Monday, 23 June 2025
ECONBIZ NEWS

‘ขนมแมวดำ’ เตรียมโบกมือลาสิ้นปีนี้ หลังอยู่คู่เด็กไทยมานานกว่า 67 ปี

(26 ธ.ค.66) เฟซบุ๊กเพจดัง โพสต์รูปพร้อมข้อความระบุ โบกมือลา ‘ขนมแมวดำ’ ปิดตำนานขนมที่อยู่คู่เด็กไทยมากว่า 67 ปี

เตรียมปิดตำนานลงในช่วงสิ้นปี 2023 สำหรับหมากฝรั่งชื่อดังจากยุค 90 ที่คนไทยเรียกติดปากว่า ‘ขนมแมวดำ’ หลังเฟซบุ๊กเพจ ผู้บริโภค โพสต์ภาพพร้อมข้อความระบุว่า โบกมือลาสิ้นปีนี้ ปิดตำนาน 67 ปี ขนมแมวดำ และ ตำนานทรงแบ๊ด ย่อมมีวันสิ้นสุด #ผู้บริโภค ว่าไง…

โดย ขนมแมวดำ หรือ หมากฝรั่งแมวดำ เป็นหมากฝรั่งที่ผลิตโดย ห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงงานลูกกวาดเทสตี้ เป็นหมากฝรั่งลักษณะทรงกระบอกเรียวยาวคล้ายบุหรี่ ที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ลักษณะคล้ายซองบุหรี่ มีเนื้อสัมผัสนิ่ม รสหอมเย็นจากกลิ่นมิ้นต์และนม

โดยขนมแมวดำ เป็นหนึ่งในขนมที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงงานลูกกวาดเทสตี้ ผลิตสมัยที่ก่อตั้งบริษัทเมื่อปี 1956 หรือกว่า 67 ปีมาแล้ว ร่วมกับขนมและของหวานชนิดอื่น ๆ 

จากโพสต์ดังกล่าว ทำให้มีผู้เข้ามาแสดงความเห็นมากมาย เช่น "ชอบมากเลย เสียดายจัง", "แงงงงง เด็กๆ ชอบมาก", "ชอบกินมากตอนประถม", และ "รีบสะสมเลย ต่อไปหายาก" เป็นต้น

'รมว.ปุ้ย' เผย!! โอนเงินสนับสนุนตัดอ้อยสดคุณภาพดีเข้าบัญชีวันนี้วันแรก  ภายใต้ความร่วมมือ 'ก.คลัง-ก.พาณิชย์-ก.อุตสาหกรรม'

(26 ธ.ค.66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า โครงการสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM 2.5 มีเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่มีสิทธิ์ได้รับเงินสนับสนุน 125,139 ราย ปริมาณอ้อยสดคุณภาพดี 64.53 ล้านตัน เป็นเงิน 7,743.859 ล้านบาท โดยรัฐบาลเริ่มโอนเงินวันนี้เป็นวันแรก ผ่านบัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) 

"ในวันนี้มีเกษตรกรชาวไร่อ้อยได้รับเงิน 105,411 ราย เป็นเงิน 6,918.02 ล้านบาท หรือคิดเป็น 84% ของเกษตรกรที่มีสิทธิ์ได้รับเงิน เกษตรกรที่ได้รับเงินสนับสนุนจะสามารถเก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดี รวมทั้งนำเงินไปปรับปรุงพื้นที่ที่มีข้อจำกัดที่ทำให้เกิดการเผาอ้อย ในอนาคตเราจะนำเครื่องจักรกลการเกษตรและเทคโนโลยีมาบริหารจัดการในไร่อ้อย ตั้งแต่การเตรียมพื้นที่ การเพาะปลูก การบำรุง และการเก็บเกี่ยว เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และให้อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม" รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าว

ด้าน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังเป็นประธาน Kick off โครงการสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM 2.5 ฤดูการผลิตปีที่ผ่านมา ว่า เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2566 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบโครงการสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM 2.5 ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณ 7,990.60 ล้านบาท ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ซึ่งรัฐบาลมีความตั้งใจที่จะดูแลและสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยให้มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ความสำเร็จในครั้งนี้เกิดจากความร่วมมือของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอให้พี่น้องเกษตรกรชาวไร่อ้อยมีความสุขกับของขวัญปีใหม่ที่รัฐบาลได้มอบให้

'พีระพันธุ์' ยัน!! กฎหมาย 'เผื่อเหลือเผื่อขาด' ไม่ใช่เจตนาให้ขาย 'น้ำมัน' ไม่เต็มลิตร

(26 ธ.ค.66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์เฟซบุ๊ก ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค - Pirapan Salirathavibhaga’ ดังนี้...

