Thursday, 26 June 2025
ECONBIZ NEWS

‘รมว.แรงงาน’ ชูนโยบายเร่งด่วน แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานท่องเที่ยว พร้อมอัดฉีดงบอัปสกิล ‘ภาษา-การบริการ’ มั่นใจ!! มีงานทำ-รายได้สูง

(10 ต.ค. 66) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า นโยบายด้านพัฒนาทักษะแรงงานในระยะเร่งด่วนตอนนี้ คือการ Upskill แรงงานภาคการท่องเที่ยว เพราะขาดแคลนแรงงานทางด้านนี้มาก จึงต้องเร่งฝึกทักษะและอบรมในสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับภาคการท่องเที่ยวและบริการ

อีกทั้ง ในช่วงที่ผ่านมานายกรัฐมนตรี ท่านเศรษฐา ทวีสิน ได้ไปต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวบินแรก หลังการประกาศนโยบาย ‘วีซ่าฟรี’ แสดงความพร้อมของไทยในการเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว มุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยรัฐบาลคาดการณ์รายได้ที่จะเข้าประเทศกว่า 2.38 ล้านล้านบาท โดยกระทรวงแรงงานในฐานะหน่วยงานหลักในการดูแลกำลังแรงงานของประเทศ ได้ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลในการผลักดันการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพแรงงาน ส่งเสริมให้แรงงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นแรงงานที่มีผลิตภาพสูง มีทักษะสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน

นายพิพัฒน์ กล่าวต่อไปว่า การ Upskill และ Reskill ให้แรงงานมีทักษะที่จำเป็นในการทำงาน โดยเติมเต็มทักษะด้านภาษาต่างประเทศ และส่งเสริมนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ หลักสูตรฝึกอบรม เช่นภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน เพื่อการทำงาน, การสร้างสื่อมัลติมีเดียเพื่อการท่องเที่ยว, นวดแผนไทย สปา, งานบริการอาหารและเครื่องดื่ม นักส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวม, สปาตะวันตก, การจัดการด้านอาหารและโภชนาการบนเรือ, การบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยวอย่างมืออาชีพ

โดยบูรณาการกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยวและบริการ เพื่อสำรวจความต้องการแรงงานและการพัฒนาทักษะฝีมือในส่วนที่แรงงานยังขาดแคลน เพื่อพัฒนากำลังแรงงานภาคท่องเที่ยวให้ตรงกับความต้องการของสถานประกอบกิจการ ในปี 2566 กำลังแรงงานภาคการท่องเที่ยวและบริการเข้ารับการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน ทั้งในส่วนที่ภาครัฐและภาคเอกชนดำเนินการรวมจำนวน 288,438 คน เป็นผู้มีงานทำร้อยละ 93.20 ผู้ผ่านการพัฒนาฝีมือแรงงาน สามารถรักษาฐานรายได้คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ 51,450.19 ล้านบาท/ปี

สำหรับในปีนี้ ได้สั่งการให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เร่งผลิตและเพิ่มทักษะแรงงานภาคท่องเที่ยวและบริการ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างรายได้ให้ประเทศอย่างเร่งด่วน

ทางด้านของนางสาวบุปผา เรืองสุด อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนที่กรมดำเนินการเอง ได้วางเป้าหมายและงบประมาณไปยังหน่วยฝึกที่มีทั่วประเทศ เพื่อพัฒนาทักษะให้แก่แรงงานภาคการท่องเที่ยว รวมกว่า30,000 คน โดยเฉพาะกลุ่มจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว เช่น กระบี่ ภูเก็ต พังงา พัทยา เชียงใหม่ เชียงราย กรุงเทพฯเป็นต้น

พร้อมได้กำชับให้หน่วยฝึกคัดเลือกหลักสูตรที่มีความจำเป็นต้องใช้ในการให้บริการ อาทิ การฝึกด้านภาษาต่างประเทศ กรณีที่เป็นแรงงานที่อยู่ในกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่ต้องรองรับนักท่องเที่ยว มีการจัดหลักสูตรเกี่ยวกับการแปรรูปผลิตภัณฑ์ของชุมชน การออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อเป็นฝากของที่ระลึก ส่วนหนึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับตัวสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในชุมชน เพื่อให้แรงงานในกลุ่มวิสาหกิจชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้น สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้ตั้งแต่ระดับชุมชน

