Thursday, 26 June 2025
ECONBIZ NEWS

‘สนค.’ เล็งเจาะตลาดอ่าวอาหรับ หวังเพิ่มโอกาสให้การค้าไทย หลัง ‘รถ-ยาง-เครื่องประดับแท้-ไก่-ข้าว’ นำกลุ่มส่งออกโตต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 66 นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้วิเคราะห์ตลาดกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ 6 ประเทศ (Gulf Cooperation Council : GCC) ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย, คูเวต, โอมาน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, กาตาร์ และบาห์เรน เพื่อหาโอกาสสำหรับการเปิดตลาดใหม่เพิ่มเติมตามนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ โดยเน้นตลาดใหม่ ที่มีกำลังซื้อสูง แต่ยังมีมูลค่าการค้ากับไทยไม่มากนัก จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ส่งออกไทยที่จะหาโอกาสขยายการค้าในตลาดใหม่

สนค. พบว่า กลุ่ม GCC ถือเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของภูมิภาคตะวันออกกลาง มูลค่าจีดีพีของกลุ่มประเทศ GCC คิดเป็นสัดส่วน 46.7% ของจีดีพี รวมของภูมิภาคตะวันออกกลาง รวมถึงทุกประเทศมีรายได้ต่อหัวเฉลี่ยสูงกว่าไทย โดยในปี 2565 กาตาร์ เป็นประเทศที่มีรายได้ต่อหัวสูงที่สุดในกลุ่มประเทศ GCC อยู่ที่ 88,046 เหรียญสหรัฐฯ สูงกว่าไทยถึง 12.7 เท่า และมีจำนวนประชากรรวม 58.9 ล้านคน ใกล้เคียงจำนวนประชากรของไทย โดยซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศมีประชากรมากที่สุดในกลุ่มประเทศ GCC คิดเป็น 61% ของประชากรทั้งหมดในกลุ่มประเทศ GCC สำหรับการค้าระหว่างประเทศ แหล่งนำเข้าสำคัญของกลุ่มประเทศ GCC 3 ลำดับแรก คือ จีน, อินเดีย และสหรัฐฯ โดยไทยเป็นแหล่งนำเข้าลำดับที่ 19 คิดเป็น 1.4% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด

แม้ว่าปัจจุบันไทยส่งออกไปยังตลาดกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับได้ไม่มาก แต่สินค้าไทยยังมีโอกาสเข้าถึงตลาดกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับได้อีก จากข้อมูลการส่งออกของไทย 8 เดือนแรกของปี 2566 ไปยังกลุ่มประเทศ GCC มีมูลค่ารวม 4,588 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 4.2% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งคิดเป็น 2.4% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมดจากไทยไปโลก โดยตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกของไทยไปยังกลุ่มประเทศ GCC 44.6% และ 37.3% ตามลำดับ ซึ่งตลาดส่งออกรองลงมา คือ คูเวต, โอมาน, กาตาร์ และบาห์เรน ตามลำดับ

โดยมีสินค้าส่งออกหลัก เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ไฟเบอร์บอร์ด เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เป็นต้น สำหรับในระยะต่อไป สนค. มองว่าไทยมีสินค้าศักยภาพหลายรายการที่มีโอกาสเจาะตลาดในกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับได้เพิ่มเติม โดยสินค้าที่มีศักยภาพในการส่งออกเพิ่มเติม แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ สินค้าดาวเด่น, สินค้าศักยภาพ และสินค้าแนะส่งเสริม โดยมีรายละเอียด ดังนี้

สินค้าดาวเด่น เป็นสินค้าส่งออกหลักของไทยในกลุ่มประเทศ GCC ที่มีแนวโน้มเติบโตดี สะท้อนว่าตลาดยังมีความต้องการ โดยใน 8 เดือนแรกของปี 2566 ประเทศไทยส่งออก ‘รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ’ สัดส่วน 37% ของสินค้าส่งออกไทยไปกลุ่มประเทศ GCC ทั้งหมด ขยายตัวสูงถึง 17.1% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และส่งออก ‘ยางยานพาหนะ’ สัดส่วน 4.1% ขยายตัว 19.8% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยในปี 2565 ไทยครองส่วนแบ่งตลาด รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ในตลาดกลุ่มประเทศ GCC อยู่ที่ 5.6% และ ยางยานพาหนะที่ 7.4% ซึ่ง สนค. มองว่าสินค้าดังกล่าวยังมีโอกาสขยายการส่งออกและขยายส่วนแบ่งตลาดได้อีก

