Thursday, 26 June 2025
ECONBIZ NEWS

'เพื่อไทย' ตอกย้ำ!! ทำทันทีเพื่อประชาชน รถไฟฟ้า 'สีม่วง-แดง' 20 บาทตลอดสาย

(16 ต.ค. 66) นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ สส.กทม.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หลังคณะรัฐมนตรี มีมติอนุมัติค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีคลองบางไผ่ถึงสถานีเตาปูน และสายสีแดง สถานีกลางบางซื่อถึงสถานีรังสิต สูงสุดไม่เกิน 20 บาท โดยนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้นำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี 

...และทันทีที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ พร้อมด้วยนางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย สส. และ สก.ของพรรคเพื่อไทย ได้มาร่วมทดลองใช้บริการและตรวจสอบความพร้อมการให้บริการรถไฟฟ้าในราคาค่าโดยสารใหม่ 20 บาท ที่สถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ หรือสถานีกลางบางซื่อด้วย...

1. นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ สส.กทม.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยประกาศหาเสียงนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย โดยการปรับราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีม่วง จากเดิมประชาชนต้องจ่าย 14-42 บาท และสายสีแดง 12-42 บาท มาเป็นราคาเดียว 20 บาท ช่วยลดภาระค่าครองชีพ ทำให้พี่น้องประชาชนตอบรับในการเดินหน้านโยบายของพรรคเพื่อไทยตามที่ได้หาเสียงไว้ และติดตามเฝ้ารอนโยบายอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์อีกมากมายที่จะทยอยตามมา

2. นางสาวชญาดา วิภัติภูมิประเทศ รองประธานสภากรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ในช่วงการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร ได้ลงพื้นที่พบปะประชาชน ต่างมีเสียงสะท้อนให้ สก. พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน พัฒนาระบบขนส่งสาธารณะให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ ในราคาไม่แพง ทุกคนมีสิทธิ์ใช้บริการของรัฐอย่างเท่าเทียม จึงเห็นด้วยและสนับสนุนนนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ขอขอบคุณรัฐบาลที่ผลักดันให้เป็นจริงในเวลาไม่นาน และขอให้ลดค่าบริการของรถไฟฟ้าสายอื่น ๆ เช่นกัน

3. คณะของพรรคเพื่อไทยลงพื้นที่ตรวจความพร้อมให้บริการรถไฟฟ้าที่สถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ ประกอบด้วย สก.พรรคเพื่อไทย ได้แก่ นายวิรัตน์ มีนชัยนันท์ ประธานสภากรุงเทพมหานคร, นางสาวชญาดา วิภัติภูมิประเทศ รองประธานสภากรุงเทพมหานคร, นายสุรจิตต์ พงษ์สิงห์วิทยา ส.ก.ลาดกระบัง, นายวิพุธ ศรีวะอุไร ส.ก.เขตบางรัก, นายเนติภูมิ มิ่งรุจิราลัย ส.ก.เขตบึงกุ่ม, นางสาวมธุรส เบนท์ เขตสะพานสูง, นางสาวนภัสสร พละระวีพงษ์ ส.ก.เขตบางกะปิ นายรัฐพงศ์ ระหงษ์ อดีตผู้สมัคร สส.กทม., นายภัทร ภมรมนตรี อดีตผู้สมัคร สส.กทม., นายจิรวัฒน์ อรัณยกานนท์ อดีตผู้สมัคร สส.พรรคเพื่อไทย

‘ก.อุตฯ’ กาง 8 มาตรการ ดันอาหารฮาลาลไทยสู่ตลาดโลก พร้อมตั้งเป้ายก ‘ไทย’ เป็นศูนย์กลางการผลิตในภูมิภาค

(16 ต.ค. 66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมอาหารฮาลาลเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายที่กระทรวงให้ความสำคัญ โดยตลาดอาหารฮาลาลเป็นตลาดที่มีศักยภาพ ที่มีมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตเฉลี่ย 13.5% ตามสัดส่วนประชากรมุสลิมโลกที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบันประเทศไทยส่งออกสินค้าอาหารฮาลาลในปี 2566 (ม.ค.-ก.ค.) มีมูลค่า 136,503 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอาหารฮาลาลโดยธรรมชาติ เช่น ข้าว ธัญพืช น้ำตาลทราย ฯลฯ ในขณะที่กลุ่มอาหารที่ต้องผ่านการรับรอง เช่น เนื้อสัตว์-อาหารทะเล อาหารแปรรูป ฯลฯ มีอัตราการเติบโตลดลง 7.5% และ 10.3% ตามลำดับ

