยชน์ทางการค้า คมนาคม และระบบชลประทาน การจ้างงาน มหาศาล แต่กลับเป็นจุดจบของราชวงศ์สุย เพราะพลาด เรื่องสงครามเกาหลี เสียงบประมาณมหาศาล และผลผลิตการเกษตรตกต่ำ ทำให้ประชาชนอดหยาก

ราชวงศ์หยวน(มองโกล) พัฒนาระบบการเงินกระดาษ ครั้งแรกของโลก และนำไปสู่ประสิทธิภาพการชำระเงิน แลกเปลี่ยนสินค้า แต่ก็จบสิ้นเพราะนโยบายเงินกระดาษ เพราะพิมพ์เงินเยอะไป เงินเฟ้อมหาศาล ไม่รวมการกดขี่จากขุนนางและการคอรัปชั่น

ราชวงศ์หมิง พัฒนาระบบ Silver standard ใช้เงินเป็นอัตราแลกเปลี่ยนนำไปสู่การพัฒนาการค้าโลกรูปแบบใหม่ แต่ส่วนหนึ่งก็ล่มสลายไปเพราะการขาดแคลนแร่เงิน (มีขุนนางแอบโกง เอาไปเก็บไว้ทำให้ไม่หมุนเวียน)

ราชวงศ์ชิง He Shen ขุนนางที่ฉ้อราษฎร์มากที่สุดในโลก สะสมแร่เงินให้ในบ้านเยอะขนาดเป็นขุนนางโกงที่สุดในโลก ในประวัติศาสตร์ แถม He Shen เป็นขุนนางที่ เฉียนหลงจักรพรรดิที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของจีนรักมาก จนปลายสมัยเฉียนหลง He Shen เป็นเหตุทำให้ราชวงศ์ชิงเสื่อม เชื่อมต่อกับยุคซูสีไทเฮา

ต๊ะ พลัฏฐ์

อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช กรมอู่ทหารเรือ จัดงานวันคล้ายวันสถาปนา  ครบรอบ 27 ปี

เมื่อวานนี้ (21 เม.ย.68) พลเรือตรี ปิยะ ปฐมบูรณ์ ผู้อำนวยการอู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช กรมอู่ทหารเรือ เป็นประธานจัดงานวันคล้ายวันสถาปนา อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช กรมอู่ทหารเรือ ครบรอบ 27 ปี โดยมี อดีตผู้อำนวยการอู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดชฯ  ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเรือ สมาคมภริยาทหารเรือ หน่วยงานราชการ และ บริษัทเอกชน เข้าร่วมงาน ณ อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช กรมอู่ทหารเรือ
ท่าเรือจุกเสม็ด อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี 

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเปิดโครงการ  “เสริมสร้างทักษะดนตรี กีฬา ช่วงปิดภาคการศึกษาแก่บุตรหลานข้าราชการตำรวจ”

(21 เม.ย. 68) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานพิธีเปิดโครงการ “เสริมสร้างทักษะดนตรี กีฬา ช่วงปิดภาคการศึกษาแก่บุตรหลานข้าราชการตำรวจ” โดยมี พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล/โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ต.เศรษฐศักดิ์  ยิ้มเจริญ ผู้บังคับการกองสวัสดิการ (ผบก.สก.) , รอง ผบก.สก. , ข้าราชการตำรวจกองสวัสดิการ และผู้เข้าร่วมโครงการ ร่วมพิธี ณ สโมสรตำรวจ ถ.วิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร 

