Tuesday, 10 June 2025
NEWS FEED

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดพิธีจุดเทียนเปิดงานเทศกาลง่วนเซียว ประจำปี 2566 ณ ศาลเจ้าไต้ฮงกง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

วานนี้ (วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 09.00 น.) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการ นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ พร้อมด้วยคณะกรรมการ ผู้ช่วยกรรมการ ร่วมในพิธีจุดเทียนเปิดงานเทศกาลง่วนเซียว และเริ่มประกอบพิธีสงฆ์ สวดชัยมงคลคาถา (พะเก่ง) ณ ศาลเจ้าไต้ฮงกง มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ 

'หมอยง' เผย 'โควิด 'เข้าสู่โรคประจำฤดูกาล แนะ!! ฉีดวัคซีนประจำปีป้องกันระบาด

(6 ก.พ. 66) ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

โควิด 19 end game โดยเข้าสู่โรคประจำฤดูกาล

โรคโควิด 19 ไม่ได้หายไปไหน และน่าจะสิ้นสุดด้วยการเปลี่ยนเป็นโรคประจำฤดูกาลต่อไป 

ในปีที่ 4 นี้ การนับยอดผู้ป่วยติดเชื้อ ไม่เกิดประโยชน์ เพราะตัวเลขที่รายงานต่ำกว่าความเป็นจริงมาก ขณะนี้ทั่วโลกน่าจะมีการติดเชื้อมากกว่าร้อยละ 70 หรือประมาณ 5 พันล้านคน ตัวเลขที่รายงานการติดเชื้อทั่วโลกมีประมาณเกือบ 700 ล้านคน ต่ำกว่าความเป็นจริงประมาณ 10 เท่า ประเทศไทยก็ไม่ได้รายงานตัวเลขติดเชื้อแล้ว รายงานเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาลและผู้เสียชีวิตเท่านั้น 

องค์การอนามัยโลกคงจะเลิกนับตัวเลขในเร็ว ๆ นี้ หลังจากการระบาดในประเทศจีนลดลง (เพราะส่วนใหญ่ติดเชื้อแล้ว)

ความรุนแรงของโรคลดลงมาโดยตลอด ผู้เสียชีวิตมากกว่าร้อยละ 80 เป็นผู้สูงอายุ และมีโรคประจำตัว จะไม่มีการย้อนไปปิดบ้านปิดเมืองอีกแล้ว 

วัคซีน โดยเฉพาะ mRNA ตลาดควรเป็นของผู้ซื้อ วัคซีนมีอายุสั้น และขวดหนึ่ง ยังมีจำนวน 7-10 โดส จึงยากต่อการใช้ ให้มีการสูญเสียทิ้งให้น้อยที่สุด ประกอบกับมีราคาแพง มีอาการแทรกซ้อนที่พบได้ มากกว่าวัคซีนที่ใช้ในอดีต และในอนาคตเมื่อเทียบกับความรุนแรงของโรค จึงเป็นการยากที่ประเทศกำลังพัฒนาเข้าถึง ความจำเป็นที่จะต้องฉีดทุก 4-6 เดือนไม่มีอีกแล้ว เมื่อเข้าสู่โรคประจำฤดูกาล การให้วัคซีนจะเหลือปีละ 1 ครั้ง การนัดคนมาฉีดพร้อมกันเพื่อลดการสูญเสียของวัคซีนจะทำได้ยากขึ้น โดยเฉพาะวัคซีนมีอายุสั้น การเก็บรักษายุ่งยาก ใช้อุณหภูมิติดลบ ยิ่งทำให้ราคาแพงขึ้น การให้ได้วัคซีนตรงกับสายพันธุ์ยิ่งยากเข้าไปอีก เพราะการพัฒนาต้องมีต้นทุนสูงและเมื่อพัฒนาขึ้นมาแล้วไวรัสก็เปลี่ยนสายพันธุ์ไปอีก 

‘จีเอ็มเอ็ม’ แจง ปมสื่อไต้หวันจวก 4 นักแสดง ชี้ ‘ไฟล์ทดีเลย์-สื่อสารพลาด’ ขอน้อมรับผิด

