Monday, 28 April 2025
NEWS FEED

THE STANDARD ออกจดหมายขอโทษถึง 'สนธิ ลิ้มทองกุล' กรณีสื่อสารคลาดเคลื่อน ทำคนไทยเข้าใจ 'สนธิ' หนุนรัฐประหาร

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2566 เว็บไซต์ THE STANDARD ได้นำเสนอข่าว ‘สนธิมองเกมก้าวไกลเหนือชั้น แก้ได้ยาก เดินตามแผนได้ สส. เกินครึ่งสภาในปี 2570 มองทางรอดคือรัฐประหารล้มกระดาน’ โดยนำเนื้อหาดังกล่าวมาจากเพจเฟซบุ๊ก คุยทุกเรื่องกับสนธิ ซึ่งเป็นการนำเสนอข้อความที่ไม่ครบถ้วนโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้ผู้อ่านอาจเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า คุณสนธิ ลิ้มทองกุล สนับสนุนการทำรัฐประหาร ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และชื่อเสียงของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล

กองบรรณาธิการข่าว THE STANDARD จึงเรียนขออภัยในความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในครั้งนี้

กองบรรณาธิการข่าว THE STANDARD

'เขมร' เคลมดื้อๆ!! บอกแท้จริงศึก U19 'ไทย-ญี่ปุ่น' คือ 'เขมร-ญี่ปุ่น' เพราะนักกีฬาหลายคนมาจากบุรีรัมย์ ต้องเหมาว่าเป็นคนเขมร

(11 ส.ค.66) หลังจากทีมวอลเลย์บอลหญิงไทย รุ่นอายุต่ำกว่า 19 ปี ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในรายการชิงแชมป์โลก ที่ประเทศโครเอเชีย สามารถผ่านเข้าไปชิงอันดับ 5 กับเจ้าภาพได้สำเร็จ 

โดยแมตช์ล่าสุดทีมตบลูกยางสาวไทยล้างแค้นเอาชนะ บัลแกเรีย 3-1 เซต ในรอบจัดอันดับ 5-8 ทำให้พวกเธอผ่านเข้าไปชิงอันดับ 5 ในทัวร์นาเมนต์กับสาวโครเอเชียเจ้าภาพ 

อย่างไรก็ดีแมตช์ที่แฟนกีฬาตบลูกยางให้ความชื่นชมมากที่สุด เป็นเกมที่ ไทย พ่ายแพ้ให้กับ ญี่ปุ่น 2-3 เซต ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ซึ่งไฮไลท์ในแมตช์ดังกล่าวมีผู้เข้าไปชมผ่านช่องทางยูทูบของ Volleyball World มากกว่า 2 ล้านวิว 

กระนั้นก็มีชาวเน็ตจากกัมพูชา นามว่า 'pinbeeth6070' เข้ามาคอมเมนต์อ้างว่าแมตช์นี้เป็นการเจอกันของ กัมพูชา กับ ญี่ปุ่น ไม่ใช่ทีมชาติไทยแต่อย่างใด และอ้างเหตุผลที่ว่านักกีฬาหลายคนของทีมตบลูกยางสาวไทย U19 มาจากจังหวัดบุรีรัมย์ เลยถูกเหมารวมว่าเป็นคนเขมร 

'ก.ล.ต.' ลงโทษทางแพ่ง 2 ผู้บริหาร สั่งปรับ 5 ล้านบาท ฐานอาศัยข้อมูลภายในที่ตนรู้หรือครอบครองซื้อหุ้น TIPCO

เมื่อวันที่ 8 ส.ค.66 ก.ล.ต. เปิดเผยการดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับบุคคล 2 ราย ได้แก่ (1) นางสาวลักษณา ทรัพย์สาคร และ (2) นายสมมารถ ธูปจินดา กรณีร่วมกันซื้อหุ้นบริษัท ทิปโก้ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) (TIPCO) โดยอาศัยข้อมูลภายในที่ตนรู้หรือครอบครอง โดยให้ผู้กระทำผิดชำระเงินรวม 4,970,880 บาท และกำหนดระยะเวลาห้ามทั้ง 2 รายเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตรวจสอบเพิ่มเติม พบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานทำให้เชื่อได้ว่า นางสาวลักษณา ซึ่งเป็นประธานกรรมการและกรรมการผู้มีอำนาจลงนามของ TIPCO และกรรมการของบริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) (TASCO) ได้ล่วงรู้ข้อมูลภายในที่ส่งผลกระทบด้านบวกต่อราคาหุ้น TIPCO เกี่ยวกับการประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล (ครั้งที่ 2) ประจำปี 2563 และเงินปันผลประจำปี 2563 ของ TIPCO ในอัตรารวมหุ้นละ 0.69 บาท ซึ่งเป็นการจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากรอบปกติ และเป็นการจ่ายในอัตราที่สูงที่สุดในรอบ 5 ปีของ TIPCO โดยภายหลังการล่วงรู้ข้อมูลภายในดังกล่าว นางสาวลักษณาได้ร่วมกับนายสมมารถซื้อหุ้น TIPCO ผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนายสมมารถ ก่อนที่ TIPCO จะเปิดเผยข้อมูลภายในดังกล่าวต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

การกระทำของนางสาวลักษณาและนายสมมารถ กรณีร่วมกันซื้อหุ้น TIPCO โดยอาศัยข้อมูลภายในดังกล่าว เป็นความผิดตามมาตรา 242(1) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 และมาตรา 296/2 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 

คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับ* กับผู้กระทำความผิดทั้ง 2 ราย ดังกล่าว โดยกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่ง ได้แก่ ค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ ชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ (ห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร) ดังนี้...

