Monday, 9 June 2025
LITE

27 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ก่อสร้าง ‘พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ’ สำเร็จ นับเป็นรูปปั้นที่สูงที่สุดในประเทศไทย เทียบเท่าตึก 40 ชั้น

‘พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ’ หรือชื่อที่นิยมเรียกติดปากของคนในพื้นที่ว่า ‘หลวงพ่อใหญ่’ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ ประดิษฐานอยู่ ณ วัดม่วง ตำบลหัวตะพาน อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง เป็นรูปปั้นที่สูงที่สุดในประเทศไทย จัดเป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในโลกองค์หนึ่ง

ทั้งนี้ ‘พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ’ สร้างขึ้นโดยดำริของ พระครูวิบูลอาจารคุณ (เกษม อาจารสุโภ) เจ้าอาวาสองค์แรกของวัดม่วง เพื่อถวายแด่พระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนา โดยเริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2534 แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ใช้ทุนทรัพย์ในการสร้างทั้งหมด 104,261,089.65 บาท จากการบริจาคของผู้มีจิตศรัทธา รวมเป็นระยะเวลากว่า 16 ปี โดยที่พระครูวิบูลอาจารคุณนั้นได้ถึงแก่มรณกรรมไปเสียก่อนที่การก่อสร้างจะเสร็จด้วยโรคมะเร็ง ในวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2544 ณ โรงพยาบาลศิริราช แต่ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ท่านได้ให้ชื่อพระพุทธรูปว่า ‘พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ’ เป็นการอุทิศแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

อย่างไรก็ตาม ‘พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ’ มีความสูงจากฐานองค์พระถึงยอดเกศา 95 เมตร เทียบเท่ากับตึก 40 ชั้น และมีความกว้างของหน้าตัก 63.05 เมตร ซึ่งการเดินวนรอบองค์พระต้องใช้เวลากว่า 3 นาที และยังเป็นพระพุทธรูปที่สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล นับเป็นพระพุทธรูปองค์สำคัญของวัดม่วงและจังหวัดอ่างทอง

‘RS’ เปิดโปรเจกต์ ‘LONELY LOUD FEST เทศกาลเหงาตะโกน’ ‘นนท์ ธนนท์-อิ้งค์ วรันธร-PIXXIE’ นำทัพมาฮีลใจ เริ่มจองบัตร 30 ก.ค.นี้

(26 ก.ค. 67) อาร์เอส มัลติเอ็กซ์  ภายใต้ อาร์เอส มัลติมีเดีย แอนด์ เอนเตอร์เทนเมนท์ ในเครือ อาร์เอส กรุ๊ป เดินหน้าโปรเจกต์ใหม่ที่จะมาฮีลใจ พร้อมปลุกไฟคนเหงาให้อ้าแขนโอบกอดรับความสุข กับงาน ‘LONELY LOUD FEST เทศกาลเหงาตะโกน’ งานรวมพลคนเหงา ที่ไม่ว่าจะอกหัก ว้าเหว่ เพื่อนเมิน ก็มาตะโกนเพลิน ๆ ให้โลกได้รู้ว่าคนเหงาก็มีความสุขได้ เตรียมวอร์มและอุ่นเครื่องร่างกายของคุณมาให้พร้อม และมาตะโกนความเหงา พร้อมกันใน วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายนนี้ ณ UNION HALL ศูนย์การค้า UNION MALL พูดเลยว่างานนี้ ถึงตอนมา จะมาคนเดียว แต่กลับไปแบบไม่เดียวดายแน่นอน คอนเฟิร์ม!

แล้วคนเหงา จะกลับไปแบบไม่เดียวดายจริงหรือ? คำตอบนี้ ไม่มีใครจะการันตีได้ นอกจากใครที่เหงา จะต้องมาสัมผัสและมาพิสูจน์ด้วยตัวของคุณเอง เพราะภายในงาน ‘LONELY LOUD FEST เทศกาลเหงาตะโกน’ เหล่าบรรดาคนเหงา นอกจากจะไม่เหงาใจแล้ว ยังไม่เหงาหูแน่นอน เพราะจะได้พบกับศิลปินสุดขี้เหงา ที่จะทำให้คุณได้ร้องตะโกนให้ดังลั่น กับเพลงช้า เพลงฮีลใจ ปลดปล่อยความเหงาให้สุดเสียง พร้อมมาโดด แต่ไม่เดี่ยวกับศิลปินสุดฮิต แบบนันสต๊อป นำโดย นนท์ ธนนท์, อิ้งค์ วรันธร, PIXXIE, LIPTA, SERIOUS BACON และ WIM หรือ  กานต์-กษิดิ์เดช หงส์ลดารมภ์ 

เท่านั้นยังไม่พอภายในงาน ยังมีกิจกรรมแก้เหงา ให้เหล่าคนเหงาได้มาปล่อยใจ ปล่อยจอย ร่วมสร้างแอคทิวิตี้ด้วยกันอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็น โซนเล่นตะโกน  มาเล่นตะโกนระบายอารมณ์กับมุมแปะ POST-IT ระบายความเหงาและ Installation ART, โซน HEAL ด้วยการหาเพื่อนใหม่แบบไม่เดียวดายด้วย QR FRINDS แลก Contact / แจกวาร์ป ช่องทาง ให้คุณไปดีลต่อแบบโดนใจ พร้อมกับกิจกรรม ฮีลใจ ด้วยการนำของเก่ามาแลกของใหม่สุดพิเศษจากงาน ภายใต้คอนเซปต์ ‘เอาแฟนเก่ามาแลกแฟนใหม่’ และแน่นอน การจะมีความรักดี ๆ เรื่องของมูเตลู ก็สำคัญกับโซน เสริมความสุข กับมูชาปอง / ของขลัง / ของมูสายความรัก และที่ขาดไม่ได้เลย กับกูรูที่จะช่วยคุณให้ Move On ให้ก้าวต่อไปแบบไม่หลงทาง มาดูหมอ หามูLOVE ดูดวง แก้ดวง แก้ชง กันจนกว่าจะสบายใจ

โดยความสุขที่คนเหงาทั้งหลายจะได้พบเจอทั้งหมดภายในงาน ‘LONELY LOUD FEST เทศกาลเหงาตะโกน’ ปักหมุดละลายความเหงา ใน วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายนนี้ ณ UNION HALL ศูนย์การค้า UNION MALL ขอเน้น และขอย้ำให้ทุกคนได้ท่องจำกันจนขึ้นใจ และรีบกดบัตรด่วน สำหรับบัตร EARLY BIRD ราคาทำถึง เพียง 567 บาทเท่านั้น (จากปกติ 789 บาท) ซื้อได้ตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม - 30 สิงหาคม 2567 เท่านั้น ที่ THE CONCERT https://www.theconcert.com/concerts/lonely-loud-fest สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง FACEBOOK / X / Instagram /TikTok : RSMultiX ราคาจึ้งขนาดนี้ อย่าลังเล เพราะคุณจะไม่เหงาอีกต่อไป