พล.ต.ท.อาชยนฯ กล่าว่า กองสวัสดิการ สำนักงานกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จัดทำโครงการ "เสริมสร้างทักษะดนตรี กีฬา ช่วงปิดภาคการศึกษาแก่บุตรหลานข้าราชการตำรวจ" ขึ้น ระหว่างวันที่ 21 – 30 เมษายน 2568 เพื่อเป็นสวัสดิการแก่ครอบครัวของข้าราชการตำรวจ และส่งเสริมให้เยาวชนใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ช่วงปิดภาคการศึกษา ซึ่งโครงการดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายการบริหารราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 นโยบายข้อที่ 15 สวัสดิการตำรวจ โดยโครงการดังกล่าวจะมีการส่งเสริมทักษะด้านดนตรี 7 ชนิด ประกอบด้วย เปียโน กีตาร์ อูคูเลเล่ ขลุ่ย ขิม ไวโอลิน และขับร้อง ให้แก่บุตรหลานข้าราชการตำรวจ อายุตั้งแต่ 7 - 15 ปี จำนวน 104 คน ณ สโมสรตำรวจ และส่งเสริมทักษะด้านกีฬา 4 ชนิด ประกอบด้วย กรีฑา ฟุตบอล ฟุตซอล และว่ายน้ำ ให้แก่บุตรหลานข้าราชการตำรวจ อายุตั้งแต่ 8 - 15 ปี จำนวน 80 คน ณ สนามกีฬาบุณยะจินดา และสระว่ายน้ำสโมสรตำรวจ

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า หนึ่งในนโยบายหลักในการบริหารราชการคือเรื่องการส่งเสริมสวัสดิการตำรวจ ดูแลข้าราชการตำรวจและครอบครัว ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ให้ความสำคัญ เพื่อลดปัญหาด้านยาเสพติด มีมาตรการดูแลและสร้างภูมิคุ้มกันแก่เด็กและเยาวชน โดยใช้กิจกรรมสันทนาการประเภทต่าง ๆ เป็นสื่อในการเข้าถึงเด็กและเยาวชน เพื่อส่งเสริมการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ในช่วงปิดภาคการศึกษา ไม่พึ่งพาอบายมุขและยาเสพติด ด้วยการเรียนดนตรี เล่นกีฬา เพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาทักษะทางด้านร่างกายและจิตใจ ให้มีน้ำใจนักกีฬา และมีระเบียบวินัย ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติพร้อมสนับสนุนและส่งเสริมโครงการ เพื่อพัฒนาทักษะที่เป็นประโยชน์สำหรับบุตรหลานข้าราชการตำรวจอย่างเต็มที่

จเรตำรวจแห่งชาติประชุม ฉก.88 ร่วมกับ 32 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เดินหน้าปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ให้เห็นผลชัดเจนภายใน 3 เดือน เน้นใช้มาตรการ "ระเบิดสะพานโจร" อย่างเคร่งครัด

วันนี้ (21 เม.ย. 68) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการ ศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการค้ามนุษย์ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ผอ.ฉก.88) เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการค้ามนุษย์ ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ฉก.88) ครั้งที่ 1/2568 โดยมีผู้บัญชาการตำรวจนครบาล , ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1-9 , ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล , ผู้บัญชาการสำนักงบประมาณและการเงิน , ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง , ผู้บัญชาการสำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ , ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) พร้อมด้วย นายบุญช่วย หอมยามเย็น ที่ปรึกษาด้านความมั่นคง สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย/รอง ผอ.ฉก.88 , นายวิรุฬห์ สิทธิวงศ์ รองอธิบดีกรมการปกครอง ฝ่ายความมั่นคง/รอง ผอ.ฉก.88 , พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท./รอง ผอ.ฉก.88 , พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว/ผู้ช่วย ผอ.ฉก.88 , ผู้แทนฝ่ายตำรวจทุกหน่วย และผู้แทนหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จำนวน 32 หน่วยงาน เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์

ตามที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 83/2568 เรื่อง การจัดตั้งกลไกอำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยบูรณาการทุกภาคส่วนทั้งตำรวจ ทหาร ภาครัฐ เอกชน ฝ่ายปกครอง โดยตั้งคณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (คณะกรรมการ ปชด.) มีศูนย์ปฏิบัติเฉพาะกิจ 4 ศูนย์ ซึ่งศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการค้ามนุษย์ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ฉก.88) มี พล.ต.อ.ธัชชัยฯ เป็นผู้อำนวยการฯ ทำหน้าที่ในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการค้ามนุษย์ ตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะพื้นที่แนวชายแดนที่ติดกับประเทศเมียนมาและประเทศกัมพูชา