ดรามาข้ามประเทศเลยทีเดียว หลังสื่อไต้หวันรายงานข่าว 4 นักแสดงไทยจากซีรีส์ F4 Thailand ที่นำแสดงโดย ไบร์ท วชิรวิชญ์ ชีวอารี, วิน เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร, นานิ หิรัญกฤษฎิ์ ช่างคำ และ ดิว จิรวรรตน์ สุทธิวณิชศักดิ์ ทำตัวไม่น่ารัก มาสายกว่า 1 ชั่วโมง ทานขนมระหว่างสัมภาษณ์ หน้าบึ้ง ทีมงานสั่งห้ามถ่ายรูป ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในงาน Shooting Star Asia tour in Thailand จนกลายเป็นประเด็นร้อนระอุอยู่ในขณะนี้

ล่าสุด เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2566 ทางบริษัท จีเอ็มเอ็มทีวี จำกัด ต้นสังกัดของ 4 นักแสดงหนุ่ม ได้ออกแถลงชี้แจงถึงเรื่องราวดังกล่าว ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากไฟล์ทบินดีเลย์ ขอน้อมรับผิด จะระมัดระวังไม่ให้เหตุการณ์นี้อีก

จากกรณีที่มีการพูดถึงในสื่อโซเชียลเกี่ยวกับการสัมภาษณ์ของนักแสดง ที่กรุงไทเป เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 บริษัทขอชี้แจงดังต่อไปนี้

1.) ประเด็นเรื่องการมาสัมภาษณ์ล่าช้า การสัมภาษณ์ได้เกิดการล่าช้ากว่ากำหนดการจริง เนื่องมาจากไฟล์ทบินดีเลย์ จึงทำให้สัมภาษณ์ล่าช้ากว่าเวลาที่นัดหมาย โดยทางผู้จัดงานได้แจ้งกับนักข่าวให้ทราบล่วงหน้าแล้ว ทั้งนี้บริษัทขออภัยในสิ่งที่เกิดขึ้นมา ณ ที่นี้

‘เพจจอดับ’ แชร์เรื่อง หนุ่มวัย 40 เสียชีวิตคาโต๊ะทำงาน เคยเปรย “คงต้องให้ผมตายก่อนละมั้ง ถึงจะหาคนมาช่วยงาน”

ใครว่า "ทำงานจนตาย" ไม่มีจริง หนุ่มวัย 40 กว่า ฝ่ายจัดทำผังรายการทีวี ต้องตรากตรำงานหนัก เจ้าตัวเคยเปรย คงต้องให้ผมตายก่อนละมั้ง เขาถึงจะหาคนมาช่วยงาน

(6 ก.พ. 66) เฟซบุ๊ก จอดับ ได้เผยแพร่เรื่องราวของ หนุ่มวัย 40 กว่า ทำอาชีพฝ่ายจัดทำผังรายการทีวี เสียชีวิตบนโต๊ะทำงาน หลังตรากตรำงานหนัก โดยที่เจ้าตัวเคยเปรย “คงต้องให้ผมตายก่อนละมั้ง เขาถึงจะหาคนมาช่วยงาน” ระบุว่า…

“ทำงานจนตาย” ไม่มีจริง 

มันเพิ่งเกิดขึ้นกับหนุ่มใหญ่ในวงการทีวี

เขาอาจไม่ใช่คนเด่นคนดังนั่งหน้าจอ แต่ก็อยู่มาตั้งแต่สมัยยังเป็นเคเบิ้ลทีวี ในฐานะฝ่ายจัดทำผังรายการ พอมาถึงยุคดิจิทัล งานก็ยิ่งถาโถมหนักขึ้นเรื่อย ๆ โดนสั่งให้ทำผังรายการคนเดียวควบถึง 2 ช่อง ไม่เคยมีการหาคนมาช่วยกันแบ่งเบา

การทำผังรายการมีรายละเอียดหยุมหยิม ทั้งตัวรายการ ทั้งโฆษณา สารพัดสารพัน ต้องคอยปรับแก้ตลอดเวลา แล้วนี้ คน ๆ เดียว ให้เหมาทำทั้ง 2 ช่อง

ในแต่ละวัน เขาต้องทำงานเกินเวลา และแต่ละสัปดาห์ก็ทำงานเกิน 5 วัน บางสัปดาห์ซัดไป 7 วันรวด พอนานไปร่างกายก็เริ่มแย่ มีอาการป่วย พอลาหยุด ลาป่วย ไปได้แค่วันสองวัน ก็โดนโทรจิกตามให้รีบกลับมาทำผังรายการ

นี่มันสถานีโทรทัศน์หรือโรงงานนรกกันแน่ เป็นใครเจอแบบนี้ ก็เสื่อมโทรมทั้งร่างกายและจิตใจ

