Friday, 20 June 2025
ECONBIZ NEWS

'อ.วีระศักดิ์' ชี้!! 'โลกร้อน' อีกสาเหตุสำคัญทำเครื่องบินตกหลุมอากาศ พร้อมแนะทางออกภาคการท่องเที่ยวไทยในสภาวะโลกกำลังเดือด

รายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ได้พูดคุยกับ อ.วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในประเด็น 'เครื่องบินตกหลุมอากาศ กับ ภาวะโลกร้อน และการปรับตัวของภาคท่องเที่ยวไทย?' 

อ.วีระศักดิ์ เริ่มต้นด้วยกับประเด็นที่ว่าการตกหลุมอากาศลึกกว่า 2 กิโลเมตร ของสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ มีสาเหตุจากอะไร? โดยกล่าวว่า เรารู้แล้วว่าทำไมโลกถึงร้อน เพราะว่าแสงอาทิตย์ที่ส่องกระทบโลก มันสะท้อนกลับไปในอวกาศได้ไม่หมด เพราะมันมีก๊าซเรือนกระจกขวางอยู่ ตอนที่แสงส่องลงมามันเป็นคลื่นความถี่สูงทะลุทะลวงได้ดี เมื่อกระทบพื้นดินหรือพื้นน้ำ มันกลายเป็นคลื่นความถี่ต่ำ ทำให้สะท้อนอยู่ภายในโลกของเรา อุณหภูมิของโลกจึงอุ่นขึ้น โดยเฉพาะแถบเส้นศูนย์สูตรที่มีการรับแสงแดดจากดวงอาทิตย์โดยตรง น้ำจะระเหยเยอะ

ดังนั้น พอน้ำระเหย พวกมันจะเจอความร้อนตามขึ้นมาเรื่อย ๆ ตลอดเวลา ทำให้ลอยตัวสูงมากถึงชั้นที่เครื่องบินกำลังลอยตัวกันอยู่ เรียกว่า ลมพายกลอยตัว 

ตอนลอยตัวขึ้นไปเจอกับความเย็น บางช่วงอากาศมันก็จะกดตัวลงเมื่อเจอกับความเย็น เหมือนเป็นท่อลำเลียงให้อากาศและไอน้ำลอยขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงจุด ๆ หนึ่งมันก็จะเทลง เครื่องบินที่บินมาอาจเจออากาศพายกขึ้น และถ้าเจออากาศที่มันกดลงพอดี เรียกว่า 'แรงเฉือนของลม'

ในโลกใบนี้ยังมีลมหมุนจากทิศตะวันตกมาทิศตะวันออก หรือเรียกว่า Jet Stream (กระแสลมกรด) ส่วนใหญ่การตกหลุมอากาศมักเกิดขึ้นตอนกลางวัน และช่วงเย็น ๆ ทางแก้ไขในเรื่องนี้คือ เวลาโดยสารเครื่องบินต้องคาดเข็มขัดนิรภัยตามประกาศของนักบิน หรือถ้าบินในระยะทางสั้น ๆ บินเที่ยวเช้าก็น่าจะพอช่วยได้

ทั้งนี้เมื่อถามถึงผลกระทบจากโลกร้อน จะมีผลต่อภาคการท่องเที่ยวไทยด้วยแค่ไหน และควรรับมืออย่างไร? อ.วีระศักดิ์ กล่าวว่า ทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชนต้องสนใจ ทำความเข้าใจ และต้องตั้งใจช่วยลดโลกร้อนอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการท่องเที่ยว

เราต้องทำให้การท่องเที่ยวมีความสุข สบาย สะดวก ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับนักท่องเที่ยวมากขึ้น เพราะนักท่องเที่ยวในโลกนี้ต่อไปจากนี้ จะเป็นกลุ่มครอบครัวและผู้สูงอายุมากขึ้น ฉะนั้นสภาวะโลกร้อนปัจจุบัน ที่เรากำลังเจอในลักษณะ ร้อน-แห้ง และร้อน-เปียก ต้องถูกวางแผนให้กับภาคการท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับสภาวะอากาศที่จะเกิดขึ้น 