ในที่ประชุมได้มีการติดตามสถานการณ์ภาพรวมของอาชญากรรมทางเทคโนโลยีแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะสถานการณ์ตามพื้นที่แนวชายแดนที่ติดกับประเทศเมียนมา และแนวชายแดนที่ติดกับประเทศกัมพูชา และแนวทางการดำเนินการในการป้องกันปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ของไทยจะไม่ยอมให้กลุ่มคนไทยที่เดินทางไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เมื่อถูกจับกุมแล้วอ้างว่าตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุม โดยล่าสุดจากปฏิบัติการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะฝั่งกัมพูชามีการกวาดล้าง 2 ครั้ง จับกุมคนไทยที่มีส่วนเกี่ยวข้องส่งกลับประเทศรวมจำนวน 175 คน พบว่าทุกคนไม่ใช่เหยื่อการค้ามนุษย์ แต่เป็นคนที่มีส่วนร่วมกับอาชญากรรมข้ามชาติแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทุกคน ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินคดีในไทยใน 4 ข้อหาใหญ่

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า วันนี้เป็นการประชุมร่วมทุกหน่วยงานครั้งแรก โดยเชิญผู้เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานเข้าร่วมประชุม เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยเน้นการใช้มาตรการ "ระเบิดสะพานโจร" อย่างเคร่งครัด ได้แก่ 
1. ป้องกันการลักลอบส่งเสา สาย ซิม โดยการตัดสายเคเบิ้ลผิดกฎหมาย ตัดเสาสัญญาณผิดกฎหมาย ปราบปรามซิมผี วิเคราะห์จุดที่ตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์จาก IP address และที่ตั้งทางกายภาพ  
2. ตรวจสอบป้องกันการใช้บัญชีธนาคารและบัญชีคริปโตเคอร์เรนซี โดยตรวจสอบสาขาของธนาคารที่มีการเปิดบัญชีม้าจำนวนมาก การถอนเงินจากธนาคารและตู้กดเงินสดตามแนวชายแดน การลักลอบขนเงินสดข้ามแดนผ่านช่องทางธรรมชาติและด่านศุลกากร และการวิเคราะห์เส้นทางการเงินจากบัญชีธนาคารและบัญชีคริปโตเคอร์เรนซี
3. ป้องกันการลักลอบเดินทางเข้าออกประเทศไทยของชาวไทยและชาวต่างชาติตามแนวชายแดน เพื่อปิดกันไม่ให้ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านเพื่อเดินทางไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังประเทศเพื่อนบ้าน

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นภัยความมั่นคงของชาติรูปแบบใหม่ เรียกว่า Cyber War ที่ต้องรีบดำเนินการแก้ไขโดยบูรณาการการปฏิบัติร่วมกันทุกหน่วยงาน เชื่อว่าหากทุกหน่วยงานร่วมมือร่วมใจกันทำจริง และเด็ดขาดพอ จะทำให้การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์เห็นผลสัมฤทธิ์ภายใน 3 เดือน

‘รศ.ดร.ปิติ’ ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ ‘อุ๊งอิ๊ง’ เสนอ 10 ข้อรับมือระเบียบโลกใหม่ ท่ามกลางความขัดแย้งสหรัฐ-จีน

(21 เม.ย. 68) รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เผยแพร่จดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีของไทย เสนอข้อคิดเห็นและข้อเสนอ 10 ข้อ เพื่อเตรียมความพร้อมให้ประเทศไทยรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลกใหม่ ท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อทุกภูมิภาคทั่วโลก

ในจดหมายดังกล่าว รศ.ดร.ปิติชี้ว่าโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของ “สามห่วงโซ่มูลค่า” (Global Value Chains – GVCs) นำโดยสหรัฐฯ จีน และกลุ่มประเทศอื่นๆ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศอย่างถาวร ประเทศไทยในฐานะสมาชิกอาเซียนจึงควรมีบทบาทเชิงรุกในการวางยุทธศาสตร์กับมหาอำนาจ และผลักดันผลประโยชน์ของชาติในเวทีระหว่างประเทศ