ชาวเน็ตติง!! ‘อั๋น ภูวนาท’ เรื่องมารยาท-ดูไม่ให้เกียรติ ‘น้องแดน’ หลังไม่เรียกชื่อ-ทักชุดที่ใส่ ล่าสุดเจ้าตัวโร่แจงมันคือการแซว

เมื่อวานนี้ (25 ก.ค. 67) กลายเป็นดรามาหม้อใหญ่ร้อน ๆ ที่ทำให้เกิดเป็นประเด็นในโลกโซเซียล เป็นการถกเถียงถึงขั้นตอนการทำงานของ MC ในงาน ๆ นึง ที่เหมือนจะเป็นการไม่ให้เกียรติแขกที่มาร่วมงาน โดยชาวเน็ตมีการโพสต์ในโลกออนไลน์พร้อมตั้งคำถามว่า “มีหลายคนอยากเห็นคลิปที่ MC ในงานเอ่ยถึงคนนึงที่ถูกเชิญมาในงาน จัดที่ให้นั่งรวมกับศิลปินได้เดินแบบเหมือนคนอื่น ๆ แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับไม่เหมือนศิลปินคนอื่น ๆ เพียงเพราะเขาไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียง ก็เลยไม่จำเป็นต้องให้เกียรติและมีมารยาทด้วยใช่ไหม” ซึ่ง MC ได้แนะนำศิลปินที่มาร่วมในงานนี้ แต่พอมาถึง ‘น้องแดน’ หรือ ‘คิมอินฮยอน’ น้องเล็กจากช่องยูทูบ Cullen Hateberry MC ก็ได้เปิดประโยคว่า

“อ่ะ แล้วนั่งอยู่หัวมุม ไม่อ่านไลน์กลุ่มเพื่อน แต่งตัวไม่เข้าสี แต่ไม่เป็นไร ให้อภัยได้ ใครมาเชียร์ผู้ชายคนนี้ อ้าว…นี่นั่งอยู่ตรงนี้แล้ว (MC ผายมือไปที่ ‘น้องแดน’) สวัสดีเขาหน่อยสิ (น้องแดน ยกมือสวัสดี) ยืนทักทายทุก ๆ คนหน่อย นี่ ๆ ๆ (น้องแดน ลุกขึ้นทักทาย) ต้องบอกว่านี่คือเบอร์ต้น ๆ ของประเทศตอนนี้เลย ขอบคุณมากครับ ขอบคุณครับ”

ถ้ามองอีกมุมก็เป็นการแนะนำแขกที่มาร่วมงานปกติ อาจจะมีการหยอก การแซว แต่ที่มันกลายเป็นประเด็นจนเกิดการตั้งคำถามว่า ‘เพียงเพราะเขาไม่ดัง เลยไม่ต้องให้เกียรติเขาเหรอ?’ ซึ่งในประโยคสุดท้ายก่อนขอบคุณ MC ก็ยังอวยยศว่า ‘นี่คือเบอร์ต้น ๆ ของประเทศ’ แต่คนที่ได้ดูคลิปนี้ ก็งงว่าถ้าเขาดังระดับเบอร์ต้น ๆ ทำไม MC ถึงไม่เอ่ยชื่อ ‘น้องแดน’ เหมือนที่เอ่ยชื่อคนอื่นล่ะ! หรือถ้าไม่รู้จักจริง ๆ ในสคริปต์ไม่มีชื่อเลยเหรอ? 

งานนี้หลายคนอยากรู้ว่า MC คนนั้นคือใคร มีการไปไล่ดูย้อนหลังในเพจของงานวันนั้น ซึ่งก็คือ ‘อั๋น ภูวนาท คุณผลิน’ ซึ่งชาวเน็ตก็ย้อนกลับไป เพราะ ‘อั๋น’ ก็เคยพูดถึงเรื่องค่าตัวของ ‘พี่จอง-คัลแลน’ จนกลายเป็นดรามาว่า ‘ค่าตัวทำคอนเทนต์สองคนนี้ 1 ล้านบาทไม่ใช่จ้างเป็นพรีเซนเตอร์นะ ค่ามาออกรายการ’

และการที่ ‘น้องแดน’ ใส่ชุดสีม่วง ซึ่งไม่เป็นไปตามของสีงานที่เป็นสีเขียว เพราะเป็นพรีเซนเตอร์ ของแบรนด์ ‘Daeng Gi Meo Ri’ ซึ่งเป็นสีม่วงนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ภายหลังทางคุณอั๋นก็ได้ออกมาชี้แจงประเด็นดรามาดังกล่าวที่มีหลายคนมองว่า ไม่ให้เกียรติน้องแดน โดยทางคุณอั๋นมองว่า "มันคือการแซว เพราะทุกคนในงาน ได้รับบรีฟให้ใส่สีของอีเวนต์ แล้วเขาใส่สีม่วงคนเดียวในงาน แล้วเขาเด่นมาก และพี่ก็ยังให้เครดิตว่านี่คือตัวท็อป ขอเสียงกรี๊ดให้หน่อย"

26 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 ‘ยูเนสโก’ ยก ‘กลุ่มป่าแก่งกระจาน’ ขึ้นแท่นมรดกโลกทางธรรมชาติ นับเป็นแห่งที่ 3 ของไทย ครอบคลุม ‘ราชบุรี-เพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์’

เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 ที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 44 (ประเทศจีน) ได้พิจารณาวาระการเสนอ ‘กลุ่มป่าแก่งกระจาน’ ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ

โดยการลงคะแนนเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 18.30 น. โดยมี 12 เสียงจากตัวแทนทั้งหมด 21 ประเทศที่ลงคะแนนรับรองให้ผืนป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก ทำให้ประเทศไทยมีมรดกโลกทางธรรมชาติเป็นแห่งที่ 3 นับตั้งแต่การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของ ‘เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง’ ในปี พ.ศ. 2534 และ ‘กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่’ ในปี พ.ศ. 2548

โดยเหตุผลที่ทำให้ ‘กลุ่มป่าแก่งกระจาน’ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เนื่องจากเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชนิดพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ ที่ใกล้สูญพันธุ์ มีคุณค่าโดดเด่นระดับโลก เป็นป่าผืนใหญ่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ ประกอบด้วยเขตสัตวภูมิศาสตร์ ได้แก่ Sundaic, Sino-Himalayan, Indochinese และ Indo-Burmese

ผืนป่าขนาดใหญ่ที่ต่อเนื่องไปกับเทือกเขาตะนาวศรี มีเนื้อที่ประมาณ 2.5 ล้านไร่ (4,089 ตารางกิโลเมตร) มีความยาวตั้งแต่เหนือสุดถึงใต้สุดของพื้นที่มากกว่า 200 กิโลเมตร ทำให้มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และบริเวณต้นแม่น้ำเพชรบุรียังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์เลื้อคลานขนาดใหญ่ที่ใกล้สูญพันธุ์อย่างจระเข้น้ำจืด

รวมไปถึงเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่สำคัญของแม่น้ำเพชรบุรี แม่น้ำปราณบุรี และแม่น้ำภาชี เป็นป่าผืนใหญ่ที่มีความอุดมสมบูรณ์

ซึ่งเป็นไปตาม เกณฑ์ข้อที่ 10 ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ กล่าวคือ เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยที่มีความสำคัญสูงสุดสำหรับการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในถิ่นกำเนิด ซึ่งรวมไปถึงถิ่นที่อาศัยของชนิดพันธุ์พืช และ/หรือชนิดพันธุ์สัตว์ ที่มีคุณค่าโดดเด่นเชิงวิทยาศาสตร์ หรือเชิงอนุรักษ์ระดับโลก

กลุ่มป่าแก่งกระจาน มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด คือ จังหวัดราชบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ประกอบด้วยพื้นที่อุทยานแห่งชาติ 3 แห่ง และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 1 แห่ง ประกอบด้วย อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อุทยานแห่งชาติกุยบุรี อุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติไทยประจัน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่น้ำภาชี

ด้าน นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า การที่พื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกนี้ นอกจากเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีต่อประเทศ และเป็นความภาคภูมิใจของคนในประเทศแล้ว ยังทำให้คนในประเทศเกิดการตระหนัก รู้สึกเป็นเจ้าของและหวงแหนทรัพยากรที่เรามีอยู่ด้วย

โดยประโยชน์หลัก ๆ ที่ได้รับ เช่น (1) ส่งเสริมการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ชนิดพันธุ์พืช และพันธุ์สัตว์ ที่มีคุณค่าโดดเด่น เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ และศึกษาวิจัยในระดับสากล (2) ยกระดับการอนุรักษ์พื้นที่ด้วยการบริหารจัดการที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล ให้คงคุณค่าของแหล่ง เพื่อส่งต่อไปยังอนุชนรุ่นต่อไป ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งในระดับประเทศ และระดับท้องถิ่น

(3) ส่งเสริมการสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ โดยเฉพาะด้านการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การพัฒนาอย่างยั่งยืน และส่งผลดีต่อเศรษฐกิจชุมชน และ (4) สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากกองทุนมรดกโลกได้

‘อากาเซ่ทั่วโลก’ ร่วมส่งกำลังใจให้ ‘แบมแบม GOT7’ หลังโพสต์เศร้า ‘อยากหลับไม่ต้องตื่น-กดดัน-เครียด’

(25 ก.ค.67) ทำเอาเหล่าอากาเซ่ (ด้อมแฟนคลับของ GOT7) เป็นห่วงไม่น้อย เมื่อ ‘แบมแบม กันต์พิมุกต์ ภูวกุล’ หรือ ‘แบมแบม GOT7’ ได้โพสต์ข้อความตัดพ้อชีวิต จนทำแฟน ๆ หวั่นใจ

โดยแบมแบมได้โพสต์ข้อความลงในสตอรี่อินสตาแกรม ระบุข้อความว่า “I just want to sleep and don’t wake up so I can finally rest“ (ผมแค่อยากหลับ และไม่ต้องตื่น ผมจะได้พักสักที )

จากข้อความดังกล่าวทำเอาหลายคนหวั่นใจ จึงรีบส่งข้อความแสดงความเป็นห่วงไปยังเจ้าตัวผ่านทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ซึ่งทำให้แบมแบมต้องออกมาโพสต์ข้อความอีกครั้งเพื่อให้แฟน ๆ คลายกังวล โดยระบุว่า

”Is been a long run from last year till now and still long way to go, it was alot of pressure and stress and since my body not really feel so well for a long time now sometimes. I’m getting sensitive and emotional

i'll do my best on this year and will find my time to rest i'll be okay sorry if i caused any worry have a good day“

(มันยาวนานมาตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงตอนนี้และยังคงยาวต่อเนื่องออกไป มันมีแรงกดดันและความเครียดมากมาย และนับตั้งแต่นั้นร่างกายของผมรู้สึกไม่ค่อยดีมาสักพักหนึ่งแล้ว ผมเริ่มอ่อนไหวและสะเทือนใจง่ายมาก ปีนี้ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุดและจะพยายามหาเวลาพักผ่อน ผมจะไม่เป็นอะไร ขอโทษด้วยนะครับถ้าทำให้ทุกคนต้องเป็นห่วง ขอให้มีวันที่ดีนะครับ)

ทั้งนี้ ทำเอาหลาย ๆ คนเริ่มโล่งใจแล้ว หลังจากที่แบมแบมโพสต์ล่าสุด ยืนยันว่าจะทำให้ดีที่สุดและหาเวลาพักผ่อน ก่อนจะพร้อมใจส่งกำลังใจให้รัว ๆ กันต่อไป

'บุ๋ม ปนัดดา' ทุ่มเงินเก็บซื้อที่ดิน สร้างมูลนิธิช่วยเหลือประชาชน เผยจุดเปลี่ยนชีวิตที่หันมาทำงานเพื่อสังคม เพราะ 'ลูก'

(25 ก.ค.67) นักแสดงและพิธีกรมากความสามารถที่มีความสุขในการต่อสู้เพื่อสังคม ‘บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี’ มาเปิดใจในรายการ WOODY FM เล่าจุดเปลี่ยนชีวิตที่ผันตัวทำงานเพื่อสังคมจนก่อได้ตั้งมูลนิธิองค์กรทำดี โดยปัจจุบันขอใช้ชีวิตคู่อย่างเรียบง่าย และล่าสุดได้เปิดเผยว่าทุ่มเงินเก็บซื้อที่ดินช่วยคนอื่น สร้างมูลนิธิให้เป็นสมบัติของประเทศ โดยระบุว่า..

