Sunday, 27 April 2025
NEWS FEED

ตร. จับมือ นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เปิดโครงการ “ห้องปฏิบัติการกฎหมาย” (Special Law Lab//YLPE : Young Lawyers-Police Engagement) สานต่อ สร้างนักกฎหมายรุ่นใหม่ ร่วมกันแลกเปลี่ยน เรียนรู้งานตำรวจตั้งแต่ต้นทาง สร้างแนวร่วมป้องกันภัยทางออนไลน์และการสืบสวนยุคใหม่

วันนี้ (16 ส.ค.66) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร., พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร. พร้อมด้วย รศ.ดร.ปกป้อง ศรีสนิท คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ รศ.ดร.ณภัทร สรอัฑฒ์ รองคณบดีฯ (ฝ่ายบริหาร) และนิสิตคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชั้นปีที่ 1-4 ที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 24 คน เข้าร่วมพิธี เปิดโครงการ “ห้องปฏิบัติการกฎหมาย” (Special Law Lab//YLPE : Young Lawyers-Police Engagement) ณ ห้องสารสิน อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

โดยโครงการห้องปฏิบัติการกฎหมาย (Special Law Lab) ที่จัดขึ้นในห้วงวันที่ 16 – 25 ส.ค.66 นั้นสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ร่วมกับคณะนิติศาสตร์ธรรมศาสตร์ จัดโครงการฯ ดังกล่าวขึ้น เพื่อให้นิสิตได้เรียนรู้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจจริงในพื้นที่จริง ตั้งแต่ต้นทางของกระบวนการยุติธรรม การตรวจค้น การจับกุม การสอบสวนปากคำ ฯลฯ ได้รับทราบ เรียนรู้ ทำความเข้าใจข้อกฎหมายนำไปสู่การปฏิบัติ โดยลงพื้นที่ร่วมกับตำรวจสืบสวน สอบสวน ป้องกันปราบปราม จราจร พื้นที่ สน.ห้วยขวาง ลุมพินี พญาไท พระโขนง และกองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตลอดจนศึกษา ดูงาน ศูนย์ควบคุม สั่งการฯ CCOC กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง, กองบัญชาการตำรวจนครบาล, สำนักงานนิติเวชวิทยา , สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (สพฐ.ตร.), ยุทธวิธีและการยิงปืนขั้นพื้นฐาน การรับแจ้งเหตุและการควบคุม สั่งการ อำนวยความสะดวกด้านการจราจร เป็นต้น

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้กล่าวเปิดพิธีฯ และบรรยายพิเศษ โดยกล่าวว่า แต่เดิม โครงการห้องปฏิบัติการกฎหมาย (Special Law LAB) ที่ได้รับความร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง นิสิตที่เข้าร่วมโครงการให้ความสนใจเรียนรู้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอย่างดี จึงได้มีการขยายผล สานต่อความร่วมมือกับ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  จึงถือเป็นอีกหนึ่งผลสำเร็จ ในความร่วมมือที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติภาคภูมิใจ และจะได้ขยายผลต่อยอดไปยังมหาวิทยาลัยอื่น ในจังหวัดขอนแก่น เชียงใหม่ (ห้วงเดือน ส.ค.- ก.ย.) และจังหวัดต่างๆ ต่อไป

บทสรุปคนจนหมั่นเพียร สร้างรายได้โกยกำไร กลายเป็นเศรษฐี สวนทางคนไหว้ผี บูชาปีศาจ จนอนาถ วิทยาศาสตร์ไม่ช่วยอะไร

(16 ส.ค.66) นายพงศ์พรหม ยามะรัต ได้โพสต์ข้อความเตือนสติถึงคนไทยที่ยังหลงติดกับวัฒนธรรมโง่ ๆ ผ่านเฟซบุ๊ก Pongprom Yamarat ระบุว่า...

ผมยกตัวอย่าง 3 ครอบครัว...

ครอบครัวแรก คือคุณทวดทางคุณพ่อ เสื่อผืนหมอนใบมาจากจีน ล่องแม่น้ำท่าจีนกับคนจีนยุคนั้นไปปักหลักที่ อ.บางปลาม้า ขยันทำมาหากิน (คุณปู่ผมลูกจีน 100% ตั้งใจเรียนจนสอบได้ทุนในหลวง ไปจบแพทย์ Harvard)

ครอบครัว 2 ไทยแท้ที่ปากพนัง เห็นการทำนามีแต่จะจนลง ๆ ก็มานั่งอ่านเกษตรทฤษฎีใหม่ในหลวง ค่อย ๆ เอาที่ดินเพียง 17 ไร่ มาทำเกษตรหลากชนิด ตอนนี้ไฮไลต์คือส้มโอทับทิมสยาม ฐานะดีจนส่งลูกเรียนเกษตรที่ประเทศญี่ปุ่นแล้ว