สุดท้าย เขาก็ตายในหน้าที่ บนโต๊ะทำงานในตึกน้ำผลไม้ ย่านพระราม 6 ร่างกายและจิตใจของเขาแบกรับภาระต่อไปไม่ไหวแล้ว

เขาฟุบลงกับโต๊ะอย่างเงียบ ๆ คว่ำหน้าลงกับงานที่เขาแบกรับจนเกินกำลัง มันอ่อนล้าเกินกว่าที่ร่างกายมนุษย์คนนึงจะทนต่อไปได้ คนผ่านมาเห็นก็นึกว่าเขาแค่ฟุบหลับ จึงไม่ได้ปลุก ปล่อยอยู่เช่นนั้น จนข้ามคืน

แม่บ้านมาเจอเขาในตอนเช้า จึงได้รู้ว่าร่างนั้นไม่มีลมหายใจแล้ว

ฐานรากของพิรามิดที่สูงตระหง่าน มักจะเต็มไปด้วยซากศพของแรงงานทาส ที่ถูกปล่อยทิ้งอย่างไร้ค่า
หลับให้สบายนะเบิร์ด โบยบินไปสู่เสรี เธอหลุดพ้นจากพันธนาการของโลกนี้แล้ว

ต่อมา เพจจอดับ ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติม คงต้องรอให้ผมตายก่อนละมั้ง ที่เบิร์ดต้องมีติดตัวตลอดเวลาคือถุงใส่ยา

แต่โดยรวมเขาก็แข็งแรงดี ไม่ถึงขนาดล้มหมอนนอนเสื่อ ก็เหมือนชายวัย 40 กว่า ๆ ทั่วไป ที่มีปัญหาเรื่องความดัน เรื่องน้ำตาล เป็นธรรมดา

‘ฝนหลวง’ โครงการจากน้ำพระทัย ‘ในหลวง ร.9’ ช่วยคนไทยรอดตายจากฝุ่น PM 2.5

ไม่เฉพาะ 'คนกรุง' ที่รอดตายจากฝุ่น PM 2.5
หากแต่ 'รอดกันทั้งประเทศ'!
เพราะจู่ๆ 'ฝน' ก็ตกลงมาสยบเจ้า PM 2.5 จนพอหายใจ-หายคอกันได้บ้าง
ตกมาแล้ว ๒-๓ วันติด ไม่เฉพาะใน กทม. หากแต่ 'ตกทั่วฟ้า' ทั้ง เหนือ-อีสาน-ตะวันออก-กลาง

และจะตกเป็น 'พระพิรุณปราบฝุ่น' ไปจนกว่า PM 2.5 จะสิ้นฤทธิ์
ผมรู้ได้ไง ใจเย็นๆ...เดี๋ยวบอก!
อ่านนี่ก่อน เมื่อวาน (๕ ก.พ.๖๖) "ศูนย์ป้องกันน้ำท่วม กรุงเทพมหานคร" ของชัชชาติ ออกข่าว ว่า

"เวลา ๑๕.๐๐ น. ฝนเล็กน้อยถึงปานกลาง เขตบางซื่อ  บางพลัด พญาไท ดุสิต
เคลื่อนตัวทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เเนวโน้มคงที่ ปริมาณฝนสูงสุดเขตราชเทวี 2.0 มม."
แหม…

กทม.ออกข่าวประหยัดข้อมูลจริงนะ น่าจะบอกให้ชัดซักหน่อย ว่า "ฝนมาไง-เป็นไง"?
ตกตามธรรมชาติ หรือผู้ว่าฯ ชัชชาติบันดาล?
ไม่เหมือนตอนหาเสียงเลย

"ทั้งทีม" รู้ทุกเรื่อง พูดเป็นต่อยหอยทุกเรื่อง แต่ตอนทำงานกลับ "อมสาก" ทุกเรื่อง
คนเป็นผู้ว่าฯ เหมือนกัน.....
หมื่นรู้ แสนสัญญา ปานพระวิศณุกรรมอวตารลงเป็นชัชชาติ ปัญหา กทม.ถ้าแก้ไม่ได้ ใครก็ไม่ควรมาเป็นผู้ว่าฯ
ควร "ลาออกไปซะ"!