ยกตัวอย่าง เช่น ภาวะร้อน-แห้ง ควรจัดแผนการท่องเที่ยวอย่างไรให้นักท่องเที่ยวอยู่ในที่ร่มได้ ไม่เที่ยวกลางแจ้งมากนัก ส่วนภาวะร้อน-เปียก ควรจัดแผนการท่องเที่ยวตั้งแต่การเลือกเส้นทางมีน้ำท่วมหรือไม่ ต้องวางแผนล่วงหน้า เป็นต้น 

ส่วนเรื่องการเดินทางควรสนับสนุนให้มีการซื้อประกันการเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น ซึ่งระบบประกันของไทยยังสามารถเติบโตได้อีกมาก ทำให้มีความรู้สึกว่ามีมืออาชีพดูแลสร้างความสบายใจได้ตลอดทริป 

สรุปแล้วภาครัฐและผู้ประกอบการต้องปรับตัวและอำนวยความสะดวกเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับนักท่องเที่ยว สร้างความประทับใจ ทำให้ตลาดท่องเที่ยวของประเทศไทยมีโอกาสเติบโตไปกับภาวะโลกร้อนต่อไป

ส่องสถานะกองทุนน้ำมันฯ ติดลบอ่วม!! แตะ 1.1 แสนล้านบาท จำใจขยับดีเซล 50 สต. แต่ยังพยุง LPG 423 บาท ถึง 30 มิ.ย.67

(25 พ.ค.67) คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้อนุมัติขยายกรอบวงเงินชดเชยราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) เพิ่มขึ้นอีก 2,000 ล้านบาท (จากเดิมกำหนดกรอบวงเงินไว้ 48,000 ล้านบาท) ส่งผลให้กรอบวงเงินสำหรับชดเชยราคา LPG ปัจจุบันรวมเป็น 50,000 ล้านบาท

โดย ณ วันที่ 19 พ.ค. 2567 สำนักงานคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ได้รายงานว่า มีการใช้เงินชดเชยราคา LPG ไปแล้วรวม 47,624 ล้านบาท ซึ่งใกล้เต็มกรอบวงเงิน 4.8 หมื่นล้านบาท ดังนั้น กบน. จึงได้ขยายกรอบวงเงินเพื่อชดเชยราคา LPG เป็น 50,000 ล้านบาท เพื่อตรึงราคา LPG ให้อยู่ที่ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่กำหนดให้ตรึงราคาดังกล่าวจนถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2567

ปัจจุบันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในบัญชี LPG ได้ชดเชยราคา LPG อยู่ที่ 4.15 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อให้ราคาขายปลีกอยู่ที่ 25.87 บาทต่อกิโลกรัม หรือ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ทำให้กองทุนฯ มีเงินไหลออกจากการชดเชยราคา LPG ประมาณ 44.47 ล้านบาทต่อวัน หรือประมาณ 1,334 ล้านบาทต่อเดือน ขณะที่ราคา LPG โลกยังทรงตัวในระดับสูงที่ 582.50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน

สำหรับการตรึงราคา LPG ที่ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ทาง กบง. ได้เริ่มตรึงราคามาตั้งแต่เดือน มี.ค. 2566 รวมเป็นเวลากว่า 1 ปีแล้ว และย้อนไปในช่วงเดือน มี.ค. 2567 กบง. ได้มีมติให้ตรึงราคา LPG ไว้ที่ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม เป็นเวลา 3 เดือน ระหว่าง 1 เม.ย.-30 มิ.ย. 2567 นี้ โดยให้กองทุนน้ำมันฯ ชดเชยราคาเฉพาะเดือน เม.ย. 2567 ส่วนเดือน พ.ค.-มิ.ย. 2567 จะของบกลางจากรัฐบาลมาชดเชยราคาแทน 