ครอบครัว 3 เป็นไทยเชื้อสายอินเดีย มาไทยมือเปล่า แต่มุ่งหน้าเรียนรู้ทำด้านยา เภสัช เพราะมองว่าการรักษาโรคนั้นยังไงก็จำเป็น จนรุ่นลูกจบแพทย์ เปิดคลินิกใหญ่โตร่ำรวย หากรวมคนไทยเชื้อสายอินเดียอีกบ้าน คนนั้นไปขนาดเปิดโรงงานยาเอง ตอนนี้รายได้ปีละ 5-8,000 ล้านบาท

3-4 ครอบครัวนี้เป็นตัวอย่าง ไทยแท้ที่เคยยากจน

- คนไทยเชื้อสายจีนเสื่อผืนหมอนใบ
- คนไทยเชื้อสายอินเดียเดินเท้ามือเปล่ามาดินแดนสยาม
- แถมตอนนี้เริ่มมีเศรษฐีพม่าที่รวยจากในไทยมากขึ้น ๆ

ตัดกลับมาพวกแห่มานับถือภูติผีปีศาจ คนกลุ่มนี้ไม่ต่างอะไรกับพวกไปไหว้ขอนไม้ / ไปไหว้หมา 2 หัว

คือ เป็นคนอ่อนแอ...

แทนที่จะกล้าเปลี่ยนตัวเองให้ขยัน หมายถึงขยันทั้งกาย ขยันทั้งการหมั่นหาความรู้ให้เก่ง กลับอ่อนแอนับถือทุกอย่างที่ไร้แก่นสาร แต่ไม่นับถือตัวเอง

นอกจากปัญหาใหญ่เกิดจากการศึกษาที่ไม่ทำให้คนเชื่อในความรู้ และคิดให้เป็นวิทยาศาสตร์แล้ว วัฒนธรรมความเชื่อโง่ ๆ ที่ยังกระจายอยู่ในหลายส่วนของสังคมไทยยังเป็นตัวบ่อนทำลายความเจริญของประเทศเป็นอย่างมาก

ไม่ต่างจาก เอาพระมาเจิมรถ แต่ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย / ขับกระบะซิ่งบนถนน โดยยังมีดอกไม้ไหว้แม่ย่านางแปะหน้ารถ / ไปสักยันต์กลางศีรษะให้เป็นเจ้าคนนายคน แต่กลับเกียจคร้าน

ประเทศไม่เจริญเพราะคนเหล่านี้แหละครับ

‘ทนายนกเขา’ ฟาดสื่อหลายสำนัก ปั่นข่าวเบี้ยผู้สูงอายุจนเละ  นำเสนอไม่ครบถ้วน ทั้งที่ประกาศใหม่ ทุกคนยังได้สิทธิคงเดิม

เมื่อไม่นานนี้ นายนิติธร ล้ำเหลือ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘ทนายนกเขา’ ทนายความที่รับว่าความคดีเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน และการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมของหน่วยงานภาครัฐ ปัจจุบันเป็นกรรมการฝ่ายสิทธิมนุษยชนประจำสภาทนายความ ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์สื่อมวลชนหลายๆ สำนัก ที่ได้ทำข่าวประเด็นเบี้ยยังชีพผู้สูงวัย ปี 66 ในลักษณะที่บิดเบือน และข้อมูลไม่ครบถ้วน ทำให้สังคมเกิดความสับสน จนนำไปสู่การวิจารณ์รัฐบาลด้วยความเข้าใจผิด โดยระบุว่า…

“ในเรื่องเบี้ยยังชีพของคนชราที่เป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้ จริงๆ แล้ว น่าตบปากสื่อมวลชนหลายสำนัก นำเสนอข่าววันแรก ก็นำเสนอไม่ครบ นำเสนอวันที่ 2 ก็ปั่นกระแสจนวุ่นวายหมด ไม่ได้ดูเลยว่า การที่รัฐบาลออกประกาศใหม่มานั้น ทุกคนยังได้สิทธิ์คงเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และผู้รับสิทธิ์รายใหม่ ที่อายุกำลังจะถึง 60 ปี ก็ยังได้สิทธิ์ดังเดิมไม่เปลี่ยนแปลง จะเปลี่ยนแปลงก็ต่อเมื่อ คณะกรรมการผู้สูงอายุไปกำหนดระเบียบ ประกาศ กำหนกหลักเกณฑ์ใหม่ ซึ่งก็อยู่ในประกาศข้อที่ 17-18 ที่มีอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีกระแสปั่นจนเกิดความเข้าใจผิด”

“พี่น้องประชาชนลองคิดดูว่า ถ้าการจ่ายเงินแบบสุรุ่ยสุร่าย ไร้สาระ เช่น คนที่ไม่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่ควรจะได้ ให้ทำอย่างไร? เหมือนที่คุณอนุพงษ์ เผ่าจินดา เขาพูดว่า ถ้าหากเขา หรือ พล.อ.ประยุทธ์ได้เบี้ยคนชรา สังคมจะรู้สึกอย่างไร?

