Tuesday, 24 June 2025
ECONBIZ NEWS

ปตท. ร่วมพัฒนาโรงเรียนแนวท่อส่งก๊าซธรรมชาติ มอบอาคารเรียน 2 ชั้น ‘โรงเรียนวัดเปร็งราษฎร์บำรุง’

เมื่อไม่นานมานี้ นายวุฒิกร สติฐิต ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นประธานในพิธีเปิดอาคารเรียนโรงเรียนวัดเปร็งราษฎร์บำรุง ร่วมด้วย นายกรกฏ บุญญามิ่ง นายอำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ และ นางกฤติยา โพธิ์เสนา ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 พร้อมด้วยผู้บริหาร ปตท. และหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดสมุทรปราการ ร่วมเป็นสักขีพยาน

ปตท. ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน และการส่งเสริมด้านการศึกษาของเยาวชนในพื้นที่แนวท่อส่งก๊าซธรรมชาติ โดยอาคารเรียนดังกล่าว เป็นอาคารเรียนสองชั้น ได้ดำเนินการก่อสร้างโดย ปตท. ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาพื้นที่และสร้างสภาพแวดล้อมของโรงเรียนให้เหมาะสมต่อการจัดการเรียนการสอน ซึ่งพร้อมส่งมอบให้โรงเรียนเพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป

‘พีระพันธุ์’ เผยข่าวดี!! ครม.ไฟเขียวตรึงค่าดีเซล-ก๊าซหุงต้ม 3 เดือน พร้อมลดค่าไฟกลุ่มเปราะบาง 3.99 บ./หน่วย เป็นของขวัญปีใหม่

(19 ธ.ค.66) นายพีระพันธ์ุ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ได้มีการนำเสนอมาตรการเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน โดยจะมีการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร เป็นเวลา 3 เดือน ค่าก๊าซแอลพีจีและก๊าซหุงต้ม ตรึงไว้ที่ 423 บาทต่อ 15 กิโลกรัม เป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งเคยเป็นมาตรการเดิมภัยที่เคยช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางไปแล้ว

ขณะที่ค่าไฟฟ้า สำหรับกลุ่มเปาะบางที่ใช้ไฟไม่เกิน 300 บาทต่อหน่วย ตรึงราคาค่าไฟที่ 3.99 บาทต่อหน่วย ซึ่งจะช่วยเหลือได้ 17 ล้านราย ทั้งนี้ ต้องขออภัยกลุ่มภาคครัวเรือน ไม่สามารถยืนอยู่ที่ 3.99 บาทต่อหน่วยได้ แต่รัฐบาลได้พยายามเต็มที่ไม่ให้เกิน 4.20 บาทต่อหน่วย

ส่วนจะได้ตัวเลขได้เท่าไร ขอดูตัวเลข 1 ม.ค. 67 ก่อน เพราะพบว่ามีแนวโน้มราคาก๊าซในตลาดโลกเริ่มลดลง ดังนั้น ณ วันที่ 1 ม.ค. อาจต่ำกว่าราคาในวันนี้ ซึ่งตอนแรกตนเองเตรียมราคาที่กำหนดไว้ แต่หากกำหนดไปแล้วยังลดค่าไฟลงไปได้อีก ซึ่งจะไม่เป็นไปตามมติ ดังนั้นจึงขอดูราคาสถานการณ์ก๊าซ ณ วันที่ 1 ม.ค. 67 ก่อน

ทั้งนี้ มาตรการที่ออกมาถือเป็นมาตรการระยะสั้น ภายใต้โครงสร้างเดิมที่ใช้มานานกว่า 40 ปี ซึ่งส่วนตัวคิดว่า ไม่เหมาะสม และตนเองได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษารื้อระบบโครงสร้างราคาค่าไฟและน้ำมันแล้ว ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ และถือเป็นมาตรการระยะยาวที่ต้องใช้เวลา ระหว่างนี้ที่รอมาตรการระยะยาวสิ่งไหนทำได้ก็ทำก่อนภายใต้โครงสร้างแบบเดิม และทำให้ดีที่สุดทุกเรื่อง เพื่อลดภาระค่าครองชีพประชาชน

นายพีระพันธุ์ ยังชี้แจงที่ไม่สามารถกำหนดที่ชัดเจนได้ว่า การผลิตไฟฟ้ามีวัตถุดิบที่นำมาผลิตไฟฟ้า 3 อย่างหลักๆ คือ 1.ถ่านหิน ซึ่งไทยยังมีใช้อยู่ เป็นราคาที่ถูกที่สุดและมีการใช้พลังน้ำบ้างบางส่วน 2.ผลิตจากก๊าซธรรมชาติ ซึ่งยังเป็นประเด็นใหญ่ในวันนี้ 3.พลังงานสะอาด จากพลังงานแสงแดด ลม ชีวมวลต่างๆ โดยทั้ง 3 อย่างคือวัตถุดิบในการผลิตไฟฟ้าและมีต้นทุนแตกต่างกัน ที่สำคัญมีสัญญาเดิมที่ทำไว้กับผู้ประกอบการระยะเริ่มต้น เมื่อหลาย 10 ปีที่แล้ว ตนเองกำลังแก้ไขอยู่ รวมถึงแก้ไขโครงสร้างของก๊าซที่ต้องปรับรูปแบบจะดำเนินการอย่างไร ให้หลุดบ่วงราคาตลาดโลก ซึ่งถือเป็นแนวโน้มในการวางระบบและโครงสร้างใหม่ของด้านวัตถุดิบที่ใช้ผลิตไฟฟ้า ซึ่งหากควบคุมตรงส่วนนี้ได้ ทำให้ราคาวัตถุดิบอยู่ภายใต้การควบคุมรัฐบาลมากขึ้น ซึ่งสามารถทำให้ลดราคาไฟฟ้าลงมาได้โดยระบบของมันเอง ไม่ใช่แบบมติครม. แต่ต้องใช้เวลาในการศึกษารูปแบบ ผลกระทบ รวมถึงส่วนที่เกี่ยวข้องต้องรับฟังความคิดเห็น ซึ่งตนเองจะพยายามทำให้เป็นรูปเป็นร่างภายในปี 2567 นี้