“เมื่อคืนผมมีโอกาสพบกับท่านรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่งานแต่งงานบุตรสาวของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้หารือกันเรื่องปัญหาปั๊มน้ำมันเติมน้ำมันไม่เต็มลิตร ซึ่งท่านเองก็เป็นห่วงเรื่องนี้มากและได้สั่งการให้หน่วยงานของท่านทำงานจริงจังในเรื่องนี้ เราทั้งสองกระทรวงจะช่วยกันแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังต่อไป ต้องขอขอบคุณท่านรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ภูมิธรรม เวชยชัย เป็นอย่างยิ่งครับ

อีกเรื่องหนึ่งครับ ผมได้รับรายงานว่าปั๊มน้ำมันบางแห่งที่เรามีการออกตรวจตรากันนั้น มีเจตนาตั้งหัวจ่ายให้จ่ายน้ำมันไม่เต็มลิตรโดยอ้างกฎกระทรวงของกระทรวงพาณิชย์ที่ให้มีอัตรา ‘เผื่อเหลือเผื่อขาด’ ที่ไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย

ผมเลยต้องขออธิบายเพื่อความเข้าใจกฎหมายที่ถูกต้องครับ

คือ กฎหมายมาตราชั่งตวงวัดและกฎกระทรวงที่อ้างถึงกันนั้นไม่ได้มีเจตนาให้ขายน้ำมันไม่เต็มลิตรนะครับ แต่กฎหมายเข้าใจว่าหัวจ่ายหรือเครื่องชั่งตวงวัดแต่ละเครื่องอาจมีความผิดเพี้ยนจากการวัดปริมาตรที่แท้จริงได้ ซึ่งเป็นไปตามปกติของเครื่องมือแต่ละเครื่อง จึงกำหนดค่า ‘เผื่อเหลือเผื่อขาด’ ไว้ ซึ่งหมายความว่าปริมาตรที่ขาดหายไปนั้นเป็นผลของความผิดเพี้ยนของหัวจ่ายหรือเครื่องตรวจวัดเอง ไม่ใช่โดยเจตนาจงใจปรับแต่งหัวจ่ายให้จ่ายน้ำมันไม่เต็มลิตร เช่นนี้จึงไม่เป็นความผิดครับ 

แต่หากตามกรณีที่เกิดขึ้นหรือปั๊มไหนจ่ายน้ำมันไม่เต็มลิตรโดยเจตนาจงใจปรับแต่งหัวจ่ายแล้ว จะมาอ้างกฎกระทรวงไม่ได้ และยังเข้าข่ายเป็นความผิดอาญาฐานฉ้อโกงประชาชนที่มีโทษจำคุกถึง 5 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 อีกด้วยนะครับ

ผมจะดำเนินการแก้ไขเรื่องนี้ต่อครับ”

‘EA’ คว้ารางวัล ‘Entrepreneur of the Year 2023’ ในงาน Asia Corporate Excellence & Sustainability Awards

(26 ธ.ค.66) บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ผู้นำนวัตกรรมพลังงานสะอาด คว้ารางวัล Entrepreneur of the Year 2023 ในเวทีระดับสากล Asia Corporate Excellence & Sustainability Awards (ACES) แห่งปี 2023 เชิดชูเกียรติกลุ่มพลังงานบริสุทธิ์ในฐานะผู้ประกอบการที่เป็นเลิศด้านการบริหารงานและสร้างการเติบโตทางธุรกิจด้วยนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ได้มีคัดเลือกจากผู้ประกอบการที่มีผลงานดีเด่นในการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนทั่วภูมิภาคเอเชีย โดยมี ดร.อัครินทร์ สุวรรณรัตน์ Executive Vice President เป็นผู้เข้ารับมอบรางวัล ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทแรกๆ ในประเทศไทยที่ได้เริ่มธุรกิจด้วย         การนำเทคโนโลยีมาพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงานสะอาด เริ่มจากพลังงานทดแทนในการเพิ่มมูลค่า ให้แก่ปาล์มเป็นน้ำมันไบโอดีเซล ต่อยอดเป็นสารเปลี่ยนสถานะ และกรีนดีเซล ด้านพลังงานหมุนเวียน ทั้งพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ และได้ต่อยอดธุรกิจในการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนและยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ โดยมีโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย) กำลังผลิตเริ่มต้น 1 GWh ที่มีกำลังการผลิตขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ต่อยอดสู่ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ครบวงจร ปัจจุบันสามารถส่งมอบรถโดยสารไฟฟ้า รถหัวลากไฟฟ้า และรถบรรทุกไฟฟ้ากว่า 2,079 คัน อีกทั้งให้บริการสถานีชาร์จ EA Anywhere ที่ครอบคลุมทุกภูมิภาค

ทั้งนี้ รางวัล Entrepreneur of the Year 2023 เป็นอีกหนึ่งรางวัลที่สะท้อนถึงการบริหารจัดการองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ดีเลิศ มีพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างมั่นคงแข็งแกร่งและยั่งยืน การันตีความสำเร็จของกลุ่ม EA จากการขับเคลื่อนองค์กรด้วยการนำเทคโนโลยีพัฒนานวัตกรรมด้วยฝีมือคนไทยในด้านพลังงานสะอาดสู่เวทีระดับสากล โดยครอบคลุมในทุกมิติด้านพลังงานสะอาดทั้ง ธุรกิจพลังงานทดแทน ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจผลิตแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและสร้างนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EA’s EV Ecosystem) อย่างครบวงจรเป็นรูปธรรมต่อไป