ส่วนคุณเศรษฐา คงจะไม่รู้สึกอะไร เพราะเขาคงแจกเงินคนรวยจากเงินดิจิทัลอยู่แล้ว พ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ของพวกคุณธนาธร คุณพิธา เขาเดือดร้อนขนาดนั้นเลยหรือ? เดือดร้อนถึงขั้นต้องมาเอาเงินจากภาษีของพี่น้องประชาชนที่ร่วมกันจ่ายเลยหรือ?”

“เพราะฉะนั้น ‘ความเท่าเทียม’ ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะต้องได้เบี้ยคนชรา เมื่อมีอายุครบเกณฑ์แล้ว แต่หมายความว่า เมื่ออายุเข้าสู่ผู้สูงวัยแล้วนั้นจะต้องมีการดูแลให้ใกล้เคียง หรือมีโอกาสมีชีวิตอยู่ต่อ เหมือนกับผู้สูงอายที่มีรายได้ มีฐานทางเศรษฐกิจที่ดีอยู่แล้ว”

มันก็อาจจะก่อเกิดความคิดที่ว่า คนที่ยังต้องดูแล อาจจะได้เม็ดเงินเพิ่มขึ้นก็ได้ หากบริหารจัดการจากเม็ดเงินตรงนี้ดีๆ ก็จะได้ประโยชน์อย่างเป็นถาวร เป็นนิรันดร์ เศรษฐกิจต่างๆ มันก็อาจจะฟื้นตัวดีขึ้นได้ แต่เราเจอนักเมืองที่ไม่ประสีประสาเรื่องนโนยบายการเงิน การคลังของประเทศ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประสีประสามากน้อยแค่ไหน? คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประสีประสามากน้อยแค่ไหนกันเชียว? กับเรื่องงบประมาณการเงิน การคลังของประเทศในภาพรวมทั้งหมด พูดแต่วิธีจ่ายเงินออกไปทั้งนั้นเลย วิธีหายรายได้ให้ประเทศ พูดเป็นไหม? พูดได้ไหม?

คดีพลิก!! สาวจีนเจ้าของ ‘โรลส์-รอยซ์’ เตรียมส่งทนายพบ ตร. ยัน!! ไม่ได้ใจดี แต่พูดไทยไม่ได้ จ่อเรียกค่าเสียหายกระบะซิ่ง

(16 ส.ค. 66) จากกรณี รถกระบะแต่งซิ่ง ชนท้าย รถโรลส์-รอยซ์ มูลค่า 32 ล้านบาท ต่อมาทราบว่าคนขับโรลส์-รอยซ์นั้น เป็นหญิงสาวชาวจีน โดยหลังจากเกิดเหตุได้มีการลงมาพูดคุยกับคนขับกระบะ และเจ้าของโรลส์-รอยซ์ ยอมรับว่าเป็นฝ่ายผิด เพราะเบรกกะทันหัน และยืนยันไม่เอาเรื่องกระบะ จากนั้นก็ได้ขับรถออกไปเลยโดยไม่รอเจอตำรวจหรือประกัน ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุดวันที่ 16 ส.ค. 66 รายงานข่าวแจ้งว่า ทางฝั่งของหญิงสาวชาวจีน ได้เตรียมส่งทนายความเดินทางเข้าพบตำรวจทางหลวง 1 กองกำกับการ 8 ถ.ลาดกระบัง ในช่วงสายวันนี้ โดยยืนยันไม่ใช่ใจดี แต่พูดไทยไม่ได้ นอกจากนี้ ยังเตรียมเรียกค่าเสียหายกับกระบะคู่กรณีที่ชนท้ายด้วย ส่วนความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบต่อไป

'ม.ขอนแก่น' มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิต จ่อปรับโฉม 'หอพัก-คอมเพล็กซ์' สร้างพื้นที่ 'น่าอยู่-ปลอดภัย' แก่ 'นักศึกษา-คณาจารย์'

มหาวิทยาลัยขอนแก่นมีการวางแผนยุทธศาสตร์การบริหาร คือการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ (Transformation) เพื่อวิสัยทัศน์ในการเป็น ‘มหาวิทยาลัยวิจัยและพัฒนาชั้นนําระดับโลก’ ทั้งด้านการจัดการศึกษาการวิจัยการบริการวิชาการการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลและด้านการบริหารจัดการองค์กรเพื่อให้มหาวิทยาลัยยังคงมีความก้าวหน้าและการพัฒนามหาวิทยาลัยอย่างยั่งยืน