นายพีระพันธุ์ กล่าวถึง กรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีเตรียมพบหารือกับนายฮุน มาเนตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในปี 67 นี้ จะมีการหารือเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางพลังงานระหว่างไทยกับกัมพูชา หรือไม่ว่า เรื่องนี้ต้องดำเนินการต่อ เพราะเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขและผ่านมาหลายรัฐบาลแล้ว ซึ่งส่วนตัวมองว่า จะเอาเรื่องเขตแดนกับเรื่องพลังงานมารวมกันจะหาข้อยุติได้ยาก เพราะเรื่องเขตแดนเป็นเรื่องต้องใช้เวลา ซึ่งส่วนตัวมองว่า การเจรจาเรื่องเขตแดนไม่มีประเทศใดในโลกตกลงถอยหลังกันได้ง่าย แต่ไทยต้องมีความพยายามหาทางยุติลงให้ได้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นห่วงในเรื่องนี้และตนก็เป็นกังวล เนื่องจากอยากใช้พลังงานในพื้นที่ตรงนั้น เพราะก๊าซธรรมชาติที่ไทยมีก็หมดไปทุกวัน หากไม่มีแหล่งใหม่มาเสริมหรือรองรับก็จะเป็นปัญหาต่อไปในอนาคต ดังนั้นเรื่องนี้เป็นสำคัญในการเจรจา

‘DRT’ จ่อเพิ่มกำลังผลิต ‘อิฐมวลเบา’ 2.9 ล้านตร.ม. รับดีมานด์พุ่ง คาด พร้อมเดินเครื่องจักรเชิงพาณิชย์ ภายในไตรมาส 2/2568

(19 ธ.ค. 66) บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร หรือ ‘DRT’ ประกาศแผนการลงทุนรอบใหม่ ขยายกำลังการผลิตอิฐมวลเบาเพิ่ม 2.9 ล้านตารางเมตร ภายใต้งบลงทุนประมาณ 648 ล้านบาท แก้ปัญหากำลังการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดฯ คาดใช้เวลาดำเนินโครงการ 14 เดือน แล้วเสร็จพร้อมเดินเครื่องจักรเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 2 ของปี 2568 เสริมศักยภาพการแข่งขัน สร้างการเติบโตในระยะยาว

นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ ‘DRT’ ผู้ผลิตและจำหน่ายระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์และบอร์ดไฟเบอร์ซีเมนต์, บอร์ดตกแต่งผนัง, อิฐมวลเบา, ไม้บันได SPC-FC, ร้านกาแฟสำเร็จรูป (DIAMOND CAFE) และบริการติดตั้งโครงหลังคาและกระเบื้องหลังคา ภายใต้เครื่องหมายการค้า ‘ตราเพชร’ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2566 มีมติอนุมัติแผนการลงทุนในโครงการติดตั้งเครื่องจักรผลิตสินค้าอิฐมวลเบา (AAC-2) ซึ่งถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เนื่องจากฐานการผลิตอิฐมวลเบาทั้ง 2 แห่ง ได้แก่ โรงงานในจังหวัดสระบุรีและเชียงใหม่ ซึ่งมีกำลังการผลิตรวมประมาณ 5,800,000 ตารางเมตรต่อปี มีอัตราการใช้กำลังการผลิตเกือบเต็ม 100% ดังนั้น การลงทุนครั้งนี้จะช่วยเสริมศักยภาพการแข่งขันของ DRT เพื่อตอบสนองความต้องการใช้อิฐมวลเบาในงานก่อสร้าง ที่เพิ่มขึ้นของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

สำหรับโครงการติดตั้งเครื่องจักรสายการผลิตอิฐมวลเบา (AAC-2) มีขนาดกำลังการผลิตประมาณ 2,900,000 ตารางเมตร หรือคิดเป็นประมาณ 163,200 ตันต่อปี ด้วยมูลค่าการลงทุนประมาณ 648 ล้านบาท คาดว่าจะใช้เวลาจัดซื้อเครื่องจักรและติดตั้งประมาณ 14 เดือน และจะสามารถดำเนินการผลิตสินค้าเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 2 ปี 2568 ซึ่งทำให้บริษัทฯ สามารถลดปัญหาการผลิตสินค้าที่ไม่ทันต่อความต้องการของลูกค้า ในช่องทางร้านค้าวัสดุก่อสร้างรายย่อยและห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงนำเสนอผลิตภัณฑ์อิฐมวลเบาเพื่อเพิ่มปริมาณการขายสินค้า ให้แก่ลูกค้ากลุ่มโครงการอสังหาริมทรัพย์ได้ดียิ่งขึ้น