>> จุดเปลี่ยนจากเดิมที่ทำงานเพื่อตัวเอง เปลี่ยนเป็นทำงานเพื่อผู้อื่น คือตอนไหน?
บุ๋ม ปนัดดา : จุดเปลี่ยนคือปี 2557 คือก่อนหน้านั้นก็ทำงานในมุมของนางงามคนหนึ่งที่ช่วยงานการกุศลหรืออะไรอยู่แล้ว คือในปี 2557 มีข่าวข่มขืนบนรถไฟแล้วหันไปมองลูกสาวตัวเองแล้วก็คิดว่าทำไมมีเรื่องร้ายแรงแบบนี้ได้ แล้วอนาคตของลูกสาวจะมีใครปกป้องเขาได้

ถ้าวันหนึ่งเราไม่อยู่ คนที่เป็นแม่อย่างเราจะสามารถทำอะไรเพื่อปกป้องอนาคตเขาได้ ก็เลยหันมาดูกฎหมาย ศึกษาจริงจังทุกอย่างเลย ชีวิตเปลี่ยนเลย ก็เลยมาดูว่ากฎหมายเกี่ยวกับผู้หญิงไม่มีเปลี่ยนมา 30 ปี

ซึ่งก่อนหน้าบุ๋มไม่ใช่ว่าไม่มีใครขอเปลี่ยนนะ เขาไปประท้วงหน้าสภา คือเขาพยายามทำแล้ว เพียงแต่ว่าในมุมของบุ๋มวันนั้น เรามีพลังของสื่อ ความเป็นดาราด้วยก็เลยทำให้พลังมันแรงมาก กลายเป็นว่าน่าจะเป็นดาราคนแรกเลยมั้งที่ทำเรื่องเปลี่ยนกฎหมาย ก็เลยมีเรื่องอื่น ๆ ตามมา ความช่วยเหลือจากผู้หญิงด้วยกัน เรื่องของคดีความอะไรอย่างนี้เข้ามา

กลายเป็นว่าเราเริ่มอินกับมัน แล้วรู้สึกดีที่ได้ช่วย รู้สึกดีที่เป็นพลังให้พวกเขา รู้สึกดีที่บางทีเขาแจ้งความมาเป็นปีแต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือเลย กลับกลายเป็นว่าแสงสว่างที่เรามี หรือเสียงดังที่เรามีมันกลายเป็นพลังให้กับเขา หาความยุติธรรมเพิ่มเติมให้กับเขา รู้สึกดีจัง เราเลยต้องทำในวันที่ฉันยังดังอยู่ เลยกลายเป็นมูลนิธิที่ใหญ่ระดับประเทศ ชื่อว่า มูลนิธิองค์กรทำดี

>> ใช้เวลากี่เปอร์เซ็นต์ของชีวิตเรา?
บุ๋ม ปนัดดา : ตอนนี้ 70% เลยค่ะ เพราะว่าตื่นมาหรือขณะที่นอน มันกลายเป็นว่าเคสวันนี้วิ่งรถกี่คัน ไปต่างจังหวัดโรงพยาบาลขอความร่วมมือมา หรือมีเคสขมขื่นจัดการยังไง มันหลายอย่างมากเลย

>> เวลาเอาเรื่องของชาวบ้านมาใส่สมองของเรา มีวิธีระบายยังไงได้บ้าง เพราะคุณก็อินกับทุกเรื่อง?
บุ๋ม ปนัดดา : อินจริงแต่ตัดได้เร็วค่ะ เพราะว่าถ้าตัดไม่เร็วนะ ซึมเศร้าแน่นอนค่ะ เหมือนน้องหลาย ๆ คนที่เคยเข้ามาช่วย พอรับฟังเรื่องราวเยอะ ๆ ตัดไม่ได้ แม่หนูขอหยุดนะ มีเยอะเลย แต่สำหรับตัวเรากลับกลายเป็นว่าตัดได้ง่ายมาก เพราะว่าเรารู้สึกว่าทุกเคสสำคัญหมด

เราแสดงความเสียใจนะ แต่ชีวิตยังต้อง Go On ยังต้องมีเคสอื่นที่เราต้องมีสติในการดูแลรักษาเขา และดูแลครอบครัวของเราเองด้วย มองว่าเรื่องเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา

>> ทำไมคุณถึงกลายเป็นคนที่เรียบง่าย ทั้งที่สมัยก่อนต้องเป็นข่าว?
บุ๋ม ปนัดดา : สมัยก่อนหรือสมัยนี้บางทีโพสต์อะไรก็เป็นข่าวแล้ว เพียงแต่ว่าพอเป็นเรื่องของคุณก๊อต (สามี) เขาบอกว่าเขาเป็นคนนอกวงการบันเทิง ไม่อยากอยู่ในแสงสีเท่าไหร่ ขอใช้ชีวิตเงียบ ๆ ขอเลี้ยงลูกด้วยความสงบ เราก็เข้าใจ มันขึ้นอยู่กับอีกฝ่ายหนึ่งด้วย ว่าเขาอยากอยู่ในแสงสีมากแค่ไหน ไม่ใช่ว่าไม่มีรายการเชิญเขาไปนะ มีเยอะมากเลย

>> ที่ผ่านมาบุ๋มทำเพื่อคนอื่นเยอะมาก เคยให้อะไรกับตัวเองไหม?
บุ๋ม ปนัดดา : พอเอาจริง ๆ ก็นึกไม่ออกว่าตัวเองอยากได้อะไรกับชีวิต เคยนั่งมองนาฬิกาหรู ๆ นั่งมองแบรนด์เนม สวยนะยากซื้อ แต่เรากลับรู้สึกว่าเอาตังค์ไปช่วยเด็กดีกว่า ลูกบุญธรรมยังต้องเรียน มูลนิธิยังต้องสร้าง เอาไปตรงนั้นก่อนคิดอย่างนี้ เดี๋ยวของฉันไว้ทีหลัง

คือเหตุผลหนึ่งที่คุณสามีที่เขามาขอเราแต่งงาน เพราะเขาบอกว่าชีวิตบุ๋มเหมือนทำเพื่อคนอื่นเยอะมากเลย เพื่อครอบครัวของบุ๋มเอง เพื่อคนรอบข้าง เพื่อลูกน้อง เพื่อมูลนิธิ และเพื่อประชาชนอีก แต่ไม่มีอะไรเลยที่บุ๋มเคยพูดว่าจะทำอะไรเพื่อตัวเอง แต่มาวันนี้บุ๋มมีแล้วนะ

>> ทีมงานบอกว่าวันนี้บุ๋มจะประกาศให้พี่น้องชาวไทยรับทราบเกี่ยวกับเรื่องอนาคตที่วางเอาไว้และตัดสินใจว่าจะทำ?
บุ๋ม ปนัดดา : บุ๋มเพิ่งเอาเงินเก็บก้อนที่เก็บเอาไว้ไปซื้อที่ดินตรงรังสิตคลอง 8 จะทำมูลนิธิองค์กรทำดี แบบที่มี Shelter สำหรับผู้หญิง มีโรงทาน มีสวนปฏิบัติธรรม แล้วก็เป็นมูลนิธิที่ใช้วิ่งรถช่วยเหลือประชาชน จะทำตรงนั้นแล้วก็ทิ้งไว้ให้เป็นสมบัติของประเทศชาติค่ะ

25 กรกฎาคม พ.ศ. 2521 ถือกำเนิด ‘หลุยส์ บราวน์’ เด็กหลอดแก้วคนแรกของโลก ผู้เป็นความหวังของเหล่าพ่อแม่ที่ประสบปัญหามีบุตรยาก

เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2521 ‘หลุยส์ บราวน์’ (Louise Joy Brown) เด็กหลอดแก้วคนแรกของโลกถือกำเนิดขึ้น ที่โรงพยาบาล Royal Oldham Hospital โดยฝีมือของแพทย์สองคนได้แก่ โรเบิร์ต เอ็ดเวิร์ดส์ (Robert Edwards) และ แพทริค สเต็ปโท (Patrick Steptoe) จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ โดย หลุยส์ บราวน์ เธอได้แต่งงานในปี 2547 และให้กำเนิดบุตรชายคนแรกในอีกสองปีต่อมา

ทั้งนี้ เด็กหลอดแก้วคือเทคนิคการของการปฏิสนธิสังเคราะห์ที่เรียกว่า ‘In vitro fertilization’ หรือ ‘IVF’ โดยการนำอสุจิของพ่อและไข่ของแม่มาทำการปฏิสนธิในหลอดทดลอง จากนั้นจึงค่อยนำตัวอ่อนไปฝังในมดลูกเพื่อให้เติบโตตามธรรมชาติต่อไป ตั้งแต่นั้นมาวิทยาการทางด้านการเจริญพันธุ์ก็เจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็ว การทดลองประสบความสำเร็จมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็มีการประท้วงการทดลองเด็กหลอดแก้วกันอย่างกว้างขวาง ศาสนจักรบางแห่งถึงกับออกมาประณามนักวิทยาศาสตร์ว่าเป็น ‘ซาตาน’ ที่บังอาจทำตัวไปเทียบเคียง ‘พระเจ้า’ ในการให้กำเนิดมนุษย์ อย่างไรก็ตามเทคนิคการทำเด็กหลอดแก้วก็ได้พิสูจน์ยืนยันว่าปลอดภัย นำความหวังมาให้พ่อแม่ที่มีปัญหามีบุตรยาก ทุกวันนี้การผสมเทียมในหลอดแก้วจึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาของคู่สมรสทั่วโลกที่ไม่สามารถมีบุตรด้วยวิธีธรรมชาติ

ขณะที่ในประเทศไทย เด็กหลอดแก้วคนแรกเกิดที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ หลังจากบราวน์ 9 ปี โดยฝีมือของ ศาสตราจารย์นายแพทย์ประมวล วีรุตมเสน และทีมแพทย์ สามารถให้กำเนิดเด็กชายปวรวิทย์ ศรีสหบุรี ซึ่งเป็นเด็กหลอดแก้วรายแรกของไทยขึ้นได้สำเร็จ ณ วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2530

‘Rockstar’ ของ ‘ลิซ่า’ ทำสถิติยอดสตรีมมิ่ง Spotify แตะร้อยล้านเร็วที่สุด หลังใช้เวลาเพียงแค่ 23 วัน แซงหน้า ‘จีซู’ ที่สร้างผลงานไว้ 31 วัน

(24 ก.ค.67) เป็นเจ้าแม่สถิติตัวจริงสำหรับ 'ลิซ่า ลลิษา มโนบาล' หรือ 'ลิซ่า BlackPink' ที่ล่าสุดสามารถพาเพลง Rockstar สร้างสถิติใหม่ทำยอดสตรีมมิ่งแตะ 100 ล้านได้เร็วที่สุด

ทั้งนี้ ตามรายงานระบุว่าเพลง Rockstar ของ ‘ลิซ่า’ สามารถทำยอดสตรีมมิ่ง 100 ล้านครั้งได้ในเวลาเพียง 23 วัน กลายเป็นศิลปินเดี่ยวหญิงเค-ป็อปที่ทำยอดสตรีมมิงถึง 100 ล้านครั้งได้ไวที่สุด โดยใช้เวลาทั้งสิ้นเพียงแค่ 23 วัน แซงหน้าสถิติเดิมของเพื่อนร่วมวงอย่าง ‘จีซู’ ที่ผลงานเพลง Flower เคยทำไว้ด้วยสถิติ 31 วัน

อย่างไรก็ตาม ผลงานเพลงของ ‘ลิซ่า’ ก่อนหน้านี้ ก็ครองสถิติยอดสตรีมสูงเช่นกัน โดย MONEY แตะ 100 ล้านใน 38 วันอยู่ที่อันดับ 3 ตามด้วยอันดับ 4 LALISA อยู่ที่ 46 วัน ในขณะที่ On The Ground ของ ‘โรเซ่’ และ Spot! ที่ ‘เจนนี่’ ร่วมงานกับ ‘Sico’ ก็อยู่ที่อันดับ 5 ในเวลา 71 วัน

ส่วนยอดสตรีมมิ่งเพลงของ ‘ลิซ่า’ ใน Spotify นั้นนับว่าได้รับความนิยมอย่างมาก

- Money 1.2 พันล้านสตรีม
- Lalisa 521 ล้านสตรีม
- SG ที่ร่วมงานกับ ดีเจสเนค, โอซูนา, เมแกน ที สตอลเลียน 294 ล้านสตรีม
- Shoong! ร่วมงานกับ แทยัง 164 ล้านสตรีม
- Rockstar 103 ล้านสตรีม

24 กรกฎาคม พ.ศ. 2508 ‘อาภัสรา หงสกุล’ คว้ามงกุฎ 'Miss Universe' มาครอง ผงาด 'นางงามจักรวาล' คนแรกของประเทศไทย

วันนี้ในอดีตเมื่อ 59 ปีก่อน ‘อาภัสรา หงสกุล’ นางสาวไทย ได้รับเลือกเป็น 'นางงามจักรวาล' หรือ 'Miss Universe' ในเวทีประกวดที่ชายหาดไมอามี รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965) นับเป็นนางงามจักรวาลคนแรกของไทย และเป็นคนที่ 2 จากเอเชีย (หลังจาก อากิโกะ โคจิมะ นางงามจากประเทศญี่ปุ่นในปีพ.ศ. 2502)

ในขณะนั้น ‘อาภัสรา หงสกุล’ มีส่วนสูง 164 ซม. (5 ฟุต 7 นิ้ว) สัดส่วน 35-23-35 ซม. สามารถชนะใจกรรมการและคว้ามงกุฎมาครองได้สำเร็จ โดยในปีนั้นรองนางงามจักรวาลอันดับที่ 1 คือนางงามจากประเทศฟินแลนด์ รองฯ อันดับที่ 2 จากสหรัฐอเมริกาเจ้าบ้าน รองฯ อันดับที่ 3 จากประเทศสวีเดน และรองฯ อันดับที่ 4 จากประเทศฮอลแลนด์

อนึ่ง ‘อาภัสรา หงสกุล’ นับเป็นตัวแทนคนที่ 3 ของประเทศไทย ต่อจาก ‘อมรา อัศวนนท์’ รองนางสาวไทย 2496 ซึ่งเป็นตัวแทนคนแรกเข้าร่วมประกวดนางงามจักรวาล 1956 ตามด้วย ‘สดใส วานิชวัฒนา’ ในการประกวดนางงามจักรวาล 1959

‘ลิซ่า’ ขึ้นแท่น House Ambassador ของ Louis Vuitton สมมงแฟชันไอคอน หยิบจับอะไรก็เป็นเสน่ห์ไปหมด

(23 ก.ค. 67) จากเพจเฟซบุ๊ก ‘กรุงเทพธุรกิจ’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า..