แต่ที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2567 ได้มีมติเห็นชอบให้ตรึงราคา LPG ตามเดิมที่ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม โดยให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ดูแลเอง ซึ่งหมายถึงรัฐบาลไม่ได้จัดสรรงบกลางมาช่วยตรึงราคา LPG แต่อย่างใด จึงส่งผลให้ เมื่อต้นเดือน พ.ค. 2567 กบน. ต้องมีมติเพิ่มกรอบวงเงินเพื่อใช้ชดเชยราคา LPG เป็น 50,000 ล้านบาทดังกล่าว

ส่วนฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงล่าสุด ณ วันที่ 19 พ.ค. 2567 ยังติดลบอยู่ 110,854 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 63,230 ล้านบาท ส่วนบัญชี LPG ติดลบ 47,624 ล้านบาท

โดยกองทุนน้ำมันฯ จะต้องเร่งดำเนินการให้เงินไหลเข้ากองทุนน้ำมันฯ มากขึ้น เนื่องจากได้กู้เงินกับสถาบันการเงินรวม 105,333 ล้านบาท เมื่อปี 2565-2566 และจะเริ่มครบกำหนดต้องจ่ายคืนเงินต้นก้อนแรกที่ยืมมา 30,000 ล้านบาท ในเดือน พ.ย. 2567 นี้ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า กบน. ได้พยายามปรับขึ้นราคาดีเซลครั้งละ 50 สตางค์ต่อลิตร เพื่อลดภาระการชดเชยราคาลง โดยมีการขึ้นราคาดีเซลรวมไปแล้ว 5 ครั้ง รวมราคา 2.50 บาทต่อลิตร ขณะเดียวกันก็พยายามแก้ปัญหาโดยลดการชดเชยราคา LPG ลง แต่เมื่อ ครม. ไม่อนุมัติเงินมาช่วย จึงทำให้กองทุนฯ ยังต้องดึงเงินในกองทุนฯ มาพยุงราคาต่อไปก่อน  

‘สวทช.’ ผนึกกำลังหน่วยงานเกี่ยวข้อง จัดตั้ง ‘ธนาคารอาหาร’ หวังแก้วิกฤตปริมาณขยะอาหาร ด้วยการจัดการอาหารส่วนเกิน

เมื่อวานนี้ (23 พ.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Salika’ โพสต์ข้อความระบุว่า…

ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตขยะอาหารที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม และความมั่นคงทางอาหารของประชาชนกลุ่มเปราะบาง

นอกเหนือจากการกำหนดแนวทางการแก้ปัญหาขยะอาหารแล้ว การลดการสูญเสียอาหารตั้งแต่ต้นทางก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญในการลดวิกฤตปัญหาขยะอาหาร จากข้อมูลที่ได้มีการศึกษาพบว่า ประเทศไทยมีอาหารส่วนเกินมากถึงเกือบ 4 ล้านตันต่อปี ในขณะที่มีการรายงานตัวเลขของประชากรของประเทศที่มีรายได้น้อยและมีแนวโน้มที่จะประสบปัญหาการเข้าถึงอาหารอยู่ถึง 3.8 ล้านคน

และเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ มูลนิธิ SOS และหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม โดยการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้เปิดตัว ‘โครงการจัดตั้งธนาคารอาหารของประเทศไทย (Thailand’s Food Bank) : การบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน คำตอบในการสร้างความมั่นคงทางอาหารและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม’

เพื่อสร้างต้นแบบระบบการบริหารจัดการอาหาร ส่งต่ออาหารส่วนเกินไปยังกลุ่มเปราะบางของสังคมไทย มุ่งลดปริมาณขยะอาหารด้วยการจัดการอาหารส่วนเกิน ลดค่าใช้จ่ายในการกำจัดอาหารส่วนเกิน และลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงอาหาร ส่งเสริมเป้าหมายด้านการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน

‘สุริยะ’ เยือนอิตาลี ดึงภาคธุรกิจลงทุน ‘แลนด์บริดจ์’ แฮปปี้!! โครงการได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก

เมื่อวานนี้ (22 พ.ค.67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคม เปิดเผยว่า จากที่ได้เข้าร่วมเป็นประธานกล่าวเปิดงาน ‘Thai - Italian Business Forum’ โดยจัดขึ้นโดยกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศอิตาลี ณ สภาหอการค้าอิตาลี กรุงโรม สาธารณรัฐอิตาลี ร่วมกับประธานสภาหอการค้าอิตาลี พร้อมทั้งได้ลงนามในบันทึกความร่วมมือระหว่างสภาหอการค้าอิตาลีและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การแลกเปลี่ยนความรู้ความสามารถโดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี และส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและอิตาลีให้เพิ่มมากขึ้น

นายสุริยะ กล่าวว่า ทุกหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีความพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาให้กับนักธุรกิจที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ภายใต้นโยบาย gnite Thailand ที่ดำเนินการโดยรัฐบาล เพื่อมุ่งที่จะพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจ พร้อมได้เชิญชวนนักธุรกิจชาวอิตาลีที่มีความเชี่ยวชาญและชำนาญในธุรกิจสินค้าหรูหรา (Luxury) เข้าร่วมลงทุนในประเทศไทย โดยคาดหวังให้ไทยกับสหภาพยุโรปเกิดข้อตกลงการค้าเสรี ภายในปี 2568

ด้าน นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ได้รับเชิญให้ขึ้นกล่าวนำเสนอโครงการแลนด์บริดจ์ในช่วงโอกาสการลงทุนในประเทศไทย ให้สมาชิกสภาหอการค้าอิตาลีได้ทราบถึงความเป็นมาของโครงการ รายละเอียด โอกาสในการลงทุน รูปแบบการลงทุน รวมถึงสร้างความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนไทยและอิตาลี เพื่อเชิญชวนให้ภาคธุรกิจอิตาลีที่สนใจเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งโครงการดังกล่าวได้รับความสนใจจากนักลงทุนและนักธุรกิจของอิตาลีเป็นอย่างมาก

เปรียบเทียบราคาน้ำมันเชื้อเพลิงใน 10 ชาติอาเซียน ประเทศไหน 'ถูก-แพง' หากใช้ค่าแรงตั้ง หารด้วย 'ราคาต่อหน่วย'

บ่อยครั้งที่บ้านเรามีการหยิบยกเอาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงมาเปรียบเทียบกับรายรับของประชากร ASEAN ทั้ง 10 ประเทศ ด้วยการเอาค่าแรงตั้งแล้วหารด้วยราคาจำหน่ายปลีกของน้ำมันเชื้อเพลิง จนได้ผลออกมาว่า 'ค่าแรงของแต่ละประเทศนั้นจะสามารถซื้อน้ำมันได้กี่ลิตร' เพื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของ 10 รัฐสมาชิก ASEAN 

แม้วิธีการคิดแบบนี้จะง่ายและดูเหมือนมีความชัดเจน แต่เป็นวิธีการที่ไม่น่าจะถูกต้อง เพราะไม่ได้พิจารณาด้วยข้อมูลจากดัชนีค่าครองชีพ (Cost of Living Index) 

ดัชนีค่าครองชีพ (Cost of Living Index) เป็นการคำนวณค่าใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภค อาทิ ค่าอาหาร ค่าเดินทาง เสื้อผ้าและรองเท้า กีฬาและสันทนาการ และค่าสาธารณูปโภค (ไม่รวมค่าเช่าที่อยู่อาศัย) ซึ่งสำรวจข้อมูลจากแหล่งต่างๆ อาทิ หน่วยงานภาครัฐ ซูเปอร์มาร์เก็ต ผู้ประกอบการ และผู้บริโภค โดยเปรียบเทียบกับดัชนีค่าครองชีพของมหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งใช้เป็นค่าฐานอยู่ที่ร้อยละ 100 (100%)

ดัชนีค่าครองชีพยังเป็นเกณฑ์มาตรฐานสําหรับการเปรียบเทียบความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของสถานที่ที่แตกต่างกันสําหรับ บุคคล, ครอบครัว และธุรกิจ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ได้แก่...