โดยไทยมีผู้ผลิตอาหารฮาลาลกว่า 15,043 ราย มีร้านอาหารฮาลาลมากกว่า 3,500 ร้าน ดังนั้น หากจะผลักดันให้อาหารฮาลาลของไทยขยายตลาดมากขึ้น และเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก กระทรวงอุตสาหกรรมโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) จึงได้เตรียมมาตรการและแผนงาน รวมทั้งแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลสำหรับรองรับการท่องเที่ยวและผลักดันการส่งออกไปยังตลาดที่มีศักยภาพ เช่น ตะวันออกกลาง อาเซียน และเอเชียใต้ เป็นต้น

โดยมีมาตรการที่สำคัญ 8 มาตรการ ได้แก่

1. ขับเคลื่อน Soft Power สู่การยกระดับอาหารฮาลาล ท้องถิ่นภาคใต้ของไทย เช่น แกงปูใบชะพลู ข้าวยำปักษ์ใต้ แกงเหลือง สะตอผัดกุ้ง และอาหารฮาลาลไทยต้นตำรับ เช่น ต้มยำกุ้ง มัสมั่นเนื้อ ข้าวซอยไก่ โดยสนับสนุนให้เป็นอาหารแนะนำที่เสิร์ฟบนเครื่องบินเพื่อเป็นการโปรโมต

2. เชื่อมโยงอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฮาลาลที่ตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวมุสลิมกับแหล่งอาหารฮาลาลในพื้นที่ เช่น ร้านอาหาร โรงแรม การขนส่ง ฯลฯ โดยประสานกับทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยแนะนำและขึ้นทะเบียนเมนูอาหารตลอดจนส่งเสริมอาหารฮาลาลในเทศกาลต่าง ๆ เพื่อโปรโมตและสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จัก

3. ลดข้อจำกัดและปรับปรุงแก้ไขอุปสรรคเกี่ยวกับการขอรับรองตราสัญลักษณ์ฮาลาล โดยให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อลดข้อจำกัดเรื่องระยะเวลาในการรับรอง

4. เจรจา MOU เพื่อเปิดตลาดสินค้าอาหารฮาลาลใหม่ในต่างประเทศ ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และสาธารณรัฐทูร์เคีย เช่น มาตรการทางด้านภาษี มาตรการการตรวจปล่อยสินค้าให้มีความรวดเร็วมากขึ้น

5. พัฒนาผู้ผลิตอาหารฮาลาลไทยตอบโจทย์ผู้บริโภคมุสลิมรุ่นใหม่ เช่น ขนมขบเคี้ยว และอาหารเพื่อสุขภาพ โดยมีการสนับสนุนพื้นที่ในห้างโมเดิร์นเทรด

6. สร้างเครือข่ายความร่วมมืออาหารฮาลาลไทย กับประเทศเป้าหมาย โดยประสานความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ roadshow ในตลาดที่มีศักยภาพ เช่น อาเซียน ตะวันออกกลาง เอเชียใต้

7. พัฒนานิคมอุตสาหกรรมฮาลาลของ กนอ. ร่วมกับ ศอ.บต. ในพื้นที่ภาคใต้ รวมทั้งยกระดับศูนย์พัฒนาสินค้าอาหารของสถาบันอาหารใน จ.สงขลา ให้ครอบคลุมการพัฒนาสินค้าอาหารฮาลาลต้นแบบ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำองค์ความรู้ไปต่อยอดเชิงพาณิชย์

8. พัฒนาและจัดทำ role model ในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อยกระดับสถานประกอบการอุตสาหกรรมอาหาร เช่น โรงฆ่าสัตว์ โรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ ฯลฯ ให้ได้มาตรฐานฮาลาลเพื่อการส่งออก รวมทั้งพัฒนาสายพันธุ์วัวใหม่ ๆ ที่มีคุณภาพสูงเพื่อเพิ่มศักยภาพในการส่งออกไปยังประเทศที่มีกำลังซื้อสูง

ทั้งนี้ ในการดำเนินการจะร่วมเป็นเครือข่ายกับมหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษาในพื้นที่เพื่อยกระดับศักยภาพของอุตสาหกรรมในภูมิภาค โดยทั้งหมดจะเริ่มดำเนินการในปีงบประมาณ 2567 ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นการลงทุน ยกระดับเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้ภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มตลอดห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล เพื่อให้ประเทศไทยได้เป็นศูนย์กลางฮาลาลภูมิภาคอย่างยั่งยืน

‘พันทิป’ เตรียม ‘แบ่งรายได้’ ย้อนหลัง 10 ปี ให้ครีเอเตอร์ หวังปลุกฐานผู้ใช้ และให้แพลตฟอร์มกลับมาคึกคัก