‘4 ค่ายยักษ์จากญี่ปุ่น’ จ่อลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าใน ‘ไทย’ รวมมูลค่า 1.5 แสนล้านบาท หลัง ‘นายกฯ’ ลุยหารือ

(25 ธ.ค.66) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีวิสัยทัศน์และนโยบายให้ความสำคัญกับการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย-ญี่ปุ่น รวมทั้งร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่น สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์เครื่องสันดาปเป็นรถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งสนับสนุนให้เกิดการขยายการลงทุนในไทย และขับเคลื่อนให้ไทยเป็นฐานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าหลักในภูมิภาคอาเซียน 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้หารือกับบริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่น 7 ราย เมื่อครั้งเดินทางร่วมการประชุม ASEAN-Japan ระหว่างวันที่ 14-18 ธันวาคม 2566 โดยจากการหารืออย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยระหว่างนายกฯ และบริษัทยานยนต์นี้ ทำให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Thailand Board of Investment (BOI) ได้ข้อสรุปว่าภายในระยะเวลา 5 ปี จะมีบริษัทผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่น 4 รายที่พร้อมขยายการลงทุนสำหรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยด้วยมูลค่าการลงทุนประมาณ 1.5 แสนล้านบาท ได้แก่ โตโยต้า 5 หมื่นล้านบาท ฮอนด้า 5 หมื่นล้านบาท อีซูซุ 3 หมื่นล้านบาท และมิตซูบิชิ 2 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้บางบริษัทให้ความเห็นว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตรถกระบะไฟฟ้าในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

โดยกลุ่มบริษัทผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่นทั้ง 7 ราย ยืนยันใช้ไทยเป็นฐานการผลิตหลักในภูมิภาค พร้อมสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลไทย ซึ่งเป็นไปตามแนวทางของรัฐบาลไทยที่จะสนับสนุนค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นให้สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ ลดการปล่อยคาร์บอน ใช้พลังงาน EV และไฮโดรเจน ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่นยังได้นำเสนอโมเดลของการสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ (Swapping) สำหรับรถเชิงพาณิชย์ ซึ่งไทยพร้อมส่งเสริมสภาพแวดล้อมการลงทุนให้กับผู้ลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น โดยจะดำเนินการออกมาตรการยกเว้นวีซ่าให้นักธุรกิจญี่ปุ่นที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยเพื่อติดต่อธุรกิจระยะสั้น นายกรัฐมนตรีย้ำว่าบริษัทผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่นมีส่วนสำคัญในการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในไทยให้เป็นผู้นำด้านการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในระดับภูมิภาคอาเซียน

ไทยจึงพร้อมสนับสนุนและร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นที่ต้องการขยายการลงทุนเพิ่มเติมในประเทศไทย เพื่อเสริมสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของทั้งสองประเทศ ก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านที่สำคัญนี้สู่ความสำเร็จ และประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ” นายชัย กล่าว

‘สุริยะ’ แกะกล่องของขวัญคมนาคมรับปีมังกร จ่อเสนอ ครม.พรุ่งนี้ แบบครบจบทุกการเดินทาง

(25 ธ.ค.66) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายให้ทุกหน่วยงานเตรียมของขวัญปีใหม่ 2567 เพื่อมอบให้กับพี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ที่จะถึงนี้ โดยในส่วนของกระทรวงคมนาคมนั้น หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ทั้งส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจได้จัดเตรียมของขวัญปีใหม่ ซึ่งได้ดำเนินการภายใต้แนวคิด ‘Gifts : คมนาคมส่งความสุข 2567’ ให้พี่น้องประชาชนเดินทางกลับบ้านและท่องเที่ยวอย่างมีความสุข สะดวก ปลอดภัย ทั้งนี้ กระทรวงฯ เตรียมนำเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบรายละเอียดในวันที่ 26 ธันวาคมนี้

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า สำหรับแนวคิด ‘Gifts : คมนาคมส่งความสุข 2567’ ซึ่งประกอบด้วย…

G = Gift to People คมนาคมส่งมอบความสุข 
I = Infrastructure for Nation คมนาคมสร้างเส้นทางไทย 
F = Facilitation คมนาคมสะดวก บริการประทับใจ 
T = Tourist Promotion คมนาคมส่งเสริมการท่องเที่ยว
S = Safety Journey คมนาคมใส่ใจปลอดภัยทุกการเดินทาง

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า G = Gift to People ส่งมอบความสุขด้วยการเปิดให้ใช้ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ทางด่วน และรถไฟฟ้าฟรี ประกอบด้วย มอเตอร์เวย์ หมายเลข 7 (กรุงเทพฯ-บ้านฉาง) และมอเตอร์เวย์ หมายเลข 9 (ถนนกาญจนาภิเษกหรือถนนวงแหวนรอบนอก) และรวมถึงเปิดให้บริการฟรีบนทางพิเศษ (ทางด่วน) บูรพาวิถี (บางนา-ชลบุรี) ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2566 เวลา 00.01 น. ถึงวันที่ 3 มกราคม 2567 เวลา 24.00 น. อีกทั้งทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางด่วนขั้นที่ 1) ศรีรัช (ทางด่วนขั้นที่ 2) และอุดรรัถยา (บางปะอิน-ปากเกร็ด) ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2566 เวลา 00.01 น. ถึงวันที่ 1 มกราคม 2567 เวลา 24.00 น.