- ค่าที่อยู่อาศัย : ค่าเช่าหรือค่าจํานองภาษีทรัพย์สินและค่าสาธารณูปโภค
- ค่าอาหาร : ร้านขายของชําและรับประทานอาหารนอกบ้าน
- ค่าขนส่ง : น้ำมันเบนซิน การขนส่งสาธารณะ และค่าใช้จ่ายในการบํารุงรักษายานพาหนะ
- ค่ารักษาพยาบาล : เบี้ยประกันสุขภาพ และค่ารักษาพยาบาลนอกเหนือความคุ้มครองของประกัน
- ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา : ค่าเล่าเรียน อุปกรณ์การเรียน และการใช้จ่ายในดูแลเด็กเล็ก
- ค่าใช้จ่ายด้านสันทนาการและความบันเทิง : กิจกรรมสันทนาการ ความบันเทิง และสินค้าเพื่อการพักผ่อน
- ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด : เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว และค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดอื่นๆ

***หากค่าของดัชนีค่าครองชีพในประเทศใด 'สูง' จะหมายถึงว่าค่าใช้จ่ายต่างๆ ในประเทศนั้นย่อมสูงตามไปด้วย

ทีนี้หากเปรียบเทียบ ราคาน้ำเบนซินต่อลิตร กับค่าแรงหนึ่งวัน และดัชนีค่าครองชีพ ของ ASEAN 10 ประเทศ (คิดเป็นเงินบาท) พอจะสรุปข้อมูลได้ดังนี้...

1. สิงคโปร์ : ราคาน้ำมันเบนซินลิตรละ 79 บาท แรงงานมีรายได้ต่อเดือนประมาณ 46,051 บาท หรือวันละ 1,535 บาท ค่าแรงหนึ่งวันสามารถซื้อน้ำมันเบนซินได้ 19.4 ลิตร และดัชนีค่าครองชีพเท่ากับ 81.9 (สิงคโปร์เป็นผู้ส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปอันดับหนึ่งของ ASEAN มีระบบการขนส่งมวลชนดีที่สุดใน ASEAN ชาวสิงคโปร์จึงใช้รถยนต์ส่วนบุคคลกันน้อยมาก)

2. บรูไน : ราคาน้ำเบนซินลิตรละ 14 บาท ไม่มีการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ รายได้ต่อเดือนประมาณ 28,431 บาท หรือวันละ 948 บาท ค่าแรงหนึ่งวันสามารถซื้อน้ำมันเบนซินได้ 67.7 ลิตร และดัชนีค่าครองชีพเท่ากับ 50.5 (บรูไนเป็นผู้ส่งออกน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดของ ASEAN)

3. มาเลเซีย : ราคาน้ำเบนซินลิตรละ 16 บาท ค่าแรงวันละ 392 บาท ค่าแรงหนึ่งวันสามารถซื้อน้ำมันเบนซินได้ 24.5 ลิตร และดัชนีค่าครองชีพเท่ากับ 30.5 (รัฐบาลมาเลเซียใช้งบประมาณของรัฐในการอุดหนุนราคาน้ำมันเชื้อเพลิงราวปีละ 387,069,500 ล้านบาท)

4. ไทย : ราคาน้ำเบนซินลิตรละ 38.5 บาท ค่าแรงวันละ 363 บาท ค่าแรงหนึ่งวันสามารถซื้อน้ำมันเบนซินได้ 9.4 ลิตร และดัชนีค่าครองชีพเท่ากับ 36.04 (ไทยมีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วใช้การอุดหนุนน้ำมันดีเซลและก๊าซ LPG)