สำหรับด้านระบบนิเวศของมหาวิทยาลัย (Ecological) ซึ่งอยู่ภายใต้การรับผิดชอบของฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยขอนแก่น นั้น ผศ.อาวุธ ยิ้มแต้ รองอธิการบดีฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อม เผยว่า การสร้างมหาวิทยาลัยขอนแก่นให้เป็นที่น่าทํางาน (Best place to work) ให้เป็นที่ทํางานที่สนุกและท้าทายทําให้คณาจารย์และบุคลากรอยากทํางานด้วยมากที่สุด โดยจะมีการสร้างมหาวิทยาลัยให้เป็นที่น่าอยู่ (Great place to live) เพื่อให้เป็นสถานที่ที่มีความเหมาะสมในการใช้ชีวิตมีสิ่งแวดล้อมที่ดีเป็นมหาวิทยาลัยสีเขียวมีห้องเรียนด้านพฤกษศาสตร์และมีความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต (Biodiversity)

ผศ.อาวุธ ยิ้มแต้ กล่าวว่า “โครงการที่เป็นเรือธงในการพัฒนามหาวิทยาลัยขอนแก่น (Flag ship projects) ของฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อม คือ การเพิ่มจำนวนที่พักบุคลากรที่พักนักศึกษาและบุคลากรให้มีจำนวนมากขึ้น นำพื้นที่สนามซอฟท์บอล หลังหอ 26 สร้างเป็นหอพักนักศึกษา โดยจะจัดหาพื้นที่ใหม่สำหรับสร้างสนามซอฟท์บอลทดแทน และพื้นที่อยู่ด้านหลังปั๊มน้ำมัน ปตท. รวมสองพื้นที่นี้จะรองรับนักศึกษาได้ประมาณ 4,000 คน ส่วนที่พักบุคลากรนั้นจะอยู่บริเวณฝั่งบึงสีฐาน เป็นพื้นที่ใกล้ๆ กันกับพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ การดำเนินการเป็น 2 เฟส คาดว่าจะรองรับบุคลากรได้ประมาณ 2,000 คน ขณะนี้มีความก้าวหน้าอยู่ในช่วงทำร่างขอบเขตงาน (Term of Reference) หรือ TOR เสร็จแล้ว จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนหาผู้ร่วมลงทุนมาดำเนินการก่อสร้างต่อไป”

“อีกส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับงานพลิกโฉมที่ฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบก็คือ เรื่องของการปรับปรุงศูนย์อาหารและบริการ หรือ คอมเพล็กซ์ นั้น เป็นการปรับปรุงใหญ่ซึ่งท่านอธิการให้ความสำคัญเนื่องจาก Complex เป็นพื้นที่ที่บุคลากรส่วนใหญ่ทั้งมหาวิทยาลัยมาใช้งานในพื้นที่นี้ร่วมกัน ขณะนี้อยู่ในช่วงของการออกแบบพื้นที่”

“นอกจากนี้ยังมีระบบประปา ที่มหาวิทยาลัยลงทุนขุดลอกบ่อเก็บน้ำดิบ เพื่อเก็บกักน้ำที่ผลิตได้ให้มากขึ้น ป้องกันการขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง ลดความเสี่ยงการขาดน้ำของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งได้มีการดำเนินการเกือบสมบูรณ์แล้ว สำหรับการสำรองน้ำที่ผลิตเป็นน้ำประปานั้น มีแผนจะนำเอาถังเก็บน้ำที่เลิกใช้เอากลับมาบูรณะใหม่ เพื่อจะเพิ่มปริมาตรการเก็บกักน้ำที่ผลิตเป็นน้ำประปาให้มีน้ำใช้ได้ตลอดปี ส่วนน้ำที่ใช้ในด้านการเกษตร เช่น คณะเกษตรศาสตร์ได้มีการวางท่อจ่ายน้ำที่ผ่านระบบบำบัดน้ำเสีย และสูบน้ำดิบที่ได้มาตามธรรมชาติ สุ่มจ่ายไปหลายจุดนำไปใช้รดต้นไม้ ซึ่งในอนาคตจะมีการพัฒนาบึงต่างๆ ในมหาวิทยาลัยขอนแก่น เช่น การขุดลอกหนองหัวช้างซึ่งเป็นสระเก็บน้ำเก่าแก่ของมหาวิทยาลัยที่ปัจจุบันมีความตื้นเขินเพื่อจัดเก็บน้ำเพื่อใช้ในการเกษตร ทั้งยังสร้างระบบนิเวศให้น่าอยู่ ร่มรื่น เพิ่มความผาสุขการทำงานบุคลากรต่อไป” ผศ.อาวุธ ยิ้มแต้  รองอธิการบดีฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อม  กล่าวในที่สุด

DSI จับมือกรมส่งเสริมสหกรณ์เร่งดำเนินคดีทุจริตชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันกระบี่ และเอาผิดผู้บุกรุกครอบครองที่ดินสหกรณ์นิคมคลองท่อมและนิคมอ่าวลึกโดยมิชอบ