ทั้งนี้ ได้แจ้งให้หน่วยฝึกไปสำรวจความต้องการแรงงานจากผู้ประกอบกิจการในพื้นที่ด้วย สำหรับผู้ที่สนในเข้าฝึกอบรมในหลักสูตรต่างๆ ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว สามารถสมัครได้ที่สถาบันและสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานทั่วประเทศ หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 1506 กด 4

ปตท. คว้ารางวัล ‘องค์กรผู้นำด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก’ ตอกย้ำการบริหารจัดการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างยั่งยืน

เมื่อไม่นานมานี้ พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบโล่ประกาศเกียรติคุณ ‘องค์กรผู้นำด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก’ (Climate Action Leading Organization) หรือ CALO ให้แก่ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) โดย ปตท. เป็น 1 ใน 16 องค์กรของประเทศที่ได้รับรางวัล ประเภทโดดเด่น มีผลการประเมินในด้านการวัดและการลดก๊าซเรือนกระจกอยู่ในระดับทอง ตอกย้ำการดำเนินงานของ ปตท. ที่บูรณาการความยั่งยืนเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์และเป้าหมายการดำเนินธุรกิจ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและแนวคิดเรื่อง ESG โดยวัดผลการดำเนินงานในระดับสากล Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) และสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) 

รวมทั้งให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการ Climate Change ตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ที่ ปตท. ตั้งไว้ 3 ด้าน คือ New Growth, Business Growth และ Clean Growth เพื่อการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน พร้อมดูแลสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน

'พิมพ์ภัทรา' ลั่น!! สินค้าด้อยคุณภาพต้องหมด ภายใน 6 เดือน สั่ง!! สมอ. จัดการกวาดล้างให้สิ้นซากจากท้องตลาด

(10 ต.ค.66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์สินค้าด้อยคุณภาพที่มีราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้านทะลักเข้ามาในประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม รวมถึงความปลอดภัยของประชาชน กระทรวงอุตสาหกรรมไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และได้มอบหมายให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. เร่งช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว โดยให้เข้มงวดในการตรวจสอบสินค้านำเข้าที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของประชาชนอย่างเคร่งครัด รวมทั้งหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบมาตรฐานของสินค้านำเข้าที่อยู่ในข่ายการควบคุมของ สมอ. เพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าดังกล่าวเข้าประเทศ ทั้งนี้ ตั้งเป้าหมายภายใน 6 เดือน จะต้องกวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพให้หมดไปจากท้องตลาด

ด้าน นายวันชัย พนมชัย รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า สมอ. จะเข้มงวดในทุกช่องทางเพื่อสกัดกั้นสินค้าไม่ได้มาตรฐานเข้ามาในราชอาณาจักร โดยเฉพาะสินค้าที่อยู่ในข่ายการควบคุมของ สมอ. จำนวน 143 รายการ ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด หากมีสินค้านำเข้าที่ใช้พิกัดและรหัสสถิติที่เชื่อมโยงไว้ ผู้นำเข้าจะต้องยื่นข้อมูลการนำเข้าผ่านระบบ NSW และได้รับใบอนุญาตก่อนรับมอบสินค้าจากกรมศุลกากร เพื่อป้องกันการนำสินค้าไม่ได้มาตรฐานเข้ามาจำหน่ายในประเทศ นอกจากนี้ ยังตรวจสอบการนำเข้าสินค้าที่ผ่านพิธีการทางศุลกากรผ่านระบบ e-Tracking เพื่อตรวจสอบความผิดปกติของการนำเข้า และตรวจสอบการลักลอบนำเข้าสินค้าที่ผิดกฎหมาย รวมถึงมีการตรวจติดตามผู้รับใบอนุญาตผ่านระบบ e-Surveillance ซึ่งเป็นการนำระบบมาช่วยอำนวยความสะดวกในการแจ้งข้อมูลของผู้ได้รับอนุญาต 

นอกจากนี้ ยังเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจควบคุมการจำหน่ายสินค้าในท้องตลาดและทางออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม โดยนำระบบ e-Market surveillance มาใช้ในการตรวจติดตามสถานที่จำหน่ายทั่วประเทศ พร้อมทั้งกำชับทีมนักรบไซเบอร์ ทำหน้าที่ตรวจสอบการจำหน่ายสินค้าทางโทรทัศน์ และ Platform Online ต่างๆ เพื่อเฝ้าระวังสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานอีกด้วย