“อิฐมวลเบา เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดีจากดีมานด์ในตลาดที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากได้รับความนิยมใช้ในการก่อสร้างผนังทดแทนการใช้อิฐมอญแบบเดิมๆ ด้วยคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดความร้อนและระยะเวลาการก่อสร้าง จึงมั่นใจว่า เมื่อเครื่องจักรใหม่ติดตั้งแล้วเสร็จพร้อมเดินเครื่องจักรแล้ว จะทำให้การผลิตอิฐมวลเบามีความยืดหยุ่น และสามารถบริหารจัดการเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตที่ดีให้แก่ DRT ต่อไปในอนาคต” นายสาธิต กล่าว

‘มาคาเลียส’ ชี้!! ‘ท่องเที่ยว’ ช่วงปีใหม่ในไทยคึกคัก ที่พัก-เรือสำราญริมเจ้าพระยาจองเต็มคืนเคาท์ดาวน์

(19 ธ.ค.66) ​มาคาเลียส แหล่งรวมอี-วอเชอร์ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว อันดับ 1 ของประเทศไทย ชี้ตลาดท่องเที่ยวสิ้นปีคึกคัก ที่พักหัวเมืองใหญ่ เชียงใหม่-เขาใหญ่-พัทยา-ภูเก็ต จองเต็มแน่น โดยเฉพาะที่พักกทม. ริมแม่น้ำเจ้าพระยาและกิจกรรมล่องเรือดินเนอร์ถูกนักท่องเที่ยวไทย-เทศ จองคืนเคาท์ดาวน์เพื่อดูพลุเต็มตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2566 แนะผู้ประกอบการอย่าฉวยโอกาสขึ้นราคาเกินความพอดี ภาครัฐควรเพิ่มมาตรการด้านความปลอดภัยคุ้มครองนักท่องเที่ยว เพื่อสร้างชื่อท่องเที่ยวไทยให้กลับมาโดยเร็ว

นางสาวณีรนุช ไตรจักร์วนิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาคาเลียส ประเทศไทย จำกัด (Makalius) แหล่งรวมอี-วอเชอร์ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว อันดับ 1 ของประเทศไทย กล่าวว่า "ประเทศไทยถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่เป้าหมายของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติโดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่และการจัดกิจกรรมเคาท์ดาวน์ที่กำลังจะมาถึงนี้ ส่งผลให้ที่พักตามหัวเมืองใหญ่ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ เขาใหญ่ พัทยา และจังหวัดภูเก็ต มียอดจองเต็มแน่นเกือบ 100% รวมถึงกรุงเทพฯ ด้วยเช่นกัน ซึ่งที่พักบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาได้รับความนิยมสูงมากเป็นพิเศษจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงกิจกรรมล่องเรือดินเนอร์บนแม่น้ำเจ้าพระยาในคือวันสิ้นปีมียอดจองแน่นตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2566 เพื่อมาร่วมเฉลิมฉลองกับครอบครัวและมาร่วมชมความงดงามของการแสดงพลุ บริเวณไอคอนสยาม ซึ่งถือเป็น Global Countdown Destination ของประเทศไทย และได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นจุดดูพลุที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในโลกเทียบเท่ามหานครอื่นๆ ทั่วโลก

​ดังนั้นในช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจท่องเที่ยว อีกทั้งเป็นช่วงสร้างชื่อเสียง สร้างภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยให้กลับมาโดยเร็ว ดังนั้น ภาคส่วนสำคัญอย่างผู้ประกอบการทั้งโรงแรมที่พักและสถานที่ท่องเที่ยวจำเป็นต้องรักษามาตรฐานคุณภาพ ไม่อาศัยช่วงเวลาดังกล่าวเอาเปรียบนักท่องเที่ยวด้วยการขึ้นราคาเกินความพอดี รวมถึงภาครัฐบาลจำเป็นต้องเข้มงวดเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัย เพื่อปกป้องดูแลนักท่องเที่ยวอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในคืนเคาท์ดาวน์ เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวจะมีผู้คนออกมาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ด้านระบบขนส่งสาธารณะจำเป็นต้องขยายเวลาและเพิ่มจำนวนรถโดยสารเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง”

สื่อนอกตีข่าว 'ศิลปะ (แมว) บนนาข้าว' เบียนนาเล่เชียงราย เปลี่ยนผืนนา เป็น 'แลนด์มาร์ก-แหล่งท่องเที่ยว' กระหึ่มโลก