วานนี้ (วันอังคารที่ 15 สิงหาคม 2566) ร้อยตำรวจเอก ปิยะ  รักสกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมกับ นายประวัติ  แดงบรรจง รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้ลงพื้นที่จังหวัดกระบี่เพื่อตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินการคดีพิเศษที่ 56/2566 กรณี ทุจริตชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันกระบี่ ขณะที่ร้อยตำรวจเอก ชาญณรงค์  ทับสาร รองผู้อำนวยการกองปฏิบัติการคดีพิเศษภาค กรมสอบสวนคดีพิเศษ หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษและคณะ กำลังสอบสวนบันทึกปากคำพยานปากสำคัญ ณ กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 426 อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่  

อีกทั้งยังได้เดินทางไปรับทราบข้อมูล ประชุมหารือแนวทางในการดำเนินคดีร่วมกัน ซึ่งขณะนี้มีจำนวน 3 คดีด้วยกัน ได้แก่

1. คดีทุจริตชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันกระบี่ ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้ามากแล้ว  
2. คดีทุจริตที่ดินในนิคมคลองท่อม ขณะนี้ซึ่งอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับการรับรองเอกสารมิชอบเพื่อออกโฉนดที่ดินในนิคมคลองท่อม จำนวน 313 แปลง
3. คดีบุกรุกครอบครองพื้นที่นิคมสหกรณ์อ่าวลึก 796 ไร่ ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานการอนุญาตให้ใช้ที่ดินที่ได้สิ้นสุดแล้วแต่ผู้รับอนุญาตเดิมยังคงครอบครองทำประโยชน์ และมีผู้เข้าครอบครองใหม่ 35 ราย เข้าทำการแย่งสิทธิต่อกัน โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษจะสืบสวนสอบสวนเอาผิดกับผู้กระทำความผิดทุกรายอย่างเป็นธรรม หลังจากที่ดำเนินคดีแล้วจะส่งคืนพื้นที่ให้กับกรมส่งเสริมสหกรณ์นำไปบริหารจัดการตามหน้าที่และอำนาจของกรมส่งเสริมสหกรณ์ต่อไป

นราธิวาส-ผู้แทน เลขาธิการศอ.บต. รุดเยี่ยมครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ จชต. เพื่อเยียวยาจิตใจให้เข้มแข็ง

ผู้แทนเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) นำโดย นางสาวเยาวภา อินชะนะ ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. และเจ้าหน้าที่เยียวยา ศอ.บต. เข้าเยี่ยมครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่ โดยในช่วงเช้า ได้เข้าเยี่ยมครอบครัวพลทหาร รีฟวัน เจะแล ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ณ หมู่ที่ 1 ต.สุวารี อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส โดยได้พูดคุยให้กำลังใจ พร้อมมอบเครื่องอุปโภคบริโภคจำเป็น เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบฯ 

พลทหาร รีฟวัน เจะแล เสียชีวิตจากเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2566 เวลา 00.10 น. คนร้ายใช้อาวุธปืนและขว้างลูกระเบิดไม่ทราบชนิดใส่ เจ้าหน้าที่ทหารชุดจรยุทธ ขณะกำลังซุ่มนอกฐานที่ตั้ง เหตุเกิดบริเวณโกดังริมแม่น้ำ บ้านศรีพงัน หมู่ที่ 3 ต.เกาะสะท้อน อ.ตากใบ จ.นราธิวาส 

จากนั้นคณะได้เดินทางเยี่ยมครอบครัวสิบตำรวจเอก ไซฟูดีน เจ๊ะซอ หมู่ที่ 4 ต.เจ๊ะเห อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เสียชีวิตจากเหตุการณ์ถูกคนร้ายลอบยิงขณะออกทำการสืบสวนหาข่าวในพื้นที่โดยใช้รถจักรยานยนต์ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา โดยคณะได้พูดคุยให้กำลังใจและมอบเครื่องอุปโภคบริโภคจำเป็น เพื่อเป็นขวัญกำลังใจด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม นอกจากการช่วยเหลือเยียวยาตามระเบียบการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบแล้ว ศอ.บต.ยังตระหนักถึงการเยียวยาจิตใจของผู้ได้รับผลกระทบ โดยได้เดินทางเยี่ยมครอบครัวผู้สูญเสียทุกครอบครัว เพื่อให้มีกำลังใจ กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขโดยเร็ว 

‘เชสเตอร์’ แจง!! ‘หนังไก่ซอสน้ำปลา’ หายปริศนา เหตุ!! ‘พนักงานสาขา-คนรับออเดอร์’ สื่อสารกันคลาดเคลื่อน

(15 ส.ค. 66) หลังจากผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ปัญหา ‘หนังไก่หาย’ ลงในกลุ่ม ‘พวกเราคือผู้บริโภค’ ซึ่งมีสมาชิกกว่า 3.4 แสนคน พร้อมเล่าว่า…

“รบกวนสอบถามค่ะสั่งข้าวไก่กรอบซอสน้ำปลาแบรนด์นึงมา แต่เหมือนหนังไก่โดนดึงออกไปค่ะ ไม่ทราบว่าคนอื่นเป็นเหมือนเรามั้ยคะ 🥹”