(1) ให้นางสาวลักษณา ชำระค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่พึงได้รับ และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 2,485,440 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร เป็นเวลา 14 เดือน

(2) ให้นายสมมารถ ชำระค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่พึงได้รับ และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 2,485,440 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร เป็นเวลา 12 เดือน

การกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารดังกล่าวข้างต้นจะมีผลนับตั้งแต่วันที่ผู้กระทำความผิดลงนามในบันทึกการยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด หากผู้กระทำความผิดไม่ยินยอม ก.ล.ต. จะมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแพ่งเพื่อกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งในอัตราที่อัตราสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติโดยไม่ต่ำกว่าอัตราที่ ค.ม.พ. กำหนด

ทั้งนี้ เงินค่าปรับทางแพ่งและเงินค่าชดใช้คืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิดเป็นรายได้แผ่นดินที่นำส่งกระทรวงการคลัง

หมายเหตุ: ***มาตรา 317/1 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2559 ให้การกระทำความผิดอาญาตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวดำเนินมาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิดได้

อ่านรายละเอียด 'การดำเนินมาตรการลงโทษทางแพ่ง' (Civil Sanctions) ได้ที่: https://www.sec.or.th/TH/Pages/LawandRegulations/CivilPenalty.aspx

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนภัยออนไลน์ แก็งค์คอลเซ็นเตอร์หลอกให้นักเรียนนักศึกษาถ่ายคลิปตัวเองเรียกค่าไถ่จากพ่อแม่

สืบเนื่องจาก พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. / หัวหน้าคณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และ พล.ต.ท.ธัชชัย  ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน เนื่องจากในช่วงนี้ มีคดีนักเรียนนักศึกษาถูกคนร้ายหลอกให้เรียกค่าไถ่จากพ่อแม่ผู้ปกครองหลายคดีจึงขอเตือนภัยพี่น้องประชาชน ให้ระมัดระวังดูแลบุตรหลานของตนเอง และขอให้ครู บุคลากรทางการศึกษา ช่วยกันสอดส่องดูแลนักเรียน นักศึกษา มิให้ตกเป็นเหยื่อ ดังนี้

เมื่อวันที่ 11   ส.ค.2566  พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง ที่ปรึกษาพิเศษ ตร./ หัวหน้าคณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรทางเทคโนโลยี ได้แถลงว่า นับตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.2565 มีคดีข่มขู่ทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน (Call Center) จำนวน 20,000 กว่าเคส ข่มขู่ว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติด จำนวน 2,000 กว่าเคส ซึ่งเดิมเป็นการโทรศัพท์หลอกบุคคลทั่วไปให้โอนเงิน แต่ช่วงนี้มีเคสที่น่าสนใจ จำนวน 4 เคส ซึ่งทั้ง 4 เคส มีรูปแบบการกระทำผิดในลักษณะเดียวกัน กล่าวคือคนร้ายใช้วิธีการโทรศัพท์หาพ่อแม่แล้วส่งรูปบุตรหลานที่ถูกควบคุมตัวไว้มาให้ โดยที่พ่อแม่ไม่สามารถติดต่อบุตรหลานได้ จำต้องโอนเงินให้ไป ซึ่งหลังจากโอนเงินแล้ว บุตรหลานก็สามารถติดต่อกลับมาได้ ซึ่งเบื้องต้น พ่อแม่คาดว่า เป็นเรื่องการเรียกค่าไถ่ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่สอบสวนลึกๆ พบว่า เป็นคดีที่บุตรหลานถูกแก็งค์คอลเซ็นเตอร์โทรมาข่มขู่บุตรหลานว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด และบังคับให้ถ่ายคลิป หรือ ภาพถ่าย ส่งให้กลุ่มคนร้ายนำไปเรียกค่าไถ่จากพ่อแม่อีกครั้ง โดยให้โอนเงินผ่านบัญชีบุตรหลานของตนเองหรือเข้าบัญชีม้า แล้วหลบหนีไป

