Monday, 28 April 2025
NEWS FEED

‘ลุงป้อม’ ร่วมประชุม 2 คณะ ลุยเดินหน้าแก้ภาวะโลกร้อนทุกมิติ พร้อมผลักดัน ‘เมืองศรีเทพ’ สู่มรดกโลก เพื่อฟื้นฟูท่องเที่ยว-ศก.

(10 ส.ค. 66) พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุม 2 คณะ ต่อเนื่องกัน ได้แก่ คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (กนภ.) และคณะกรรมการแห่งชาติ ว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก โดยมีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเข้าร่วมประชุม ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

การประชุม กนภ. ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้า การจัดทำแผนปฎิบัติการลดก๊าซเรือนกระจก ของประเทศ ตามเป้าหมายการมีส่วนร่วม (NDC) ซึ่งจะมีการใช้เทคโนโลยีการดักจับ และการกักเก็บคาร์บอน โดยเร่งผลักดันโครงการนำร่องที่แหล่งก๊าซธรรมชาติอาทิตย์ (Arthit CCS) ที่มีศักยภาพกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 0.7-1ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี และได้มีการพิจารณาเห็นชอบร่างความตกลงการจัดตั้งศูนย์อาเซียน ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาเซียน (ACCC) ซึ่งจะมีการประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียน ครั้งที่ 17 ห้วง 22-24 ส.ค.66 ณ สปป.ลาว และเห็นชอบให้ไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิก Climate Club เพื่อเป็นเวทีระหว่างรัฐบาลสำหรับแลกเปลี่ยนนโยบายแนวปฏิบัติการดำเนินงานและองค์ความรู้ เพื่อลดก๊าซเรือนกระจกให้ครอบคลุมทุกมิติ โดยเริ่มจากภาคอุตสาหกรรม และจะมีการเปิดตัวในการประชุม COP 28 ที่เมืองดูไบต่อไป ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้กำชับให้คณะกรรมการฯ มีการติดตาม และรายงานการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด

จากนั้น พล.อ.ประวิตร ได้ประชุมต่อเนื่อง คณะกรรมการแห่งชาติ ว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก โดยรับทราบความคืบหน้าการนำเสนอ ‘อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท’ จ.อุดรธานี เป็นแหล่งมรดกโลก ซึ่งจะได้มีการพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 46 ในปี 2567 ต่อไป จากนั้นได้มีการพิจารณาเห็นชอบ กำหนดท่าทีของไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 45 ที่จะมีขึ้น ห้วง 10-25 ก.ย.66 ณ กรุงริยาด ประเทศซาอุดิอาระเบีย ซึ่งจะมีการพิจารณา ‘เมืองโบราณศรีเทพ’ จ.เพชรบูรณ์ ให้เป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมของไทย (แหล่งที่4) และไทยจะมีแหล่งมรดกโลกเพิ่มขึ้นเป็นแหล่งที่ 7 ด้วย

พล.อ.ประวิตร ได้ขอบคุณ คณะกรรมการฯ, คณะทำงานฯ และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ร่วมกันผลักดัน ‘เมืองโบราณศรีเทพ’ ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และมีความคืบหน้าอย่างน่าพอใจ ถือเป็นผลงานที่สำคัญและมีคุณค่ายิ่งต่อประเทศชาติและคนไทย เพราะจะสร้างความภาคภูมิใจ ความรักและความหวงแหนต่อแหล่งดังกล่าว ให้กับท้องถิ่น รวมทั้งเป็นที่รู้จักและสนใจในฐานะแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวของประเทศ ที่จะได้รับการยกย่องและ สร้างแรงจูงใจในการท่องเที่ยว ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับชุมชนและประเทศชาติได้ต่อไป

‘ดร.ธรณ์’ สลดใจ!! หลังเห็นภาพหมอกวาดก้อนน้ำมันให้เต่าตนุ ชี้ ควรรักษาคุณภาพชายฝั่งให้ดี ก่อนธรรมชาติพินาศในพริบตา