5. ฟิลิปปินส์ : ราคาน้ำเบนซินลิตรละ 37 บาท ค่าแรงวันละ 362 บาท ค่าแรงหนึ่งวันสามารถซื้อน้ำมันเบนซินได้ 9.8 ลิตร และดัชนีค่าครองชีพเท่ากับ 33.6 (รัฐบาลฟิลิปปินส์ใช้งบประมาณของรัฐในการอุดหนุนราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ปัจจุบันมีความพยายามที่จะฟื้นฟูกองทุนรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน (OPSF) ซึ่งยกเลิกไปในปี 1996 กลับมาใช้อีกครั้งหนึ่ง)

6. อินโดนีเซีย : ราคาน้ำเบนซินลิตรละ 35.5 บาท ค่าแรงวันละ 351 บาท ค่าแรงหนึ่งวันสามารถซื้อน้ำมันเบนซินได้ 9.9 ลิตร และดัชนีค่าครองชีพเท่ากับ 28.5 (รัฐบาลอินโดนีเซียใช้งบประมาณของรัฐในการอุดหนุนราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ LPG ราวปีละ 303,245,769 ล้านบาท)

7. เวียดนาม : ราคาน้ำเบนซินลิตรละ 33 บาท ค่าแรงวันละ 234 บาท ค่าแรงหนึ่งวันสามารถซื้อน้ำมันเบนซินได้ 7.1 ลิตร และดัชนีค่าครองชีพเท่ากับ 30.8 (เวียดนามมีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง)

8. กัมพูชา : ราคาน้ำเบนซินลิตรละ 43.5 บาท ค่าแรงวันละ 227 บาท ค่าแรงหนึ่งวันสามารถซื้อน้ำมันเบนซินได้ 5.2 ลิตร และดัชนีค่าครองชีพเท่ากับ 38.5 และไม่มีโรงกลั่นน้ำมัน

9. ลาว : ราคาน้ำเบนซินลิตรละ 54 บาท ค่าแรงวันละ 85 บาท ค่าแรงหนึ่งวันสามารถซื้อน้ำมันเบนซินได้ 1.6 ลิตร และดัชนีค่าครองชีพเท่ากับ 44.4 (ลาวพึ่งจัดตั้งกองทุนรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันในปีนี้) และไม่มีโรงกลั่นน้ำมัน

10. เมียนมา : ราคาน้ำเบนซินลิตรละ 40.5 บาท ค่าแรงวันละ 81 บาท ค่าแรงหนึ่งวันสามารถซื้อน้ำมันเบนซินได้ 2 ลิตร และดัชนีค่าครองชีพเท่ากับ 38.6

ดังนั้นวิธีการเอา 'ค่าแรงตั้ง' หารด้วย 'ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงต่อหน่วย' ได้คำตอบเป็น 'ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิง' จึงเป็นตรรกะที่ไม่ถูกต้อง หากไม่นำปัจจัยอื่นๆ มาพิจารณาประกอบร่วม โดยเฉพาะ 'ดัชนีค่าครองชีพ' เพราะผลลัพธ์ที่ออกมา แม้ค่าแรงจะสามารถซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากกว่าประเทศอื่น แต่หากดัชนีค่าครองชีพสูง อาทิ ดัชนีค่าครองชีพของสิงคโปร์ ที่สูงถึง 81.9 ซึ่งหมายความว่า ถ้าค่าครองชีพในมหานครนิวยอร์กเท่ากับวันละ 100 ดอลลาร์สหรัฐ ประชาชนชาวสิงคโปร์ต้องจ่ายค่าครองชีพเท่ากับ 81.9 ดอลลาร์สหรัฐ 

เมื่อต้องใช้จ่ายค่าครองชีพที่สูงลิ่วแล้ว แน่นอนว่าคนสิงคโปร์ก็คงจะไม่มีเงินเหลือพอที่จะซื้อรถยนต์ ซ้ำยังต้องจ่ายค่าเช่าที่จอดรถอีกซึ่งแพงมากๆ และไหนจะต้องเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอีก 