สินค้าศักยภาพ เป็นสินค้าที่ไทยมีศักยภาพ แต่มีส่วนแบ่งของไทยในตลาดกลุ่มประเทศ GCC ต่ำกว่าส่วนแบ่งของไทยในตลาดโลก ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ซึ่งปี 2565 ไทยครองส่วนแบ่งในตลาดกลุ่มประเทศ GCC อยู่ที่ 1.1% เปรียบเทียบกับส่วนแบ่งของไทยในตลาดโลกที่ 4.3% ขณะที่การส่งออกใน ช่วง 8 เดือนแรกปี 2566 ขยายตัวที่ 1.4% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และ เครื่องประดับแท้ ซึ่งไทยครองส่วนแบ่งในตลาดกลุ่มประเทศ GCC อยู่ที่ 1.9% เปรียบเทียบกับส่วนแบ่งของไทยในตลาดโลกที่ 5% ขณะที่การส่งออกในช่วง 8 เดือนแรกปี 2566 เพิ่มขึ้น 14.5% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

สินค้าแนะส่งเสริม เป็นสินค้าที่ตลาดมีความต้องการ แต่กลุ่มประเทศ GCC ยังนำเข้าจากไทย ค่อนข้างน้อย หรือมูลค่าการนำเข้าจากไทยมีไม่ต่อเนื่อง จึงเป็นสินค้าไทยที่แนะนำให้เข้าไปเปิดตลาดใหม่ ได้แก่ ‘ไก่’ และ ‘ข้าว’ อย่างไรก็ดี การเข้าสู่ตลาดใหม่ในสินค้าดังกล่าวเป็นเรื่องที่ท้าทายทั้งจากคู่แข่งทางการค้าเดิม ที่มีส่วนแบ่งตลาดค่อนข้างสูง และมาตรฐานสินค้าและกฎระเบียบในกลุ่มประเทศที่ค่อนข้างสูงกว่ากลุ่มประเทศอื่น

“ตลาดกลุ่มประเทศ GCC เป็นตลาดที่น่าจับตามอง แต่ไทยยังมีการค้ากับประเทศเหล่านี้ค่อนข้างน้อย มีโอกาสเข้าสู่ตลาดนี้ได้อีกมาก นอกจากนี้ ไทยมีสินค้าที่มีศักยภาพหลายรายการที่สามารถเข้าไปเจาะตลาดกลุ่มนี้เพิ่มเติม จากการวิเคราะห์ด้วย ‘Data Analytics Dashboard’ แม้ปัจจุบัน ไทยจะส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมไปยังกลุ่มประเทศ GCC เป็นหลัก หรือมากกว่า 88% ของมูลค่าการส่งออกจากไทย แต่จะเห็นได้ว่าไทยมีศักยภาพเจาะตลาดสินค้าเกษตรและอาหารด้วย โดยเฉพาะสินค้าไก่และข้าว

ซึ่งปัจจุบันกระทรวงพาณิชย์ อยู่ระหว่างการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทยกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คาดว่าจะสรุปผลการเจรจาได้ในปี 2566 นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย ดีขึ้นอย่างมากหลังการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างกัน อีกครั้ง กระทรวงพาณิชย์มีแผนเจรจา FTA ระหว่างไทยกับกลุ่มประเทศ GCC ในอนาคตอีกด้วย” นายพูนพงษ์ กล่าว

'พิมพ์ภัทรา' สั่งเคลียร์ของเสีย 1.3 หมื่นตัน โรงงาน 'แวกซ์ กาเบ็จ' หลังพบปัญหายืดเยื้อ 20 ปี ลั่น!! ต้องจบภายใน มี.ค.67

เมื่อวันที่ 17 ต.ค.66 น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยระหว่างลงพื้นที่โรงงาน บริษัท แวกซ์ กาเบ็จ รีไซเคิล เซ็นเตอร์ จำกัด ตำบลรางบัว อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ว่า ได้เร่งรัดให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ติดตามปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากการประกอบกิจการโรงงานที่เป็นปัญหายืดเยื้อยาวนานมากกว่า 20 ปี

แม้ว่าจะสั่งการตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวมาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง แต่ปัจจุบันยังคงมีกากอุตสาหกรรมและของเสียเคมีวัตถุตกค้างในพื้นที่ของบริษัทฯ ซึ่งกระทบกับประชาชนและชุมชนรอบโรงงานในภาคเกษตรกรรมและน้ำอุปโภค บริโภค

"การลงพื้นที่ครั้งนี้เพื่อให้เห็นว่ากระทรวงอุตสาหกรรมจริงจังและตระหนักถึงปัญหาของประชาชนโดยรอบโรงงาน โดยกรณีนี้ได้รับงบกลางปี 2566 วงเงิน 59.8 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหากากของเสียทั้งระบบ 13,439 ตัน ภายในวันที่ 29 มีนาคม 2567" รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าว