สำหรับแผนประทุษกรรมคดีนี้ กลุ่มคนร้ายได้ใช้วิธีการโทรศัพท์ผ่านระบบ Voip (Voice Over Internet Protocol) หรือระบบ Internet โทรเข้าโทรศัพท์มือถือหรือโทรศัพท์พื้นฐานของผู้เสียหายหรือเหยื่อ โดยสุ่มหรือเลือกกลุ่มนักศึกษาในระดับชั้นอุดมศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาที่ตั้งใจเรียนดี โดยคนร้ายได้อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ เจ้าหน้าที่ธนาคาร หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่รัฐ แล้วแต่จะอ้างเพื่อข่มขู่ทำให้เหยื่อตกใจกลัวว่ามีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด หรือมีหมายจับต่างๆ และมีความผิดมูลฐานฟอกเงิน โดยทำทีอ้างว่าสามารถช่วยเหลือไม่ให้ถูกดำเนินคดีได้ และเสนอให้ความช่วยเหลือ โดยให้ผู้เสียหายหรือเหยื่อโอนเงินมายังบัญชีธนาคาร(บัญชีม้า) ที่กลุ่มคนร้ายได้จัดเตรียมไว้และหลอกลวงเงินของผู้เสียหายไป หากนักศึกษาหรือเหยื่อไม่มีเงินกลุ่มคนร้ายก็แนะนำให้ผู้เสียหายหรือเหยื่อไปย้ายหรือออกจากห้องพักหรือที่พักปัจจุบันที่พักอยู่ใกล้กับสถานศึกษา และคนร้ายให้เหยื่อหรือผู้เสียหายไปเปิดซิมโทรศัพท์ใหม่ ซื้อเชือกมัด ผ้าเทปกาวจากร้านค้าเพื่อใช้พูดคุยโต้ตอบกับคนร้าย อีกทั้งคนร้ายยังสั่งการให้ผู้เสียหายหรือเหยื่อทำทีปิดโทรศัพท์ และสั่งการให้ผู้เสียหายหรือเหยื่อใช้ผ้าเทปและเชือกมัดมือมัดเท้าตัวเอง และถ่ายคลิปวีดิโอโดยใช้เครื่องของผู้เสียหายหรือเหยื่อเองเก็บเอาไว้ เพื่อสร้างสถานการณ์ว่าถูกลักพาตัวและส่งคลิปดังกล่าวให้คนร้ายทางแอพพลิเคชั่นทางโทรศัพท์ จากนั้นคนร้ายจะส่งคลิปไปยังพ่อแม่หรือผู้ปกครอง เพื่อเรียกค่าไถ่จากพ่อแม่หรือผู้ปกครองของผู้เสียหายหรือเหยื่อ โดยการโอนเงินมีอยู่ 2 รูปแบบ 1.พ่อแม่โอนเงินไปให้เหยื่อแล้วเหยื่อโอนเงินต่อไปให้คนร้าย 2. พ่อแม่โอนเงินให้คนร้าย
ข้อสังเกตุ และข้อควรระวัง  
1. คนร้ายอาจจะหาข้อมูลหรือสุ่มคัดเลือกเหยื่อเป็นกลุ่มนักศึกษาระดับชั้นอุดมศึกษา ซึ่งพักอาศัยอยู่ตามหอพักหรือที่พักใกล้สถานศึกษาโดยเหยื่อเป็นบุคคลที่อยู่หอพักหรือที่พักเพียงคนเดียว ไม่ได้พักอาศัยอยู่กับพ่อแม่หรือผู้ปกครอง
2. คนร้ายได้วางแผน และมีสคริปต์เพื่อเตรียมการพูดหลอกลวง และใช้ถ้อยคำที่มีประสบการณ์มาก เพื่อข่มขู่และชักจูงให้เหยื่อตกใจกลัว (เช่น โทรมาอ้างเป็นเจ้าหน้าที่แจ้งว่ามีพัสดุตกค้าง แจ้งว่ามีหมายจับ หรือมีคนเอาข้อมูลไปเปิดบัญชีธนาคารแล้วเอาบัญชีไปใช้ในการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน) ขู่ว่าถ้าถูกดำเนินคดีจะไม่ได้เรียนต่อ และคล้อยตามคำสั่งของคนร้าย
3. คนร้ายใช้โทรศัพท์ผ่านระบบ Internet (VOIP : Voice Over Internet Protocol) ซึ่งหมายเลขดังกล่าวจะมีหมายเลขไม่ถึง 10 หลักและมีเครื่องหมาย +697 +698 ซึ่งสังเกตุได้ว่าน่าจะเป็นหมายเลขโทรศัพท์ที่โทรมาจากต่างประเทศหรือโทรผ่านระบบ Internet หากผู้เสียหายโทรย้อนกลับไปยังเบอร์ของคนร้าย จะไม่สามารถติดต่อได้ และหมายเลขดังกล่าวอาจจะไม่มีอยู่จริง เป็นการที่คนร้ายสร้างหมายเลขโทรศัพท์หรือปลอมเบอร์ (Fake)
4. คนร้ายได้มีการพัฒนารูปแบบการหลอกลวง โดยผสมผสานระหว่างแผนประทุษกรรมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์กับแผนประทุษกรรมการเรียกค่าไถ่ โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มนักศึกษา เพื่อทดแทนปริมาณเหยื่อที่ปัจจุบันอาจจะไม่ค่อยเชื่อถือของแผนประทุษกรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์แบบดั้งเดิม
5. คนร้ายเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายไปที่กลุ่มนักศึกษา เพราะนักศึกษาพักอยู่คนเดียวห่างจากครอบครัว มีการสั่งซื้อของ มีการหัดเริ่มลงทุนมีการยุ่งเกี่ยวกับการพนัน จึงทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เข้าถึงได้ง่ายและข้อมูลที่ใช้ข่มขู่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตประจำวันที่เกิดขึ้นจริง ควรระวังไม่ให้เหยื่อที่อยู่หอพักตามลำพัง ควรจะมีบัดดี้อยู่ด้วย

แนวทางการป้องกัน
สำหรับนักศึกษา
1. สังเกตเบอร์ที่โทรเข้ามาก่อนรับสาย หากเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก หรือเป็นเบอร์ที่มีเครื่องหมาย +697 +698 นำหน้าให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจจะเป็นแก็งคอลเซ็นเตอร์
2. สังเกตความผิดปกติของปลายสายได้จากคำถาม เช่น การถามชื่อ และข้อมูลส่วนตัวโดยตรง หรือการใช้ข้อความอัตโนมัติในการตอบรับแล้วให้เรากดเบอร์เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ เป็นต้น ถ้ามีการสนทนาทาง Video call ให้มีสติและสังเกตปากกับเสียงตรงกันหรือไม่ หรือ ภาพและท่าทางมีความผิดปกติหรือไม่(คนร้ายสามารถใช้โปรแกรมปลอมใบหน้าขณะสนทนาได้)
3. หากคนร้ายข่มขู่ว่ากระทำผิด และต้องไปแจ้งความหรือติดต่อเจ้าหน้าที่ ให้นัดหมายไปพบเจ้าหน้าที่เพื่อแจ้งความ สอบสวนปากคำ ชี้แจง หรือยื่นพยานเอกสารพยานวัตถุ ณ สถานที่เกิดเหตุหรือสถานที่ราชการด้วยตนเอง หากมั่นใจว่าปลายสายเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือมิจฉาชีพ วางสายทันที แจ้งเบาะแส กับหน่วยงานที่ดูแล เช่น ตำรวจ ธนาคาร ค่ายมือถือ หรือ กสทช.
4. หากคนร้ายให้โอนเงินเพื่อตรวจสอบ  ให้สันนิษฐานว่าเป็นแก็งคอลเซ็นเตอร์ เนื่องจากข้อมูลบัญชีมีเพียงธนาคารที่ตรวจสอบได้ห้ามบอกข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลทางการเงิน รวมถึงห้ามโอนเงินตามคำกล่าวอ้าง
5. โหลดแอปฯ Who’s call ซึ่งสามารถตรวจสอบหมายเลข และจะระบุหมายเลขที่ไม่รู้จัก ช่วยให้ทราบว่าใครโทรมาทันที      
​6. หากคนร้ายส่งเอกสารมาข่มขู่  ให้ตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่ออกเอกสารนั้นๆ โดยตรง หรือโทรหาตำรวจท้องที่ เบอร์ 191 หรือเบอร์ 1441 และเบอร์ 081-8663000 หรือเข้าพบพนักงานสอบสวนท้องที่เกิดเหตุ หรือปรึกษากับผู้ปกครอง 
​สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครอง นอกจากต้องรู้เกี่ยวกับวิธีป้องกันตัวสำหรับศึกษาดังกล่าวข้างต้นแล้ว สิ่งที่ต้องรู้เพิ่มเติม มีดังนี้