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีส่วนลดค่าผ่านทางดอนเมืองโทลล์เวย์ 5% ให้กับผู้ที่ซื้อคูปองผ่านทาง ระหว่างเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 และส่วนลดค่าโดยสาร บขส. 20% ทุกเส้นทางให้กับผู้ที่จองตั๋วรถ บขส. ผ่านช่องทางออนไลน์ของ บขส. ที่เดินทางระหว่างวันที่ 18-22 ธันวาคม 2566 และวันที่ 4-8 มกราคม 2567

นายสุริยะ กล่าวว่า ขณะเดียวกัน กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาจัดกิจกรรมตรวจรถฟรี ขับขี่ปลอดภัย เพื่อให้บริการตรวจสภาพความพร้อมของรถยนต์และรถจักรยานยนต์ฟรี กว่า 20 รายการ ส่วนการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ให้บริการอาหารเช้ากับผู้โดยสารรถไฟในวันขึ้นปีใหม่ วันที่ 1 มกราคม 2567 ที่สถานีดอนเมือง และแจกถุงรถไฟรักษ์โลกให้กับผู้ที่เดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ ณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ สามเสน ดอนเมือง รังสิต มักกะสัน วงเวียนใหญ่ และธนบุรี รวมจำนวน 12,000 ใบ

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า สำหรับ I = Infrastructure for Nation คมนาคมสร้างเส้นทางไทย โดยกรมทางหลวง (ทล.) ได้เปิดให้ใช้บริการมอเตอร์เวย์ฟรี เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนในการเดินทางกลับภูมิลำเนาและลดปัญหาจราจรติดขัด ประกอบด้วย มอเตอร์เวย์ หมายเลข 6 บางปะอิน-นครราชสีมา ช่วงอำเภอปากช่อง-ทางเลี่ยงเมืองนครราชสีมา ระยะทาง 77 กิโลเมตร (กม.) ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2566 เวลา 00.01 น. เป็นต้นไป จนกว่าระบบเก็บค่าผ่านทางจะเสร็จสมบูรณ์ เพื่อแบ่งเบาการจราจรบนทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ)

นายสุริยะ กล่าวว่า ทั้งนี้ มอเตอร์เวย์ หมายเลข 6 จะเปิดให้เข้า-ออก 4 จุด ได้แก่ บนถนนมิตรภาพ บริเวณ อ.ปากช่อง และ อ.สีคิ้ว บนถนนวงแหวนรอบเมืองนครราชสีมา บริเวณ อ.ขามทะเลสอ และบริเวณทางเชื่อมต่อกับทางเลี่ยงเมืองนครราชสีมาด้านตะวันตก และมอเตอร์เวย์ หมายเลข 81 บางใหญ่-กาญจนบุรี บริเวณด่านเก็บค่าผ่านทางนครปฐมฝั่งตะวันตก ถึงด่านกาญจนบุรี (จุดสิ้นสุดโครงการ) ระยะทาง 51 กม. ระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2566 เวลา 16.30 น. – 3 มกราคม 2567 เวลา 24.00 น. โดยสามารถเข้า - ออกได้ 2 จุด คือ ด่านนครปฐม ฝั่งตะวันตก และด่านสิ้นสุดโครงการที่ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี

นายสุริยะ กล่าวว่า ในส่วนของ F = Facilitation คมนาคมสะดวก บริการประทับใจ ได้จัดให้มีบริการด้านต่าง ๆ ของระบบคมนาคมขนส่ง โดยองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ขยายเวลาการเดินรถเมล์ในเขตกรุงเทพฯ ในเส้นทางที่ผ่านสถานที่จัดงานสวดมนต์ข้ามปีและงานเคาน์ดาวน์ เช่น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดสระเกศฯ สนามหลวง วัดเบญจมบพิตร เซ็นทรัลเวิลด์ ไอคอนสยาม เมกาบางนา เอเชียทีค ซีคอนสแควร์ เป็นต้น รวมทั้งเปิดเส้นทางใหม่ 5 เส้นทาง เพื่อรองรับประชาชนที่พักอาศัยในเขตชานเมือง