ด้านนายศุภเวศ ทองประยูร ผู้อำนวยการสำนักน้ำบาดาล เขต 8 (ราชบุรี) กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ได้เร่งเตรียมแผนโครงการศึกษาฟื้นฟูทรัพยากรน้ำบาดาลที่ปนเปื้อนสารอินทรีย์ระเหยง่าย บริเวณพื้นที่ใกล้เคียงโรงงาน และโครงการพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบกิจการของโรงงาน คาดว่าจะดำเนินการครอบคลุมได้ในพื้นที่หมู่ 1 และหมู่ 2 ของตำบลน้ำพุ อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี

‘รมว.กก.’ ปลื้ม!! ยอดต่างชาติแห่เที่ยวเมืองไทย แตะ 21 ล้านคน โกยเม็ดเงินเข้าประเทศ 8.8 แสนล้าน พบ ‘นทท.มาเลฯ’ ยืนหนึ่ง!!

(17 ต.ค. 66) นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ประเมินเบื้องต้น พบว่า จากสถิติประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-16 ตุลาคม 2566 รวมกว่า 21,019,800 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว 882,450 ล้านบาท

น.ส.สุดาวรรณกล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมามีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวยุโรปเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 6.71% หรือเพิ่มขึ้น 5,227 คน เนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซัน) ประกอบกับสายการบินเริ่มปรับเพิ่มจำนวนเที่ยวบินของนักท่องเที่ยวภูมิภาคยุโรป โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวรัสเซีย ส่งผลให้สัปดาห์ที่ผ่านมา ในภาพรวมไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 470,299 คน คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 67,186 คน ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่อยู่ประมาณ 27,226 คน หรือลดลง 5.56%

น.ส.สุดาวรรณกล่าวว่า 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ มาเลเซีย เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยมากที่สุด จำนวน 74,233 คน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2% รองลงมา ได้แก่ จีน 61,094 คน ปรับลดลง 18.64%, อินเดีย 30,170 คน ปรับลดลง 11.32%, เกาหลีใต้ 27,264 คน ปรับลดลง 11.31% และรัสเซีย 22,018 คน ปรับลดลง 2.88%

โดยในสัปดาห์ถัดไป คาดว่านักท่องเที่ยวจะปรับตัวลดลงเล็กน้อยหลังจากสิ้นสุดวันหยุดยาว โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียตะวันออกและภูมิภาคโอเชียเนีย อีกทั้งมีความกังวลต่อภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยของไทย รวมถึงการเข้าสู่ภาวะสงครามของอิสราเอล นอกจากนั้น การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวระหว่างประเทศและในประเทศ ยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น และอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเหตุความขัดแย้ง ตลอดจนภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว

‘หอการค้า’ ชื่นชม!! รัฐบาลทำงานเร็ว 30 วัน ‘ลดค่าไฟ-รถไฟฟ้า-ฟรีวีซ่า’

(17 ต.ค. 66) นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายหลังการทำงานของรัฐบาลครบรอบ 1 เดือน หลายประเด็นรัฐบาลเดินหน้ารวดเร็ว โดยเฉพาะการลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและผู้ประกอบการ 

หอการค้าไทยต้องขอขอบคุณรัฐบาลที่มีความตั้งใจในการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ซึ่งมีหลายมาตรการที่ออกมา เช่น มติ ครม.วันนี้ (16 ต.ค.) ที่อนุมัติให้ลดค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย นำร่อง ‘สายสีม่วง-สีแดง’ ขณะที่ก่อนหน้านี้ รัฐบาลยังได้ประกาศลดค่าไฟฟ้าลง 11 สตางค์ เหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย และเริ่มทันทีในรอบบิล ก.ย.ที่ผ่านมา 

ซึ่งภาพรวมต้องชมเชยว่ารัฐบาลเร่งเครื่องรวดเร็ว เพื่อช่วยให้ประชาชนลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตในภาวะที่เศรษฐกิจยังมีทิศทางการฟื้นตัวไม่เต็มที่ ซึ่งเชื่อว่าจะมีส่วนทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อเพิ่มเติมขึ้นในช่วงที่เหลือของปี 

ขณะเดียวกัน มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวทั้งที่ได้ประกาศ Free Visa นักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถาน ที่มีผลตั้งแต่ 25 ก.ย. 66 – 29 ก.พ. 67 รวมระยะเวลา 5 เดือน และ ครม.ยังได้มีมติขยายระยะเวลา Free Visa ให้นักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย จาก 30 วันเป็น 90 วัน ซึ่งถือเป็นชาติที่ 3 เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในไทย ซึ่งจะทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมปีนี้ไปถึงเป้าหมายที่ 25 – 30 ล้านคน

‘เฮียฮ้อ’ ส่ง ‘RS LiveWell’ ลงทุนในแบรนด์ ‘Erb’ กว่า 60% ปูทางรุกธุรกิจ ‘Wellness & Spa’ รับเทรนด์ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