ขณะที่คอมเมนต์มองว่า “ไม่น่าจะเป็นไปได้” อีกทั้ง “ส่วนที่อร่อยที่สุดหายไปแล้ว”, “เอาเนื้อไปยังไม่โกรธเท่านี้”

สรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ดำเนินรายการชื่อดัง เปิดเผยว่า ทีมข่าวได้โทรสอบถามผู้ช่วยผู้จัดการร้านไก่ดังกล่าว ได้คำตอบว่า “วันเกิดเหตุลูกค้าโทรมาสอบถามเรื่องหนังไก่หายแล้ว ได้ขอโทษลูกค้าไปแล้ว ลูกค้าไม่ได้ติดใจเอาความอะไร แค่สอบถามว่าหนังไก่หายไปไหน จึงตอบลูกค้าไปว่า “หนังไก่อาจจะหด หนังไก่ไม่น่าหลุด” ลูกค้าก็เข้าใจ เพราะเป็นลูกค้าประจำ”

ล่าสุด บริษัท เชสเตอร์ฟู้ด จำกัด เจ้าของธุรกิจ ร้านอาหารเชสเตอร์ (Chester’s) ออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า…

“จากกรณีที่ลูกค้าท่านหนึ่งได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับการสั่งซื้อเมนูข้าวไก่กรอบซอสน้ำปลาจากร้านเชสเตอร์ สาขา ปตท.วงแหวนบางแค และพบว่า ไก่กรอบซอสน้ำปลา ที่ได้รับ ไม่มีหนังไก่ ติดมาด้วยนั้น

หลังจากที่บริษัทรับทราบข่าวได้ทำการติดต่อลูกค้าและสอบถามข้อเท็จจริงไปยังสาขาดังกล่าวทันที เพื่อหาสาเหตุและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า สาเหตุอาจเกิดจากการสื่อสารที่คลาดเคลื่อนระหว่างพนักงานสาขาที่รับออเดอร์กับลูกค้า จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ตามที่เป็นข่าว

ทั้งนี้ บริษัทขออภัยในความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น และขอขอบคุณ พร้อมน้อมรับทุกคำติชมเพื่อนำไปพัฒนาการบริการให้กับลูกค้าเชสเตอร์ทุกท่านให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

ขอแสดงความนับถือ”

เปิดค่าซ่อม ‘Rolls-Royce Ghost’ ที่กระบะแต่งซิ่งชนท้าย แค่ตูมเดียวก็ได้จ่ายอ่วม มูลค่าไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาท!!

(15 ส.ค. 66) จากกรณีรถกระบะชนท้ายรถยนต์หรู Rolls-Royce Ghost Extended รุ่นใหม่ล่าสุดซึ่งมีราคาเริ่มต้นสูงถึง 36,800,000 บาท (เมื่อรวมกับออปชันต่างๆ อาจมีมูลค่าสูงถึง 44 ล้านบาทตามที่ปรากฏเป็นข่าว) ลองไปดูกันว่าเคสนี้จะโดนค่าซ่อมขนาดไหน

‘Rolls-Royce Ghost’ รุ่นปัจจุบัน (ตามที่เป็นข่าว) ถูกพัฒนาต่อเนื่องมาเป็นเจเนอเรชันที่ 2 แล้ว โดยถือเป็นรถยนต์ระดับ Ultra-luxury ขนาดรองลงมาจากรุ่น Phantom ถูกนำเข้าและจัดจำหน่ายผ่าน Rolls-Royce Motor Cars Bangkok ของเครือ MGC-ASIA (เจ้าของเดียวกับโชว์รูม BMW Millennium Auto) ซึ่งมีโชว์รูมตั้งตระหง่านอยู่บนถนนพระรามที่ 3 นั่นเอง

อันที่จริงแล้วค่าซ่อมรถยนต์หรู Rolls-Royce Ghost จากกรณีถูกรถกระบะชนท้ายดังกล่าวไม่ได้มีรายละเอียดแน่ชัด (เพราะถือเป็นเรื่องของศูนย์บริการและบริษัทประกันที่ต้องประเมินค่าซ่อม) แต่ก็มีการประมาณการค่าซ่อมชิ้นส่วนที่เกี่ยวเนื่องจากการถูกชนท้ายเอาไว้ ดังนี้

- ชุดไฟท้าย 2 ข้าง ประมาณ 600,000 บาท
- กันชนหลัง ประมาณ 250,000 บาท
- ท่อไอเสีย ประมาณ 80,000 บาท
- ฝากระโปรงหลัง ประมาณ 300,000 บาท
- อุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องบริเวณห้องเก็บสัมภาระท้าย ประมาณ 350,000 บาท
- ระบบ Shockup ฝากระโปรงท้าย ประมาณ 600,000 บาท