แล้วเป็นไง กลายเป็น "ผู้ว่าฯ เวรกรรม" ของคนกรุง ร่วมปี ซักเรื่อง...เคยมีที่แก้ได้บ้างมั้ยล่ะ?
"แก้ได้ทุกเรื่อง" มีเรื่องเดียวคือ "แก้ตัว"!
ฝุ่น PM 2.5 มืดคลุมเมือง.......
จนน้ำหู-น้ำตาไหลปนน้ำมูก ไอจามกันค็อกแค็กทั้งกรุง

หน่วยปั้นข่าวยังทะลึ่งออกมาอุ้มไข่ บอกไม่ใช่ฝุ่น แต่เป็น "หมอกหน้าหนาว"!
มันน่า "เจริญพวง" ซะจริงๆ!
ผู้ว่าฯ "สัญญาแลกเกี๊ยะ" ๒๑๔ ข้อ นั่นก็ไม่รู้ไปตามเก็บเกี๊ยะอยู่ที่ไหน?
เห็นแต่ "ทหาร" ออกมาฉีดน้ำล้างถนน-ไล่ฝุ่น
จะไล่ได้-ไม่ได้ ไม่เป็นปัญหา อย่างน้อย ก็ทำให้ชาวบ้านมองเห็น "ที่พึ่ง-ที่หวัง"

ว่ายามมีปัญหา "ทุกปัญหา" ต้องเห็น "ทหาร" ออกมายืนเคียงข้าง คอยปกป้อง-ดูแล ประชาชน
ดีกว่า ไอ้คนที่มีหน้าที่ทำ แต่ไม่ทำอะไรเลย แถมหัวก็ไม่เห็นอีกตะหาก
ใครไม่รู้ "เฉาฉุ่ย" ไว้ตอนเลือกทีมงาน ว่า...
"ดูในแต่ละมิติ อย่างรองผู้ว่าฯ เราก็รู้ว่า มีสำนักอะไรดูแลบ้าง ขอให้มีความหลากหลาย ทั้งประสบการณ์ มีความรู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง

แต่ละคน จะมีความเชี่ยวชาญที่หลากหลายกันไป
สำคัญที่สุดคือ ซื่อสัตย์ โปร่งใส สุจริตที่เราไว้วางใจได้ นอกจากนี้ มีทีมที่ปรึกษาทางเทคนิคอีกกว่า ๓๐-๔๐ คน ซึ่งเป็นกลุ่มนักวิชาการที่เราปรึกษามา ๒ ปีกว่า
ตอนที่เราปรึกษา....

เราเป็นการเมืองการเลือกตั้ง หลายๆ ท่าน เปิดตัวไม่ได้ พอเราเป็นข้าราชการ กทม.แล้ว เราสามารถเปิดตัวท่านได้"
แล้วไหนล่ะ ผู้เชี่ยวชาญที่หลากหลาย อยากเห็นจัง
เก่งฉิบ....

แค่ ๗-๘ เดือน บรรดาผู้เชี่ยวชาญของชัชชาติทำให้ กทม.วินาศสันตะโรได้ถึงขนาดนี้?
แล้วตอนนี้ "หึ่ง" ไปหมด
ไอ้ "ซื่อสัตย์ โปร่งใส สุจริตที่เราไว้วางใจได้" ของชัชชาตินั่นน่ะ
"คุณชูวิทย์" ชำระตำนาน "ส่วยตำรวจ" เสร็จเมื่อไหร่
ผมจะนิมนต์มาแฉตำนาน "ส่วย กทม." ตอนนี้บ้าง!!!

ถ้าชัชชาติอยากรู้....
ไปถาม "ประธานที่ปรึกษา" ของท่านดูซิ ว่ารู้เรื่องบ้างมั้ย...ที่ลงไปเก็บส่วยกันถึงในแต่ละเขตนั่นน่ะ?
จริงๆ แล้ว เรื่องฝุ่น PM 2.5 คนกรุงพอเข้าใจได้ว่า มันเป็น "ฝุ่นประจำฤดูกาล"
ต้นปีที จะเป็น "ฤดูเผา" ทั้งเกษตรกรบ้านเราและประเทศเพื่อนบ้าน ฝุ่น PM 2.5 ก็จะปลิวมาทุกปี

ก็บ่นๆ กันไป พอแค่ได้ระบาย
ที่จะไปเค้นคอให้ "ผู้ว่าฯ สัญญาแลกเกี๊ยะ" แสดงอภินิหารแปลงกายเป็นพระพายไปไล่ฝุ่นนั้น
ไม่มีใครเขา "ยึดขยะ" เป็นสรณะถึงขนาดนั้นหรอก!
ที่ผมต้องพูดถึงคณะบริหาร กทม.วันนี้ ไม่ใช่เพราะผิดหวังในตัวพวกท่าน