(17 ต.ค. 66) สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจาก อาร์เอส กรุ๊ป ทรานส์ฟอร์มองค์กรจากการดำเนินธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนท์มาสู่ธุรกิจคอมเมิร์ซ ภายใต้โมเดล Entertainmerce ได้มุ่งมั่นการขยาย Ecosystem ธุรกิจคอมเมิร์ซเพื่อรักษาอัตราการเติบโตและหาโอกาสในการขยายฐานการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยใช้บริษัท RS LiveWell ซึ่งเป็น Product Company ที่ผลิตและจำหน่ายสินค้าสุขภาพและความงามภายใต้แบรนด์ของตัวเอง รวมถึงการเข้าลงทุนในแบรนด์สุขภาพ-ความงามที่มีชื่อเสียงและมีศักยภาพ ล่าสุดได้เข้าลงทุนในบริษัท เอิบเอเชีย จำกัด หรือ Erb ในสัดส่วน 60%

“Erb เป็นแบรนด์เครื่องหอมและสกินแคร์ที่มีฐานลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 25 ปี ผู้บริหารและพนักงานมีความเชี่ยวชาญเฉพาะในธุรกิจ รวมไปถึงมีคอนเนกชันและพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง จึงมั่นใจว่า ด้วยประสบการณ์ของผู้บริหารและทีมงานของ อาร์เอส ผสานกับ Ecosystem และความเชี่ยวชาญของทุกธุรกิจในเครือ จะสนับสนุนให้ Erb เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกด้าน ทั้งการพัฒนาสินค้า การตลาด การประชาสัมพันธ์ ช่องทางการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ และการจัดจำหน่าย ส่งผลให้ธุรกิจของ Erb มีสินค้าและบริการที่ครบวงจรและเติบโตอย่างชัดเจน”

พัชทรี ภักดีบุตร ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Erb กล่าวว่า Erb ใช้ความโดดเด่นในเรื่องของภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งขยายธุรกิจไปในตลาดที่มีโอกาสและสอดคล้องกับ Core business ของบริษัท อาทิ Wellness and Spa โดยใช้จุดแข็งของตัวแบรนด์ นำไปสู่การเติบโตในกลุ่มผลิตภัณฑ์อื่น ตามแนวโน้มพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันที่หันมาสนใจและใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ส่งผลสะท้อนเชิงบวกแก่แบรนด์ในการออกผลิตภัณฑ์และบริการใหม่เพื่อตอบสนองตลาด จึงมองหาพาร์ตเนอร์ โดยเงินลงทุนที่ได้ครั้งนี้จะนำไปสร้างทีมเพื่อดูแลรับผิดชอบธุรกิจใหม่ รวมถึงขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม และ Collaboration projects ต่างๆ

“ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของ Erb มีการจำหน่ายแล้วในหลายประเทศทั่วโลก ทั้งเอเชีย อเมริกา และยุโรป การเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ อาร์เอส จะทำให้ Erb แข็งแรงขึ้นจากการใช้ประโยชน์ร่วมกันทั้งด้านทรัพยากรและจุดแข็งของแต่ละบริษัท เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน” พัชทรี กล่าวและว่า ปัจจุบันผลิตภัณฑ์และบริการของ Erb แบ่งเป็น ผลิตภัณฑ์สกินแคร์, ผลิตภัณฑ์สปาภายในบ้าน, ผลิตภัณฑ์เครื่องหอมภายในบ้าน, Amenity kit และเซ็ตของขวัญ, ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและอนามัย และธุรกิจสปา

สุรชัย กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า จากผลิตภัณฑ์และบริการของ Erb ที่มีอยู่แล้ว โดยเฉพาะธุรกิจสปา จะทำให้ อาร์เอส มีโอกาสรุกและขยายธุรกิจ Wellness and Spa มากขึ้น รองรับการเติบโตตามเทรนด์สุขภาพในปัจจุบัน อาทิ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ภาครัฐสนับสนุนการเดินหน้าสู่ Medical Hub ของไทย รวมถึงเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้แบรนด์ในพอร์ตโฟลิโอของ RS LiveWell ด้วย ซึ่งหลังจากนี้ Erb จะเดินหน้าเพิ่มผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้น สร้างฐานลูกค้าใหม่ ๆ อาทิ การทำสินค้า Corporate brand การขยายธุรกิจ Spa ไปยังโรงแรมและสถานที่ Prime location ต่าง ๆ รวมถึงความร่วมมือใหม่ ๆ กับพาร์ตเนอร์อื่น ๆ ที่มีจุดแข็งที่แตกต่างกัน 

‘กลุ่มรวมพลคนเอาเงินหมื่น’ บุกหนุน ‘เพื่อไทย’ แจกเงินดิจิทัล ฟาก ‘จุลพันธ์’ ยัน!! พร้อมผลักดันโครงการให้เกิดขึ้นจริง