1. หากคนร้ายข่มขู่ให้โอนเงินพร้อมส่งคลิปมาให้ดู  ให้รีบปรึกษาบุคคลที่ไว้วางใจ เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ หรือ โทรสายด่วน  191 ,1441 และเบอร์ 081-8663000 เพื่อพิจารณาแยกแยะว่าเป็นแก็งคอลเซ็นเตอร์หรือมีการจับตัวเรียกค่าไถ่จริงๆ และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ให้ความช่วยเหลือถูกวิธี
2. ก่อนโอนเงินให้ดูว่าเป็นบัญชีที่อยู่ในแบล็คลิสต์ที่ใช้กระทำความผิด หรือบัญชีม้าหรือไม่
ผศ.ดร.ศุภกร ปุญญฤทธิ์ ช่วยราชการสำนักงาน รมว.กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์  วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า นายอเนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้รับทราบว่ามีคนร้ายแก็งคอลเซ็นเตอร์ หลอกให้นักศึกษาจับตัวเองเรียกค่าไถ่จากผู้ปกครอง เพื่อให้ผู้ปกครองโอนเงินให้คนร้าย จึงมีความห่วงใยนักศึกษาและพ่อแม่ผู้ปกครอง และได้มอบหมายให้มาร่วมแถลงข่าวกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในเรื่องแผนประทุษกรรมของคนร้าย ไม่ว่าจะเป็นวิธีกลโกง จุดสังเกต และวิธีป้องกัน เพื่อจะได้นำข้อมูลดังกล่าวไปแจ้งเตือนนักศึกษา พ่อแม่ผู้ปกครองให้รู้เท่าทันภัยออนไลน์ในรูปแบบนี้ และไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของคนร้ายแก็งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว

พล.ต.อ.สมพงษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีนี้คนร้ายจะเลือกเหยื่อที่เป็นนักศึกษา ซึ่งอาจจะไม่รู้เท่าทันคนร้าย อีกทั้งเป็นจุดอ่อนไหวของพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีความรักความห่วงใยบุตร - ธิดาของตนเองเป็นทุนเดิม โดยมีแผนประทุษกรรม ดังนี้ 

1. หลอกให้เหยื่อย้ายหรือเปลี่ยนที่พัก ไปหาเช่าที่พักใหม่ เพื่อไม่ให้พ่อแม่ผู้ปกครองตามหาตัวได้ และหลอกเหยื่อว่ามี
ตำรวจนอกเครื่องแบบสะกดรอยเฝ้าดูอยู่ห้ามออกไปจากห้องเช่าที่พักใหม่
2. หลอกให้เหยื่อ ลบแอปพลิเคชันที่เป็นช่องทางติดต่อสื่อสารออกจากเครื่อง เช่น Line FB Twitter TikTok เป็นต้น
เพื่อไม่ให้เหยื่อติดต่อกับคนอื่น
3. หลอกให้เหยื่อปิดมือถือเบอร์เดิม เพื่อไม่ให้พ่อแม่ติดต่อได้ และหลอกให้เปิดเบอร์ใหม่ใช้ในการติดต่อกับคนร้าย  

รวมถึงให้สแกน QR Code เพื่อใช้และควบคุม Line เหยื่อ ผ่าน Pc-iPad ตลอดเวลา
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน จึงขอแจ้งเตือนให้พี่น้องประชาชนนักเรียน นักศึกษา และผู้ปกครอง ที่อาจตกเป็นเหยื่อกลโกงของแก็งคอลเซ็นเตอร์ในรูปแบบนี้ ได้รู้เท่าทันรูปแบบกลโกงของคนร้ายที่ได้พัฒนาวิธีการหลอกลวงในรูปแบบต่างๆ  และเพื่อให้รู้เท่าทันภัยออนไลน์ในรูปแบบใหม่ สามารถติดตามข้อมูลการแจ้งเตือนภัยออนไลน์ได้ผ่านทาง www.เตือนภัยออนไลน์.com  Facebook https://www.facebook.com/เตือนภัยออนไลน์ หมายเลขโทรศัพท์ 081-866-3000 หรือโทรศัพท์สายด่วน 1441 กรณีถูกคนร้ายหลอกลวงแจ้งความตำรวจผ่านระบบ www.thaipoliceonline.com 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 91 พรรษา 12 สิงหาคม 2566

เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเจริญพระชนมพรรษา 91 พรรษา ด้วยความจงรักภักดีของข้าราชการตำรวจ พนักงานราชการ และลูกจ้างในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำหนดให้มีการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในวันศุกร์ที่ 11 ส.ค.66 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป โดยมี พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยคุณสุมนา กิตติประภัสร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คณะสมาคมแม่บ้านตำรวจ และข้าราชการตำรวจในสังกัดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียงกัน ซึ่งมีกำหนดการจัดงานพิธี ดังนี้

- เวลา 08.00 น. พิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล ณ ห้องสารสิน ชั้น 2  อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
- เวลา 08.45 น. พิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 92 รูป ณ ห้องศรียานนท์  ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
- เวลา 10.15 น. พิธีถวายราชสักการะ พิธีถวายพระพรชัยมงคล และลงนามถวายพระพร ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ทั้งนี้ เนื่องในโอกาสอันเป็นมหามงคล  สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอประชาสัมพันธ์เชิญชวนข้าราชการตำรวจ ลูกจ้างในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และประชาชนทุกหมู่เหล่าร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 12 ส.ค.66 ผ่านระบบออนไลน์ ที่เว็บไซต์หน่วยราชการในพระองค์  ระหว่างวันที่ 11-13 ส.ค. 66 https://wellwishes.royaloffice.th/