เมื่อรวมกันแล้วก็จะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาท ซึ่งอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าทั้งหมดเป็นมูลค่าประมาณการเท่านั้น ซึ่งความเป็นจริงยังมีค่าซ่อมส่วนอื่นๆ อีกมากมาย เช่น การเคาะขึ้นรูปตัวถัง, การทำสี, ค่าแรง, ชิ้นส่วนอิเลกทรอนิกส์ และชิ้นส่วนที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆ อีกมากมาย ส่งผลให้ค่าซ่อมครั้งนี้เกินกว่า 2 ล้านบาทอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดคนขับรถ ‘กระบะ’ บอกว่า วันเกิดเหตุได้ขับมาด้วยความเร็วปกติ 110-120 กม./ชม. พยายามจะแซงขวา แต่ ‘รถหรู’ โรลส์-รอยซ์ ได้การเบรกกะทันหันจึงได้ชนท้าย

ต่อมาได้ลงรถมาพูดคุยกับคนขับโรลส์-รอยซ์ ก็พบว่าคนขับเป็นสาวจีนวัย 21 ปี ซึ่งยอมรับว่าตัวเธอเองเบรกกะทันหันจริง จึงไม่ติดใจเอาความ เพราะรถคันหน้าเบรกกะทันหัน เธอจึงเบรกไม่ทัน งานนี้จึงจบด้วยต่างคนต่างไปซ๋อมรถของตัวเอง ไม่ต้องมารับผิดชอบใดๆ

ความคืบหน้าครอบครัวหัวร้อน ตั้งวงเหล้าเสียงดังด่าตำรวจหยาบ ล่าสุดขอเลื่อนเข้ารับทราบข้อกล่าวหา ถูกตำรวจออกหมายเรียกพร้อมแจ้ง 6 ข้อกล่าวหา

วันที่ 15 สิงหาคม 2566 ความคืบหน้ากรณีที่มีคลิปตำรวจสายตรวจ สภ.เมืองสมุทรปราการ บันทึกคลิปวีดีโอระหว่างเข้าระงับเหตุวงสุราเปิดเพลงเสียงดัง สร้างความเดือดร้อนรำคาญ ให้กับชาวบ้านในซอย จึงมีการโทรไปร้องเรียนที่ 191 แต่เมื่อสายตรวจไปถึง พบกับครอบครัวหัวร้อนกร่างใส่ ท้าตำรวจต่อยตัวต่อตัว อ้างบอกเป็นครอบครัวนายตำรวจ รู้จักคนใหญ่คนโต ถ้าไม่กลับไปเดี๋ยวเจอดี และยังบอกว่าสงสัยเป็นตำรวจใหม่ ไม่รู้จักคนในบ้านหลังนี้ ที่มีพี่น้องและคนครอบครัวเป็นนายตำรวจใหญ่ ส่วนตำรวจสายตรวจก็พยายามขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย พร้อมถอยออกจากบ้านที่เกิดเหตุ แต่ก็ยังถูกว่ากล่าวทำนองดูหมิ่นการทำหน้าที่ ซึ่งคลิปดังกล่าวถูกโพสต์ลง ในโซเชียล มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก 

ล่าสุดทางด้าน พลตํารวจตรี พัลลภ แอร่มหล้า ผู้บังคับการตํารวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ กล่าวว่า จากที่ได้รับแจ้งจาก พันตํารวจเอกนพดล ช่างเรือน ผู้กํากับการสถานีตํารวจภูธรเมืองสมุทรปราการ กรณีมีคลิปการระงับเหตุ ของเจ้าหน้าที่ตํารวจในสื่อมวลชนต่างๆ เหตุเกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม 2566 เวลาประมาณ 22.26 น. ศูนย์วิทยุ 191 สมุทรปราการ แจ้งมายังศูนย์วิทยุสถานีตํารวจภูธรเมืองสมุทรปราการ ว่ามี ประชาชนแจ้งเหตุ เปิดเพลงส่งเสียงดัง บริเวณร้านอาหารใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ศรีนครินทร์ จึงแจ้ง ให้เจ้าหน้าที่ตํารวจเดินทางตรวจสอบเหตุดังกล่าว โดยมีสิบตํารวจตรีสุรวีร์ วีระชาติผู้บังคับหมู่งาน ป้องกันปราบปราม สถานีตํารวจภูธรเมืองสมุทรปราการ ปฏิบัติหน้าที่สายตรวจทรัพย์บุญชัย เดินทาง ตรวจสอบบริเวณดังกล่าว 

เมื่อเดินทางถึงบริเวณสถานที่รับแจ้งเหตุดังกล่าว พบว่าเป็นร้านอาหารมีการเปิดเพลงส่งเสียงดัง จริง จึงได้ประชาสัมพันธ์กับกลุ่มประชาชนที่เปิดเพลงส่งเสียงดังให้ลดเสียงลง และเลิกการกระทําที่ก่อ ความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น ซึ่งบริเวณดังกล่าวอยู่ภายในชุมชนที่มีประชาชนอาศัยอยู่ เป็นจํานวนมาก 