นาไทย ศิลปะไทย ดังไกลกระหึ่มโลก ภายหลังจากสำนักข่าว 'รอยเตอร์' ได้ตีข่าว 'เบียนนาเล่เชียงราย' ศิลปะบนนาข้าว 'เจ้าเหมียว' ซึ่งเป็นแมวกอดปลา หลับปุ๋ยบนปุยเมฆ จนดังไกลไปทั่วโลกแล้วในขณะนี้

(19 ธ.ค.66) 'ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว' เป็นงานศิลปะจัดวางรูปแมวกอดปลาบนนาข้าวที่บ้านขอนซุง ม.4 ต.งิ้ว อ.เทิง จ.เชียงราย ที่ฮือฮาแพร่หลายอยู่ในโลกออนไลน์ และสำนักข่าวอย่าง 'รอยเตอร์' ก็ได้นำไปเผยแพร่ โดยเป็นหนึ่งในผลงานศิลปะระดับโลกฝีมือคนไทยที่ได้โชว์ในงานมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ Thailand Biennale Chiangrai 2023 ซึ่งสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (สศร.) กระทรวงวัฒนธรรม จัดขึ้น ระหว่างวันที่ 9 ธ.ค. 2566 ถึงวันที่ 30 เม.ย. 2567 เป็นระยะเวลา 5 เดือนเต็ม โดยงานศิลป์บนนาข้าวจะกลายเป็นแลนด์มาร์กใหม่เชียงรายที่นักท่องเที่ยวเข้าชมและเช็กอินกับท้องนาสีสันสดใส ผลงานสุดมหัศจรรย์นี้จะเปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 ธันวาคม 2566

ธันย์พงค์ ใจคำ เจ้าของพื้นที่ผู้ให้การสนับสนุนสร้างงานศิลป์ร่วมสมัย 'ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว' กล่าวว่า ศิลปะบนนาข้าวเกิดจากได้รับโอกาสจากศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ในการปลูกข้าวสายพันธุ์สรรพสี ซึ่งต้นข้าวจะมีหลายสี  โดย จ.เชียงราย เป็น 1 ใน 15 พื้นที่ทั่วประเทศ จัดทำโครงการศิลปะบนแปลงนา ซึ่งสอดรับกับเชียงรายเป็นเมืองศิลปะ จึงนำโครงการนี้ไปพูดคุยกับสมาคมขัวศิลปะ เชียงราย นำมาสู่การทำงานร่วมกับศิลปินขัวศิลปะ ซึ่งชื่นชอบแมวเช่นกัน ได้แนวคิดออกแบบภาพแมวกอดปลานี้ร่วมแสดง Thailand Biennale Chiangrai แล้วยังมีภาพแมวนอนหลับ และแมวตาโต ที่ตรงกับโจทย์มหกรรมครั้งนี้ the Open World หรือ เปิดโลก

จากรูปที่ศิลปินออกแบบแล้ว ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ กำหนดตำแหน่ง ลวดลายเส้น  ทำงานกับแปลงนาข้าว ก่อนนำข้าวปักตามตำแหน่งที่ถูกต้อง โดยทยอยปลูกข้าว เริ่มตั้งแต่ 15 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา และเกิดเป็นงานศิลปะสามารถเข้าชมแบบไม่เป็นทางการได้บนเนื้อที่ราว 5 ไร่  ช่วงหนาวนี้ข้าวกำลังเจริญเติบโต เฉดสีเริ่มเปลี่ยน ซึ่งสีสันของผลงานจะสวยที่สุดสิ้นเดือนธันวาคม เพราะปีนี้ฤดูหนาวมาล่าช้าเป็นเดือน

สำหรับสายพันธุ์ข้าวสรรพสีเหล่านี้จะปรากฏสีบนแผ่นใบชัดเจน และสวยงามมากเมื่อปลูกในช่วงฤดูหนาว ข้าวสรรพสีมีหลากหลายสี สีพื้นบ้านเป็นสีเขียว และสีม่วงอมดำ โดยในแปลงจะมีข้าวทั้งหมด 7 สี ที่มองเห็นเฉดสีที่แสดงออกบนใบข้าวแต่ละพันธุ์ จากแถบสีแดง สีชมพู สีม่วง สีฟ้า สีส้ม สีเหลือง และสีเขียว คล้ายกับสายรุ้ง นอกจากได้ท้องนาสีสันศิลปะแต่มแต้มด้วยงานศิลป์แล้ว ใบข้าวสรรพสีมีศักยภาพสูงในการเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ เส้นใยอาหาร ธาตุอาหารรอง และกรดอะมิโนที่ดีที่สุดด้วย

ศิลปะบนนาข้าว หรือ Tanbo Art  ธันย์พงค์ บอกว่า Tanbo Art เป็นทั้งนวัตกรรมและงานศิลปะที่พบเห็นได้ในประเทศญี่ปุ่น แต่ละปีมีการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวและออกแบบลวดลายบนแปลงข้าว สำหรับในประเทศไทย เป็นอีกมิติใหม่ของการทำนา ปรับปรุงความเป็นอยู่ของชาวนา ที่โดยทั่วไปอยู่ในความยากจนและด้อยโอกาส เพราะสามารถสร้างรายได้เพิ่มเติมจากผลผลิตทางการเกษตรและการท่องเที่ยว งานศิลปะนี้เปิดมุมมองให้เกษตรกรรุ่นใหม่ เปิดโลกการเรียนรู้ การปลูกข้าวสรรพสี นอกจากเมล็ดข้าวไปบริโภคแล้ว ยังมีด้านศิลปะเพื่อความสวยงาม ด้านเทคโนโลยีในการปลูก ไทยแลนด์เบียนนาเล่จะเป็นโอกาสสำคัญถ่ายทอดเรื่องนี้ ชวนทุกคนมาสัมผัสข้าวหลากสีกับผลงานศิลปะตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม ต่อเนื่องมกราคม กุมภาพันธ์ ทุ่งข้าวจะมีสีชมพูสวยงาม ก่อนจะเก็บเกี่ยวกลางเดือนมีนาคม 2567  