(16 ต.ค. 66) ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจรายงานว่า โซเชียลมีเดียเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลและคอนเทนต์มากมาย ซึ่งมีครีเอเตอร์เป็นหัวใจหลักในการสร้างคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มและขับเคลื่อนคอมมิวนิตี้ของกลุ่มแฟนคลับ ทำให้หลาย ๆ แพลตฟอร์มได้เพิ่มแรงจูงใจให้เกิดสร้างคอนเทนต์ผ่านการให้ผลตอบแทนและเริ่มแบ่งรายได้ให้กับครีเอเตอร์ที่สามารถสร้างเอ็นเกจเมนต์ในจำนวนที่เหมาะสมและค่อนข้างได้รับผลตอบรับค่อนข้างดี ซึ่งหนึ่งในแพลตฟอร์มที่จะเข้ามาใช้โมเดลนี้ด้วย คือ ‘พันทิป ดอทคอม’ (Pantip.com)

Pantip.com เป็นเว็บบอร์ด หรือเว็บไซต์สำหรับตั้ง-ตอบกระทู้ และแสดงความเห็นที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2539 ปัจจุบันมีกระทู้มากถึง 41.7 ล้านกระทู้ มีสมาชิกกว่า 7.2 ล้านคน มีจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ 2.6 ล้านคนต่อวัน จำนวนการรับชม (Pageviews) กว่า 7 ล้านหน้าต่อวัน จากทั้งหมด 38 ห้องสนทนาหลากหลายหมวดหมู่ โดยมีรายได้จากการโฆษณาเป็นหลัก

ทั้งนี้ Pantip.com สร้างระบบแบ่งปันรายได้ผ่าน Google Adsense บนเว็บไซต์ครั้งแรก เพื่อให้สมาชิกมีรายได้จากการตั้ง-ตอบกระทู้ ทั้งเก่าและใหม่ โดยมีผลกับกระทู้ย้อนหลัง 10 ปี ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2556-ปัจจุบัน โดยผู้ใช้สามารถสมัครเข้าระบบตามขั้นตอนที่กำหนดในแบบฟอร์มของ Google AdSense บน Pantip.com และเริ่มรับส่วนแบ่งจากโฆษณาที่เกิดขึ้นเมื่อมียอดเข้าชมกระทู้หลังจากสมัครรับรายได้สำเร็จ

โดย Pantip.com ที่เป็นแพลตฟอร์มตัวกลางระหว่าง Google Adsense และผู้ใช้งานจะไม่รับส่วนแบ่งรายได้จากการโฆษณา เพื่อให้สมาชิกได้รับผลประโยชน์จากระบบนี้อย่างสูงสุด และส่งเสริมให้เกิดกระทู้คุณภาพที่เข้าถึงผู้อ่านได้มากขึ้น ซึ่งหลักการทำงานของ Google AdSense บน Pantip.com จะเป็นการดึงโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหากระทู้ของนั้น ๆ ขึ้นมาแสดง ซึ่งโฆษณาจะสุ่มขึ้นมาตามเงื่อนไขและความเหมาะสม โดยยังคงรักษาบรรยากาศของการสนทนา

สำหรับส่วนแบ่งรายได้บนเว็บไซต์ Pantip.com เป็นการแบ่งระหว่าง 2 ฝั่ง คือกูเกิล (Google) ในอัตรา 32% และสมาชิกเว็บไซต์ในอัตรา 68% ซึ่งสัดส่วนนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคตตามที่ Google กำหนด ซึ่งระบบของ Google จะทำการนับยอดการแสดงผลสะสมเก็บไว้และคำนวณเป็นรายได้ เมื่อยอดสะสมครบ 100 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3,500 บาท) จึงจะสามารถเบิกถอนได้

สามารถตรวจสอบได้จากหน้าบัญชี Google AdSense ของผู้ใช้งาน โดยการสร้างรายได้จาก Google AdSense บนเว็บไซต์ Pantip.com จะเริ่มใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 17 ต.ค. 2566

นายวันฉัตร ผดุงรัตน์ ผู้ก่อตั้ง Pantip.com เปิดเผยว่า จากปริมาณ Pageviews ในแต่ละวัน แสดงให้เห็นถึงความนิยมของ Pantip.com ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง เราเล็งเห็นถึงศักยภาพและความสำคัญของ ‘ครีเอเตอร์บนพันทิป’ ในฐานะผู้สร้างคอมมิวนิตี้ตัวจริงเสมอมา และต้องการให้สมาชิกเว็บไซต์ทุกคนสามารถสร้างรายได้จากการสร้างคอนเทนต์บนพันทิป