นายสุริยะ กล่าวว่า นอกจากนี้ ได้ขยายเวลาให้บริการรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงิน สีม่วง สีเหลือง และสีแดง ถึงเวลา 02.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2567 รวมถึงเปิดให้บริการบัตร EMV Contactless ที่สามารถเชื่อมต่อระหว่างรถไฟฟ้าสายสีม่วงกับสายสีแดง โดยชำระค่าโดยสารร่วม 2 สาย สูงสุดไม่เกิน 20 บาท รวมทั้งเปิดให้บริการรถไฟทางคู่สายใต้ ตั้งแต่สถานีบ้านคูบัว จ.ราชบุรี ถึงสถานีสะพลี จ.ชุมพร และจอดรถฟรีที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และภูเก็ตด้วย

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า T = Tourist Promotion คมนาคมส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยกระทรวงฯ ได้ร่วมสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศ เพื่อกระตุ้นระบบเศรษฐกิจและมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้พี่น้องประชาชน และนักท่องเที่ยว ให้เดินทางด้วยความสุขและความประทับใจ ด้วยการปรับปรุงภูมิทัศน์แหล่งท่องเที่ยวทางน้ำ ประดับตกแต่งไฟสวยงามบริเวณสะพานภูมิพล 1 และ 2 และสะพานมหาเจษฎา บดินทรานุสรณ์ ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2566 - 2 มกราคม 2567 ระหว่างเวลา 19.00 – 22.00 น. รวมทั้งจัดกิจกรรมล่องเรือไหว้พระ 9 วัด ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในวันที่ 27 ธันวาคม 2566 เพื่อเสริมสิริมงคลชีวิตให้กับประชาชน

นายสุริยะ กล่าวว่า สำหรับ S = Safety Journey คมนาคมใส่ใจ ปลอดภัยทุกการเดินทาง ได้เน้นย้ำให้กรมทางหลวง (ทล.) กรมทางหลวงชนบท (ทช.) และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) คำนึงถึงความปลอดภัยในการเดินทางของพี่น้องประชาชนขั้นสูงสุด ปรับปรุงซ่อมแซมถนนและสะพานให้มีความปลอดภัย สามารถเดินทางได้อย่างสะดวก ไร้หลุมบ่อ ติดตั้งเครื่องหมายจราจร ป้ายเตือนต่าง ๆ ให้ชัดเจน ตรวจสอบความปลอดภัยในการปิดเบี่ยงการจราจรบริเวณพื้นที่ก่อสร้างรถไฟฟ้า

นายสุริยะ กล่าวว่า นอกจากนี้ ติดตั้งอุปกรณ์ไฟส่องสว่างอย่างทั่วถึง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นของผู้ขับขี่ หยุดงานก่อสร้างชั่วคราว และคืนพื้นผิวทางและช่องทางจราจรให้พี่น้องประชาชนสามารถเดินทางได้ด้วยความสะดวกปลอดภัยในช่วงเทศกาลปีใหม่ อย่างไรก็ตาม กระทรวงคมนาคมในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลระบบคมนาคมขนส่ง ได้ตระหนักถึงความสะดวก ปลอดภัยของพี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 และขอส่งความห่วงใย ความปรารถนาดีให้ทุกท่านเดินทางปลอดภัยโดยสวัสดิภาพในทุกการเดินทาง และทุกเส้นทาง

‘รมว.ปุ้ย’ กำชับคุมเข้มมาตรการความปลอดภัยหยุดยาวปีใหม่ ‘กนอ.’ รับลูก!! ย้ำ '68 นิคมฯ - 1 ท่าเรือฯ’ เฝ้าระวัง 24 ชม.

(25 ธ.ค.66) นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มีความห่วงใยในความปลอดภัยและอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นในช่วงหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ 2567 ตามประกาศของรัฐบาล ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2566 - 1 มกราคม 2567 จึงสั่งการให้ กนอ.กำชับไปยังนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 68 แห่ง และท่าเรืออุตสาหกรรม 1 แห่ง ใน 16 จังหวัด ให้เพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวังความปลอดภัยและป้องกันอุบัติเหตุในช่วงเวลาดังกล่าวให้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ กนอ.จึงขอความร่วมมือไปยังนิคมอุตสาหกรรม / ท่าเรืออุตสาหกรรม ให้เพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวังด้านความปลอดภัยในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นพิเศษ โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการใช้สารเคมีอันตรายร้ายแรง (Highly Hazardous Chemicals) หรือมีปริมาณครอบครองของเหลวไวไฟหรือก๊าซไวไฟตามปริมาณที่กำหนด ตามระบบ ‘การจัดการความปลอดภัยกระบวนการผลิต (Process Safety Management : PSM)’ เพื่อป้องกัน ควบคุม และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุอย่างมีประสิทธิภาพ