(17 ต.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) กลุ่มรวมพลคนเอาเงินหมื่น นำโดย นายยุทธศักดิ์ ชูประเสริฐ อดีตผู้สมัครสส.ปทุมธานี พรรคเพื่อไทย ได้มอบเสื้อที่มีข้อความว่า “ประชาชน สนับสนุน 10,000 บาท ดิจิทัลวอลเล็ต” และสติกเกอร์ ให้นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง พร้อมร้องเพลง “คนจนมีสิทธิ์มั้ยคะ คนจนมีสิทธิ์มั้ยคะ เงินหมื่นจะได้สักที เพราะมีหนี้นะคะ” เพื่อสนับสนุนให้พรรคเพื่อไทยเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต

โดยนายจุลพันธ์ กล่าวว่า จริง ๆ ไม่ว่าจะสนับสนุนหรือคัดค้านเราก็พร้อมรับฟัง ส่วนตัวไม่แปลกใจที่มีเสียงคัดค้าน เพราะทุกนโยบายรัฐบาลที่ทำมาก็มีทั้งค้านและสนับสนุน ที่นายกฯ บอกให้ประชาชนสะท้อนเสียงมานั้น ไม่ได้ต้องการให้เกิดความแตกแยก แต่เพื่อต้องการรับฟังเสียงของประชาชนให้รอบด้าน เพราะเรามาจากประชาชนเห็นความลำบากของประชาชน เมื่อเราเข้ามาจึงต้องการประชาชนอยู่ดีกินดี และต้องการให้เศรษฐกิจของประเทศไทยโตขึ้นเฉลี่ยปีละ 5% เป็นอย่างน้อย ตนฟังเสียงทุกเสียง ทั้งความเป็นห่วงเม็ดเงินไปลงที่คนรวยแล้วจะใช้หรือไม่ วันนี้เราคิดว่าจะมาจะตัดในส่วนของคนรวยออกหรือไม่ เราคิดจริง ๆ ถ้าไม่ได้รับฟังเสียงของประชาชนดีไม่ดีจะตัดไปเรื่อย ๆ แต่เมื่อฟังเสียงวันนี้ชัดเจนทุกคนยังรออยู่ ฉะนั้นในฐานะที่เป็นรัฐบาลและได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการเรื่องนี้ ยืนยันว่าเราสู้และจะสนับสนุนนโยบายนี้ให้เกิดขึ้นให้ได้

‘ครม.’ รับทราบหลักการ ‘แลนด์บริดจ์’ มูลค่า 2.28 แสนลบ. เชื่อมท่าเรืออ่าวไทย-อันดามัน พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้

(17 ต.ค. 66) รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม ระบุว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบหลักการโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน หรือโครงการแลนด์บริดจ์ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากนักลงทุนต่างประเทศ (Road Show) ในการพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์ เพื่อนำมาประกอบในการจัดทำร่างเอกสารเชิญชวนผู้ลงทุนในการร่วมลงทุนโครงการ (RFP) ต่อไป

สำหรับแผนการดำเนินโครงการแลนด์บริดจ์นั้น กระทรวงคมนาคม จะดำเนินการ Road Show ในช่วง พ.ย. 2566 - ม.ค. 2567 จากนั้นจะจัดทำกฎหมายพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) ภายในปี 2567 และจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายและสำนักงานนโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ในช่วง ธ.ค. 2567

ทั้งนี้ จะคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนใน เม.ย.-มิ.ย. 2568 ควบคู่กับการดำเนินการออกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) เวนคืนที่ดิน และจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินในช่วง ม.ค. 2568 - ธ.ค. 2569 หลังจากนั้นจะเสนอ ครม.อนุมัติลงนามในสัญญาภายใน ก.ค. - ส.ค. 2568 และเริ่มดำเนินการก่อสร้างใช้ระยะเวลา 5 ปี หรือ ก.ย. 2568 - ก.ย. 2573 และเปิดให้บริการใน ต.ค. 2573

รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม ระบุต่อว่า โครงการแลนด์บริดจ์ รวมประมาณการลงทุนโครงการ วงเงิน 228,512.79 ล้านบาท มีรูปแบบการพัฒนาโครงการโดยเป็นการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) ซึ่งให้ภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนทั้งโครงการ ในลักษณะท่าเรือเดียวเชื่อม 2 ฝั่ง (One Port Two Sides) โดยมีองค์ประกอบ ได้แก่ ท่าเรือน้ำลึกฝั่งทะเลอันดามัน ท่าเรือน้ำลึกฝั่งอ่าวไทย เส้นทางเชื่อมโยงท่าเรือทั้ง 2 ฝั่ง และการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์หลังท่า