10 ข้อเสนอสำคัญของ รศ.ดร.ปิติ ประกอบด้วย

1. เปิดรับแนวคิดใหม่ (New Mindset) ต่อระเบียบโลกที่เปลี่ยนไป

2. บูรณาการความรู้แบบสหสาขาวิชา โดยยึดผลประโยชน์ของชาติ

3. วางยุทธศาสตร์เชิงลึกต่อสหรัฐฯ จีน และบทบาทนำในอาเซียน

4. ใช้มิติความมั่นคง-การเมืองเป็นอำนาจต่อรองกับสหรัฐฯ

5. ขยายตลาดสินค้าไทยในจีน พร้อมเจรจาควบคุมสินค้านำเข้าจากจีน

6. ใช้อาเซียนเป็นกลไกเพิ่มอำนาจต่อรองในระดับภูมิภาค

7. มองหาโอกาสในขั้วโลกใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มโลกมุสลิม

8. ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจโดยยกระดับการบริโภคภายใน

9. เสริมเสถียรภาพการเงิน การคลัง และทุนสำรองของประเทศ

10. ใช้ Soft Power ทางวัฒนธรรม มนุษยธรรม และความร่วมมือพหุภาคี

นอกจากนี้ รศ.ดร.ปิติ ยังเสนอให้รัฐบาลสนับสนุนการพัฒนากลไก “Friends of Thailand” เพื่อสร้างเครือข่ายสนับสนุนผลประโยชน์ของชาติในเวทีโลก พร้อมแนบลิงก์บทความฉบับเต็มจาก The Standard สำหรับการศึกษารายละเอียดเชิงลึกของแต่ละข้อเสนอ (https://thestandard.co/new-world-order-thailand-strategy/)

ท้ายจดหมาย รศ.ดร.ปิติ ระบุว่า เนื่องจากเป็นเพียงนักวิชาการคนหนึ่ง จึงไม่มีช่องทางสื่อสารโดยตรงกับนายกรัฐมนตรี จึงขอให้ประชาชนช่วยกันแชร์เนื้อหานี้ เพื่อให้ผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องมีโอกาสได้พิจารณา

โค้งสุดท้ายก่อนปิดรับสมัคร ‘DAD NIDA’ รุ่นที่ 10 สุดยอดหลักสูตรพัฒนาผู้นำยุคดิจิทัลตอบโจทย์โลกธุรกิจยุคใหม่

(21 เม.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘DAD NIDA’ เพจประชาสัมพันธ์หลักสูตร Development Administrator in Digital Era (DAD) จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้โพสต์ข้อความเชิญชวนสมัครเรียนโครงการ DAD NIDA รุ่นที่ 10 ระบุว่า…

ถ้าคุณกำลังมองหาหลักสูตรผู้บริหารที่ช่วยยกระดับศักยภาพและเครือข่าย DAD NIDA รุ่นที่ 10 คือคำตอบ พบกับวิทยากรชั้นนำจากหลายวงการ
เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ การันตีคุณภาพโดย NIDA

✨ Key Highlights ที่คุณไม่ควรพลาด ✨
🔹 เนื้อหาปรับปรุงใหม่ตอบโจทย์โลกอนาคต
✅ Speed Networking – ขยายคอนเนคชันทางธุรกิจอย่างรวดเร็ว
✅ DAD Executive Networking Night – สร้างเครือข่ายกับผู้บริหารระดับแนวหน้า
✅ DAD Site Visit – เรียนรู้จากองค์กรชั้นนำผ่านการเยี่ยมชมสถานที่จริง
🔹 New Curriculum
📌 องค์ความรู้ด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาผู้นำยุคใหม่
📌 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีกับอุตสาหกรรมต่างๆ
📌 อัปเดตเทรนด์ดิจิทัลสำคัญ
📌 พัฒนา soft skill ด้านภาวะผู้นำในยุคดิจิทัล

🔹 หลักสูตรนี้เหมาะกับใคร
✅ ภาคเอกชน – ผู้ประกอบการ ผู้บริหาร เจ้าของธุรกิจ
✅ ข้าราชการและองค์กรภาครัฐ – ข้าราชการพลเรือน ข้าราชการตุลาการ ข้าราชการทูต ข้าราชการตำรวจ นายทหาร และผู้บริหารในองค์กรภาครัฐ
✅ บุคคลที่เกี่ยวข้องกับสื่อและสังคม – สื่อมวลชน ศิลปิน ดารา พิธีกร ผู้บริหารภาคประชาสังคม มูลนิธิ ngos สมาคม