“สินค้าด้อยคุณภาพราคาถูกที่ทะลักเข้ามาในไทย ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการอุตสาหกรรมและความปลอดภัยของประชาชน สมอ. จะเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจควบคุมและกำกับติดตามสินค้าไม่ได้มาตรฐานในทุกช่องทาง หากผู้ผลิตและผู้นำเข้าฝ่าฝืนกฎหมาย มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกินสองล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมถึงผู้จำหน่ายหากขายสินค้าไม่ได้มาตรฐานมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดย สมอ. จะดำเนินการกับผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืนกฎหมายอย่างถึงที่สุด เพื่อให้ประชาชนได้ใช้สินค้าได้อย่างปลอดภัย” นายวันชัยฯ กล่าว

‘ข้าวสังข์หยดพัทลุง-ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้’ ขึ้นทะเบียน GI ในมาเลฯ แล้ว ‘กรมทรัพย์สินทางปัญญา’ ลุยผลักดัน สร้างโอกาสต่อยอด-รายได้ในอนาคต

(26 ก.ย.66) สำนักงานทรัพย์สินทางปัญญามาเลเซีย (MyIPO) ได้ประกาศขึ้นทะเบียน GI ‘ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง’ และ ‘ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้’ ในประเทศมาเลเซียเรียบร้อยแล้ว

ปัจจุบันมีสินค้า GI ไทยได้รับการขึ้นทะเบียนในต่างประเทศ รวม 8 รายการ ครอบคลุมกว่า 30 ประเทศ ได้แก่

1) ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ในสหภาพยุโรป จีน มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
2) ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง ในสหภาพยุโรป มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
3) กาแฟดอยช้าง ในสหภาพยุโรป และญี่ปุ่น
4) กาแฟดอยตุง ในสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และกัมพูชา
5) เส้นไหมไทยพื้นบ้านอีสาน ในเวียดนาม
6) ผ้าไหมยกดอกลำพูน ในอินเดีย และอินโดนีเซีย
7) มะขามหวานเพชรบูรณ์ ในจีน และเวียดนาม
8) ลำไยอบแห้งเนื้อสีทองลำพูน ในเวียดนาม

โดยยังมีส้มโอทับทิมสยามปากพนัง อีก 1 สินค้าที่มาเลเซียอยู่ระหว่างพิจารณา

นายนภินทรกล่าวอีกว่า ชาวมาเลเซียบริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก โดยนิยมรับประทานเมนู นาซิ เลอมัก (Nasi Lemak) ซึ่งเป็นข้าวที่หุงกับกะทิและใบเตย รับประทานคู่กับแกงและเครื่องเคียงต่าง ๆ มาเลเซียจึงนำเข้าข้าวจากต่างประเทศกว่า 30% ตามความต้องการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งข้าวไทยได้รับความนิยมในประเทศมาเลเซีย

โดยในปี 2565 ไทยส่งออกข้าวไปประเทศมาเลเซีย มูลค่ากว่า 3,200 ล้านบาท โดย ‘ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้’ ปลูกในฤดูนาปีบนพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ด้วยสภาพพื้นที่เป็นแอ่งกระทะ ขนาดใหญ่ ดินเป็นดินร่วนปนทรายมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ความแห้งแล้ง และความเค็มในดิน ส่งผลให้ข้าวเกิดความเครียดและหลั่งสารหอม ข้าวจึงมีความหอมตามธรรมชาติมากกว่าข้าวจากแหล่งอื่น โดยมีเมล็ดข้าวยาว เรียว ข้าวสารมีเมล็ดใสและแกร่ง เมื่อหุงสุกจะหอมและนุ่ม มีผลผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ รวม 5 จังหวัดกว่า 24,500 ตัน/ปี ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 55 บาท สร้างรายได้กว่า 266 ล้านบาท/ปี

สำหรับ ‘ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง’ ปลูกในจังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็นที่ราบกว้าง เหมาะสำหรับปลูกข้าว มีแหล่งน้ำจากทะเลสาบสงขลาหนุน และมีการทับถมของตะกอน ทำให้ข้าวสังข์หยดมีคุณภาพดี เมล็ดข้าวเรียวเล็ก อ่อนนุ่ม ข้าวกล้องมีสีแดงจนถึงแดงเข้ม ข้าวสารมีสีขาวปนแดงแกมชมพูเป็นเอกลักษณ์ มีผลผลิตข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง 8,000 ตัน/ปี สร้างรายได้กว่า 104 ล้านบาท/ปี

กรมทรัพย์สินทางปัญญา ยังคงเดินหน้าส่งเสริมสินค้า GI ไทยขึ้นทะเบียน GI ในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างโอกาสทางการค้าให้กับผู้ประกอบการ GI สร้างรายได้ให้กับชุมชนและรายได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของไทยได้อย่างยั่งยืนต่อไป