“#LouisVuitton แต่งตั้ง #LISA เป็น #HouseAmbassador อย่างเป็นทางการ

ขึ้นแท่นเฮาส์แอมบาสเดอร์คนใหม่อย่างเป็นทางการสำหรับศิลปินสาวมากความสามารถชาวไทย ‘ลิซ่า’ หรือ ลลิษา มโนบาล ของแบรนด์หรูสัญชาติฝรั่งเศส ‘Louis Vuitton’ ที่อยู่ในเครือ LVMH หลังจากก่อนหน้านี้ลิซ่าก็โพสต์ภาพเธอคู่กับสินค้าจากแบรนด์ลงอินสตาแกรมส่วนตัวอยู่เป็นระยะ

ทางด้าน Nicolas Ghesquière อาร์ทิสติกไดเรกเตอร์แผนกคอลเลกชันสุภาพสตรีของ Louis Vuitton กล่าวในงานแถลงข่าวว่า รู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้ร่วมงานกับลิซ่าในฐานะที่เธอเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ เพราะเธอมีจิตวิญญาณที่กล้าหาญและมีเสน่ห์อย่างน่าเหลือเชื่อ

‘เธอมีความกล้าหาญและสร้างสรรค์ในด้านดนตรีพอ ๆ กับแฟชันของเธอ จึงถือว่าเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้ร่วมเดินทางไปกับเธอในการเดินทางครั้งนี้’ Nicolas Ghesquière กล่าว”

23 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 ‘ในหลวง ร.10’ พระราชทานทรัพย์กว่า 2,800 ล้านบาท สมทบทุน-จัดหาอุปกรณ์การแพทย์ รับมือวิกฤตโควิด-19

เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 เพจโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เผยแพร่ข้อความระบุว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีความห่วงใยประชาชน และบุคลากรการแพทย์ในภาวะวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นอย่างยิ่ง

การนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชทรัพย์เพื่อสมทบทุนและจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ให้กับโรงพยาบาลและสถานที่ต่าง ๆ เพื่อใช้ในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาด ได้แก่…

1. พระราชทานพระราชทรัพย์ จำนวน 100,000,000 บาท สมทบทุนสร้างอาคารนวมินทรบพิตร 84 พรรษา โรงพยาบาลศิริราช

2. พระราชทานพระราชทรัพย์ จำนวน 2,407,144,487.59 บาท แก่โรงพยาบาล วิทยาลัยแพทย์ และสถานพยาบาล 29 แห่ง เพื่อจัดซื้อเครื่องมือ ครุภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์

3. พระราชทานพระราชทรัพย์ จำนวน 345,000,000 บาท แก่เรือนจำ ทัณฑสถาน และโรงพยาบาลแม่ข่ายของเรือนจำ 44 แห่ง เพื่อจัดซื้อเครื่องมือ ครุภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์

22 กรกฎาคม พ.ศ. 2546 รำลึก ‘บิ๊ก D2B’ ประสบอุบัติเหตุรถยนต์พลิกคว่ำตกคูน้ำ ส่งผลให้ติดเชื้อราในสมอง เป็นเจ้าชายนิทราก่อนเสียชีวิต

หากย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2546 ขณะที่ ‘วงดีทูบี’ ซึ่งมีสมาชิก 3 คน ได้แก่ แดน วรเวช ดานุวงศ์, บีม กวี ตันจรารักษ์ และ บิ๊ก ปาณรวัฐ กิตติกรเจริญ กำลังโด่งดังถึงขีดสุด หลังจากได้รับรางวัลศิลปินยอดนิยมจาก MTV Asia Award 2003 ที่ประเทศสิงคโปร์ มาได้ไม่นาน ก็เกิดเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้น ในช่วงเวลา 01.15 น. ของคืนวันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2546 เมื่อบิ๊กได้ขับรถยนต์ของตนเพื่อกลับบ้านหลังจากแสดงคอนเสิร์ตเสร็จ แต่กลับประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำตกลงไปในคูน้ำที่ถนนศรีนครินทร์ จังหวัดสมุทรปราการ ตำรวจ สภ.เมืองสมุทรปราการ จึงนำส่งโรงพยาบาล

โดยมีน้ำครำท่วมปอด แต่การรักษาเป็นไปได้ด้วยดีเมื่อบิ๊กรู้สึกตัว ก็สามารถทักทายแฟนเพลงได้อีกครั้ง ก่อนกลายเป็นฝันร้ายเมื่อเขาเข้าสู่อาการโคม่าก่อนแพทย์ตรวจพบเชื้อรา Scedosporium ในสมองในวันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2546 ซึ่งโอกาสรอดชีวิตมีเพียง 0.01% เท่านั้น หลังจากนั้นทางครอบครัวได้เปลี่ยนชื่อเขาเป็น ‘ปาณรวัฐ’ ซึ่งเป็นชื่อขอพระราชทานจากสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร มีความหมายว่า ‘ผู้มีชีวิตอยู่ตามคำขอ’ เพื่อเป็นสิริมงคล ภายหลังการรักษาด้วยวัคซีนเฉพาะโรคและได้รับกำลังใจอย่างมากมาย บิ๊กรอดชีวิตและออกจากห้องไอซียูในเวลาต่อมา แต่กลายเป็นเจ้าชายนิทราซึ่งสร้างความเศร้าโศกแก่แฟนเพลงอย่างแสนสาหัส จึงเกิดปรากฏการณ์พับนกกระดาษส่งกำลังใจให้กันทั่วประเทศ

โดยทางต้นสังกัด คือ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ได้จัดคอนเสิร์ตพิเศษในชื่อ ‘ดีทูบี เดอะ เนเวอร์-เอ็นดิ้ง คอนเสิร์ต : ทริบูต ทู บิ๊ก ดีทูบี’ ขึ้นในวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2547 ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เพื่อเป็นการระลึกถึงบิ๊ก และถือเป็นการยุติวงดีทูบีไปในตัว โดยรายได้จากการจัดคอนเสิร์ตเมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้ว ได้มอบให้ครอบครัวของบิ๊ก เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาด้วย