เพราะรู้ ก็แค่ "กอเอี๊ยะ" ปิดฝีที่ตูด หวังจะให้ดูดหัวออกมานั้น มันสรรพคุณเกินจริง
ที่ต้องพูด สืบเนื่องจากข่าวที่ กทม.สื่อสารถึงชาวบ้านประเด็นฝนตกช่วงฝุ่น PM 2.5 กำลังจะฆ่าคนกรุงนั่นแหละ

กทม.ของชัชชาติ ออกข่าวเพียงว่า....
"๑๕.๐๐ น. ฝนตกเล็กน้อยถึงปานกลาง เขตบางซื่อ บางพลัด พญาไท ดุสิต...." แบบนั้นน่ะ

นั่นมันเหมือนการแถลงข่าวของบางประเทศเพื่อนบ้านเมื่อ ๕๐ กว่าปีที่แล้ว "ฝนตกเมื่อไหร่จะบอก"
คนเขาอยากรู้ "ฝนตกช่วงนี้ได้อย่างไร" ตะหาก
จะมาตวัก-ตะบวยบอกทำไมแค่ฝนตก?
ที่ กทม.ออกข่าวแบบนี้ ผิดวิสัยการให้ข้อมูลข่าวสารตามหลัก "การประชาสัมพันธ์" โดยสุจริต ถึงประชาชน ในสถานการณ์ PM 2.5 กำลังคลุมเมือง

มองเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากมองได้ในทางเจตนาเดียวคือ กทม.ต้องการให้ชาวบ้านเข้าใจเอาว่า
"เป็นฝนตกลงมาเองตามธรรมชาติ"!
ซึ่งมันไม่ใช่ และ กทม.ก็รู้อยู่แก่ใจ ว่ามันไม่ใช่ฝนจากฟ้าบันดาลลงมาดับฝุ่นเอง
แต่ก็ กทม.ก็ไม่ยอมบอก "เหตุฝนตก" ให้ประชาชนทราบ
อิจฉา...ซ่อนเร้นเจตนา หรือ กทม.กลัวจะเสียหน้า!?

สู้ปล่อยให้ "ครุมเครือในข้อมูล" อย่างนี้ดีกว่า ยังพอเอา ไปเคลมกับคน ๑.๓ ล้านได้บ้าง
ผมขอบอกให้ทุกคนทราบว่า ฝนที่ตกลงมาดับฝุ่น PM 2.5 ทั้งในกรุงและต่างจังหวัดขณะนี้ คือ
"ฝนหลวง" ครับ....
ไม่ใช่ฝนตกตามธรรมชาติ หรือฝนร้อยห่าชัชชาติบันดาลตกใน กทม.อย่างที่พยายามปกปิดข้อมูลกัน
"ฝนหลวง" คืออะไร?

คือ โครงการที่เกิดขึ้นจากพระราชดำริส่วนพระองค์
ใน "พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร" รัชกาล ที่ ๙
จุดประสงค์ เพื่อสร้าง "ฝนเทียม" สำหรับบรรเทาความแห้งแล้งให้แก่เกษตรกร เมื่อคราวเสด็จฯ เยี่ยมพสกนิกร ปี พ.ศ.๒๔๙๘ ในภาคอีสาน

จึงพระราชทานโครงการพระราชดำริฝนหลวงให้ "ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล" ไปดำเนินการ
จึงได้เกิดเป็น "โครงการค้นคว้าทดลอง" ปฏิบัติการ "ฝนเทียม" หรือ "ฝนหลวง" ขึ้น ตราบทุกวันนี้

ที่ฝนตกบรรเทาฝุ่น PM 2.5 ทั้ง เหนือ-อีสาน-ตะวันออก-กลาง และ กทม. ก็จากการบินขึ้นไปปฏิบัติการทำ "ฝนหลวง"
ของ "กรมฝนหลวงและการเกษตร" นั่นเอง!