‘รัดเกล้า’ เผย!! ‘ก.อุตสาหกรรม’ มุ่งแก้ปัญหา PM2.5 ยั่งยืน ผุดมาตรการ ‘คุม รับ รุก’ สร้าง ‘อุตฯ สีเขียว’ สอดรับ BCG Model

(9 ต.ค. 66) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รับทราบและไม่ได้นิ่งนอนใจในความกังวลใจของชาวภูเก็ตเรื่องมลภาวะจากโรงงานอุตสาหกรรม จึงได้เดินหน้าสั่งการอุตสาหกรรมจังหวัด ทำการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด และกำกับติดตามดูแลตามมาตรการระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องทันที

นอกจากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ยังย้ำอีกว่ารัฐบาลให้ความสำคัญ และเดินหน้าแก้ไขปัญหา PM2.5 ด้วยมาตรการ ‘คุม รับ รุก’ โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้วางวาระ PM2.5 เป็น 1 ใน 5 วาระเร่งด่วน ยกระดับสู่อุตสาหกรรมยั่งยืน รองรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่ม อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) และสอดคล้องกับนโยบาย BCG Model

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า มาตรการ ‘คุม รับ รุก’ ได้แก่ 

1.คุม ควบคุมการระบายอากาศเสียจากโรงงาน โดยใช้อำนาจตาม พรบ. โรงงาน แก้กฎหมาย 
2.รับ การรับและรวบรวมข้อมูลด้านมลพิษอากาศจากโรงงานอย่าง Real-time 
3.รุก การตรวจโรงงานเชิงรุก กทม. ปริมณฑล เหนือ

โดย กระทรวงอุตสาหกรรมยังได้ดำเนินมาตรการควบคุมและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองการเชิงรุกกับโรงงานทั่วประเทศที่จำนวนกว่า 7 หมื่นโรงงาน ทั้งการตรวจโรงงานเชิงรุกในพื้นที่ กทม. และ ปริมณฑล ของโรงงานในกลุ่มเสี่ยงแล้วกว่า 896 โรงงาน (กทม. 260 โรงงาน ปริมณฑล 636 โรงงาน) ดำเนินการตรวจโรงงานเชิงรุกในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือจำนวน 668 โรงงาน

รวมทั้งขอความร่วมมือผู้ประกอบการให้ควบคุมการผลิต และตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานของระบบบำบัดมลพิษทางอากาศ ออกกฎหมายควบคุมด้านมลพิษอากาศ ออกกฎหมายกำหนดให้โรงงานบางประเภทที่อาจก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ ให้ดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจสอบคุณภาพอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง (CEMS) ตลอดจนการจัดระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยมลพิษระยะไกล (Pollution Online Monitoring System) เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้ามาติดตามและตรวจสอบ

“รัฐบาลเร่งยกระดับอุตสาหกรรมไทยสอดรับ BCG Model มุ่งสู่อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มและอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) พัฒนาพาอุตสาหกรรมไทยให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่มุ่งไปสู่ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จึงต้องร่วมกับผู้ประกอบการและฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ปรับตัวตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ” นางรัดเกล้าฯ กล่าว

‘นายกฯ เศรษฐา’ บินลัดฟ้า หารือทวิภาคีกับ ‘ฮ่องกง’ หวังเดินหน้า EEC เชื่อมโยง เขตเศรษฐกิจ GBA

(9 ต.ค.66) ณ ทำเนียบผู้บริหารสูงสุดฮ่องกง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พบหารือทวิภาคีกับนายจอห์น ลี คา-ชิว (The Honorable John Lee Ka-chiu) ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

นายกรัฐมนตรีมุ่งส่งเสริมพลวัตความร่วมมือของทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ การแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน และความเชื่อมโยง ประเทศไทยและฮ่องกงเป็นพันธมิตรทางการค้า และการลงทุนที่สำคัญ อีกทั้งต่างยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของกันและกันอีกด้วย รวมถึงได้ชื่นชมความสะดวกสบายในการดำเนินธุรกิจ (ease of doing business) ของฮ่องกงด้วย หวังให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือน พร้อมเชิญผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกงเยือนไทยด้วย