ตำรวจไซเบอร์รวบเครือข่ายหลอกทำกิจกรรมแลกของฟรี รู้ตัวอีกทีหมดไปเป็นแสน

สืบเนื่องจากมีผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความ ว่าได้รับ SMS แจ้งว่า คุณคือผู้โชคดีได้รับตู้เย็น 1 รายการ จาก Midea ฟรี จบกิจกรรมพร้อมรับเงินรางวัลอีก 3,000 บาท หลังจากนั้นได้มีการแอดไลน์ จากนั้นแอดมินได้ให้ตนร่วมลงทุนและได้ผลกำไรดี จึงได้โอนเงินไปยังบัญชีของธนาคารกสิกรไทย ชื่อ นายณัฐพงศ์ (สงวนนามสกุล) ไปจำนวน 5 ครั้ง รวมยอดเงินจำนวน 129,786 บาท หลังจากตนได้โอนเงินไปแล้ว จึงได้นำรายชื่อของเจ้าของบัญชีคือนายณัฐพงศ์ ไปตรวจสอบในเว็บไซต์ของ Midea mall พบว่ารายชื่อดังกล่าวได้ถูกแจ้งว่าเป็นมิจฉาชีพ ตนเองจึงรู้ว่าถูกหลอก จึงได้มาแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
 
ต่อมาวันที่ 9 ส.ค.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.4 นำโดย พ.ต.ท.พร้อมพล นิตย์วิบูลย์ ได้นำกำลังเข้าจับกุมนายณัฐพงศ์ ได้ที่ถนนสาธารณะ หน้าบ้านหลังหนึ่งในแขวงบางค้อ เขตจอมทอง จังหวัดกรุงเทพมหานคร ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”
 
เบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าตนเองได้เปิดบัญชีธนาคารกสิกรไทยจริง ซึ่งมีชายไม่ทราบชื่อได้ว่าจ้างให้ตนเปิดบัญชีดังกล่าว และให้ค่าจ้างตนในราคา 700 บาท เนื่องจากในช่วงนั้นตนไม่มีรายได้และยังเกิดโรคระบาดโควิด 19 จึงได้เปิดบัญชีดังกล่าวเพื่อแลกกับค่าจ้าง เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในครอบครัว และตนเองไม่ทราบว่าบัญชีธนาคารที่ตนได้เปิดไว้ดังกล่าวจะมีมิจฉาชีพนำไปใช้หลอกลวงประชาชน
 
ตำรวจไซเบอร์ขอเตือนพี่น้องประชาชนว่าอย่าหลงเชื่อการส่ง SMS มาบอกว่าคุณโชคดีได้รับของรางวัลต่างๆ เนื่องจากช่วงนี้มีมิจฉาชีพคอยหลอกว่าคุณจะได้รับของรางวัลฟรีในรูปแบบต่างๆ เมื่อกดรับแล้วมิจฉาชีพจะส่งลิงก์ให้กดรับแล้วชักชวนให้ลงทุนที่ผลกำไรงาม เมื่อเหยื่อหลงเชื่อได้โอนเงินลงทุนไปแล้ว มิจฉาชีพก็เชิดเงินหนีโดยไม่สามารถติดต่อได้อีก ก่อนที่จะโอนเงิน หรือทำธุรกรรมต่างๆ ควรตรวจสอบให้ดีก่อน เพื่อจะไม่ตกเป็นเหยื่อของแก๊งมิจฉาชีพต่อไป

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดงบประมาณกว่า 5.5 ล้านบาท ลงพื้นที่ซับน้ำตาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุโรงเก็บดอกไม้ไฟระเบิดบริเวณตลาดมูโนะ อำเภอสุไหง-โกลก จังหวัดนราธิวาส 

ตามที่ได้เกิดเหตุโรงเก็บดอกไม้ไฟระเบิด บริเวณตลาดมูโนะ อำเภอสุไหง-โกลก จังหวัดนราธิวาส เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 29 กรกฎาคม 2566 เป็นเหตุให้มีผู้ประสบภัยเป็นจำนวนมาก

เมื่อวานนี้ (วันที่ 9 สิงหาคม 2566) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ พร้อมด้วย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก นายชาญกิจ วิทยาวรากรณ์ กรรมการ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารมูลนิธิฯ นำทีมเจ้าหน้าที่แผนกสาธารณภัย ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และแผนกบัญชี ฝ่ายบัญชีและการเงิน ลงพื้นที่มอบเงินช่วยเหลือแก่ญาติผู้เสียชีวิต จำนวน 11 รายๆ ละ 20,000 บาท  มอบเงินช่วยเหลือแก่ผู้บาดเจ็บ จำนวน 13 คนๆ ละ 5,000 บาท  และมอบเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้ประสบภัย จำนวน 570 ครอบครัว 1,766 คนๆ ละ 3,000 บาท  รวมงบประมาณการช่วยเหลือเป็นเงินทั้งสิ้น 5,583,000 บาท (ห้าล้านห้าแสนแปดหมื่นสามพันบาทถ้วน) พร้อมกันนี้ มูลนิธิสงเคราะห์ผู้ประสบภัย 14 จังหวัดภาคใต้ ได้มอบเงินช่วยเหลือแก่ญาติผู้เสียชีวิตรายละ 5,000 บาท มอบเงินช่วยเหลือแก่ผู้บาดเจ็บคนละ 2,000 บาท  และมอบเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้ประสบภัยคนละ 1,000 บาท  รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,847,000 บาท (หนึ่งล้านแปดแสนสี่หมื่นเจ็ดพันบาทถ้วน)  โดยมี นายปรีชา นวลน้อย รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย มูลนิธิสงเคราะห์ผู้ประสบภัย 14 จังหวัดภาคใต้  เป็นผู้ประสานงานและร่วมให้ความช่วยเหลือ รวมทั้ง อาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย  นางศิริวรรณ โอภาสวงศ์ อาสาสมัครกิตติมศักดิ์ และนางศิริพร โอภาสวงศ์ อาสาสมัครกิตติมศักดิ์  คณะมูลนิธิมิตรภาพสามัคคี (ท่งเซียเซี่ยงตึ๊ง) หาดใหญ่ คณะมูลนิธิเซิ่งหมู่ธารน้ำใจ สุไหงโก-ลก มูลนิธิแม่กอเหนี่ยวยะลา และคณะมูลนิธิร่วมบำเพ็ญการกุศลปัตตานี (ท่งเต็กเซี่ยงตึ๊ง) ร่วมในพิธี  ณ โรงเรียนบ้านมูโนะ อำเภอสุไหง-โกลก จังหวัดนราธิวาส