วันนี้ (10 ส.ค.) เฟซบุ๊ก ‘Thon Thamrongnawasawat’ หรือ ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์ภาพพร้อมระบุข้อความว่า “ภาพคุณหมอผู้ดูแลสัตว์ทะเลหายากกำลังค่อย ๆ กวาดก้อนน้ำมันออกมาจากคอน้องเต่าตนุตัวน้อย เป็นอะไรที่บาดใจผมมาก และคงบาดใจเพื่อนธรณ์คนรักทะเลสุด ๆ เท่าที่ทราบ เธอเป็นเต่าตัวที่ 3 แล้วที่โดนคราบน้ำมันที่ภูเก็ต และตัวหนึ่งตายไปแล้ว

ตั้งแต่เริ่มทำงานทะเลมาถึงวันนี้ เกือบ 40 ปี ผมคิดไม่ออกว่าเคยมีกรณีไหนในทะเลไทยที่เต่าโดนคราบน้ำมันมากถึงขนาดนี้ จึงไม่อยากให้เป็นเพียงแค่ผ่านเลยไป เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องน่าสงสารจัง ประเทศไทยเข้าร่วมอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ เราใช้ SDG เป็นตัวชี้วัดอะไรหลายประการ เรายังลงนามและเข้าร่วมในหลายประเด็นที่เกี่ยวกับสัตว์ทะเลหายาก แต่เต่าทะเลไทยที่เกยตื้นเป็นจำนวนมากมีขยะติดตัว ไม่ว่าภายนอกหรือภายใน ยังมาโดนซ้ำเติมด้วยคราบน้ำมัน หากเต่าน้อยร้องเป็นภาษาคนได้ เธอคงกรีดร้องว่าจะซ้ำเติมกันไปถึงไหน เธอร้องไม่ได้ แต่แววตาของเธอบอกได้ ลองดูแววตาของเธอสิครับ

ทราบดีว่าทุกฝ่ายกำลังพยายามหาที่มาของคราบน้ำมัน เพื่อติดตามผู้กระทำผิดมาลงโทษ แต่ก็พอทราบว่าโอกาสเป็นไปได้ยากยิ่ง เพราะที่คาดการณ์ว่าเหตุเกิดในระยะห่างฝั่งเกิน 100 กิโลเมตร เรือคงไปไหนถึงไหน (ข้อมูลช่วง 26 ก.ค. - 3 ส.ค. มีเรือ 81 ลำ) ด้วยระบบที่เรามี คงพอบอกได้ว่าเรายังไม่สามารถดูแลชายฝั่ง ดูแลน้องเต่าของเราให้ปลอดภัยจากมลพิษร้ายแรงในทะเล และหากเราไม่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ชายฝั่งมูลค่าท่องเที่ยวหลายแสนล้านต่อปี ยังสุ่มเสี่ยงต่อความพินาศในพริบตา สรรพสัตว์ต่าง ๆ ระบบนิเวศในทะเลก็ยังคงพึ่งเพียงโชคว่าจะไม่เกิดเหตุร้ายแรงขึ้น

เราต้องลงทุนเพื่อเข้าใจและปกป้องทะเลให้มากกว่านี้ รู้จักกระแสน้ำ คลื่นลม รู้พื้นที่สุ่มเสี่ยง หาทางปรับปรุงการเฝ้าระวัง เตือนภัยล่วงหน้า เรื่อยไปจนถึงการรับมือแก้ไขที่ปลายเหตุ เช่น การช่วยชีวิตสัตว์หายาก มันจึงไม่ใช่แค่ความสงสาร มันเป็นมากกว่านั้นเพราะเรายังสามารถทำอะไรให้ดีขึ้นได้ แต่ ณ ตอนนี้ คงได้แต่ขอบคุณและให้กำลังใจคุณหมอและทุกคนผู้เกี่ยวข้องต่อไปการกรอกน้ำมันดินใส่ปาก เป็นบทลงโทษที่มีอยู่ในนรก สำหรับผู้ที่ทำบาปแสนสาหัสเจ้าเต่าน้อยทำบาปอันใด”