กาฬสินธุ์อลังการเดินแบบผ้าผู้ไทโบราณอายุกว่า 100 ปี

ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ พร้อมด้วยนายกเหล่ากาชาดจังหวัดกาฬสินธุ์ ส่วนราชการ ผู้นำท้องถิ่น ประชาชนชาวผู้ไท ทุกเพศ ทุกวัย กว่า 200 ชีวิต สร้างมิติใหม่ให้โลกจำ สวมชุดผู้ไทโบราณ ชุดผู้ไทดั้งเดิม ชุดผู้ไทประยุกต์ ขึ้นแคตวอล์คโชว์ความเก่าแก่ ประณีต สวยงาม บนเวทีเดินแบบผู้ไท อีกหนึ่งไฮไลต์ในงานมหกรรมผู้ไทนานาชาติ 'โฮมรากเหง้าเผ่าผู้ไท' ที่เวทีกลาง สวนเฉลิมพระเกียรติ อ่างเก็บน้ำห้วยสายนาเวียง ต.คุ้มเก่า อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ผวจ.กาฬสินธุ์ เป็นประธานเปิดงานเดินแบบชุดผู้ไท ไฮไลต์ผ้าไทยในงานมหกรรมผู้ไทนานาชาติ 'โฮมรากเหง้าเผ่าผู้ไท' ที่ทาง อ.เขาวง โดยเทศบาลตำบลกุดสิม ร่วมกับสำนักงานวัฒนธรรม จ.กาฬสินธุ์ และหลายภาคส่วนร่วมกันจัดขึ้น 

โดยมี นายประเสริฐ บุญเรือง ส.ส.กาฬสินธุ์ ผศ.จุรีรัตน์ กอเจริญยศ นายกเหล่ากาชาด จ.กาฬสินธุ์ นายปราชญา อุ่นเพชรวรากร รอง ผวจ.กาฬสินธุ์ นางเฉลิมขวัญ หล่อตระกูล นายก อบจ.กาฬสินธุ์ นางสาววิภาวี บุญเรือง นายก ทต.กุดสิม  พร้อมด้วยส่วนราชการ ผู้นำท้องถิ่น ประชาชนชาวผู้ไท ร่วมงาน และสวมชุดผู้ไทโบราณ ชุดผู้ไทดั้งเดิม ชุดผู้ไทประยุกต์ กว่า 200 ชุด ซึ่งหลายชุดเป็นเสื้อผู้ไทมรดกและมีอายุกว่า 100 ปี สร้างสีสันและความฮือฮาเป็นอย่างมาก

นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ผวจ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า เวทีเดินแบบชุดผู้ไทดังกล่าว เป็นอีกไฮไลต์หนึ่งในงานมหกรรมผู้ไทนานาชาติ 'โฮมรากเหง้าเผ่าผู้ไท' ที่ทาง อ.เขาวง โดยเทศบาลตำบลกุดสิม ร่วมกับสำนักงานวัฒนธรรม จ.กาฬสินธุ์ และหลายภาคส่วนร่วมกันจัดขึ้น เพื่อแสดงออกถึงวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม ของพี่น้องชาติพันธุ์ผู้ไท จากหลายท้องที่ ที่มีการสืบสานมาตั้งตั้งแต่บรรพบุรุษถึงอนุชนรุ่นหลัง ซึ่งมีอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ที่โดดเด่น มีความเข้มแข็ง เหนียวแน่น มีความพร้อมเพรียง สมัครสมานสามัคคี เป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินชีวิต ที่สำคัญคือเป็นวิถีแห่งการดำเนินชีวิตและการดำรงอยู่แบบเรียบง่าย รักความสงบ

ผู้บัญชาการทหารเรือ ตรวจเยี่ยมหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง เขตเชียงราย

วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 09.00 น. พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พร้อมคณะนายทหารระดับสูงของกองทัพเรือ เดินทางไปตรวจเยี่ยมหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง ณ กองบังคับการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง เขตเชียงราย อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย โดยมี พลเรือตรี สมาน ขันธพงษ์ ผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง และ นาวาเอก ศราวุธ เถื่อนบุญ ผู้บังคับหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง เขตเชียงราย ให้การต้อนรับ 

โอกาสนี้ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้มอบโอวาทแก่กำลังพล รวมทั้งกล่าวชื่นชมหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง เขตเชียงราย ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้สร้างผลงานให้เป็นที่ปรากฏสร้างชื่อเสียงให้แก่กองทัพเรือและประเทศชาติเป็นอย่างมาก ทั้งยังขอให้กำลังพลทุกนายเตรียมพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง โดยยึดถือผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง และให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งเสริมสร้างและรักษาความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้การรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพเรือเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