ส่วนบางประเทศได้ใช้น้ำมันราคาถูก นั่นก็เพราะภาครัฐต้องใช้งบประมาณของประเทศจำนวนมากมายมหาศาลในการอุดหนุนราคา ซึ่งน่าเสียดายแทน เพราะแทนที่จะได้เอางบประมาณดังกล่าวไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในด้านอื่นๆ 

ดังนั้น เมื่อลองพิจารณาจากตัวเลขข้อมูลโดยรวมในหลายๆ มิติแล้ว ราคาน้ำมันของแต่ละประเทศต่างก็มีความเหมาะสมถูกต้องตามแต่บริบทของประเทศนั้นๆ โดยใน ASEAN มีบรูไนประเทศเดียวเท่านั้นที่มีน้ำมันดิบและโรงกลั่นน้ำมันเอง ในขณะที่อีก 9 ประเทศต้องนำเข้าน้ำมันดิบหรือน้ำมันเชื้อเพลิงสำเร็จรูป เพราะไม่มีโรงกลั่นน้ำมันเอง 

โดยสรุป ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจะถูกหรือแพงนอกจากเรื่องของราคาแล้วยังต้องพิจารณาปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างถี่ถ้วนอีกด้วย จึงจะเข้าใจว่าราคาน้ำเชื้อเพลิงที่ถูกต้อง เหมาะสม และเป็นธรรมของแต่ละประเทศนั้น ควรเป็นเท่าใด? และด้วยเหตุผลอันใด?

‘มาคาเลียส’ เผย ‘Staycation-Sleep Tourism’ กำลังฮิต แนะผู้ประกอบการปรับตัว รับกลุ่มคนรุ่นใหม่สายรักสุขภาพ

(21 พ.ค. 67) มาคาเลียส แหล่งรวม อี-วอเชอร์ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว อันดับ 1 ของประเทศไทย เผยเทรนด์การเที่ยวแบบ Staycation และ Sleep Tourism การท่องเที่ยวที่เน้นการพักผ่อน การชาร์จพลัง และการนอน มีอัตราเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่หันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพหลังยุคโควิด-19 ด้านผู้ประกอบการโรงแรมที่พักควรปรับแผนการตลาดรับโอกาสที่จะมาในอนาคต  

นางสาวณีรนุช ไตรจักร์วนิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาคาเลียส (MAKALIUS) ประเทศไทย จำกัด ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์ แหล่งรวม อี-วอเชอร์ ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว กล่าวว่า “เทรนด์การท่องเที่ยวในรูปแบบ Staycation การท่องเที่ยวในละแวกจังหวัดที่ไม่ไกลมาก เน้นการทำกิจกรรมในโรงแรมที่พัก เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน นวดสปา เป็นต้น และรูปแบบ Sleep Tourism หรือการท่องเที่ยวเพื่อการนอนพักผ่อน ย้ายที่นอน ชาร์จพลังให้กับร่างกายและจิตใจให้กับตัวเอง ถือเป็นเทรนด์การท่องเที่ยวที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่หันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพหลังยุคโควิด-19 ซึ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะมองหาโรงแรม ที่พัก ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เน้นท่องเที่ยวในช่วงโลว์ซีซั่น เพราะต้องการความสงบ