ส่วนอาการของบิ๊กเบื้องต้นยังเป็นไปได้ด้วยดี ยังมีความรู้สึกตัวดี แต่ไม่นาน ก็ต้องนอนโดยไม่รู้สติ เพราะสมองถูกเชื้อโรคที่มาจากน้ำเน่าในคูทำลาย แฟนคลับที่ทราบข่าวซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยรุ่นหญิง ต่างพากันไปเยี่ยมเยือนและร้องไห้เป็นกลุ่มจำนวนมากกลุ่มหนึ่ง การรักษา คณะแพทย์ได้พยายามช่วยชีวิตบิ๊กด้วยการให้ยาและผ่าตัดอยู่หลายครั้ง รวมถึงยาตัวใหม่ที่เพิ่งมีการผลิตออกมาด้วย แต่ก็ทำได้เพียงช่วยไม่ให้เสียชีวิตเท่านั้น แต่สมองก็ยังไม่รับรู้ใด ๆ ทั้งสิ้น ได้ย้ายที่รักษาไปหลายแห่ง และต้องนอนรักษาตัวอยู่นานถึง 4 ปี โดยมี น.พ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ เป็นแพทย์เจ้าของคนไข้ ซึ่งคณะแพทย์ผู้รักษาได้เปิดแถลงข่าว ความคืบหน้าของอาการเป็นระยะ ๆ 

จนกระทั่งเวลา 09.30 น. เมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2550 บิ๊กเสียชีวิตลงในที่สุด ที่โรงพยาบาลศิริราช ด้วยอาการติดเชื้อในกระแสเลือดทางปอด รวมอายุได้ 25 ปี กับ 1 สัปดาห์ หลังเป็นเจ้าชายนิทราจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ถึง 4 ปี ต่อมาศิลปินค่ายอาร์เอสกับศิลปินค่ายกามิกาเซ่ รุ่นบุกเบิกและแฟนคลับทั่วประเทศต่างก็มาร่วมไว้อาลัยบิ๊กเป็นจำนวนมากครั้งสุดท้าย โดยทางสำนักข่าวสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวีหรือช่อง 9 เดิม กล่าวว่า บิ๊กเป็นผู้ป่วยชาวไทยคนแรกของเอเชีย ที่ป่วยเป็นเชื้อราร้าย Scedosporium จึงเป็นข่าวดังที่สนใจไปทั่วโลกเป็นอย่างมากในช่วงเวลานั้น

21 กรกฎาคม พ.ศ. 2188 'ราชวงศ์ชิง' ออกกฎหมายบังคับ 'ชาวฮั่น' ตัดผมทรงแมนจู สร้างความขมขื่นแก่ชายชาวจีน หากไม่ยอมตัด ต้องโดนตัดหัว

ย้อนไปเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2188 ดอร์กอน (ตวนเอ่อร์กุน) ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และเป็นเสด็จอาของฮ่องเต้ซุ่นจื้อ แห่งราชวงศ์ชิง หรือบ้างก็เรียกว่า ราชวงศ์แมนจู ได้ออกกฤษฎีกาบังคับให้ชาวฮั่นตัดผมแมนจู หรือ ทรงเหม่งครึ่งหัว

เหตุการณ์นี้สืบเนื่องต่อจากกองทัพแมนจูของต้าชิงที่นำโดยดอร์กอน สามารถขับไล่กองทัพชาวนาของหลี่ จื้อเฉิง ให้หนีออกไปจากนครปักกิ่งได้ จนกองทัพแมนจูได้ควบคุมประเทศต้าหมิงได้สำเร็จ พร้อมกับออกคำสั่งให้ชายชาวฮั่น (จีนแท้) ทุกคนต้องตัดผมทรงแมนจูในช่วงปี 2187

ทั้งนี้ ก่อนสมัยราชวงศ์ชิง ชายจีนที่เป็นชาวฮั่นไม่มีใครไว้ผมเปียเลย พอชาวแมนจูเข้ามายึดครองแผ่นดินจีน จึงมีการบังคับให้ชาวฮั่นไว้ผมทรงเดียวกับชาวแมนจู โดยมีคำสั่งประกาศว่า "ไว้ผมไม่ไว้หัว ไว้หัวไม่ไว้ผม" ใครไม่ปฏิบัติตาม โทษตายสถานเดียว

คำสั่งนี้ทำให้การเข้ามาปกครองแผ่นดินของฮ่องเต้แมนจูภายใต้การควบคุมของตวนเอ่อร์กุน ในระยะแรก ๆ นั้นต้องประสบปัญหาความวุ่นวายเป็นอันมาก จึงต้องประกาศยกเลิกคำสั่งการบังคับชาวฮั่นโกนผมแล้วไว้เปียเหมือนกับชาวแมนจู ทั้ง ๆ ที่เพิ่งดำเนินการไปได้เพียงเดือนเดียวเท่านั้น

แต่พอประชาชนเลิกก่อความวุ่นวาย สังคมเริ่มสงบสุข ในปีถัดมา พ.ศ. 2188 ตัวเอ่อร์กุนก็ได้ออกคำสั่งบังคับประชาชนทุกคนต้องไว้ผมทรงเดียวกับชาวแมนจูอีกครั้ง โดยบังคับให้ชาวฮั่นทุกคนต้องปฏิบัติตามคำสั่งภายใน 10 วัน ใครไม่ปฏิบัติตามก็ตัดหัวทิ้งและถือว่าเป็นคนทรยศ ไม่ซื่อตรงต่อฮ่องเต้ ปัญหานี้จึงกลายเป็นปัญหาทางการเมืองอย่างรุนแรง ไม่ใช่แค่เรื่องทรงผมเท่านั้น

การกลับมาประกาศคำสั่งให้โกนผมไว้ผมเปียในครั้งนี้ ทำให้มีการต่อสู้ฆ่าฟันระหว่างประชาชนชาวฮั่นกับทหารแมนจูอย่างรุนแรง บางเมืองใช้เวลาเพียง 3 วัน มีคนตายเกือบถึงสองแสนคน บางเมืองไม่มีใครยอมจำนน ก็ถูกฆ่าตายเรียบทั้งเมืองเลยทีเดียว

การโกนผมไว้ผมเปียนั้น ลักษณะของทรงผมจะเป็นการโกนผมเกือบหมด เหลือแค่ผมตรงกลางหัวขนาดประมาณเหรียญกษาปน์ทองแดง 1 เหรียญเท่านั้น แล้วก็ถักเป็นผมเปียยาว ๆ ลงมาเหมือนกับหางหนู ถ้าใครโกนผมเหลือไว้มากกว่าขนาดเหรียญกษาปณ์ทองแดงก็จะต้องโดนตัดหัวทิ้ง ชายชาวฮั่นจึงรับไม่ได้กับการที่ต้องโกนผมทิ้งเกือบทั้งหัวขนาดนั้น

พอมาถึงในช่วง พ.ศ. 2342 ทรงผมเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากแต่ก่อนที่เหลือผมไว้ขนาดเหรียญกษาปณ์ทองแดง 1 เหรียญ เปลี่ยนเป็น 4-5 เหรียญ ผมเปียจึงดูใหญ่ขึ้นมาหน่อยคล้ายกับหางหมู

20 กรกฎาคม พ.ศ. 2512 ‘นีล อาร์มสตรอง’ มนุษย์คนแรกที่ได้ก้าวเหยียบผิวดวงจันทร์ ประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญที่ผู้คน 530 ล้าน ร่วมเป็นสักขีพยาน