“จริง ๆ เราต้องการพัฒนาระบบสร้างรายได้ให้กับสมาชิกมานานแล้ว ติดที่ระบบการร่วมรับรายได้ควรสร้างให้มีความเสถียรและแม่นยำ อีกทั้งต้องเก็บข้อมูลส่วนบุคคลที่สำคัญ เช่น บัญชีธนาคาร ชื่อ ที่อยู่ ฯลฯ ทำให้ไม่ง่ายที่พันทิปจะสร้างระบบแบ่งรายได้ขึ้นมาเอง เมื่อ Google นำเสนอระบบการแบ่งรายได้ ซึ่งเป็นระบบที่พัฒนาและบริหารโดย Google จึงเห็นเป็นโอกาสเหมาะที่จะนำมาเอื้อประโยชน์ให้กับสมาชิก”

'พีระพันธุ์' ขีดเส้นอีก 2 สัปดาห์ ราคาเบนซินต้องได้ข้อยุติ ลั่น!! ต้องลงอีกลิตรละ 2.50 บาท เป็นของขวัญปีใหม่ให้คนไทย

(16 ต.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า กระทรวงพลังงาน เตรียมกลับไปพิจารณาแนวทางการปรับลดราคาค่าน้ำมันเบนซิน เพื่อช่วยลดค่าครองชีพให้กับประชาชน เบื้องต้นจะทำให้เทียบเคียงกับการลดราคาน้ำมันดีเซลในช่วงที่ผ่านมา เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน สำหรับการประชุม ครม. ครั้งนี้ กระทรวงพลังงานรายงานรายละเอียดมาแล้วเบื้องต้น 2 ทางเลือก และได้นำมารายงานให้กับที่ประชุม ครม. รับทราบแล้ว แต่ยังไม่โดนและครอบคลุมการช่วยเหลือตามที่รัฐบาลตั้งใจไว้ 

โดยทางเลือกแรก คือ การช่วยเหลือกลุ่มผู้ขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เหมือนที่ทำมาก่อนหน้านี้ โดยใช้เงินเดือนละ 95 ล้านบาท 

ส่วนทางเลือกที่ 2 คือ การช่วยเหลือขยายจากผู้ขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เพิ่มไปยังกลุ่มผู้มีรายได้น้อย โดยใช้เงินเดือนละ 4,000 ล้านบาท

“กระทรวงพลังงานได้มารายงานข้อเสนอ 2 มาตรการเมื่อเช้า ก็ไม่ค่อยเห็นด้วยเพราะนโยบายของรัฐบาลต้องลดราคาน้ำมันในภาพรวมไม่ใช่ช่วยเหลือเป็นกลุ่ม ๆ จึงได้บอกให้เจ้าหน้าที่กลับไปทำรายละเอียดโดยให้เพิ่มทางเลือกที่ 3 คือลดราคาน้ำมันเบนซินในภาพรวมแบบน้ำมันดีเซล ซึ่งจะนำมาเสนอ ครม. ต่อไป” นายพีระพันธุ์ กล่าว

รมว.พลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงาน ได้นำเรื่องนี้รายงานในที่ประชุมครม.รับทราบแล้วว่าวันนี้มีการรายงานความคืบหน้าว่ามี 2 ทาง ซึ่งส่วนตัวไม่เห็นด้วย เพราะไม่เป็นไปตามนโยบายที่เคยประกาศไปก่อนหน้านี้ว่าจะลดราคาเบนซินให้ได้ราคาต่ำสุดของน้ำมันเบนซิน ส่วนภาระค่าใช้จ่ายที่รัฐบาลจะเข้าไปสนับสนุนมากแค่ไหน รัฐบาลจะตัดสินใจอีกครั้ง แต่ตอนนี้ขอให้เสนอมา โดยเมื่อเสนอ ครม. แล้ว ครม.ก็เห็นด้วยว่าเอาแนวทางเลือกที่ 3 คือ ลดราคาน้ำมันเบนซินทั้งระบบ

ผู้สื่อข่าวถามว่า เป้าหมายที่จะลดราคาน้ำมันเบนซิน จะทำได้แค่ไหน นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า เป้าหมายตั้งใจว่าลดให้ไม่น้อยกว่าดีเซล แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องหารือกับกระทรวงการคลังอีกครั้ง เช่น ลดลงประมาณ 2.50 บาทต่อลิตร เป็นต้น แต่ตัวเลขชัด ๆ คงต้องไปหารือก่อนว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหน รวมไปถึงวิธีการดำเนินการด้วยว่า จะใช้กลไกไหน ทั้ง การใช้กลไกของการลดภาษีสรรพสามิต หรือ ใช้กลไกของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในรายละเอียดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะไปศึกษารายละเอียดอีกครั้ง โดยเอาเป้าหมายตามหลักการและนโยบายของรัฐบาลไปทำงาน ส่วนวิธีการจะให้ผู้เกี่ยวข้องไปดูอีกที และจะทำให้เสร็จภายใน 2 สัปดาห์ เช่นเดียวกับวงเงินของการทำเรื่องนี้ ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ และขอให้ไปศึกษารายละเอียดอีกว่าทำอย่างไร