“ช่วงเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ เป็นช่วงเวลาที่ประชาชนจะเดินทางกลับภูมิลำเนา หรือเดินทางท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ เป็นจำนวนมาก ผมจึงกำชับให้ทุกนิคมอุตสาหกรรม / ท่าเรืออุตสาหกรรม มอบหมายให้พนักงานปฏิบัติงานนอกเวลาทำการในช่วงวันหยุดยาวตลอด 24 ชั่วโมง กำหนดมาตรการกำกับดูแล เฝ้าระวังต่างๆ และหากเกิดกรณีฉุกเฉินให้รีบประสานงานกับศูนย์เฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย (ศสป.) กนอ. สำนักงานใหญ่ รวมถึงต้องปฏิบัติตามคำสั่ง กนอ.ในเรื่องของการรายงานข้อเท็จจริงกรณีเกิดเหตุ และติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งรายงานเหตุการณ์ให้ผู้อำนวยการสำนักนิคมฯ / ท่าเรือฯ ทราบโดยเร็วที่สุด เพื่อประเมินระดับความรุนแรงและผลกระทบได้อย่างทันท่วงที” นายวีริศ กล่าว

ทั้งนี้ กนอ. ยังขอความร่วมมือจากผู้อำนวยการสำนักงานนิคมอุตสาหกรรม / ท่าเรืออุตสาหกรรม ให้จัดเตรียมบุคลากร อุปกรณ์ / เครื่องมือ ระบบสาธารณูปโภค การบริการ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ / อุบัติภัยด้วย รวมถึงช่องทางประสานขอความช่วยเหลือจากผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรม หรือผู้ดูแลระบบสาธารณูปโภคภายในนิคมอุตสาหกรรม / ท่าเรืออุตสาหกรรม และหน่วยงานภายนอก อาทิ หน่วยงานป้องกันสาธารณภัย หน่วยงานท้องถิ่น และปฏิบัติตามขั้นตอนของแผนป้องกันและบรรเทาภัยระดับนิคมอุตสาหกรรมอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ต้องสร้างความตระหนักกับผู้ประกอบการในการให้ความสำคัญกับการเฝ้าระวังอุบัติเหตุและอัคคีภัยที่อาจเกิดขึ้นจากการประกอบกิจการ โดยเฉพาะโรงงานที่มีความเสี่ยงสูงนั้น ให้ปฏิบัติตามกฎหมายโรงงานที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และครอบคลุมด้านสิ่งแวดล้อมด้วย พร้อมทั้งให้คำปรึกษา แนะนำเพื่อให้มีการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพสามารถปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม อย่างไรก็ตาม หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือเหตุการณ์ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ให้ผู้อำนวยการสำนักงานนิคมอุตสาหกรรม / ท่าเรืออุตสาหกรรมทุกแห่งปฏิบัติการตามคำสั่ง กนอ. ที่ 285/2565 เรื่อง การรายงานข้อเท็จจริงกรณีเกิดเหตุการณ์ภาวะฉุกเฉินในนิคมอุตสาหกรรมและท่าเรืออุตสาหกรรม โดยสามารถประสานแจ้ง ศสป. ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยที่ผู้อำนวยการสำนักงานนิคมอุตสาหกรรม / ท่าเรืออุตสาหกรรม ต้องเตรียมพร้อมรองรับกรณีเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุเพลิงไหม้ และต้องสามารถติดต่อสื่อสารประสานงานได้ตลอดเวลาด้วย
“ปัจจุบันอยู่ในช่วงฤดูหนาว สภาพอากาศอาจจะแห้งแล้ง และยิ่งเป็นช่วงเทศกาลเฉลิมฉลอง มีวันหยุดยาวต่อเนื่องหลายวัน กนอ. จึงขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการในพื้นที่ให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอัคคีภัยและอุบัติเหตุอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของทุกท่าน” ผู้ว่าการ กนอ. กล่าวปิดท้าย

‘ปตท.’ ตรึงราคา NGV รถแท็กซี่-รถโดยสารสาธารณะ  ราคา 14.62 บาท/กก. ต่ออีก 6 เดือน เป็นของขวัญปีใหม่

ปตท. เตรียมความพร้อมด้านพลังงานอย่างเต็มที่ มั่นใจประเทศมีพลังงานเพียงพอใช้ตลอดช่วงเทศกาล พร้อมมอบของขวัญปีใหม่ ช่วยลดค่าใช้จ่ายเดินทางให้แก่ประชาชน ตามพันธกิจสร้างความมั่นคงทางพลังงาน รวมมูลค่าการช่วยเหลือ NGV ในช่วงวิกฤตราคาพลังงานผันผวน 2 ปีที่ผ่านมาแล้วกว่า 17,000 ล้านบาท (ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2564 ถึง 30 พฤศจิกายน 2566)  

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ปตท. เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2566 มีมติเห็นชอบแผนช่วยเหลือราคา NGV ในระยะ 2 ปี โดยช่วงแรก (มกราคม ถึง มิถุนายน 2567) ปตท. ลดราคา NGV ให้กับกลุ่มรถแท็กซี่และกลุ่มรถโดยสารสาธารณะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ถือบัตรสิทธิประโยชน์ฯ ที่ 14.62 บาท/กิโลกรัม มีผลตั้งแต่ มกราคม 2567 และกุมภาพันธ์ 2567 ตามลำดับ 