วันนี้เมื่อ 55 ปีที่แล้ว ถือเป็นวันประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เมื่อ ‘นีล อาร์มสตรอง’ (Neil Alden Armstrong) นักบินอวกาศชาวสหรัฐอเมริกาก้าวลงเหยียบบนพื้นผิวดวงจันทร์ได้สำเร็จ ทำให้เขาได้รับการบันทึกว่า…เป็นมนุษย์คนแรกของโลกที่ได้เหยียบพื้นผิวดวงจันทร์ และในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์นี้ มีผู้คนราว 530 ล้านคนทั่วโลก ที่เฝ้ารับชมการถ่ายทอดสด

‘อะพอลโล 11’ เป็นยานอวกาศลำแรกขององค์การนาซา ที่ลงจอดบนผิวของดวงจันทร์สำเร็จ โดย ‘อะพอลโล 11’ ได้ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศโดยจรวด ‘แซเทิร์น 5’ ที่ฐานยิงจรวด 39A แหลมเคเนดี รัฐฟลอริดา เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมพ.ศ. 2512 ก่อนแยกยานลงดวงจันทร์ไปลงจอดบริเวณ ‘ทะเลแห่งความเงียบสงบ’ (Mare Tranquilitatis) ได้สำเร็จ ในวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2512

สำหรับลูกเรือในยานอวกาศนั้นประกอบด้วย ‘นีล อาร์มสตรอง’ ผู้บังคับการ, ‘บัซ อัลดริน’ นักบินยานลงดวงจันทร์ และ ‘ไมเคิล คอลลินส์’ เป็นนักบินยานบังคับการ โดยมี ‘นีล อาร์มสตรอง’ เป็นมนุษย์คนแรกที่ลงมาประทับรอยเท้าบนดวงจันทร์ ก่อนจะตามมาด้วยสองนักบินอวกาศที่โดยสารมาด้วยกัน โดยภารกิจของทั้งสามนักบินในครั้งนั้นคือการติดตั้งเครื่องวัดแผ่นดินไหว, กระจกสะท้อนเลเซอร์, เครื่องวัดลมสุริยะ, และเก็บตัวอย่างหินและดิน 21.6 กิโลกรัม นำกลับมายังโลก

ซึ่งใช้เวลาอยู่บนดวงจันทร์รวม 21 ชั่วโมง 36 นาที ใช้เวลานับตั้งแต่ออกเดินทางจนกลับถึงโลก 195 ชั่วโมง 18 นาที 35 วินาที โดยเดินทางกลับมาลงจอดบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2512 ยานอวกาศอะพอลโล 11 เป็นส่วนหนึ่งของโครงการอะพอลโล ซึ่งเกิดจากความปรารถนาของประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี ที่ต้องการส่งมนุษย์ไปยังดวงจันทร์ให้สำเร็จ และกลับมายังโลกอย่างปลอดภัย

ปัจจุบันวิวัฒนาการของโลกก้าวล้ำไปอย่างมาก มีการวางแผนสร้างสถานีอวกาศ เพื่อเดินทางออกไปยังส่วนอื่น ๆ ของระบบสุริยะอีกมากมาย

ทำให้นึกถึงประโยค ‘อมตะ’ ของ ‘นีล อาร์มสตรอง’ ที่ได้เอ่ยขึ้นในช่วงเวลาที่สัมผัสกับพื้นผิวดวงจันทร์เป็นครั้งแรกว่า.. “That's one small step for man, one giant leap for mankind.” มีความหมายว่า “นี่เป็นก้าวเล็ก ๆ ของชายคนหนึ่ง แต่เป็นก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ”

ซึ่งตอกย้ำว่า ‘ก้าวแรก’ ของการเหยียบดวงจันทร์ในครั้งนั้น ก็ยังเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำสำหรับมนุษยชาติอยู่เสมอ

19 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 คู่แท้แห่งแผ่นดิน!! พระราชพิธีหมั้น ‘ในหลวง ร.9 - พระบรมราชชนนีพันปีหลวง' การสืบสานความผูกพันของทั้งสองพระองค์ ที่พสกนิกรชาวไทยล้วนปลื้มปีติ

วันนี้เมื่อ 75 ปีก่อน ถือเป็นวันสำคัญในประวัติศาสตร์ของชาติ โดยเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (พระอิสริยยศ ณ ขณะนั้น) ทรงประกอบพระราชพิธีหมั้นกับ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร (พระอิสริยยศ ณ ขณะนั้น) ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

จุดเริ่มต้นของการสืบสานความผูกพันของทั้งสองพระองค์ เกิดขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2491 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ได้เสด็จจากเมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มายังกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยการเสด็จครั้งนั้น มีหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร ในฐานะเอกอัครราชทูต ให้การเฝ้ารับเสด็จฯ พร้อมด้วยครอบครัว

ทั้งนี้ หนึ่งในสมาชิกของครอบครัวที่ให้การเฝ้ารับเสด็จฯ ในครั้งนั้น มีหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ซึ่งเป็นบุตรีของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล เข้าร่วมเฝ้ารับเสด็จฯ ด้วย จึงเป็นที่มาของการที่ทั้งสองพระองค์ทรงได้พบกันเป็นครั้งแรก

ต่อมา เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2491 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ได้เข้าเฝ้าฯ เยี่ยมพระอาการ และถวายการพยาบาลอย่างใกล้ชิดเป็นประจำ จึงกลายเป็นความรักความเข้าพระราชหฤทัยซึ่งกันและกัน และสืบสานความผูกพันมากขึ้นเป็นลำดับ

ราวเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2492 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ได้มีรับสั่งให้หม่อมเจ้านักขัตรมงคลไปเฝ้าที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก่อนที่ในวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 พระองค์จะเสด็จไปพบหม่อมเจ้านักขัตรมงคล ที่โรงแรมที่พัก และทรงมีรับสั่งถึงเรื่องการหมั้น

จากนั้นเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 จึงได้มีการประกอบพระราชพิธีหมั้นเป็นการภายใน ณ โรงแรมวินด์เซอร์ เมืองโลซาน อันเป็นที่พักของหม่อมเจ้านักขัตรมงคลและครอบครัว โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงสวมพระธำมรงค์เป็นของหมั้นต่อหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ซึ่งพระธำมรงค์วงนี้ เป็นวงเดียวกับที่สมเด็จพระบรมราชชนกทรงมอบต่อสมเด็จพระบรมราชชนนี ในพระราชพิธีหมั้น เมื่อปี พ.ศ. 2462

ต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ราชเลขานุการประจำพระองค์ ทำหนังสือแจ้งข่าวที่ทรงหมั้นมายังรัฐบาลไทย ซึ่งมี จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีในเวลานั้น รัฐบาลได้แจ้งประกาศข่าวอันเป็นมงคลนี้ให้พสกนิกรทราบ ยังความปลื้มปีติยินดีแก่เหล่าประชาชนชาวไทยถ้วนทั่วหน้ากัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top