รมว.พลังงาน กล่าวอีกว่า ปัจจุบันเห็นว่ามีปัญหาเกี่ยวกับโครงสร้างน้ำมันเบนซินหลายอย่าง ทั้งเรื่องระเบียบ กฎหมายต่าง ๆ และควรต้องปรับใหม่ ส่วนการแก้ปัญหาเรื่องค่าการตลาดนั้น ล่าสุดได้ตั้งคณะกรรมการมาศึกษาโครงสร้างค่าการตลาดน้ำมันขึ้นมาหนึ่งชุด เพื่อไปรายละเอียดทั้งหมด หากเอกชนไม่ให้ความร่วมมือก็ต้องยึดของทางราชการเป็นหลัก 

ทั้งนี้ รัฐบาลกำลังตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเรื่องค่าการตลาดอย่างเป็นทางการ เพราะคุยไปก็ไม่มีประโยชน์ และที่ผ่านมาก็แจ้งว่าเป็นความลับทางการค้า เมื่อเป็นอย่างนั้นจึงตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาอย่างจริงจัง เอาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้คำตอบเลย และถือข้อมูลของเราเป็นทางการ เมื่อให้โอกาสมาชี้แจงทำความเข้าใจเอาตัวเลขมา แล้วไม่มา เมื่อไม่มาก็ช่วยไม่ได้ และคณะกรรมการชุดนี้จะประชุมนัดแรก 18 ตุลาคม นี้ และจะสรุปให้ได้ใน 60 - 90 วัน

‘กรมพัฒน์ฯ’ จับมือ ‘Shopee’ จัดโปรโมชัน แจก Coins-ส่วนลด 50% หวังกระตุ้นยอดขายให้ผู้ประกอบการชุมชนผ่านไลฟ์สด ดีเดย์ 18 ต.ค.นี้

(16 ต.ค.66) นายจิตรกร ว่องเขตกร รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร่วมกับ Shopee จัดกิจกรรมดันยอดขายผ่านไลฟ์สด ในวันพุธที่ 18 ตุลาคม 2566 โดยได้คัด 3 ร้านค้า ที่ชนะรางวัล Shopee Award of Thailand e-Commerce Genius 2023  เพื่อกระตุ้นยอดขายให้กับผู้ประกอบการชุมชน ภายใต้การส่งเสริมของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าด้วย คือ

1.ร้านขนมทันจิตต์ เวลา 20.00 - 20.30 น.
2.ร้านรสหนึ่ง เวลา 20.30 - 21.00 น.
3.ร้าน Pick Me Please เวลา 21.00 - 21.30 น.

โดยจะไลฟ์สด บนแอปพลิเคชัน Shopee (search ‘สุขใจซื้อของไทย') หรือเข้าเว็บไซต์ https://shopee.co.th/dbdonline พร้อมรับโปรโมชัน 2 ต่อ ต่อที่ 1 : แจก Coins รวมกว่า 6,000 Coins ตลอดช่วงเวลาการไลฟ์ของทั้ง 3 ร้าน และต่อที่ 2 : โค้ดส่วนลด 50% ลดสูงสุด 100 บาท

>> ของดีนำมาขาย

สำหรับสินค้าที่นำมาจัดกิจกรรมครั้งนี้ เป็นสินค้าคุณภาพที่ผ่านการคัดสรรเพื่อผู้บริโภค ได้แก่ ร้านทันจิตต์ เผือกทอดรูปตะแกรง ที่มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์มาอย่างต่อเนื่องกว่า 40 ปีจากรุ่นสู่รุ่น และปัจจุบันได้ยกระดับการผลิตจาก ในครัวเรือนสู่โรงงานที่ได้มาตรฐาน

ร้านรสหนึ่ง สินค้า OTOP จ.สิงห์บุรี ปลาช่อนแม่ลาแดดเดียวของดีเมืองสิงห์บุรี สูตรดั้งเดิม รสกลมกล่อม ไม่เค็มเกินไป ใส่ใจทุกขั้นตอนการผลิต ไม่ว่าจะเป็นกางมุ้งตาก ไม่มีแมลงกวน ทำให้สะอาด ปลอดภัย ผลิตใหม่สดทุกวัน ไม่มีสารกันเสีย

ร้าน Pick me please หมูหยองกรอบคั่วเตาถ่าน ซึ่งได้เลือกใช้เนื้อหมูเฉพาะส่วนไร้มันมาปรุงด้วยสูตรลับเฉพาะ และนำมาคั่วบนเตาถ่านด้วยเวลากว่า 4 ชั่วโมง จนกรอบ และมีลักษณะเป็นชิ้นหมูหยองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ปราศจากผงชูรสเเละสารกันเสีย การันตีความอร่อย เหมาะกับผู้บริโภคที่รักสุขภาพทุกวัย

การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการกระตุ้นยอดขาย ยังช่วยสร้างการมองเห็นให้กับร้านค้ามากขึ้น และถือเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมเฉลิมฉลอง ในโอกาสการสถาปนากรมพัฒนาธุรกิจการค้าครบรอบ 100 ปี ซึ่งช่วยตอกย้ำถึงเจตนารมณ์ของกรมฯ ในการเดินหน้าส่งเสริมและผลักดันให้ธุรกิจของผู้ประกอบการไทยให้เติบโตอย่างมืออาชีพ ส่งผลดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้

>> ร้านค้า 400 ร้านบนแอปพลิเคชัน

โดยตลอดทั้งปีนี้ กรมฯ มีแผนร่วมมือกับ Shopee อย่างต่อเนื่องในการมอบสิทธิพิเศษต่างๆ ให้กับผู้ประกอบการออนไลน์ไทย เพื่อช่วยส่งเสริมการขาย ขยายโอกาสทางการตลาดออนไลน์ให้กับผู้ประกอบการ

ปัจจุบัน มีผู้ประกอบการรายย่อยของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าที่จำหน่ายสินค้าประเภทต่างๆ อยู่บนแอปพลิเคชัน Shopee จำนวนกว่า 400 ราย การจัดกิจกรรมดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถขายสินค้าได้เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถเลือกซื้อสินค้า ตามวัน เวลา ดังกล่าวข้างต้น หรือสอบถามรายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ส่วนส่งเสริมการใช้นวัตกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กองพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สายด่วน 1570 โทรศัพท์หมายเลข 0 2547 5961 และ www.dbd.go.th

ครม.อนุมัติค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย  ประเดิม!! 'สายสีแดง-สายสีม่วง' คิกออฟบ่ายนี้  

(16 ต.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย ประเดิมที่สายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต, บางซื่อ-ตลิ่งชัน) และสายสีม่วง (เตาปูน-บางไผ่) โดยรัฐบาลต้องใช้งบอุดหนุนปีละ 130 ล้านบาท 

ขณะที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จะไปเป็นประธานพิธีเปิดที่สถานีกลางบางซื่อ หรือสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ เพื่อใช้ทันที เริ่มบ่ายวันนี้ (16 ต.ค.66)

‘ศาลปกครองกลาง’ สั่งระงับซื้อไฟฟ้าพลังงานลม 1,500 MW หลังบริษัทย่อยกลุ่ม EA ร้องคำสั่ง กกพ. ไม่โปร่งใส-ยุติธรรม

(16 ต.ค. 66) ศาลปกครองมีคำสั่งระงับรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ในกลุ่มพลังงานลม ขนาด 1,500 เมกะวัตต์ เป็นการชั่วคราว หลังจากบริษัทย่อยของ EA ร้อง กกพ. ออกคำสั่งโดยอาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่โปร่งใส และยุติธรรม  

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2566 บริษัท วินด์ ขอนแก่น 2 จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ EA ในฐานะผู้ฟ้องคดี ได้ร้องคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ในฐานะผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เกี่ยวกับ การออกคำสั่งโดยอาจไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย ไม่โปร่งใส และยุติธรรม ต่อศาลปกครองกลาง

โดยสาระสำคัญที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งทางการปกครองไว้เป็นการชั่วคราวก่อนการพิพากษา ซึ่งศาลได้แถลงไว้ ดังนี้

“ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ยังไม่ได้แจ้งเหตุผลทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายให้แก่ผู้ฟ้องคดีทราบ โดยเฉพาะเกณฑ์การประเมินหรือการกำหนดคะแนนความพร้อมทางด้านเทคนิคด้านต่าง ๆ ในการพิจารณาคัดเลือกผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าตามระเบียบของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2”

“ข้อเท็จจริงไม่มีการประกาศหรือกำหนดหลักเกณฑ์การประเมินคะแนนความพร้อมทางเทคนิคด้านต่าง ๆ ให้ผู้อื่นขอผลิตไฟฟ้าทราบแต่อย่างใด อันทำให้เป็นการใช้ดุลพินิจของคณะอนุกรรมการคัดเลือกโดยแท้ซึ่งจะทำให้ขาดความโปร่งใสและเป็นธรรมแก่ผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้า”

“ผู้ฟ้องคดีเองได้ขอทราบคะแนนการประเมินของคณะอนุกรรมการก็ไม่ได้รับการชี้แจงหรือ แจ้งผลใด จากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงมีปัญหาว่าการพิจารณาและการประเมินให้น้ำหนักคะแนนของคณะอนุกรรมการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เป็นการไม่ดำเนินการตามรูปแบบ ขั้นตอนและวิธีการอันเป็นสาระสำคัญ ตามที่หลักเกณฑ์กำหนดกระบวนการคัดเลือกผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้า”