'เสือดำแม่ลูก' โชว์ตัวอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน สะท้อน!! ความสมบูรณ์ของพื้นที่ป่าหวนคืน

(10 ส.ค. 66) เพจเฟซบุ๊ก 'บ้านกร่าง แคมป์' สถานที่ท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ได้โพสต์ภาพชุดซึ่งเป็นผลงานภาพถ่ายของ นายกิตติพงษฺ งามจริง เป็นภาพแม่เสือดำและลูกๆอีก 2 ตัว ทำให้เห็นถึงความสมบูรณ์ของพื้นที่ป่าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ทั้งนี้ชาวเน็ตต่างเข้ามาแสดงความคิดเห็นมากมายและต่างชมความน่ารักของแม่เสือดำและลูกๆ 

จากรายการ 'เจาะข่าวตื้น' เมื่อวันที่ 23 มี.ค. 2556 โดยแขกรับเชิญ อ.วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายอิสระ ได้กล่าวไว้ว่า...

“ถ้าพรุ่งนี้มีคนสักหนึ่งพันคน ไปชุมนุมเพื่อจะต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมเชื่อว่าหนึ่งพันคนนั้น ทำไม่สําเร็จหรอก แต่เขาได้แสดงออกแล้ว ผมเชื่อว่ายังมีคนอีกหนึ่งพันล้านคน ที่ยังมีความเชื่อในแบบที่เขาอยากจะเชื่อ นี่คือความสวยงามของประชาธิปไตย แต่ถ้าเกิดเราไปกดหนึ่งพันคนนั้นไม่ให้ไปชุมนุมได้ คนหนึ่งพันก็จะเริ่มอึดอัด กลายเป็นหนึ่งหมื่น หนึ่งแสน หนึ่งล้าน ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่ชอบสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เขาไม่ชอบให้คนอื่นมากด เขาไม่ชอบให้ใครมาบังคับความคิด ประเด็นอยู่ตรงนี้ อย่าทําให้สถาบันพระมหากษัตริย์กลายเป็นควัน ทําให้เป็นอากาศบริสุทธิ์ ล่องลอยเบาๆ สําคัญจนขาดไม่ได้”

เมื่อต่อข้อคำถาม ถ้าเกิดแก้ไปจะทําให้ลดความวิตกพวกนี้ลงไปได้ ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ก็บอกว่า แก้ไปเพื่อที่จะได้จาบจ้วงได้ง่ายมากขึ้นเหรอ? หรือว่าทําให้สถาบันฯ ดูแย่ได้ง่ายมากยิ่งขึ้นหรือเปล่า? “ผมว่าไม่จริงหรอกครับ เพราะว่าการเปิดการแก้กฎหมายเพื่อให้สังคมมีความสบายใจในการพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้น อาจจะมีคนออกมาชมสถาบันพระมหากษัตริย์มากยิ่งขึ้นก็ได้” อ.วีรพัฒน์ กล่าว

สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : https://vt.tiktok.com/ZSLV68dXY/ 
 

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นประธานพิธีเปิดโครงการสัมมนาขับเคลื่อนกลไกการส่งต่อระดับชาติ (NRM) รุ่นที่ 4 ณ จังหวัดชลบุรี

วันนี้ (10 ส.ค.66) เวลา 11.45 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง (ศพดส.ตร.) ได้เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการสัมมนาขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการว่าด้วยกลไกการส่งต่อระดับชาติ การบริหารจัดการคดีและการช่วยเหลือคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ณ ศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี โดยครั้งนี้เป็นการอบรมรุ่นที่ 4 มีข้าราชการตำรวจฝ่ายสืบสวนและสอบสวนในระดับรองสารวัตรถึงระดับสารวัตร จาก ภ.5 ภ.6 และ สอท. จำนวนกว่า 120 นาย เข้าร่วมการสัมมนาในครั้งนี้ ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 – 12 ส.ค.66 