ทั้งนี้ เป็นการให้สิทธิแก่เอกชนลงทุนในการก่อสร้างและการบริหารจัดการเป็นระยะเวลา 50 ปี โดยภาครัฐทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการเวนคืนที่ดิน ลงทุนทางรถไฟขนาด 1.0 เมตร และกำหนดสิทธิประโยชน์ให้กับเอกชนผู้ร่วมลงทุนในโครงการ พร้อมทั้งกำหนดให้ภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนทั้งโครงการฯ ประกอบด้วย ท่าเรือ ทางรถไฟขนาด 1.435 เมตร และทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) รวมถึงการพัฒนาพื้นที่หลังท่า

โดยแบ่งการลงทุนเป็นระยะ ได้แก่ การลงทุนท่าเรือฝั่งระนอง (อันดามัน) บริเวณแหลมอ่าวอ่าง อ.ราชกรูด จ.ระนอง ออกแบบให้สามารถรองรับสินค้าได้ 20 ล้าน TEUs ขนาดร่องน้ำลึก 21 เมตร แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ประกอบด้วย ระยะที่ 1 พัฒนาให้สามารถรองรับปริมาณสินค้า จำนวน 6 ล้าน TEUs ในปี 2573 ระยะที่ 2 พัฒนาให้สามารถรองรับปริมาณสินค้าเพิ่มขึ้น 6 ล้าน TEUs รวมเป็น 12 ล้าน TEUs ในปี 2577 และระยะที่ 3 พัฒนาให้สามารถรองรับปริมาณสินค้าเพิ่มขึ้น 8 ล้าน TEUs รวมเป็น 20 ล้าน TEUs ในปี 2579

อย่างไรก็ตามขณะที่ การลงทุนท่าเรือฝั่งชุมพร (อ่าวไทย) บริเวณแหลมริ่ว อ.หลังสวน จ.ชุมพร รองรับสินค้าได้ 20 ล้าน TEUs ขนาดร่องน้ำลึก 17 เมตร แบ่งออกเป็น 4 ระยะ ประกอบด้วย ระยะที่ 1 พัฒนาให้สามารถรองรับปริมาณสินค้า จำนวน 4 ล้าน TEUs ในปี 2573 ระยะที่ 2 พัฒนาให้สามารถรองรับปริมาณสินค้าเพิ่มขึ้น 4 ล้าน TEUs รวมเป็น 8 ล้าน TEUs ในปี 2577 ระยะที่ 3 พัฒนาให้สามารถรองรับปริมาณสินค้าเพิ่มขึ้น 6 ล้าน TEUs รวมเป็น 14 ล้าน TEUs ในปี 2579 และระยะที่ 4 พัฒนาให้สามารถรองรับปริมาณสินค้าเพิ่มขึ้น 6 ล้าน TEUs รวมเป็น 20 ล้าน TEUs ในปี 2582

รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม ระบุอีกว่า สำหรับโครงการแลนด์บริดจ์นั้น มีอัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (EIRR) 17.43% มีอัตราผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) 8.62% ระยะเวลาคืนทุนปีที่ 24 อีกทั้งการพัฒนาโครงการฯ จะทำให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ จำนวน 280,000 ตำแหน่ง แบ่งเป็น จ.ระนอง จำนวน 130,000 ตำแหน่ง และ จ.ชุมพร 150,000 ตำแหน่ง รวมทั้งเป็นส่วนช่วยทำให้ GDP ของประเทศไทยมีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ประมาณการโดย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่ 4.0% ต่อปี เป็น 5.5% ต่อปี

นอกจากนี้ โครงการแลนด์บริดจ์จะก่อให้เกิดการพัฒนาในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมขนาดเบา เช่น การประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์อนาคต อาหาร กิจกรรมด้านโลจิสติกส์ ศูนย์กระจายสินค้า เครื่องมือและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการขนถ่ายสินค้า และส่งเสริมการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้โดยการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมบริการต่าง ๆ ในพื้นที่ เช่น ร้านอาหาร โรงพยาบาล สถานบันเทิง ร้านค้าต่าง ๆ ระหว่างเส้นทางโครงการ เป็นต้น

สรุปสถานการณ์ตลาดน้ำมันสัปดาห์ที่ 9 - 13 ต.ค. 66  จับตาปัจจัย ‘บวก-ลบ’ ชี้แนวโน้ม 16 - 20 ต.ค. 66

ตลาดน้ำมันดิบ เฉลี่ยสัปดาห์สิ้นสุด 13 ต.ค. 66 ผันผวน โดยราคา ICE Brent เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 0.48 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบ Dubai และ NYMEX WTI ลดลง 1.21 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และ 0.18 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ

สงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ในฉนวนกาซาของปาเลสไตน์ ดำเนินต่อเนื่องเป็นวันที่ 10 โดย Al Jazeera รายงานผู้เสียชีวิตในอิสราเอล 1,400 คน ในปาเลสไตน์ 2,670 คน อาคารบ้านเรือนเสียหาย 64,283 หลัง และมัสยิดเสียหาย 18 แห่ง ขณะที่กองทัพอิสราเอลรายงานตัวประกัน 155 คน ถูกจับ และได้ปิดล้อม ฉนวนกาซากั้นการลำเลียงอาหาร เชื้อเพลิงและไฟฟ้า รวมถึงแจ้งให้ชาวปาเลสไตน์อพยพจากตอนเหนือลงสู่ตอนใต้ ใกล้ชายแดนอียิปต์

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แถลงสนับสนุนอิสราเอล และเร่งรัดให้สภาคองเกรสผ่านร่างกฎหมายงบประมาณทางทหารเพื่อช่วยเหลืออิสราเอลโดยด่วน ขณะที่รัฐบาลอิหร่านเตือนอิสราเอลหยุดการกระทำรุนแรงต่อชาวปาเลสไตน์ มิเช่นนั้นจะเผชิญการต่อต้านครั้งใหญ่ ตลาดวิตกสงครามอาจลุกลามกระทบต่ออุปทานน้ำมันในภูมิภาคตะวันออกกลาง อย่างไรก็ตาม EIA รายงานปริมาณสำรองน้ำมันดิบเชิงพาณิชย์ในสหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุด 6 ต.ค. 66 เพิ่มขึ้น 10.1 MMB WoW อยู่ที่ 424.2 MMB สูงสุดในรอบ 1 เดือน

บริษัทน้ำมันแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย Saudi Aramco แจ้งผู้ซื้อในเอเชียเหนืออย่างน้อย 4 รายว่าจะส่งมอบน้ำมันดิบในเดือน พ.ย. 66 ปริมาณเต็มตามสัญญา (ระยะยาว: Term) โดยโรงกลั่นน้ำมันในจีน ซึ่งเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุดของซาอุฯ แจ้งปริมาณส่งมอบรวมอยู่ที่ 47 ล้านบาร์เรล ใกล้เคียงกับในเดือน ต.ค. 66 ที่ระดับ 50 ล้านบาร์เรล

คาดการณ์ราคา ICE Brent สัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 85-95 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยมี War Risk Premium ประมาณ 5-10 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จับตาการก่อการร้ายทั่วโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น อาทิ วันที่ 15 ต.ค. 66 รัฐบาลฝรั่งเศสสั่งปิดทำการพิพิธภัณฑ์ Musée du Louvre และอพยพนักท่องเที่ยวจากพระราชวัง Château de Versailles เนื่องจากถูกขู่วางระเบิด รวมถึงสถานีรถไฟ Gare de Lyon เนื่องจากพบพัสดุต้องสงสัย

‘นายกฯ เศรษฐา’ เยือนจีน ชักชวน บ.เอกชนจีนลงทุนในไทย ปักหมุด 5 อุตฯ ยุทธศาสตร์ เน้น ‘พลังงานสะอาด รถยนต์ EV’

(17 ต.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานภารกิจของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ในการเข้าร่วมการประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum for International Coperration- BRF) ครั้งที่ 3 และการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 16 - 19 ตุลาคม ตามคำเชิญของนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของนายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน

เมื่อเวลา 09.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงปักกิ่งซึ่งเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชม.) Mr. Zhu Hexin, Chairman CITIC Group Corporation เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี โดย CITIC เป็นบริษัทใหญ่ของจีนที่ดำเนินธุรกิจ ทั้งในส่วนของการบริการทางการเงินแบบครบวงจร และใช้เทคโนโลยีระดับสูง กลุ่ม CITIC ได้รับการจัด อันดับอยู่ใน Fortune's Global 500 เป็นเวลา 15 ปีติดต่อกันนับตั้งแต่ปี 2552 และอยู่ในอันดับที่ 100 ในปี 2566 โดย CITIC สนใจลงทุนใน PPP Projects ขนาดใหญ่ของไทย มีความเชื่อมั่นที่จะเข้ามาลงทุนในไทยในหลากหลายธุรกิจ

โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอเชิญชวนให้ CITIC มาร่วมลงทุนในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ 5 อุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมกลุ่ม BCG หรือ Bio-Circular-Green Economy (โดยเฉพาะเกษตร อาหาร การแพทย์ และพลังงาน สะอาด) อุตสาหกรรมยานยนต์ (โดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้า) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (โดยเฉพาะต้นน้ำและ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ) อุตสาหกรรมดิจิทัลและสร้างสรรค์ และการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ ตลอดจนเชิญชวนให้มาตั้ง Regional Headquarter โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจใหม่