“เมื่อคณะอนุกรรมการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 กำหนดหลักเกณฑ์การให้น้ำหนักคะแนนความพร้อมทางเทคนิค แต่ผู้ฟ้องคดีไม่สามารถตรวจสอบได้ จึงอาจมีการใช้ดุลพินิจ ตามอำเภอใจ โดยปราศจากหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนและตรวจสอบได้”

“ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ก็ได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการดังกล่าวเป็นผู้พิจารณาประเมินคะแนนความพร้อมทางเทคนิคในแต่ละด้านและยังให้คณะอนุกรรมการชุดดังกล่าวเป็นผู้พิจารณา คัดเลือกผู้ผลิตไฟฟ้าเพื่อเสนอความเห็นให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 พิจารณาให้ความเห็นชอบด้วย อันมีสภาพร้ายแรงอันอาจจะทำให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลางอีกด้วย”

จากกรณีดังกล่าว จึงทำให้ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งทุเลาการบังคับมติของ กกพ. ในการประชุมครั้งที่ 17/2566 (ครั้งที่ 845) เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2566 ที่พิจารณาเห็นชอบผลการคัดเลือกผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าจำนวน 175 ราย เฉพาะในส่วนที่ไม่มีรายชื่อผู้ขอฟ้องคดีและทุเลาการบังคับตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่องรายชื่อผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าที่ได้รับคัดเลือกตามระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานว่าด้วยการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี พ.ศ. 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ. 2565 ลงวันที่ 5 เมษายน 2566 สำหรับพลังงานลมจำนวน 22 ราย ไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง เป็นอย่างอื่นเนื่องจากการดำเนินการตามประกาศดังกล่าว ในเบื้องต้นน่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับ ความชอบด้วยกฎหมาย

‘ECOT’ จับมือ ‘ICDL’ เดินหน้ายกระดับศักยภาพให้นายจ้าง-ลูกจ้าง เพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัล-เท่าทันโลกยุคใหม่ มุ่งสู่ ‘ไทยแลนด์ 4.0’

(15 ต.ค. 66) สภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย หรือ ‘ECOT’ โดยนายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล ประธานสภาฯ จับมือ สถาบันพัฒนาและทดสอบทักษะด้านดิจิทัล หรือ ‘ICDL Thailand’ โดย Dr.Hugh O' Connell กรรมการผู้จัดการ ยกระดับสมรรถนะดิจิทัลให้เจ้าของธุรกิจ หรือ นายจ้างและลูกจ้างอยู่ในระดับมาตรฐานสากลและเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล

นายเอกสิทธิ์ กล่าวว่า  ECOT ต้องหลอมรวมศักยภาพและทรัพยากร เพื่อร่วมกันยกระดับและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ให้องค์กรธุรกิจและบุคลากรของประเทศ มีสมรรถนะที่เหมาะสมกับการทำงานในยุคดิจิทัลและบรรลุถึงการเป็นไทยแลนด์ 4.0 ด้วยยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคมด้านการพัฒนาความสามารถด้านการใช้ดิจิทัล (Digital Literacy)

สำหรับการลงนามนั้น มีผู้บริหารของทั้งสององค์กร รวมถึงภาคี เข้าร่วม เช่น คุณจุลลดา มีจุล รักษาการผู้อำนวยการสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ คุณสุปรีย์ ทองเพชร ประธาน สภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย คุณกฤษฏิ์กัญญา กานต์จิรธันย์ Executive Director, ICDL Thailand พล.อ.ต.ศ.ดร.ประสงค์ ปราณีตพลกรัง ที่ปรึกษาวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ คุณสิริวัน ร่มฉัตรทอง เลขาธิการ ECOT ดร.ภูชิสส์ ศรีเจริญ รองประธานอาวุโสสภา SMEs

'อ.พงษ์ภาณุ' มองท่องเที่ยวไทย ภายใต้เศรษฐกิจจีน 'เปราะบาง' ยกเว้นวีซ่า ช่วยได้แค่ไหน แม้ไทยจะเป็นจุดหมายเบอร์ 1

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่พูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น การท่องเที่ยวไทย ภายใต้เศรษฐกิจจีน 'เปราะบาง' และการยกเว้นวีซ่า จะช่วยได้จริงหรือไม่? เมื่อวันที่ 15 ต.ค.66 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