การสัมมนาในครั้งนี้ สืบเนื่องจากผลการประชุมคณะกรรมการประสานและกำกับการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปกค.) โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม.เป็นประธาน มีมติเห็นชอบให้มีแผนปฏิบัติการว่าด้วยกลไกการส่งต่อระดับชาติ (National Referral Mechanism: NRM) และการช่วยเหลือคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และการบังคับใช้แรงงาน พ.ศ.2565 ซึ่งเป็นการยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และยึดหลักผู้เสียหายเป็นศูนย์กลาง (Victim-Centric) การสัมมนาในครั้งนี้จึงจะเป็นคุณประโยชน์ต่อผู้เข้ารับการอบรม ให้มีความรู้ความเข้าใจและความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ และการช่วยเหลือคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า การอบรมนี้ถือเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับปฏิบัติซึ่งจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปฏิบัติในกลไกการส่งต่อระดับชาติ (NRM) ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญที่จะใช้ในการช่วยเหลือคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ การสัมมนานี้จะช่วยสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ปลูกฝังหลักการในการทำงานโดยการยึดหลักผู้เสียหายเป็นศูนย์กลาง เพิ่มความชำนาญในการประสานงานร่วมกัน ซึ่งจะส่งผลให้เป็นการยกระดับมาตรฐานในการป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทยได้รับการยอมรับจากนานาประเทศให้อยู่ในระดับสากล

‘สรรเพชญ’ กระทุ้ง ‘กสทช.’ ควรทำงาน ‘จริงจัง-เต็มความสามารถ’ หลัง ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์ระบาดหนัก-ซิมม้าสะพัด’ ปชช.เดือดร้อน

เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 66 นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 และรายงานการตรวจสอบการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สิน สำหรับปี 2563 ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)

นายสรรเพชญ กล่าวว่า “ข้อสังเกตรายงานการเงินของ กสทช. ที่เสนอมานี้ผมมีความเป็นห่วงต่อการดำเนินงานของ กสทช. เนื่องจากตามเอกสารที่ปรากฏตาม ข้อ 49 ของผู้ตรวจสอบบัญชีพบว่า กสทช. มีเรื่องข้อพิพาทและคดีความที่สำคัญที่สำนักงาน กสทช. เป็นผู้ยื่นฟ้อง จำนวนทุนทรัพย์รวมกว่า 4,700 ล้านบาท และที่สำนักงาน กสทช. เป็นผู้ถูกฟ้อง จำนวนทุนทรัพย์รวมกว่า 126,000 ล้านบาท ซึ่งข้อพิพาทเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่สำนักงาน กสทช. จะต้องเป็นผู้ที่ทำหน้าที่เพื่อพิทักษ์ไว้ซึ่งผลประโยชน์ของรัฐ เนื่องจากจำนวนทุนทรัพย์ทั้งสองกรณีนี้ เป็นจำนวนเงินที่มากและมีผลต่างกันที่มากพอสมควร จึงขอให้สำนักงาน กสทช. ได้ทำงานอย่างตรงไปตรงมา และหวังว่าท่านจะทำงานอย่างเต็มความสามารถเพื่อพิทักษ์และรักษาไว้ซึ่งประโยชน์ของพี่น้องประชาชน”

นายสรรเพชญ กล่าวอีกว่า ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้มีการพิจารณา พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ซึ่งก็ได้มีการอภิปรายแสดงความเป็นห่วงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นของมิจฉาชีพออนไลน์หรือแก๊ง Call Center ที่กำลังระบาดและสร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนในขณะนี้ ในฐานะที่ กสทช. เป็นหน่วยงานที่กำกับดูแล บริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ ในการออกหมายเลขโทรศัพท์ นายสรรเพชญฯ จึงได้ตั้งคำถามไปยัง กสทช. ในประเด็นต่าง ๆ 2 เรื่อง ได้แก่...