ด้านผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง กล่าวว่า ไทยและฮ่องกงมีความสัมพันธ์ที่ดี และเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะมิติด้านเศรษฐกิจ และเทคโนโลยี เพื่อเป็นศูนย์กลางการดำเนินธุรกิจ และจุดหลอมรวมระหว่างตะวันออก และตะวันตกอีกทั้งประตูสู่จีนแผ่นดินใหญ่ จึงเป็นโอกาสที่ดีให้ทั้งสองฝ่ายร่วมกันต่อยอดผลประโยชน์เศรษฐกิจ และการเงินการธนาคาร ในสภาวะความท้าทายที่โลกกำลังเผชิญกับเศรษฐกิจที่ตกต่ำในขณะนี้

โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือที่มีความสนใจร่วมกัน ดังนี้นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ฮ่องกงมีบทบาทที่สำคัญ เชื่อมจีนกับส่วนอื่น ๆ ของโลก ตลอดจนบทบาทในฐานะศูนย์กลางภูมิภาคด้านการค้า การเงิน และบริการ

โดยไทยสามารถเป็นประตูสู่ภูมิภาคอาเซียนให้แก่ฮ่องกง และจีนได้ ซึ่งรวมถึงการเป็นประตูสำหรับธุรกิจ ตลอดจนสินค้า และบริการจากฮ่องกง และจีนได้ จึงหวังที่จะกระชับความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งการค้า การลงทุน และความเชื่อมโยง

ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องที่จะกระชับความร่วมมือด้านนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งฮ่องกงมีความเชี่ยวชาญ และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศไทย เชิญชวนฮ่องกงมาลงทุนในไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายเพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของทั้งสองฝ่าย

โดยไทยหวังที่จะเดินหน้าความร่วมมือเชิงลึกกับฮ่องกง เพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยง และนโยบายการพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อประสาน และเชื่อมโยง EEC กับเขตเศรษฐกิจอ่าวกวางตุ้ง - ฮ่องกง - มาเก๊า (Greater Bay Area: GBA)

‘สามารถ แก้วมีชัย’ ข้องใจ ‘ผลดี-ผลเสีย’ แจกเงินดิจิทัล 1 หมื่น จะเชื่อ ‘รัฐบาล’ หรือ ’นักเศรษฐศาสตร์’ ดีกว่ากัน?

(8 ต.ค. 66) นายสามารถ แก้วมีชัย อดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า…

นโยบายแจกเงินดิจิทัลหนึ่งหมื่นบาท ที่ต้องใช้งบประมาณทันทีถึงห้าแสนหกหมื่นล้านบาท กับผลดีผลเสียที่จะเกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว จะให้เชื่อใครดี ระหว่างรัฐบาลกับนักการเงิน การธนาคารและนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์    

‘การบินไทย’ คว้ารางวัล ‘TTG Travel Hall of Fame’ ควบ ‘Best Inflight Service’ ในงาน TTG Travel Awards 2023

(9 ต.ค. 66) นายกรกฏ ชาตะสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการพาณิชย์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนบริษัทฯ รับรางวัล TTG Travel Hall of Fame และรางวัล Best Inflight Service ในพิธีประกาศรางวัล ทีทีจี ทราเวล อวอร์ด ครั้งที่ 32 ประจำปี 2566 (the 32nd TTG Travel Awards 2023) ณ ห้องเวิลด์บอลรูม โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ

การประกาศรางวัล ทีทีจี ทราเวล อวอร์ด จัดขึ้นทุกปี เพื่อเป็นเกียรติแก่บุคคลและองค์กรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มีความโดดเด่นในด้านต่าง ๆ โดยจัดอันดับจากการลงคะแนนของผู้อ่านนิตยสาร TTG Travel Trade Publishing รวมทั้ง TTG Asia, TTG China, TTG India, TTG Mice, TTG Associations, TTG-BT Mice China, และ TTG Asia Luxury

ทั้งนี้ บุคคลหรือองค์กรที่ได้รางวัล TTG Travel Hall of Fame จะเป็นบุคคลหรือองค์กรที่ได้รางวัลเดียวกันติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี ซึ่งการบินไทยได้รับรางวัลสายการบินยอดเยี่ยมแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ติดต่อกันครบ 10 ปี และได้รับเกียรติบันทึกใน TTG Travel Hall of Fame ตั้งแต่ปี 2559 ถึงปัจจุบัน

‘สส.ณัฐพงษ์’ ยัน!! ดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ไม่ใช่การหาเสียง ย้ำ!! รัฐบาลมุ่งกระตุ้นกำลังซื้อ พ่วงกระตุ้นภาคการผลิต