การท่องเที่ยวของไทยปีนี้แม้ว่าจะยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ตอนต้นปีและยังไม่สามารถกลับเข้าสู่ระดับก่อนโควิด 19 ได้ แต่ก็มีแนวโน้มดีขึ้นเป็นลำดับ กล่าวคือ 8 เดือนแรกของ 2566 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยแล้วกว่า 12 ล้านคน และอาจจะบรรลุเป้า 30 ล้านคน สร้างรายได้ 1.3 ล้านล้านบาท หากทุกฝ่ายร่วมมือกันเต็มที่

มาตรการยกเว้นวีซ่า (Visa Free) ชั่วคราวแก่นักท่องเที่ยวจีน ของรัฐบาล จึงได้รับการจับตามองว่าจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายนี้ได้หรือไม่ แต่ต้องถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากทางการจีน โดยเฉพาะในจังหวะที่จีนกำลังเข้าสู่วันหยุด Golden Week เนื่องในวันชาติจีน (1 ตุลาคม) ซึ่งจากผลสำรวจของ Trip.com มักมีชาวจีนกว่า 20 ล้านคนเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศในช่วงเวลาดังกล่าว และประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางอันดับ 1 ของนักท่องเที่ยวเหล่านี้ 

ดังนั้น หากนโยบายยกเว้นวีซ่า ประสบความสำเร็จในการดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมาในช่วง Golden Week นี้ น่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปให้กลับมาคึกคักได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม ในภาวะที่จีนกำลังมีปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้า ก็ยากที่จะด่วนสรุปว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาเหมือนเดิมได้หรือไม่ 

เพราะตอนนี้ จีนเจอปัญหาหลายด้าน ทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในภาวะฟองสบู่แตกกำลังประสบปัญหาหนี้สินอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และยากที่จะแก้ไขได้ในเวลารวดเร็ว รวมถึงความขัดแย้งกับสหรัฐอเมริกาในเชิงภูมิรัฐศาสตร์โลก ก็กำลังซ้ำเติมปัญหาภายในของจีน สะท้อนจากการลดลงอย่างต่อเนื่องของมูลค่าการส่งออก และการลงทุนจากต่างประเทศ ขณะที่รัฐบาลจีนเอง ก็ดูจะมีความล่าช้าที่จะใช้นโยบายการคลังและการเงินเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างทันการ 

ความเปราะบางของจีนขณะนี้ จึงถือเป็นความเสี่ยงใหญ่ที่อาจกระทบเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ซึ่งจริงๆ ก็กำลังเผชิญอยู่ จนต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด...

‘รัฐบาล’ ขอบคุณ ‘นทท.จีน’ ที่เชื่อมั่น ยืนยันมาไทยเกือบ 6 แสนคน หลังเกิดเหตุกราดยิง สัญญาจะคุมเข้มดูแลความปลอดภัยเต็มที่

(14 ต.ค.66) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า รัฐบาลขอบคุณความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนที่มีต่อประเทศไทย ซึ่งจากการสำรวจพบว่า ตัวเลขนักท่องเที่ยวยังคงยืนยันเที่ยวบินและที่พักถึง 5.9 แสนคน รัฐบาลให้สัญญาจะดำเนินมาตรการ ดูแลความปลอดภัย แก่นักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ โดยตัวเลขจากการท่าอากาศยานไทยแสดงว่านักท่องเที่ยวจีนที่จองการเดินทางเข้ามาในประเทศไทย 6.5 แสนคน ก่อนเกิดเหตุการณ์ที่สยามพารากอน ยังคงยืนยันที่พัก และเที่ยวบินมาที่ไทยถึง 5.9 แสนคน ลดน้อยลงเพียง 9.2% ซึ่งถือว่าเป็นความเบี่ยงเบนที่อยู่ในเกณฑ์ปกติ จึงสะท้อนได้ว่านักท่องเที่ยวจีนยังคงมีความเชื่อมั่นที่จะมาเที่ยวเมืองไทยเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า เมื่อเทียบกับภาวะปกติที่ตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวจริงจะแตกต่างจากจำนวนที่จองเข้ามาล่วงหน้าราวๆ +-15% ดังนั้นจึงถือได้ว่า ความแตกต่างของตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาเที่ยวไทยก่อนและหลังเหตุการณ์ที่สยามพารากอนมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ในเกณฑ์ปกติ สะท้อนให้เห็นว่านักท่องเที่ยวจีนยังคงมีความเชื่อมั่นในประเทศไทย และยืนยันที่จะเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยเช่นเดิม

“รัฐบาลไทยขอขอบคุณนักท่องเที่ยวจีนที่เข้าใจประเทศไทย และเชื่อมั่นในรัฐบาลไทย โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้สั่งการกำชับการทำงานให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามมาตรการที่ยกมาตรฐานขึ้นอย่างดีที่สุด เพื่อดูแลนักท่องเที่ยว รวมทั้งเพื่อดูแลพี่น้องคนไทยทุกคน” นายชัย กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top