1. จากปัญหาการระบาดของแก๊ง Call Center ที่เกิดขึ้นท่านมีมาตรการในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและลดผลกระทบ ความเสียหายของพี่น้องประชาชนอย่างไรบ้าง เพราะปัญหานี้มีการใช้ซิมม้า ที่ล่าสุดได้มีการจับกุมโดยตำรวจไซเบอร์กว่า 1 แสน 8 พันซิม เมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา โดย กสทช. เองก็มีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมหรือจำกัดเลขหมาย ได้มีการกำหนดให้มีการพิสูจน์ตัวตนของเจ้าของซิมหรือไม่? รวมถึงปัญหาสัญญาณอินเทอร์เน็ตชายแดน หรือ Operator กสทช. มีแนวทางในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างไร?

2. เป็นที่ทราบกันดีว่า สำนักงาน กสทช. เป็นองค์กรของรัฐที่ทำรายได้ให้รัฐมหาศาล เป็นเงินกว่าแสนล้านบาท ซึ่งการมีรายได้มหาศาลขนาดนี้ ประชาชนก็ตั้งความหวังไว้กับการทำงานของที่จะสามารถทำงานให้ตอบโจทย์กับความต้องการของประชาชน ในโลกปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งเทคโนโลยีและการสื่อสาร โดยในประเด็นนี้ สส.สรรเพชญได้สอบถามถึงการเตรียมการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงให้ทันกับยุคสมัยให้รอบคอบ รัดกุม และเกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังอย่างไร? และจะมีแนวทางในการขยายโครงข่ายของสัญญาณอินเทอร์เน็ต เพื่อให้ครอบคลุมการใช้งานของพี่น้องประชาชน ในพื้นที่ห่างไกลของประเทศได้อย่างไรบ้าง?

อย่างไรก็ตาม นายสรรเพชญ หวังว่า กสทช. ในฐานะผู้มีอำนาจควบคุมและดูแลในเรื่องนี้จะทำได้แก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่เพื่อช่วยแก้ปัญหาให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างมากมาย เพื่อให้เกิดกระโยชน์สูงสุดต่อประชาชน 

โซเชียลชื่นชม ‘รร.อนุบาลศรีธาตุ’ ประกาศงดจัดกิจกรรมวันแม่ ชี้ ห่วงความรู้สึกเด็ก-คำนึงถึงความแตกต่างแต่ละครอบครัว

โซเชียลแห่ชื่นชม!! ‘โรงเรียนอนุบาลศรีธาตุ’ งดจัดกิจกรรมวันแม่ในปีนี้ เนื่องจากคำนึงถึงความแตกต่างของแต่ละครอบครัวที่อยู่กับคุณแม่และไม่ได้อยู่ ตลอดจนห่วงใยความรู้สึกของลูกๆ นักเรียนที่คุณแม่มาร่วมกิจกรรมไม่ได้

เมื่อวันที่ 9 ส.ค.66 เฟสบุ๊กแฟนเพจ “โรงเรียนอนุบาลศรีธาตุ” ได้โพสต์ระบุข้อความว่า…

“พิจารณา งดจัดกิจกรรมวันแม่ในปีนี้ จากการออกเยี่ยมบ้านนักเรียน ทำให้ทางโรงเรียนมีข้อมูลนักเรียนที่อยู่กับแม่ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ทางโรงเรียนได้คำนึงถึงความแตกต่างของแต่ละครอบครัวที่อยู่กับคุณแม่และไม่ได้อยู่ ตลอดจนห่วงใยความรู้สึกของลูกๆ นักเรียนที่คุณแม่มาร่วมกิจกรรมไม่ได้