สมัชชาฯ คนพิการทางสติปัญญาโหวตลงคะแนนให้ นายกสมาคมฯ เดิมดำรงตำแหน่งต่อ

สมาคมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญาแห่งประเทศไทย จัดโครงการประชุมสมัชชาองค์กรเครือข่ายคนพิการทางสติปัญญา และประชุมสามัญประจำาปี 2566 วันที่ 3, 4, 5 กุมภาพันธ์ 2566 (ศุกร์, เสาร์, อาทิตย์) เวลา 08.00 - 17.00 น. ณ โรงแรม รามาดา พลาซา บาย วินด์แฮม แบงคอก แม่น้ำริเวอร์ไซด์ ถนนเจริญกรุง กรุงเทพมหานคร โดย นายสุชาติ โอวาทวรรณสกุล นายกสมาคมฯ ได้กล่าวถึงการประชุมในครั้งนี้ว่า การประชุมสามัญประจำปี 2566 จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ชมรมเครือข่ายทราบผลการดำเนินงานของสมาคมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญาแห่งประเทศไทย และประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินงานเพื่อวางแผนการดำเนินงานของชมรมเครือข่ายตามแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการของสมาคมฯ เพื่อการจัดประชุมสามัญประจำปี 2565 และสอดคล้องตามแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติฉบับที่ 5 พ.ศ.2560 -2564 ยุทธศาสตร์ที่ 1 เสริมพลังคนพิการและองค์กรด้านคนพิการให้มีศักยภาพและความเข้มแข็ง 

นอกจากนี้ ยังมีการวงแผนการดำเนินงานของชมรมเครือข่าย และจัดทำแผนการดำเนินงานในปีต่อไป โดยมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลการดำเนินงานของชมรมเครือข่าย และจัดทำแผนการดำเนินงานในปีต่อไป 

นอกจากนี้ได้มีการคัดเลือกนายกสมาคมฯ ที่หมดหน้าที่ตามวาระ โดยมีกรรมการที่ทำหน้าที่ในการเลือกตั้ง คือ นายชูศักดิ์ จันทยานนท์, นายสุพล บริสุทธิ์, และ นางสาววิจิตรา รชตะนันทิกุล ซึ่งมติที่ประชุมได้ลงมติให้ นายสุชาติ โอวาทวรรณสกุล ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญาแห่งประเทศไทย ตามเดิมด้วยมติเป็นเอกฉันท์

ชวนเที่ยวเทศกาลดอกไม้ 'เชียงใหม่ บลูมส์ 2023' กระตุ้นเศรษฐกิจเชียงใหม่ เบิกบานตลอดเดือนกุมภาพันธ์นี้

'เชียงใหม่ บลูมส์' เทศกาลเชียงใหม่เบิกบาน จัดโดยสมาคมวิศิษฏ์ล้านนาเพื่ออุตสาหกรรมไมซ์และการท่องเที่ยว (VISIT LANNA) นำปฏิทินท่องเที่ยวดอกไม้เชียงใหม่เดือนกุมภาพันธ์กลับมาอีกครั้งเต็มรูปแบบ ทั้งกิน เที่ยว ช็อป เวิร์คช็อป สปา และไนท์ไลฟ์ จับมือพันธมิตรทั้งธุรกิจและชุมชนทุกมุมเมืองชู 14 ไฮไลต์ห้ามพลาด ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ตามแนวทาง 'เฟสติวัลซิตี้' กิจกรรมแน่นตลอดเดือนทั้งหน้างานและออนไลน์ ผ่าน www.chiangmaiblooms.com

นางละเอียด บุ้งศรีทอง นายกสมาคมวิศิษฏ์ล้านนาเพื่ออุตสาหกรรมไมซ์และการท่องเที่ยว กล่าวว่า เทศกาลเชียงใหม่เบิกบาน หรือ เชียงใหม่ บลูมส์ จัดขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2560 จากการร่วมมือกันระหว่างภาคเอกชนในเชียงใหม่ นำดอกไม้มาสร้างสรรค์เป็นกิจกรรม สินค้า และบริการ ต่อยอดธุรกิจท่องเที่ยวดอกไม้จากการจัดงานมหกรรมไม้ดอกไม้ประดับมาเกือบครึ่งศตวรรษ ยกระดับสู่เทศกาลไลฟ์สไตล์ชั้นนำของประเทศ สนับสนุนโดยสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) และหน่วยงานภาครัฐหลายแห่ง จนเครือข่ายธุรกิจและประชาสังคมสามารถรวมตัวกันจัดตั้งเป็นสมาคมวิศิษฏ์ล้านนาเพื่ออุตสาหกรรมไมซ์และการท่องเที่ยว หรือ VISIT LANNA ได้สำเร็จ สมาคมฯ มุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน ผลักดันเชียงใหม่ บลูมส์ และเทศกาลอื่น ๆ ให้เป็นแม่เหล็กเศรษฐกิจท่องเที่ยวของเชียงใหม่ ตามแนวทาง เฟสติวัลซิตี้ หรือ เชียงใหม่เมืองเทศกาล ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะส่งผลดีทางเศรษฐกิจให้แก่ภาคเอกชนและชุมชนของเชียงใหม่ได้อย่างทั่วถึง