ก้าวสู่การเป็นผู้นำยุคดิจิทัลกับหลักสูตร Development Administrator in Digital Era (DAD) ที่ออกแบบมาเพื่อพัฒนาผู้บริหารและผู้นำแห่งอนาคต 🕊️
📅 สมัครได้แล้ววันนี้ - 30 เมษายน 2568
📌 ดูรายละเอียดเพิ่มเติม www.dadnida.com
👉 ลงทะเบียน https://forms.gle/roAqiV7U1p4oCdSa9
📞 สอบถามเพิ่มเติม โทร. 092-728-6722

‘ครูเดวิด’ ฟาดฝรั่งพูดหนีห่าวเหยียด ‘ทราย สก๊อต’ ชี้ดูถูกคนไทยมากไปแล้ว!

(21 เม.ย. 68) หลังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ร้อนแรงในสังคมออนไลน์ จากกรณี “ทราย สก๊อต” นักอนุรักษ์ทะเลชื่อดัง เจ้าของฉายา “มนุษย์เงือก” หรือ “อควาแมนเมืองไทย” โพสต์คลิปเหตุการณ์ขณะเกิดการปะทะคารมกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติรายหนึ่งที่แสดงพฤติกรรมเชิงเหยียดเชื้อชาติ ด้วยการทักทายว่า ‘หนีห่าว’

ในคลิปดังกล่าว ทรายสก๊อตได้ตักเตือนนักท่องเที่ยวรายนั้นถึงความไม่เหมาะสมของคำพูด ซึ่งสะท้อนการเหมารวมและเหยียดชาวเอเชียอย่างชัดเจน แต่กลับไม่ได้รับคำขอโทษหรือท่าทีสำนึกใด ๆ จากอีกฝ่าย จึงตัดสินใจสั่งให้เรือเดินทางกลับฝั่ง พร้อมทั้งอธิบายเพิ่มเติมว่า การเหยียดคนไทยหรือชาติพันธุ์ใด ๆ ถือเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในแผ่นดินไทย

ต่อมา “ครูเดวิด วิลเลี่ยม” (David William) ติ๊กต็อกเกอร์ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย และมีผู้ติดตามกว่า 3 ล้านคน ได้ออกมาแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนต่อเหตุการณ์นี้ผ่านช่องทางโซเชียลของเขา โดยระบุว่า

“ฝรั่งเขาดูถูกคนไทย แล้วพี่รับไม่ได้… คุณมาเที่ยวประเทศที่โคตรสวยงาม การรับผิดชอบเบื้องต้น ไม่เอาขยะทิ้งลงทะเล ไม่ใช่เรื่องยาก มันเป็นสิ่งที่ควรทำ... แต่บางคนกลับมองว่า เมืองไทยคือที่ที่อยากทำอะไรก็ได้ เพราะมีเงิน และไม่ต้องให้เกียรติคนท้องถิ่น...”

เขายังเสริมอย่างตรงไปตรงมาว่า คำว่า ‘หนีห่าว’ กลายเป็นคำพูดที่ฝรั่งใช้ในเชิงเหมารวมคนเอเชียว่าเป็นคนจีน ทั้งที่ผู้รับคำพูดนั้นไม่ใช่ และถือเป็นการดูถูกที่ไม่ควรเกิดขึ้นในสังคมที่เปิดกว้างเช่นนี้

“ทำไมฝรั่งมาประเทศไทยแล้วรู้สึกว่าทำอะไรก็ได้? เป็นเพราะเขาดูถูกพวกเรา… ความใจดีของคนไทย อ่อนน้อม เกรงใจ เป็นสิ่งที่สวยงาม แต่บางที… ความน่ารักของเราก็ต้องมีขอบเขต”

เขาทิ้งท้ายอย่างหนักแน่นว่า หากชาวต่างชาติไม่เคารพกฎหมายหรือวัฒนธรรมไทย ก็ควร “กลับบ้านไปเลย” พร้อมเสนอแนวคิดว่า คนไทยควร “เกรงใจฝรั่งให้น้อยลง” เพื่อสร้างความเท่าเทียมทางวัฒนธรรม และไม่เปิดช่องให้ใครมาหยามศักดิ์ศรีคนไทยบนผืนแผ่นดินตัวเอง