นายณัฐพงษ์ สุปริยศิลป์ สส.น่าน พรรคเพื่อไทย ประธานกรรมาธิการการเงิน การคลัง สถาบันการเงินและตลาดการเงิน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการดำเนินนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตว่า…

ทราบถึงความกังวลและความไม่เข้าใจของคนกลุ่มต่าง ๆ ขณะนี้อยู่ในช่วงที่รัฐบาลเริ่มต้นจัดทำนโยบาย หลายฝ่ายอาจไม่ทราบข้อมูลชัดเจน จากการหารือกับนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ทราบว่าจะประกาศความชัดเจนเต็มรูปแบบเร็ว ๆ นี้ 

โครงการนี้ไม่ใช่โปรยเงินหาเสียง แต่ต้องการช่วยเหลือประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมให้มีกำลังจับจ่ายใช้สอย ทำให้เศรษฐกิจประเทศหมุนเวียนครั้งใหญ่ แม้นักวิชาการบางส่วนเห็นว่าเศรษฐกิจประเทศกำลังดีขึ้นไม่จำเป็นต้องดำเนินโครงการนี้ แต่ในข้อเท็จจริงประชาชน โดยเฉพาะต่างจังหวัดยังยากลำบาก จำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรงไปที่ประชาชนจำนวนมากให้มีกำลังซื้อมากขึ้น เมื่อมีกำลังซื้อ สินค้าก็ขายได้ จะกระตุ้นภาคการผลิตสินค้าต่าง ๆ ให้คนมีงานทำ

‘กระทรวงพลังงาน’ เกาะติดสถานการณ์สู้รบ ‘อิสราเอล-ฮามาส’ หวั่นดันราคาพลังงานโลกพุ่ง ย้ำ ปริมาณสำรองของไทยยังมีพร้อม

(9 ต.ค. 66) นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่ากระทรวงพลังงานเกาะติดสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส (Hamas) หรือองค์กรการเมืองติดอาวุธของชาวปาเลสไตน์อย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ประเทศไทยจะยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะไม่ได้มีการนำเข้าพลังงานทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) จากอิสราเอลหรือปาเลสไตน์

เนื่องจากปัจจุบันไทยนำเข้าน้ำมันดิบจากประเทศกลุ่มตะวันออกกลางประมาณร้อยละ 57 และในส่วนของแอลเอ็นจีนำเข้าจากต่างประเทศประมาณร้อยละ 33 จากหลากหลายแหล่ง

ทางกระทรวงพลังงานก็ได้ติดตามสถานการณ์ต่อเนื่อง เพื่อประเมินและเตรียมความพร้อมหากเกิดสถานการณ์ที่รุนแรงขึ้น โดยกระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมความพร้อมด้านปริมาณสำรองพลังงาน

โดยปัจจุบันไทยมีปริมาณสำรองน้ำมันดิบ 3,910 ล้านลิตร ปริมาณสำรองน้ำมันดิบที่อยู่ระหว่างขนส่งอีก 1,637 ล้านลิตร น้ำมันสำเร็จรูป 2,180 ล้านลิตร ทำให้มีน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองใช้ได้กว่า 2 เดือน แบ่งเป็น น้ำมันดิบ 33 วัน อยู่ระหว่างขนส่งอีก 14 วัน และน้ำมันสำเร็จรูป 20 วัน ส่วนก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) สำหรับในภาคครัวเรือนใช้ได้ 21 วัน

“หากสถานการณ์มีความยืดเยื้อและรุนแรงขึ้น สิ่งที่น่ากังวลที่สุดจะเป็นเรื่องของราคาพลังงานโลก เนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ที่เป็นผู้ผลิตและส่งออกพลังงานรายใหญ่ของโลก ซึ่ง sentiment หรือสภาวะอารมณ์ของตลาดอาจจะมีผลทำให้ราคาพลังงานสูงขึ้นได้ แม้ว่าในปัจจุบันราคาน้ำมันจะยังคงแกว่งตัวในช่วงแคบ ๆ แต่ยังคงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด”

นายประเสริฐกล่าวว่า แต่อย่างไรก็ดีกระทรวงพลังงานจะยังคงดำเนินการอย่างเต็มที่ในการบรรเทาให้เกิดผลกระทบกับประชาชนให้น้อยที่สุด และขอให้ประชาชนเข้าใจสถานการณ์วิกฤตนี้และร่วมกันใช้พลังงานโดยเฉพาะน้ำมันอย่างประหยัดและคุ้มค่าที่สุด เพื่อผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top