ในปี 2566 VISIT LANNA ตอกย้ำความสำเร็จของเชียงใหม่จากการเป็นเมืองเทศกาลระดับโลก การันตีรางวัลจากสมาคมนักจัดเทศกาลนานาชาติ สหรัฐอเมริกา เมื่อปีที่แล้ว เชียงใหม่ บลูมส์ครั้งนี้มาให้แนวคิด แมจิก โมเมนต์ส มนต์เสน่ห์ดอกไม้คู่เวียง ชู 14 ไฮไลต์กิจกรรมดอกไม้ตลอดเดือนกุมภาพันธ์ ได้แก่

 1. Chiang Mai Blooms Souvenir Contest กิจกรรม การแข่งขันประกวดออกแบบสินค้าของที่ระลึกงานเทศกาลเชียงใหม่เบิกบาน จัดประกวดวันที่ 14 พ.ย. - 13 ธ.ค. 65

2. Chiang Mai Blooms City Gallery X หอภาพถ่ายล้านนา

จะมี 3 Highlights ได้แก่  

• Chiang Mai Blooms Photo Contest X หอภาพถ่ายล้านนา Chiang Mai

จัดแสดง 1-28 ก.พ. 66 ณ หอภาพถ่ายล้านนา

• Blooms Photo Exhibition นิทรรศการภาพถ่ายจากกิจกรรมประกวดถ่ายภาพ ดอกไม้เชียงใหม่บลูมส์  จัดแสดง 1-28 ก.พ. 66 ณ หอภาพถ่ายล้านนา

ศรชล.ภาค 1 จัดเรือพร้อมชุดแพทย์ฉุกเฉิน ช่วยเหลือลูกเรือประมงเจ็บป่วยกลางทะเล

ตามที่ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 1 (ศรชล.ภาค 1) ได้รับแจ้งจากสมาคมการประมงสมุทรปราการ ผ่านทางเครือข่ายวิทยุมดดำนาวี ทัพเรือภาคที่ 1 ว่า เรือ ส.สมบูรณ์เจริญพร 7 ขณะทำการประมงอยู่บริเวณทางด้านทิศใต้ของเกาะแสมสาร อ.สัตหีบ จว.ชลบุรี ห่างไปประมาณ 120 ไมล์ มีลูกเรือประมงชื่อ นายหนูจร พิลาน้อย เกิดอาการแขนและขาข้างขวาชา ไม่รู้สึกเจ็บ ปากเบี้ยว แต่ยังพูดพอรู้เรื่อง จึงได้ประสานขอความช่วยเหลือในการนำเรือไปรับผู้ป่วยเข้ารับการรักษา ในขณะเดียวกันทางเรือประมงได้เร่งเก็บกู้อวน เพื่อนำลูกเรือที่ป่วยกลับเข้าฝั่งเช่นกัน เหตุเกิดเมื่อ วันที่ 4 ก.พ.66 เวลา 18.15 น. 

และในวันนี้ 5 ก.พ.66 เวลา 07.00 น. เรือ ส.สมบูรณ์เจริญพร 7 ได้เดินทางมาถึงบริเวณทางด้านทิศใต้ ระยะประมาณ 30 ไมล์ จากแหลมปู่เจ้า อ.สัตหีบ จว.ชลบุรี ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 1 จึงได้จัดเรือ ต.267 จากทัพเรือภาคที่ 1 พร้อมชุดแพทย์ฉุกเฉิน จากศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการทางด้านการแพทย์ ทางทะเลภาค 1 เจ้าหน้าชุดสหวิชาชีพจาก ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และศูนย์ควบคุมความมั่นคงท่าเรือ จังหวัดชลบุรี ร่วมเดินทางไปกับเรือ เพื่อรับผู้ป่วยกลางทะเล ซึ่งเมื่อเรือ ต.267 ได้เดินทางถึงเรือ ส.สมบูรณ์เจริญพร 7 ณ บริเวณทางด้านใต้แหลมปู่เจ้า ระยะประมาณ 22 ไมล์ ชุดแพทย์ฉุกเฉินได้ทำการตรวจร่างกายในเบื้องต้น สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากอาการเส้นเลือดในสมองตีบ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top