อากาศดีๆ ชวนไปเสพงานศิลป์ที่เชียงราย Thailand Biennale, ChaingRai 2023 ไม่ได้มีแค่แปลงนาสวยๆ รออยู่ ยังมีผลงานของ 60 ศิลปินจาก 21 ประเทศ จัดแสดงทั้งที่หอศิลป์ร่วมสมัยเมืองเชียงราย Chiangrai International Art Museum : CIAM ใกล้กับสนามบินแม่ฟ้าหลวง งานศิลปะระดับโลกที่โชว์ทั้งอำเภอเมือง อ.เชียงแสน อ.แม่ลาว และ อ.พาน

ไทยแลนด์เบียนนาเล่นี้มีบริการข้อมูลนิทรรศการทั้งที่เป็นเอกสารและแบบสแกน QR Code พร้อมทั้งบริการรถตู้รับส่งตามเส้นทางต่างๆ นำชมนิทรรศการศิลปะในพื้นที่ รวม 6 เส้นทาง 14 จุดบริการ วันละ15 คัน จำนวน 3 รอบต่อวัน ตั้งแต่เวลา 9.00 - 17.00 น. ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 30 เม.ย.2567 สนใจคลิกได้ที่เว็บไซต์เส้นทางให้บริการรถนำชมนิทรรศการศิลปะร่วมสมัย TBC2023 https://biennalechiangrai-media-info.my.canva.site/website-tbc2023-transportation เพจและเฟซบุ๊ก Thailand Biennale,Chaing Rai 2023  

'รมว.ปุ้ย' ขานรับ Soft Power สั่ง สมอ. ออกประกาศมาตรฐานท่องเที่ยว 6 ด้าน ดันผู้ประกอบการฯ ช่วยกันกระตุ้นคุณภาพการให้บริการแก่ นทท.

(18 ธ.ค.66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้เข้าประเทศ ถือเป็น Soft Power ด้านหนึ่งของประเทศไทย โดยตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนกรกฎาคม 2566 ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยว สะสมรวมกว่า 1.045 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 613,030 ล้านบาท และรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวไทย 432,194 ล้านบาท ตนจึงเร่งรัดให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) จัดทำมาตรฐานที่ตอบโจทย์และรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวตามนโยบายรัฐบาล และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวระดับโลกที่เน้นคุณภาพ 

โดย สมอ. เตรียมประกาศมาตรฐาน Soft Power ด้านการท่องเที่ยว จำนวน 6 เรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวสถานที่ธรรมชาติ, วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ รวมทั้งการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ภายในเดือนธันวาคมนี้ หากผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวนำมาตรฐานดังกล่าวไปใช้เป็นแนวทาง จะทำให้นักท่องเที่ยวเกิดความเชื่อมั่นในคุณภาพการให้บริการ และนำไปสู่การกระจายรายได้ให้แก่ชุมชน และธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

นายวันชัย พนมชัย รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทน เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า สมอ. เตรียมประกาศมาตรฐาน Soft Power ด้านการท่องเที่ยว จำนวน 6 เรื่อง ภายในเดือนธันวาคมนี้ โดยอ้างอิงตามมาตรฐานสากล ซึ่งเป็นมาตรฐานระบบการจัดการต่างๆ ภายในหน่วยงาน และเป็นมาตรฐานภาคสมัครใจที่ผู้ประกอบการนำไปใช้ได้โดยไม่ได้มีกฎหมายบังคับ ได้แก่...

1) มาตรฐานการเยี่ยมชมสถานที่ทางธรรมชาติ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นมาตรฐานสำหรับผู้ให้บริการสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และการท่องเที่ยวเชิงอุตสาหกรรม โดยพนักงานและไกด์นำเที่ยวต้องมีความรู้เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวนั้นๆ สามารถจัดเตรียมข้อมูลในการท่องเที่ยวได้อย่างถูกต้อง รวมถึงมีแผนรองรับเหตุฉุกเฉินเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว 

2) มาตรฐานการดำเนินงานเกี่ยวกับชายหาด เป็นมาตรฐานสำหรับผู้ดูแล ผู้ประกอบการริมชายหาด และผู้ใช้บริการ โดยต้องมีการสร้างอาคาร และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ สำหรับนักท่องเที่ยว มีการเตรียมการด้านสุขภาพและความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว มีการดูแลความสะอาดของชายหาด รวมถึงมีแผนรองรับเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น  