ขณะเดียวกัน ชาวเน็ตหลายคนร่วมแสดงความเห็นสนับสนุนทั้งทรายและครูเดวิด โดยเฉพาะในประเด็นความเท่าเทียม การเคารพซึ่งกันและกัน และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าหน้าที่เพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมของทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติ

นราธิวาส-แม่ทัพภาคที่ 4 ลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุลอบวางระเบิดและกราดยิงในพื้นที่ จ.นราธิวาส เด็กและประชาชนบาดเจ็บหลายราย

วันที่ (21 เม.ย. 68) พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุความไม่สงบในจังหวัดนราธิวาส หลังเกิดเหตุลอบวางระเบิดบริเวณสถานีตำรวจภูธรโคกเคียน และเหตุกราดยิงในพื้นที่บ้านฆอเลาะทูวอ อำเภอแว้ง ส่งผลให้เด็กและประชาชนได้รับบาดเจ็บรวมหลายราย

เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2568 เวลาประมาณ 18.45 น. คนร้ายลอบวางระเบิดบริเวณริมกำแพงหลังแฟลตตำรวจ สภ.โคกเคียน อ.เมืองนราธิวาส แรงระเบิดส่งผลให้เด็กและเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 10 ราย รวมถึงเด็กนักเรียนอายุระหว่าง 3-13 ปี ซึ่งเป็นบุตรหลานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขณะกำลังเดินทางไปเรียนอัลกุรอ่าน เจ้าหน้าที่ได้เร่งช่วยเหลือผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ และโรงพยาบาลกัลยาณิวัฒนาการุณย์

จากการสอบสวนเบื้องต้น ทราบว่า คนร้ายใช้รถจักรยานยนต์พ่วงข้างประกอบระเบิดแสวงเครื่องมาวางไว้บริเวณหลังรั้วแฟลต และหลบหนีไปก่อนก่อเหตุโดยมีการบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิดไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์อย่างเร่งด่วน

นอกจากนี้ ในพื้นที่อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส ยังเกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดกราดยิงใส่ประชาชนที่กำลังนั่งรับประทานอาหารหน้าบ้านเลขที่ 229/11 บ้านฆอเลาะทูวอ หมู่ที่ 7 ต.แว้ง ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 7 ราย ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลแว้งและโรงพยาบาลสุไหงโก-ลก เพื่อรับการรักษา

ด้านภรรยาของ ดาบตำรวจ อนุชา ศรีสุวรรณ์ หนึ่งในผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว เปิดเผยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “เมื่อทราบข่าวว่าสามีของตนได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์คนร้ายกราดยิง ตนตกใจและแอบกลัวว่าสามีจะเกิดอันตราย ตนและลูกจึงได้รีบเดินทางมายังโรงพยาบาลสุไหงโก-ลก เพื่อติดตามอาการของสามี และเมื่อทราบว่าอาการของสามีได้พ้นขีดอันตรายก็รู้สึกโล่งใจ พร้อมทั้งแสดงความหวังว่าเหตุการณ์รุนแรงในพื้นที่ชายแดนใต้จะยุติลงเสียที โดยอยากให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน พูดคุยปรองดองกัน หยุดความรุนแรง เพราะแม้ว่าเราจะมีวิถีชีวิตหรือความเชื่อที่ต่างกัน แต่เราสามารถอยู่ร่วมกันได้ เพราะเราก็คือคนไทยด้วยกัน อยากให้รักกัน เหมือนที่เคยเป็นมาในอดีต”

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งความรุนแรงที่สร้างความหวาดกลัวและส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้าน แม่ทัพภาคที่ 4 จึงได้กำชับและเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยให้เข้มงวดและรัดกุมยิ่งขึ้น พร้อมบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ส่วนที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างเร่งรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุ มาดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ แม่ทัพภาคที่ 4 ขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่ร่วมเป็นหูเป็นตา หากพบเบาะแสหรือบุคคลต้องสงสัย สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่สายตรงแม่ทัพภาคที่ 4 โทร. 061-1732999 หรือสายด่วน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า โทร. 1341 รวมถึงหน่วยเฉพาะกิจใกล้บ้านได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อร่วมกันสร้างพื้นที่ปลอดภัยและคืนความสงบสุขให้กับประชาชนทุกคน

ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ เผย ‘#กระทรวงดีอี’ ผลึกกำลัง ‘#ไมโครซอฟท์’ เปิดโครงการ ‘THAI Academy’ ยกระดับทักษะ AI คนไทย 1 ล้านคน ขับเคลื่อนประเทศสู่ยุค AI First

วันที่ (21 เม.ย 68) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยถึงการเปิดตัวโครงการ ‘THAI Academy ขับเคลื่อนอนาคต AI ประเทศไทย’ ซึ่งรัฐบาลไทย โดยกระทรวงดีอี ได้ผนึกกำลังร่วมกับ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย และพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนดำเนินการขึ้นว่า  รัฐบาลไทยโดยกระทรวงดีอี มีเป้าหมายสำคัญในการยกระดับทักษะด้าน AI สำหรับคนไทย จึงได้ผนึกกำลังกับไมโครซอฟท์ ประเทศไทย เปิดตัวโครงการ ‘THAI Academy ขับเคลื่อนอนาคต AI ประเทศไทย’ ยกระดับพันธกิจการเสริมทักษะด้าน AI  ให้ครอบคลุมคนไทยกว่า 1 ล้านคน ภายใต้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับไมโครซอฟท์และพันธมิตรจากภาครัฐและภาคเอกชนรวมกว่า 35 องค์กร ในการร่วมกันขับเคลื่อนประเทศสู่ยุค AI First

นายประเสริฐ กล่าวว่า AI เป็นเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญในการนำพาประเทศไทยให้ก้าวเดินและเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งบนเวทีโลก รัฐบาลไทยได้วางแผนแม่บท AI แห่งชาติที่มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพในหลายมิติ รวมถึงการสร้างความรู้ความเข้าใจด้าน AI ให้กับประชาชนอย่างกว้างขวางและทั่วถึง การร่วมกันเปิดตัวโครงการ THAI Academy ครั้งนี้ สอดคล้องเป็นอย่างดีกับแผนงานของภาครัฐในการจับมือกับผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยี เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยโดยเร็วที่สุด

ด้าน นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ขอขอบคุณรัฐบาลไทย ที่เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาทักษะ AI ให้กับคนไทย ภายใต้โครงการ THAI Academy ไมโครซอฟท์ มุ่งมั่นทำงานประสานกับหลากหลายหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน เปิดโอกาสการเรียนรู้ทักษะ AI ให้กับคนไทยได้อย่างกว้างขวาง ให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีเป้าหมายยกระดับทักษะคนไทยมากกว่า 1 ล้านคน ภายในปี 2568 นี้

AI Skills Navigator แพลตฟอร์มการเรียนรู้ด้าน AI เพื่อคนไทยทุกคน โดยจะรวบรวมหลักสูตรด้าน AI จากไมโครซอฟท์และพันธมิตร รวมกว่า 200 หลักสูตร เพื่อตอบโจทย์การฝึกทักษะ ทำความเข้าใจ และใช้ประโยชน์จาก AI ในหลากหลายสถานการณ์ นับตั้งแต่ผู้เริ่มต้นใช้งาน บุคคลทั่วไป คนทำงานเฉพาะทาง ไปจนถึงนักพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยมีหลักสูตรไฮไลท์สำหรับผู้เริ่มเรียนรู้ใน 3 ระดับ ได้แก่ “AI Basics”ปูพื้นฐานตั้งแต่ความเข้าใจในเทคโนโลยี AI ประวัติศาสตร์และที่มาเบื้องหลังนวัตกรรม และพื้นฐานในการเริ่มใช้งาน , “AI Skills for Everyone” หลักสูตรรวบรัดที่เจาะพื้นฐานการใช้งานเครื่องมือ AI บนแพลตฟอร์มของไมโครซอฟท์ในสถานการณ์ประจำวันอย่างถูกต้อง แม่นยำ และได้ผลจริง และ “Azure AI: Zero to Hero” เปิดประตูให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์และนักศึกษาก้าวสู่โลกของคลาวด์และ AI อย่างเต็มตัว กับพื้นฐานในการสรรสร้างเครื่องมือและโซลูชันพลังงาน AI เพื่อแก้ปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