ขณะที่ฝ่ายบริษัทฯ ระบุว่ามีความประสงค์ขยายความร่วมมือกับไทยในอีกหลายด้าน บริษัทมีธุรกิจครอบคลุมและมีบริษัทในเครือจำนวนมาก และมีศักยภาพการแข่งขันระดับโลก รวมทั้ง ด้านพลังงานสะอาดที่ไทยสนใจ ไทยและ CITIC จะร่วมมือกันเพื่อต่อยอดและให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาล บริษัทต้องการขยายความร่วมมือและการลงทุนในไทย โดยเฉพาะสาขาที่ไทยสนใจ เช่น พลังงานสะอาด การพัฒนานิคมอุตสาหกรรม

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอชวนมาขยายธุรกิจด้านการเงินในไทย ซึ่ง CITIC มีธุรกิจเกี่ยวข้องการเงินอยู่ด้วยแล้ว เช่น บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ มีใบอนุญาตทางการเงินการธนาคารครบถ้วนและอยู่ในอันดับต้น ๆ ในจีน จึงมีศักยภาพที่จะลงทุนในไทยได้ จะได้หารือในขั้นตอนต่อไป โดยไทยส่งเสริมการผลิตรถยนต์ EV 

"จึงขอเชิญบริษัทฯ เข้ามาลงทุนลักษณะ supply chain เช่น ล้อแม็กซ์ฯ ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยไทยสนับสนุนมาตรการและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนที่น่าสนใจด้วยมาตรการของ BOI และเพื่อการพัฒนาขอเสนอให้ตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อผลักดันการลงทุนในไทยให้เกิดผล" นายกรัฐมนตรีกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังหารือกับนาย Zhu Hexin, Chairman บริษัท CITIC แล้ว วันเดียวกันนี้นายกรัฐมนตรีจะหารือกับนาย Sun Yongcai, Chairman บริษัท CRRC Group ดำเนินธุรกิจด้านขนส่งทางราง

จากนั้นหารือกับนาย Xie Yonglin, Executive Director, President and Co-CEO บริษัท Ping An Group ดำเนินธุรกิจประกันภัย, หารือนาย Alain Lam, Vice President, CFO บริษัท Xiaomi ดำเนินธุรกิจด้านเทคโนโลยี อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

ต่อด้วยการหารือกับนาย Fan Jiang, CEO บริษัท Alibaba International Digital Commerce Group ดำเนินธุรกิจ e-commerce และ การหารือกับผู้บริหารบริษัท Norinco ดำเนินธุรกิจด้านยุทโธปกรณ์

ทั้งนี้กำหนดการที่น่าสนใจนอกจากพบภาคเอกชนของจีนแล้ว นายกรัฐมนตรีจะได้พบกับ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ในเวลา 17.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นสาธารณรัฐประชาชนจีน 

‘บางจาก’ ปิดดีลซื้อ ‘เอสโซ่’ เป็นที่เรียบร้อย ด้วยการถือครองหุ้นทั้งหมดจำนวน 76.34%

(16 ต.ค. 66) นางสาวภัทร์ภูรี ชินกุลกิจนิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานบัญชีและการเงิน บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตามที่บางจากฯ เข้าถือหุ้นร้อยละ 65.99 ของหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566 และได้ยื่นคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือจำนวน 1,177,108,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 34.01 ของหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ เอสโซ่ (ประเทศไทย) ในราคา 9.8986 บาทต่อหุ้น เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2566

ซึ่งการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของ เอสโซ่ (ประเทศไทย) ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ โดยบางจากฯ ได้ชำระค่าหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นของ เอสโซ่ (ประเทศไทย) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้ปัจจุบัน บางจากฯ ถือหุ้นเอสโซ่ (ประเทศไทย) เป็นจำนวน 2,642,157,198 หุ้น (หุ้นที่ถืออยู่เดิมรวมกับหุ้นที่มีผู้แสดงเจตนาขาย) หรือคิดเป็นร้อยละ 76.34 ของหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมด

“จำนวนหุ้นที่ได้จากการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ฯ คิดเป็นมูลค่า 3,547,729,490 บาทนี้ บางจากฯ ได้ใช้เงินกู้จากวงเงินสินเชื่อระยะยาวจาก ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ที่เป็นพันธมิตรสนับสนุนการเติบโตของ บางจากฯ มาอย่างต่อเนื่อง โดยภายหลังการใช้เงินกู้ครั้งนี้ อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนของบางจากฯ ยังอยู่ในระดับไม่เกิน 1.1 เท่า สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางฐานะการเงินของบางจากฯ ทั้งนี้ บางจากฯ พร้อมที่จะเดินหน้าขับเคลื่อนการดำเนินงานต่างๆ เพื่อไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจร่วมกัน”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top