ทั้งนี้ สำหรับผู้สมัครใหม่เริ่มมีผลกุมภาพันธ์ 2567 พร้อมกำหนดราคาขายปลีก NGV กลุ่มผู้ใช้รถทั่วไป ไม่เกิน 19.59 บาท/กิโลกรัม เป็นระยะเวลา 6 เดือน (ตั้งแต่มกราคม ถึง มิถุนายน 2567) 

ทั้งนี้ ปตท. จะเปิดรับสมัครผู้ถือบัตรสิทธิประโยชน์ฯ เพิ่มเติมในกลุ่มรถแท็กซี่ และรถโดยสารสาธารณะเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม ถึง 29 กุมภาพันธ์ 2567 ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line OA : PTT NGV

สำหรับผู้ที่เดินทางท่องเที่ยวในประเทศช่วงปีใหม่ ปตท. ขอให้ทุกท่านเดินทางปลอดภัยในทุกเส้นทาง พร้อมเชิญเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและร่วมกิจกรรมต่าง ๆ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (ปิดทำการวันที่ 1 มกราคม 2567) ได้แก่ ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี จ.ประจวบคีรีขันธ์  สำหรับผู้เดินทางท่องเที่ยวใน จ.ระยอง สามารถเยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้ป่าวังจันทร์ สำหรับผู้ที่ฉลองเทศกาลในกรุงเทพมหานคร สามารถเข้าชมศูนย์เรียนรู้ป่าในกรุง ได้อีกด้วย 

ติดต่อสอบถามข้อมูลการเข้าชมได้ที่
- ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี : https://www.facebook.com/mangrovepranburi
- ศูนย์เรียนรู้ป่าวังจันทร์ : https://www.facebook.com/Wangchanforest
- ศูนย์เรียนรู้ป่าในกรุง : https://www.facebook.com/pttmetroforest

‘สุริยะ’ สั่งการ!! รถตรวจทางวิ่งสำรวจ 'สายสีชมพู' ตอนตี 4 ก่อนเปิดทุกวัน พร้อมเผยสาเหตุเบื้องต้น 'รางจ่ายกระแสไฟฟ้า' ที่อาจทำให้หลุดร่วง

(24 ธ.ค.66) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู บริเวณถนนติวานนท์ วันนี้ว่า ตามที่วันนี้เมื่อเวลา 04.45 น. บริเวณสถานีสามัคคี (PK04) เกิดเหตุรางจ่ายกระแสไฟฟ้า (Conductor rail) หลุดร่วงลงชั้นพื้นถนน และเกี่ยวสายไฟฟ้าบริเวณหน้าตลาดชลประทาน ได้รับความเสียหาย โดยส่งผลกระทบต่อการให้บริการเดินรถนั้น

ทั้งนี้ จากการหารือร่วมกับกรมการขนส่งทางราง (ขร.), การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และบริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด (NBM) ผู้รับสัมปทานโครงการฯ โดยเพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร และพี่น้องประชาชน ตนจึงได้สั่งการให้ปิดการให้บริการรถไฟฟ้าสายสีชมพูในวันนี้ ตั้งแต่เวลา 12.00 น. เพื่อตรวจสอบสาเหตุอย่างละเอียด

สำหรับในวันพรุ่งนี้ (25 ธ.ค.66) จะเปิดให้บริการจำนวน 23 สถานี คือ ตั้งแต่สถานีแจ้งวัฒนะ (PK08) - สถานีมีนบุรี (PK30) ขณะที่ตั้งแต่สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี (PK01) ไปจนถึงสถานีเลี่ยงเมืองปากเกร็ด (PK07) รวม 7 สถานีนั้น ขร.จะต้องดำเนินการตรวจสอบ และประเมินเบื้องต้น 7 วัน จากนั้นจะตรวจสอบให้มั่นใจในด้านความปลอดภัย ก่อนที่พิจารณาเปิดให้บริการอีกครั้งต่อไป ทั้งนี้ ได้กำชับว่าหากเกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก จะมีบทลงโทษครอบคลุมตามสัญญา ด้วยเงื่อนไขในการเดินรถต่อไป

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า สาเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ จากการรายงานเบื้องต้น ระบุว่า รถตรวจรางพบวัสดุแปลกปลอม ซึ่ง วัสดุแปลกปลอมดังกล่าว อาจจะเกิดจากรถเครนที่เข้าไปเคลียร์พื้นที่ เพื่อคืนผิวจราจร แล้วไปขัดบริเวณตัวล้อด้านข้าง ทำให้ลากรางจ่ายกระแสไฟฟ้าหลุดออกทั้งแนว ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ ไม่มีผู้บาดเจ็บ แต่มีรถยนต์บริเวณดังกล่าวเสียหาย 3 คัน และสายไฟฟ้าล้ม โดย NBM จะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้จะมีรถตรวจทางวิ่งตรวจสอบในช่วงเวลา 04.00 น. ก่อนให้เปิดบริการทุกวัน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูมีความปลอดภัยในการให้บริการและการเดินทางอย่างแน่นอน