รวมงบประมาณการช่วยเหลือจากมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และมูลนิธิสงเคราะห์ผู้ประสบภัย 14 จังหวัดภาคใต้ เป็นเงินทั้งสิ้น 7,430,000 บาท (เจ็ดล้านสี่แสนสามหมื่นบาทถ้วน)

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอแสดงความเสียใจ และขอส่งกำลังใจไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิต พร้อมทั้งขอส่งกำลังใจแก่ผู้ประสบภัย ผู้บาดเจ็บ และผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวทุกท่านมา ณ ที่นี้ ทั้งนี้ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอขอบพระคุณผู้มีจิตศรัทธาทุกท่านที่ร่วมบริจาค  ขอบุญกุศลนี้ส่งผลให้ท่านและครอบครัว มีความสุข ความเจริญ สุขภาพแข็งแรงตลอดไป

ตลอดระยะเวลากว่า 113 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา  เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

## ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ##
#แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418 ช่วยจริง อุ่นใจ แม้ในนาทีฉุกเฉิน

ผู้ช่วย ผบ.ตร. ห่วงใยประชาชน ขับเคลื่อนโครงการ “สุภาพบุรุษจราจร  ประชาชนสัญจรปลอดภัย” มุ่งลดอุบัติเหตุและการเสียชีวิตบนท้องถนน สร้างตำรวจจราจรมืออาชีพ มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล

พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ได้ให้ความสำคัญในการอำนวยความสะดวกการจราจร การป้องกันและลดอุบัติเหตุ ตลอดจนลดการเสียชีวิตและบาดเจ็บบนท้องถนน สร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินแก่ประชาชนและสังคม จึงได้จัดทำโครงการ “สุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย” โดยมอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รองผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รอง ผอ.ศจร.ตร.) ขับเคลื่อน เร่งรัดและติดตามประเมินผลโครงการฯ ให้บรรลุผลสำเร็จ

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า การดำเนินโครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย มีวัตถุประสงค์ เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตและบาดเจ็บจากการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนในแต่ละพื้นที่ ตามเป้าหมายของสถิติการเกิดอุบัติเหตุ โดยต้องสามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิตได้มากกว่าร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา หรือสามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิตได้มากกว่า 10 คนต่อปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องสามารถลดอุบัติเหตุช่วงเทศกาลต่างๆตามเป้าหมายที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนด นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้ข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติงานในสายงานจราจร ให้มีความรู้ เกี่ยวกับกฎหมายจราจร ระเบียบ คำสั่ง ข้อบังคับ  มีทักษะในการปฏิบัติงานด้านการจราจรที่สูงขึ้น เช่น การอำนวยการจราจรบนถนน การควบคุมสัญญาณไฟ การตั้งจุดตรวจ รวมถึงสามารถสื่อสารสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนได้อย่างแท้จริง ตลอดจนสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชน ภาคีเครือข่ายกับข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติ เกิดความร่วมมือจากประชาชน เสริมภาพลักษณ์ที่ดีต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสร้างขวัญกำลังใจให้ข้าราชการตำรวจและหน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่สายงานจราจร โดยได้รับความร่วมมือจากบริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ร่วมบูรณาการขับเคลื่อนโครงการฯ โดยสุภาพบุรุษจราจรจะต้องปฏิบัติตามหลัก 5S ได้แก่ SMILE คือ การปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นมิตรยิ้มแย้มแจ่มใส SMART คือ การปฏิบัติหน้าที่ด้วยบุคลิกภาพที่ดีและใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย SALUTE คือ การปฏิบัติต่อประชาชนด้วยความสุภาพและให้เกียรติ SERVICE MIND คือ การปฏิบัติหน้าที่ด้วยจิตใจของการให้บริการที่ดี และ STANDARD คือ ยกระดับในการปฏิบัติงานให้มีมาตรฐานเดียวกัน โดยห้วง ต.ค.65 - ปัจจุบัน หน่วย บช.น., ภ.1 - 9 
และ บก.ทล. ได้เร่งรัดดำเนินกิจกรรมโครงการ เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามโครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย ในพื้นที่ของหน่วย โดยเฉลี่ย กว่า 1,500 กิจกรรมโครงการต่อหน่วย ซึ่งได้รับความร่วมมือและการตอบรับจากประชาชนและสังคมเป็นอย่างดีและเป็นไปด้วยความเรียบร้อย 