3) มาตรฐานโรงแรมย้อนยุค เป็นมาตรฐานสำหรับเจ้าของกิจการโรงแรม นำไปใช้เป็นแนวทางในการให้บริการนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ศิลปะ และสถาปัตยกรรมย้อนยุค โดยเน้นที่ความเข้ากันของอุปกรณ์ เฟอร์นิเจอร์ และรูปแบบการให้บริการของโรงแรมที่ตรงตามยุคสมัยนั้นๆ 

4) มาตรฐานร้านอาหารแบบดั้งเดิม เป็นมาตรฐานการให้บริการด้านอาหารในรูปแบบดั้งเดิม ได้แก่ รูปลักษณ์ภายนอก การผสมผสานทางวัฒนธรรม และการให้บริการที่สอดคล้องกับรูปแบบของร้าน เช่น การจัดสถานที่ อุปกรณ์ การจัดโต๊ะอาหาร การออกแบบรายการอาหาร เป็นต้น รวมทั้งต้องมีการรักษาความสะอาดของอาหาร อุปกรณ์ต่างๆ ให้มีความปลอดภัยด้วย 

5) มาตรฐานการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ เป็นมาตรฐานการให้บริการแก่นักท่องเที่ยวที่ต้องการรักษาทางการแพทย์ สำหรับผู้อำนวยความสะดวกและผู้ให้บริการสามารถใช้เป็นแนวทางในการให้บริการอย่างมีคุณภาพและเป็นไปตามความคาดหวังของนักท่องเที่ยว โดยผู้ให้บริการต้องมีความรู้พื้นฐานทางการแพทย์ และมีความรู้ด้านการเดินทางและดำเนินการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในแต่ละช่วงเวลาการรักษา เพื่อให้การบริการมีความปลอดภัยกับนักท่องเที่ยว 

6) มาตรฐานการบริการนักท่องเที่ยวเพื่อสาธารณะประโยชน์โดยหน่วยงานคุ้มครองพื้นที่คุ้มครองธรรมชาติ เป็นมาตรฐานสำหรับอุทยานหรือหน่วยงานที่ดูแลพื้นที่คุ้มครองทางธรรมชาติในการให้บริการแก่นักท่องเที่ยว โดยเน้นการอนุรักษ์พื้นที่คุ้มครองธรรมชาติ และสร้างความพึงพอใจแก่นักท่องเที่ยว เป็นแนวทางในการจัดเตรียมกิจกรรม ข้อมูลและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อย่างเหมาะสม และมีความปลอดภัยกับนักท่องเที่ยว โดยไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนรอบข้างและสิ่งแวดล้อม รวมถึงมีการจัดการขยะต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการท่องเที่ยวอย่างถูกต้องด้วย ซึ่งมาตรฐานทั้ง 6 เรื่องนี้ จะประกาศใช้ภายในเดือนธันวาคมนี้ ผู้ประกอบการสามารถนำมาตรฐานดังกล่าวไปใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานได้ ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย และเป็นแรงผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวระดับโลกได้ต่อไป

‘ปตท.’ ผนึกกำลัง ‘ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ - มิตซูบิชิคอร์ปอเรชั่น (ญี่ปุ่น)’ ปั้นโปรเจกต์ทดสอบรถพลังงานสะอาด มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน 

เมื่อไม่นานมานี้ ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), Mr.Takashi Hata, President of Tri Petch Isuzu Sales Company Limited และ Mr. Shigeru Wakabayashi, EVP, Group CEO, Automotive & Mobility Group Misubishi Corporation ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือพัฒนาโครงการทดสอบรถพลังงานสะอาดเพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ระหว่างบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ และบริษัท มิตซูบิชิคอร์ปอเรชั่น (ประเทศญี่ปุ่น) 

โดยโครงการดังกล่าวประกอบด้วยการทดสอบการวิ่งใช้งานจริงของรถบรรทุกไฟฟ้าอีซูซุ โดยใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 100% ผ่านระบบบริหารจัดการพลังงาน ระบบชาร์จ และ EV Ecosystem ของ ปตท. 

นอกจากนี้ ยังมีโครงการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์สำหรับรถยนต์ดีเซล โดยการทดสอบใช้ HVO         (Hydro Vegetable Oil) หรือน้ำมันไบโอดีเซลจากน้ำมันพืชใช้แล้ว รวมทั้งร่วมกับมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศญี่ปุ่น) ศึกษาวิจัยน้ำมัน e-fuels ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสังเคราะห์ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และสามารถใช้งานในเครื่องยนต์สันดาปที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยความร่วมมือดังกล่าวจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนเป้าหมาย ความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศไทยให้สำเร็จได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้

MI ชี้!! ปี 67 ‘อินฟลูเอนเซอร์’ แบกอุตฯ โฆษณา เข้าถึง ‘กลุ่มย่อย-ทรงประสิทธิภาพ’ มากกว่าสื่ออื่น