ต่อมา กลุ่มประชาชนดังกล่าว ได้เข้ามาขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตํารวจ ใช้คําพูดใน ลักษณะดูหมิ่น ใช้กําลังผลัก และตะโกนไล่เจ้าหน้าที่ตํารวจให้ออกไปจากสถานที่เกิดเหตุ ต่อมาหลังจากที่เจ้าหน้าที่ตํารวจที่เข้าระงับเหตุ ได้เดินทางออกมาจากที่เกิดเหตุแล้ว ได้รวบรวม หลักฐานคลิปวิดีโอ ขณะปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจสอบเหตุดังกล่าว แจ้งให้กับผู้บังคับบัญชาทราบ เพื่อ ดําเนินคดีกับกลุ่มผู้ก่อเหตุ ตามคลิปดังกล่าวรวม 6 คน โดยแจ้งดําเนินคดีต่อพนักงานสอบสวนสถานี ตํารวจภูธรเมืองสมุทรปราการ จํานวน 6 ข้อหา ดังนี้ 1.ร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่หรือให้ละเว้นการปฏิบัติ ตามหน้าที่โดยใช้กําลังประทุษร้าย โดยร่วมกระทําความผิดด้วยกัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ,139 และมาตรา 140 ตั้งแต่สามคนข้ึนไป ผู้กระทําต้องระวางโทษ จําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ 2.ร่วมกันต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในขณะปฏิบัติการตามหน้าที่ โดยใช้กําลัง ประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย โดยร่วมกระทําความผิดด้วยกันตั้งแต่สาม คนข้ึนไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ,138 วรรค 2 และมาตรา 140 3.ร่วมกันดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่หรือเพราะได้กระทําการตามหน้าท่ี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ,136 โทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ 4.ร่วมกันทําร้ายร่างกายผู้อื่นไม่เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ,391 โทษจําคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาทหรือทั้งจําทั้งปรับ 5.ร่วมกันเปิดเพลงเสียงดัง ทําให้เกิดเสียงหรือเกิดความอื้ออึงโดยไม่มีเหตุอันสมควร จน ทําให้ประชาชนตกใจหรือเดือดร้อนด้วยการเปิดเพลงเสียงดังในสถานท่ีเกิดเหตุ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ,370 โทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท 6.ร่วมกันกระทําประการใดๆต่อผู้อื่นอันเป็นการข่มเหง คุกคาม หรือกระทําให้ได้รับความ อับอายหรือเดือดร้อนรําคาญ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ,397 โทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท กรณีกระทํา ในที่สาธารณะ โทษจําคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ 

และได้ออกหมายเรียกกลุ่มผู้ต้องหาให้มาพบพนักงานสอบสวนไปแล้วเมื่อวันจันทร์ที่ 14 สิงหาคม 2566 โดยกลุ่มผู้ต้องหาแจ้งจะเดินทางมาพบพนักงานสอบสวนในวันพฤหัสบดีที่ 17 สิงหาคม 2566 เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา จากเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้น ในส่วนของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตํารวจ ในการเข้าระงับเหตุครั้ง ที่เจ้าหน้าที่ตํารวจได้กระทําการตามหลักกฎหมายและหลักยุทธวิธี ในการเดินทางตรวจสอบเหตุ รวมทั้ง ประเมินสถานการณ์เหตุการณ์ และยับยั้งไม่ให้เกิดเหตุรุนแรงมากขึ้น จากเหตุที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่ตํารวจ ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอดทน อดกลั้น อย่างถึงที่สุดและปฏิบัติตามขั้นตอนและหลักยุทธวิธี ในการใช้ กําลัง เพื่อไม่ให้เกิดที่รุนแรงมากขึ้น ในส่วนของประชาชน เจ้าหน้าที่ตํารวจมีความห่วงใย จึงขอฝากประชาสัมพันธ์ผู้กระทําความผิด ให้ตระหนักถึงกรอบของกฎหมาย หากมีการกระทําความผิดจะต้องรับโทษตามที่กฎหมายกําหนด 

พันตํารวจเอกนพดล ช่างเรือน ผู้กํากับการสถานีตํารวจภูธรเมืองสมุทรปราการ กล่าวเพิ่มเติมว่า ถ้าอีกฝ่ายผู้ต้องหาเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมก็ขอให้ใช้สิทธ์ตามกฎหมายได้ ส่วนทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันว่าทำหน้าที่ด้วยความอดทนอดกลั้นอย่างถึงที่สุดแล้ว ส่วนสิบตํารวจตรีสุรวีร์ ยืนยันว่าไม่เคยรู้จักหรือโกรธเคืองกับกลุ่มผู้เสียหายมาก่อนแต่อย่างใด ทั้งนี้ ทางผู้บังคับบัญชาระดับ ตร. และ ผบ.ตร. ก็กล่าวชื่มชมในการทำงานมาด้วย ส่วนการทำงานของ สิบตํารวจตรีสุรวีร์ ที่ผ่านมาก็เป็นคนที่ทำงานดีและขยันอดทนมาตลอด 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top