‘อ.พงษ์ภาณุ’ วิเคราะห์!! ปัญหาหนี้สินกับนโยบายการคลัง ชี้!! ยังดีที่รัฐกล้าหยิบปัญหาหนี้ครัวเรือนยกเป็นวาระแห่งชาติ

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่พูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'ปัญหาหนี้สินกับนโยบายการคลัง' เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.66 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

ปัญหาหนี้สินไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่และไม่ได้เกิดขึ้นกับเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นปัญหาในทุกประเทศทั่วโลก ทั้งประเทศร่ำรวยและยากจน โดยเฉพาะหลังวิกฤตโควิด 2020-2022 ระดับหนี้รวมทั้งโลกได้กระโดดขึ้นมาอยู่ที่ 350% ของ GDP และเมื่อธนาคารกลางทั่วโลก รวมทั้งไทย ปรับดอกเบี้ยขึ้นแบบไม่ลืมหูลืมตา ระหว่างปี 2022-2023 ภาระการชำระดอกเบี้ยและคืนเงินต้น จึงกลายมาเป็นปัญหาใหญ่ ของทั้งภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจ และรัฐบาล

ต้องขอชื่นชมรัฐบาลนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ที่ได้ประกาศให้การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นวาระแห่งชาติ หนี้ครัวเรือน ซึ่งมีจำนวนสูงกว่า 16 ล้านล้านบาท หรือกว่า 90% ของ GDP เป็นปัญหาเรื้อรังมายาวนาน และกำลังเป็นตัวฉุดรั้งการเจริญเติบโตของประเทศอย่างแรง หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างตรงจุดและทันการ อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ระบบสถาบันการเงินอีกด้วย 

ดังนั้น การที่รัฐบาลเข้าไปดูแลหนี้ครัวเรือน ทั้งหนี้ในระบบและหนี้นอกระบบครั้งนี้ จึงมีความเหมาะสม แต่จะต้องทำอย่างรอบคอบและระมัดระวัง มิให้เกิดผลกระทบต่อวัฒนธรรมการชำระหนี้ และเป็นภาระต่องบประมาณแผ่นดินมากจนเกินไป ตลอดจนต้องระวังมิให้กระทบต่อฐานะการเงินของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เช่น ธนาคารออมสิน, ธกส., ธอส. เป็นต้น ที่จะใช้เป็นกลไกหลักในการปรับโครงสร้างหนี้ครั้งนี้ เพราะเมื่อธนาคารเหล่านี้อ่อนแอลงก็จะยังความจำเป็นให้รัฐบาลต้องเติมเงินเพิ่มทุนให้ในอนาคต

ปี 2567 ที่กำลังจะมาถึงนี้จึงถือเป็นปีที่มีความท้าทายต่อนโยบายการคลังค่อนข้างมาก นอกจากภาระจากการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนและการเตรียมออกมาตรการ Digital Wallet เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว เหตุการณ์หลายอย่างที่กำลังเกิดขึ้นล้วนสร้างแรงกดดันต่อฐานะการคลังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ภาระหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นจากนโยบายดอกเบี้ยสูงของธนาคารแห่งประเทศไทย สังคมสูงอายุก่อให้เกิดรายจ่ายบำเหน็จบำนาญและการรักษาพยาบาลมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ยังความจำเป็นให้รัฐบาลต้องใช้จ่ายเพื่อเยียวยาแก้ไขผลกระทบจากภัยธรรมชาติ ตลอดจนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานรองรับการใช้พลังงานทดแทน การใช้จ่ายด้านการทหารก็มีแนวโน้มสูงขึ้นจากความตึงเครียดที่น่าจะมีมากขึ้นในปีหน้า

ดังนั้น จึงเป็นโอกาสอันเหมาะสมที่รัฐบาลจะทำการปฏิรูปทางการคลังขนานใหญ่ เพื่อให้ภาคการคลังมีความสมดุลมากขึ้น ไม่เพียงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้จ่ายภาครัฐเท่านั้น ในด้านรายได้ก็มีความจำเป็นต้องปฏิรูปภาษีอากรทั้งระบบ โครงสร้างภาษีของไทย นับจากการปฏิรูปครั้งใหญ่เมื่อปี 2535 ก็ไม่ได้มีการปรับปรุงอย่างจริงจังอีกเลย จนขณะนี้รายได้รัฐบาลคิดเป็นเพียง 13% ของ GDP และไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายของรัฐ และอาจถือได้ว่าระบบภาษีไทยล้าหลังและไม่สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และพฤติกรรมทางธุรกิจ

ถือเป็นความกล้าหาญชาญชัยของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง รัฐบาลกล้าที่จะจัดการปัญหาหนี้ครัวเรือนแบบเบ็ดเสร็จ กล้าที่จะใช้มาตรการทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้พ้นจากปากเหว ก็ควรที่จะต้องกล้าที่จะปฏิรูปการคลังให้กลับสู่สมดุลด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top