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวต่อว่า ในวันนี้ได้รับมอบหมายจาก พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ให้มาร่วมกิจกรรมและตรวจประเมินโครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย ของตำรวจภูธรภาค 1 ซึ่งมีผลการลดอัตราการเสียชีวิตและบาดเจ็บจากการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนในพื้นที่เป็นที่น่าพอใจ โดยในห้วง 1 ปีที่ผ่านมา ในระหว่างดำเนินโครงการฯ มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน จำนวน 1,636 คน เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 3 ปี ย้อนหลัง ซึ่งมีจำนวน 1,904 คน สามารถลดลงได้ 268 คน (ลดลง 14.08%) และได้ดำเนินกิจกรรมโครงการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ภายใต้ความเหมาะสมกับสภาพภูมิศาสตร์และการดำเนินชีวิตของประชาชนในพื้นที่แต่ละจังหวัด ดังนี้ 1)ภ.จว.สมุทรปราการ โครงการชนท้าย ตายอย่างเดียว 2)ภ.จว.นนทบุรี โครงการลดจุดเสี่ยง เลี่ยงอุบัติเหตุ 3)ภ.จว.ปทุมธานี โครงการโรงงานห่วงใย พนักงานขับขี่ปลอดภัย สวมหมวกนิรภัย 100 % 4)ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา โครงการรู้สาเหตุ ลดจุดเสี่ยง เลี่ยงการตาย 5)ภ.จว.อ่างทอง โครงการจ่าเฉย All New 6)ภ.จว.สิงห์บุรี โครงการ สิงห์บุรีปลอดภัย มั่นใจ ทุกเส้นทาง 7)ภ.จว.ชัยนาท โครงการลดแรง ลดเร็ว ลดตาย 8)ภ.จว.ลพบุรี โครงการรณรงค์เยาวชนขับขี่ปลอดภัย 9)ภ.จว.สระบุรี โครงการจราจรไร้รอยต่อ : การบริหารควบคุมสั่งการจราจรโดยใช้ระบบเทคโนโลยี โดยทุกโครงการสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ บรรลุผลเป็นรูปธรรมและเป็นที่ประจักษ์ ประชาชนได้รับประโยชน์จากโครงการอย่างสูงสุด
 
พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความมุ่งหวังว่าการดำเนินโครงการดังกล่าว จะประสบผลสำเร็จในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ประชาชนสามารถสัญจรอย่างปลอดภัย ป้องกันและลดอุบัติเหตุ ตลอดจนการเสียชีวิตและบาดเจ็บบนท้องถนน ทั้งยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นมาตรฐานสากล ภายใต้ความร่วมมือของประชาชนและสังคม ดังนั้นสถานีตำรวจและข้าราชการตำรวจทุกนาย จักต้องดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องจริงจัง ให้เห็นผลเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประชาชนและสังคมได้รับประโยชน์สูงสุด

ผบ.ตร.และสมาคมแม่บ้านตำรวจ มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวข้าราชการตำรวจที่มีบุตรเป็นเด็กพิเศษ ตามโครงการ “ครอบครัวตำรวจ เราไม่ทิ้งกัน”  

วันนี้ (10 ส.ค. 66) เวลา 10.30 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานมอบความช่วยเหลือ ครอบครัวข้าราชการตำรวจที่มีบุตรเป็นเด็กพิเศษ ตามโครงการ “ครอบครัวตำรวจ เราไม่ทิ้งกัน” เพื่อสร้างอาชีพเพื่อเด็กพิเศษอย่างยั่งยืน ของสมาคมแม่บ้านตำรวจ ประจำปี 2566 ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีคุณสุมนา กิตติประภัสร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ , พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รอง ผบ.ตร. และคณะผู้บังคับบัญชาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ  ร่วมพิธี 

การดำเนินโครงการ “ครอบครัวตำรวจ เราไม่ทิ้งกัน” เพื่อสร้างอาชีพเพื่อเด็กพิเศษอย่างยั่งยืน ของสมาคมแม่บ้านตำรวจ ประจำปี 2566 เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตข้าราชการตำรวจของสมาคมแม่บ้านตำรวจ ตามนโยบายผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ให้ความสำคัญด้านสวัสดิการกำลังพล ซึ่งสมาคมแม่บ้านตำรวจได้ดำเนินโครงการนี้ต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 2 แล้ว  มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของครอบครัวตำรวจที่มีบุตรเป็นเด็กพิเศษ โดยส่งเสริมให้เด็กพิเศษได้ประกอบอาชีพที่มีรายได้ประจำ ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายในครอบครัวได้ โดยในการดำเนินโครงการ ได้มอบหมาย คุณลภัทธิตา จินตกานนท์ กรรมการบริหารสมาคม เป็นที่ปรึกษาโครงการ และได้รับความร่วมมือจากประธานชมรมแม่บ้านตำรวจแต่ละกองบัญชาการ หน่วยงานภาครัฐและเอกชน มีกองบัญชาการที่มีครอบครัวตำรวจเข้าร่วมโครงการ 18 กองบัญชาการ จำนวน 491 ครอบครัว รวมเงินทุนสนับสนุน เป็นจำนวนเงิน 5,888,700 บาท

สำหรับแนวทางการช่วยเหลือ ได้แบ่งออกเป็น 2 แนวทาง คือ 1.สนับสนุนการหาอาชีพที่เหมาะสมกับลักษณะทางกายภาพ และความสามารถของเด็ก โดยให้เด็กพิเศษที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่มีความพร้อม สามารถเข้าทำงานกับบริษัทเอกชน ส่วนราชการในพื้นที่ รวมถึงการช่วยเหลือต่างๆ เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน จำนวน 10 ราย  และ 2.สนับสนุนเงินทุน และอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นในการชีวิตประจำวัน เช่น รถเข็นไฟฟ้าแบบปรับเอน ที่นอน กางเกงผ้าอ้อม เครื่องปั่นอาหาร นมผงและของจำเป็นอื่นๆ จำนวน 481 ราย ซึ่งสมาคมแม่บ้านตำรวจได้รับการสนับสนุนจากบริษัท บลูบ๊อกซ์ อิเล็คทริค จำกัด , บริษัท ปริ๊นเซสบรา จำกัด , บริษัท เกรียงไกรวัฒนา อินเตอร์เทรด จำกัด ,บริษัท อริยะ อีควิปเม้นท์ จำกัด , บริษัท อิมแพ็ค คลีนนิ่ง เซอร์วิสเซส จำกัดบริษัท สุภาภรณ์ พลาสติก จำกัด ,บริษัท อาหารสยาม(2513)จำกัด , วัดบางพลีใหญ่กลาง และสถานีตำรวจภูธรทับปุด จังหวัดพังงา ที่เห็นความสำคัญของโครงการ และ มอบโอกาส ที่มีคุณค่า ให้เด็กๆ ได้มีงานทำ  มีเงินเดือนประจำ มีความสุข และมีความภาคภูมิใจในตัวเอง 