(18 ธ.ค. 66) นายภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานและกรรมการบริหาร บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ กรุ๊ป จำกัด หรือเอ็มไอ กรุ๊ป เผยผลการประเมินของทีม MI Learn Lab ของบริษัท โดยคาดว่าเม็ดเงินโฆษณาในปี 2567 จะมีมูลค่าประมาณ 87,960 ล้านบาท หรือเท่ากับการเติบโต 4% จากปี 2566 นี้ ซึ่งจากข้อมูลช่วง 11 เดือน เชื่อว่าสิ้นปี 2566 มูลค่าเม็ดเงินโฆษณาจะอยู่ที่ 84,500 ล้านบาท และเติบโต 4.4% จากปีก่อนหน้า โดยตัวเลขนี้น้อยกว่าการเติบโตในปี 2565 ที่เม็ดเงินเพิ่มขึ้น 6.3% 

นายภวัต กล่าวอีกว่า เม็ดเงินที่เติบโต 4% นี้ จะกระจุกอยู่ในกลุ่มสื่อออนไลน์ และสื่อนอกบ้าน ขณะที่สื่ออื่น ๆ ทั้งทีวี สิ่งพิมพ์ ยังหดตัวต่อเนื่องโดยเป็นผลจากฟังก์ชั่ันใหม่อย่าง Affiliate หรือการแบ่งรายได้จากการขายสินค้า-บริการให้กับ KOL (Key Opinion Leader) หรืออินฟลูเอนเซอร์ เมื่อผู้บริโภคซื้อผ่านลิงก์ในโพสต์หรือวิดีโอ ร่วมกับพฤติกรรมการรับสื่อของผู้บริโภคที่ย้ายไปออนไลน์อย่างต่อเนื่อง 

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าในปี 2567 สื่อทีวีจะมีเม็ดเงินโฆษณาลดจาก 36,199 ล้านบาทในปี 2566 เป็น 35,475 ล้านบาท ขณะที่เม็ดเงินในสื่อออนไลน์ จะเพิ่มจาก 28,999 ล้านบาทเป็น 31,899 ล้านบาท เช่นเดียวกับสื่อนอกบ้านที่จะได้เม็ดเงินเพิ่มจาก 12,101 ล้านบาทเป็น 13,311 ล้านบาท ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ส่วนแบ่งของสื่อออนไลน์กับทีวีขยับเข้าใกล้กันเป็น 36.3% และ 40.3% ตามลำดับ 

นายภวัต กล่าวต่อไปอีกด้วยว่า KOL (Key Opinion Leader) หรือ อินฟลูเอนเซอร์ จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของอุตฯ โฆษณาในปี 2567 และมีบทบาทในการทำการตลาดและสร้างยอดขายให้กับแบรนด์มากขึ้น โดยเฉพาะ KOL ระดับไมโครและนาโน ที่แม้มีฐานแฟนน้อยแต่เฉพาะกลุ่มนั้น เนื่องจากเป็นเครื่องมือการตลาดที่สามารถตอบโจทย์ท้าทายของตลาด ทั้งการโฟกัสกับการสร้างยอดขายของบรรดาธุรกิจเพื่อรับมือปัญหาสภาพเศรษฐกิจ และการเข้าถึงผู้บริโภคที่แตกเป็นกลุ่มย่อยลงไปเรื่อย ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าสื่ออื่น

เนื่องจาก KOL ทยอยหันไปสร้างรายได้ผ่าน Affiliate กันมากขึ้น ทำให้แบรนด์สามารถใช้งาน KOL โดยหวังผลได้แบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ อย่างสร้างการรับรู้ ไปจนถึงปิดการขายและสร้างฐานแฟนคลับให้กับแบรนด์ซึ่งนำไปสู่การซื้อซ้ำ ซึ่งเป็นปลายน้ำในช่องทางเดียว ขณะเดียวกันความสามารถเข้าถึงผู้บริโภคแต่ละกลุ่มย่อย ได้ช่วยให้แบรนด์รับมือกับตลาดที่แยกย่อยเป็นหลายกลุ่มหลายเซ็กเมนต์ได้ง่ายขึ้น

อย่างไรก็ตาม รูปแบบการใช้-ทำงานกับ KOL จะเปลี่ยนแปลงไปหลายด้าน ทั้งการคัดเลือกและสร้างคอนเทนต์กับ KOL ให้ตรงกับโจทย์ของธุรกิจและฐานแฟนของ KOL ซึ่งต้องละเอียดมากขึ้น ทั้งนี้ คาดว่าค่าใช้จ่ายในการใช้ KOL จะเพิ่มขึ้นตามไป

‘คมนาคม’ เล็งเจรจาผู้ประกอบการรถไฟฟ้าทุกสี ปรับเวลาให้บริการตั้งแต่ตี 4 รับดีมานด์เที่ยวปีใหม่

(18 ธ.ค.66) นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงฯ ได้สั่งการให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) บูรณาการร่วมกันในการเพิ่มจุดเชื่อมต่อในช่วงที่ประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนา อาทิ เพิ่มจุดส่งผู้โดยสารขาเขากรุงเทพฯ ที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ รวมไปถึงการขยายเวลาให้บริการรถไฟฟ้าจากเดิมเปิดบริการ 05.00 น. ปรับเป็นเปิดบริการ 04.00 น.ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 หรือระหว่างวันที่ 29 ธ.ค.2566 ถึง 2 ม.ค. 2567

“เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนแบบไร้รอยต่อ ได้สั่งการให้กรมการขนส่งทางราง (ขร.) พูดคุยขอความร่วมมือกับภาคเอกชนผู้ให้บริการรถไฟฟ้าในทุกสีไม่ใช่เพียงแต่รถไฟฟ้าที่กำกับโดยภาครัฐเท่านั้น แต่จะได้รับความร่วมมือกี่สายทางต้องรอผลการเจรจาในเร็วๆ นี้ ต่อไป ส่วนการให้บริการรถไฟฟ้าในคืนส่งท้ายปี 2567 จะมีการเปิดให้บริการถึง 02.00 น. เหมือนทุกปี” นายสุรพงษ์ กล่าว

สำหรับปริมาณผู้โดยสารคาดว่าส่วนของ ร.ฟ.ท. จะมีประชาชนใช้บริการช่วงเทศกาลปีใหม่ ประมาณ 1 แสนคนต่อวัน ขณะที่ บขส. คาดว่าจะมีผู้ใช้บริการประมาณ 7 หมื่นคนต่อวัน โดยยืนยันว่าทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมรถเสริมไว้ให้บริการประชาชนที่มีความประสงค์เดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลปีใหม่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นยืนยันว่าจะไม่มีผู้โดยสารตกค้าง อีกทั้งประชาชนจะได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางเชื่อมต่อระบบด้วยรถไฟฟ้าเพื่อรองรับการเดินทางกลับหลังปีใหม่ด้วย

ด้านนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) กล่าวว่า จากนโยบายเตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางปีใหม่ ร.ฟ.ท.ได้จัดแผนอำนวยความสะดวกและความปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชน โดยมีเป้าหมายเพื่อไม่ให้มีผู้โดยสารตกค้าง ตลอดจนได้รับความสะดวกในการเดินทางเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะอื่นๆ ซึ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่ครั้งนี้ การรถไฟฯ ได้จัดเตรียมความพร้อมโดยการเพิ่มตู้โดยสารจนเต็มหน่วยลากจูงในขบวนรถประจำจำนวน 214 ขบวนต่อวัน และเพิ่มขบวนรถเสริมพิเศษช่วยการโดยสารจำนวน 12 ขบวน สามารถรองรับการเดินทางของผู้โดยสารไม่ต่ำกว่า 1 แสนคนต่อวัน 

รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม ระบุว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ระหว่างวันที่ 29 ธ.ค. 2566 - 2 ม.ค. 2567 กระทรวงฯ ได้ประเมินการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด คาดว่ามีปริมาณผู้โดยสารรวมประมาณ 9 ล้านคนเที่ยว หรือเพิ่มขึ้นกว่า 20% แบ่งเป็น รถไฟฟ้า การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด (รฟฟท.) และรถไฟฟ้าที่ให้บริการโดย บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) 8.4 ล้านคนเที่ยว เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 6.7 ล้านคนเที่ยว ส่วนรถไฟระหว่างเมือง คาดผู้โดยสารใช้บริการอยู่ที่ประมาณ 6.18 แสนคนเที่ยว เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีจำนวน 5.67 แสนคนเที่ยว

'พีระพันธุ์' เตรียมเสนอลดค่าไฟฟ้างวดใหม่ ครม.พรุ่งนี้  ยัน!! จะทำให้ดีที่สุด ตัวเลขต้องไม่เกิน 4.20 บาทต่อหน่วย 

(18 ธ.ค.66) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  เปิดเผย ว่าการประชุม ครม.วันพรุ่งนี้ (19 ธ.ค.) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เตรียมเสนอปรับลดค่าไฟฟ้างวดใหม่ ม.ค. - เม.ย.67   

โดยตัวเลขค่าไฟจะไม่เกินที่ 4.20 บาทต่อหน่วย ขณะนี้กำลังทำตัวเลขอยู่ว่าจะได้เท่าไหร่ภายใต้เงื่อนไขปัจจุบัน ส่วนครัวเรือนที่เป็นกลุ่มเปราะบางที่เคยใช้ไฟไม่เกิน 300 หน่วย ก็จะมีช่วยเหลือ อยู่ที่ราคาเดิม คือ 3.99 บาท ซึ่งสามารถช่วยครัวเรือนได้ประมาณ 17 ล้านราย  

นางรัดเกล้า กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ยืนยันอยากที่จะให้ค่าไฟฟ้า อยู่ที่ 4.10 บาท แต่จะต้องมีหลายส่วนที่ต้องดูให้สอดคล้องกัน และรัฐมนตรีพลังงานอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะต้องดูทั้งระบบ ไม่ใช่แค่ปรับโครงสร้างเท่านั้น   

“ขอประชาชนไม่ต้องห่วง รัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานจะพยายามทำให้ดีที่สุด ทั้งเรื่องของพลังงานไฟฟ้า ราคาน้ำมัน โดยจะรื้อทั้งระบบที่เคยมีมากว่า 30 ปี ทั้งนี้เข้าใจความเดือดร้อนของประชาชนเป็นอย่างดี ซึ่งจะไม่สร้างภาระให้กับประชาชน และสิ่งใดที่สามารถทำได้จะทำทันที” นางรัดเกล้า กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top