นายธนวัฒน์ กล่าวว่า คนเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการเปลี่ยนแปลงประเทศ หากเรายังไม่เริ่มพัฒนาทักษะด้าน AI วันนี้ เราจะเสียโอกาสและถูกทิ้งห่างอย่างรวดเร็ว การพัฒนาทักษะด้าน AI ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างนวัตกรรมและความก้าวหน้าในทุกภาคส่วนของประเทศ การลงทุนในทักษะ AI วันนี้ จะเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทาย ข้อมูลจาก LinkedIn ชี้ให้เห็นว่า 70% ของทักษะที่จำเป็นสำหรับตำแหน่งงานส่วนใหญ่ในอนาคตจะแตกต่างไปจากปัจจุบัน โดยมีตำแหน่งงานที่ต้องการทักษะการใช้งาน AI เพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า

ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถเริ่มเรียนรู้ทักษะ AI ด้วยตนเองผ่าน AI Skills Navigator ได้แล้ววันนี้ที่ https://aiskillsnavigator.microsoft.com/th-th  โดยไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากเนื้อหาทั้ง 200 หลักสูตรที่รวบรวมไว้ในที่เดียวแล้ว แพลตฟอร์มนี้ยังสามารถแนะนำหลักสูตรที่เหมาะสม ตรงตามเป้าหมายและความสนใจที่แตกต่างกันไปของผู้เรียนแต่ละคน

นอกเหนือจากแพลตฟอร์ม AI Skills Navigator แล้ว โครงการ THAI Academy ยังครอบคลุมความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐในหลายมิติ โดยมีตัวอย่างโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ ทั้ง การจับมือกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบรายการ (กพร.) และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร. / DGA) เพื่อพัฒนาทักษะด้าน AI ให้กับข้าราชการไทยกว่า 100,000 คน พร้อมร่วมกับ สพร. ในการจัดกิจกรรม “GovAI Hackathon” ที่เปิดให้บุคลากรภาครัฐจากทุกหน่วยงานมาร่วมแชร์แนวคิดการใช้ AI ให้เกิดประโยชน์กับประเทศไทย โดยกิจกรรมนี้เปิดรับสมัครจนถึงวันที่ 12 พฤษภาคม 2568 , การจับมือกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน เสริมทักษะ AI ให้แรงงานไทยและผู้ที่กำลังมองหางานทั่วประเทศ รวมกว่า 100,000 คน และร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ฝึกอบรมทักษะเฉพาะทางด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับบุคลากรของ สกมช. และตัวแทนจากองค์กรที่ดูแลโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศรวมกว่า 300 คน ควบคู่ไปกับการจัดอบรมทักษะด้าน AI และความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้แก่นักเรียน-นักศึกษากว่า 10,000 คน

รวมทั้งร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการเพื่อพัฒนาทักษะ AI แก่บุคลากรครู 4,500 คน โดยถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจต่อไปยังนักเรียนอีกกว่า 400,000 คนทั่วประเทศ พร้อมกันนี้ ได้ร่วมกับ สถาบันส่งเสริม การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) และ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ แห่งชาติ (เนคเทค) บรรจุเนื้อหาจากหลักสูตรพื้นฐานด้าน AI ของไมโครซอฟท์ไว้ในหลักสูตร AI Literacy หรือความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ AI ตามโครงการขับเคลื่อนการสอนปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ในโรงเรียน ซึ่งมุ่งเป้าไปที่นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 และร่วมสร้างทักษะ AI ให้กับนักศึกษา ผ่านกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยมุ่งเน้นกลุ่มนักศึกษาในสายวิชาด้านเทคโนโลยี เพื่อปั้นนักพัฒนารุ่นใหม่ เสริมตลาดแรงงานสาย AI ในไทยด้วยบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถกว่า 50,000 คน

นอกจากนี้ยังร่วมมือกับสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย (DCT) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ตลาดหลักทรัพย์ ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในการขับเคลื่อนการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยกว่า 20,000 คน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top