ทั้งนี้ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ กล่าวว่า โครงการ “ครอบครัวตำรวจ เราไม่ทิ้งกัน” เพื่อสร้างอาชีพเพื่อเด็กพิเศษอย่างยั่งยืน ของสมาคมแม่บ้านตำรวจ ได้ริเริ่มโดยคุณรัตนาภรณ์ สีวลีพันธ์ อดีตนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ในปีที่ผ่านมา ซึ่งได้เล็งเห็นปัญหาของครอบครัวข้าราชการตำรวจที่มีบุตรเป็นเด็กพิเศษ และเริ่มวางแนวทางการให้ความช่วยเหลือ ซึ่งตนในฐานะนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ จึงได้ต่อยอดโครงการนี้ โดยขยายความช่วยเหลือให้ครอบคลุมมากขึ้น และจะพยายามผลักดันให้เป็นโครงการที่ยั่งยืนของสมาคมแม่บ้านตำรวจต่อไป 

ด้าน ผบ.ตร. กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติยินดีสนับสนุนโครงการดังกล่าวของสมาคมแม่บ้านตำรวจ และได้มอบให้ตำรวจภูธรแต่ละจังหวัดสำรวจและเยี่ยมเยียน เพื่อรับรู้ปัญหา และหาแนวทางช่วยเหลือ เพื่อให้ข้าราชการตำรวจมีขวัญและกำลังใจการทำงานมากขึ้น 

'เลขาธิการ OIC' ชื่นชม 'ไทย' ผสานทุกศาสนาอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ พร้อมเชิญแบ่งปันปรัชญา 'ศก.พอเพียง-วิถีเกษตร' ในแอฟริกา

(10 ส.ค. 66) ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายฮุซัยน์ บรอฮีม ฏอฮา (H.E. Mr. Hissein Brahim Taha) เลขาธิการองค์การความร่วมมืออิสลาม (Organisation of Islamic Cooperation: OIC) เข้าเยี่ยมคารวะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

นายกรัฐมนตรี กล่าวต้อนรับเลขาธิการ OIC ในโอกาสเดินทางเยือนไทยครั้งแรกอย่างเป็นทางการ ว่า ไทยได้เชิญเลขาธิการ OIC เยือนไทยเป็นทางการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้รับทราบข้อมูลและเข้าใจสถานการณ์ในไทยได้ดียิ่งขึ้น ประเทศไทยคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพในการนับถือทุกศาสนาอย่างเท่าเทียม โดยมีการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างผู้คนทุกเชื้อชาติและศาสนา โดยชาวไทยมุสลิมสามารถแสดงออก และปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างเสรี และที่ผ่านมาชาวมุสลิมมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศไทยมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยมีชาวไทยมุสลิมหลายคนที่มีตำแหน่งระดับสูงในไทย

ด้านเลขาธิการ OIC กล่าวว่า รู้สึกยินดีที่ได้มีโอกาสเยือนไทยในครั้งนี้ ซึ่งรัฐบาลและคนไทยให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมกล่าวชื่นชมไทยที่ให้เสรีภาพปฏิบัติศาสนกิจของทุกศาสนาอย่างเท่าเทียมกัน ที่ผ่านมา OIC ได้มีโอกาสไปเยือนชุมชนกุฎีจีน ซึ่งได้สำรวจพื้นที่และพบกับผู้คนจากทั้งศาสนาพุทธ คริสต์ และอิสลาม สะท้อนถึงการเป็นแบบอย่างในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมพหุวัฒนธรรม ขอชื่นชมนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลไทยในการสร้างสันติสุขและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยการประชุมของ OIC ในหลายโอกาสได้ชื่นชมความพยายามของรัฐบาลไทย รวมถึงกล่าวถึงประเทศไทยในเชิงบวกและสร้างสรรค์ 

จากนั้น ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงประเด็นต่าง ๆ ประกอบการส่งเสริมความร่วมมือกับ OIC ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องขยายความร่วมมือในสาขาที่ไทยชำนาญและ OIC สนใจ ทั้งการทำการเกษตร ความมั่นคงทางอาหาร สาธารณสุข ความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม และมาตรฐานสินค้าอาหารฮาลาล เป็นต้น 

ทั้งนี้ ไทยได้แต่งตั้งเอกอัครราชทูต ณ กรุงริยาด ดำรงตำแหน่งผู้แทนถาวรไทยประจำ OIC หวังว่าจะช่วยขับเคลื่อนความสัมพันธ์ไทย - OIC ซึ่งเลขาธิการ OIC พร้อมให้การสนับสนุนผู้แทนถาวรไทยฯ เพื่อกระชับความร่วมมือกันในด้านต่าง ๆ สำหรับสถานการณ์ของประเทศสมาชิก OIC ในภูมิภาคแอฟริกา นั้น OIC ให้ความสำคัญกับสมาชิก OIC ในภูมิภาคแอฟริกา โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาการเกษตร พร้อมกล่าวเชิญชวนไทยมาแบ่งปันประสบการณ์ด้านการพัฒนาและการเกษตร ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมบทบาทของเลขาธิการ OIC ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว 

ด้านความร่วมมือเพื่อการพัฒนาสามฝ่ายระหว่างไทย OIC และแอฟริกา ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องถึงความร่วมมือเพื่อการพัฒนา ซึ่งจะเป็นกลไกที่สำคัญต่อการเสริมสร้างปฏิสัมพันธ์กับประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคแอฟริกา โดยนายกรัฐมนตรียินดีร่วมมือในสาขาที่ไทยมีความเชี่ยวชาญ ทั้งด้านสาธารณสุข ความมั่นคงทางอาหาร การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์สามฝ่าย

โอกาสนี้ เลขาธิการ OIC เชิญไทยแบ่งปันความรู้ด้านการเกษตร และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้กับมิตรประเทศในภูมิภาคแอฟริกา เพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน บนพื้นฐานของการพึ่งพาตนเอง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top