โดยปรับรูปแบบเป็นการทำการ์ดอวยพรให้คุณแม่ และประกวดแต่งกลอน และเขียนเรียงความวันแม่ครับ”

ทั้งนี้ หลังโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ ได้มีชาวเน็ตให้ความสนใจในโพสต์ดังกล่าว และร่วมแสดงความคิดเห็นชื่นชมจำนวนมาก เนื่องจากมีหลากหลายครอบครัวที่คุณแม่มีความจำเป็นไม่สามารถเข้าร่วมงานได้ และอาจเป็นการสร้างความทรงจำที่ไม่ดีให้เด็กๆ ที่คุณแม่ไม่พร้อมมาร่วมงานได้

'สมศักด์เจียม' โพสต์ 'ท่านอ้น' นัดกินข้าวคนในพรรคเพื่อไทย ด้าน 'ท่านอ้น' โพสต์แจง "ไม่เป็นความจริง ผมไม่ยุ่งการเมือง"

(10 ส.ค. 66) นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 ปัจจุบันลี้ภัยที่ประเทศฝรั่งเศส โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

วันนี้ คุณอ้น วัชเรศร วิวัชรวงศ์ มีนัดกินข้าวกับคนในพรรคเพื่อไทย บริเวณย่านสุขุมวิท

ด้านท่านอ้น วัชรเรศร วิวัชรวงศ์ เมื่อได้เห็นโพสต์ดังกล่าว ก็ได้เข้ามาโพสต์แจง ว่า...

"ต้องกราบขอโทษครับ ไม่เป็นความจริงเลย ผมไม่ยุ่งกับเรื่องการเมือง"

หลังจากนั้น นายสมศักดิ์ ได้โพสต์เพิ่มเติมอีกว่า "คุณอ้น วัชเรศร วิวัชรวงค์ ปฏิเสธครับ"

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ห่วงใยชาวกรุงเทพฯ มอบศาลาที่พักผู้โดยสาร จำนวน 20 หลัง ผ่าน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์แก่ประชาชน

วานนี้ (วันที่ 8 สิงหาคม 2566) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย  นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ  พร้อมด้วย  นายนิพนธ์ ลีละศิธร กรรมการ นายนิพนธ์ โชคภิรมย์วงศา กรรมการปฏิคม และนายอรัณย์ โตทวด ผู้จัดการใหญ่มูลนิธิฯ มอบศาลาที่พักผู้โดยสาร เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์แก่ผู้ใช้รถใช้ถนน และเพื่อเป็นที่หลบแดดหลบฝนแก่ประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 20 หลัง รวมงบประมาณการก่อสร้างเป็นเงินทั้งสิ้น 4,494,000 บาท (สี่ล้านสี่แสนเก้าหมื่นสี่พันบาทถ้วน) โดยมี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์  ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในพิธีรับมอบศาลาที่พักผู้โดยสาร พร้อมด้วยคณะผู้บริหารมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง คณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร และคณะผู้บริหารสำนักการจราจรและขนส่ง ร่วมในพิธี ณ ศาลาที่พักผู้โดยสารรถประจำทาง บริเวณหน้าห้างบิ๊กซี สาขาสะพานใหม่ ถนนพหลโยธิน 50 เขตบางเขน กรุงเทพฯ

โครงการสร้างศาลาที่พักผู้โดยสาร มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ประชาชนมีที่หลบแดด หลบฝน ซึ่งโครงการนี้เริ่มต้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549  และได้ขยายการดำเนินงานไปทั่วทุกภาคของประเทศ ส่วน ในพื้นที่กรุงเทพมหานครนั้น ทางมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้เริ่มต้นโครงการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 บัดนี้ การดำเนินงานก่อสร้างศาลาที่พักผู้โดยสารได้แล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วรวมจำนวน 50 จุด โดยทางมูลนิธิฯ ได้รับอนุญาตจากสำนักจราจร ซึ่งทางมูลนิธิฯ ได้ก่อสร้างตามเงื่อนไขในบันทึกข้อตกลงทุกประการ และ ปฏิบัติตามกฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด

กว่า 113 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ต่อไป ติดตามข่าวสารกิจกรรม การช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

#มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต
#แอปพลิเคชัน #สายด่วนป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

ผบ.ตร. มอบรางวัลแก่นักเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศในการแข่งขันการประนอมข้อพิพาทในระดับนานาชาติ

วันนี้ (9 ส.ค.66) เวลา 15.00 น. ที่ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้มอบเกียรติบัตรโครงการ 'ทำดี มีรางวัล' แก่นักเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจ จำนวน 4 นาย

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวว่า สำหรับโครงการ 'ทำดี มีรางวัล' นั้นเป็นโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจและประชาชนที่ประกอบคุณงานความดี มีจิตสาธารณะจนเป็นที่ยอมรับของสังคม สร้างชื่อเสียงให้กับหน่วยงาน และกรณีนี้ก็เป็นการมอบรางวัลให้แก่นักเรียนนายร้อยตำรวจจำนวน 4 นาย ที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศจากการแข่งขันการประนอมข้อพิพาทระดับนานาชาติ 

โดย ระหว่างวันที่ 19-21 ก.ค.66 ที่ผ่านมา สถาบันอนุญาโตตุลาการ ได้จัดการแข่งขันการประนอมข้อพิพาทระดับนานาชาติ ซึ่งเป็นการแข่งขันเจรจาข้อพิพาทในสถานการณ์จำลองเชิงพาณิชย์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจได้ส่งทีม THAC RPCA ซึ่งประกอบด้วยนักเรียนนายร้อยตำรวจจำนวน 4 นาย ได้แก่ 
1. นรต.ณัฏฐกิตติ์ โตทัพ
2. นรต.ประวันวิทย์ จำปีทอง
3. นรต.ธีรพัฒน์ บูชารัมย์
4. นรต.กรธน ชิงดวง

เข้าร่วมการแข่งขันเป็นครั้งแรกในระดับนานาชาติ ซึ่งจากการแข่งขันทุกครั้งที่ผ่านมาไม่มีทีมจากประเทศไทยเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งผลการแข่งขันครั้งนี้ปรากฏว่า ทีม THAC RPCA  ได้รับรางวัลรองชนะเลิศ และได้รับคำชื่นชมจากคณะกรรมการ  คณะผู้จัดการแข่งขัน ตลอดจนผู้เข้าร่วมการแข่งขันจากชาติอื่นเป็นอย่างมาก สร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนนายร้อยตำรวจ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งในระดับประเทศ และในระดับนานาชาติ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาแล้วเห็นว่า นักเรียนนายร้อยตำรวจ ทั้ง 4 นาย สมควรได้รับการเชิดชูเกียรติ ยกย่องสรรเสริญตามโครงการ “ทำดีมีรางวัล” เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคมสืบไป 

ผบ.ตร.กล่าวอีกว่า “ตนขอชื่นชมในความรู้ความสามารถที่นำไปต่อยอดจนสามารถสร้างชื่อเสียงให้แก่องค์กรได้ ตนจึงได้มอบใบประกาศเกียรติคุณและรางวัลตามโครงการ “ทำดี มีรางวัล” และเงินรางวัล 10,000 บาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคม ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่จะมอบรางวัลให้กับข้าราชการตำรวจหรือประชาชนที่ปฏิบัติหน้าที่ดีเด่น ทำงานเชิงรุก เพื่อความสงบสุขของประชาชน ประกอบคุณงามความดี ช่วยเหลือประชาชน หรือทางราชการ ประพฤติตนดี คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมและช่วยเหลือประชาชนจนเป็นที่ยอมรับต่อสังคม”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top