ดังนั้น ผู้ประกอบการโรงแรม ที่พัก จำเป็นต้องปรับรูปแบบการให้บริการเพื่อให้บริการนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนสำคัญ คือ ห้องพัก (Room) ถือเป็นส่วนสำคัญมากที่สุด เพราะนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ต้องการการพักผ่อนที่แท้จริง ดังนั้น ห้องพักต้องสะอาด แสงไฟพอดี อุณหภูมิในห้องต้องเหมาะสม ชุดเครื่องนอนต้องมีคุณภาพ หรืออาจเสริมด้วยอุปกรณ์สมาร์ตไอทีที่จะช่วยให้การนอนหลับสบายขึ้น บรรยากาศต้องเงียบสงบ ถ้าเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ต้องมีการแบ่งโซนห้องพักเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน เช่น แบ่งโซนห้องพักแบบครอบครัว ห้องพักที่ต้องการความเป็นส่วนตัว เป็นต้น โดยห้องพักขนาดกลางและขนาดใหญ่ตั้งแต่ 35 ตารางเมตรขึ้นไป รวมถึงห้องพักแบบ Private Pool Villa จะได้รับความนิยมเป็นพิเศษ

ต่อมาคือ กิจกรรม (Activity) นอกเหนือจากการพักผ่อนแล้วกิจกรรมภายในโรงแรมที่พักก็เป็นส่วนสำคัญที่นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย ช่วยให้หลับง่าย และช่วยแก้ปัญหาออฟฟิศซินโดรม อย่างการนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การสอนโยคะ คลื่นเสียงบำบัด (Sound Healing) ธาราบำบัด Sub Board พายเรือ ต่อยมวย เป็นต้น รวมถึงกิจกรรมที่จะช่วยเพิ่มประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยว อย่างเช่น ห้องสมุด ห้องชมภาพยนตร์ กิจกรรมทำอาหาร ก็เป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจเข้าเลือกใช้บริการ

สุดท้ายคือ อาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage) เนื่องจากนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะใช้ชีวิตอยู่ในโรงแรมที่พักตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เดินทางไปท่องเที่ยวหรือรับประทานอาหารภายนอกโรงแรม ดังนั้น การให้บริการอาหารและเครื่องดื่มจึงเป็นส่วนสำคัญ รูปแบบอาหารควรมีให้เลือกหลากหลายทั้งอาหารจานเดียวไปจนถึงบุฟเฟต์ และขยายเวลาการให้บริการ Room service ที่ยาวขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่สั่งอาหารรับประทานที่ห้องพัก ในส่วนของเครื่องดื่มควรมีน้ำเปล่าและน้ำให้แข็งให้บริการตลอดเวลาไม่จำกัดจำนวน ในจุดนี้แม้จะมองเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ถือว่าเป็นเซอร์วิสมายที่ลูกค้าให้คะแนนสูงที่สุด

นางสาวณีรนุช กล่าวต่อว่า “นอกเหนือจากการปรับรูปแบบของเซอร์วิสแล้ว แผนการสื่อสารการตลาดก็เป็นส่วนสำคัญที่จะต้องทำให้นักท่องเที่ยวรับรู้และเข้าใจ รวมถึงการทำโปรโมชันต่าง ๆ ที่สอดรับกับรูปแบบบริการ อย่างการจัดทำเป็นแพ็กเกจห้องพักรวมอาหารเช้า กลางวัน และเย็น หรือแพ็กเกจห้องพักรวมกิจกรรม เป็นต้น เช่นเดียวกับมาคาเลียส ที่ได้ร่วมมือกับโรงแรมที่พักร่วมจัดทำแพ็กเกจพิเศษ ห้องพักรวมบริการด้านต่าง ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับลูกค้ากลุ่ม Staycation และ Sleep Tourism ได้มีทางเลือกเพิ่มมากขึ้น”

สำหรับนักท่องเที่ยวที่กำลังมองหาแพ็กเกจโรงแรมที่พักแบบส่วนตัว พร้อมกิจกรรมต่าง ๆ และโปรโมชันสุดพิเศษ สามารถแวะมาชมได้ที่ www.makalius.co.th สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม Line Official @makalius

‘เศรษฐกิจสีชมพู’ โอกาสที่ ‘ไทย’ ไม่ควรมองข้าม ดึงกลุ่ม ‘LGBTQ+’ ผู้มีกำลังซื้อมหาศาลเข้าประเทศ

เมื่อวานนี้ (20 พ.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Salika’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

ก่อนจะถึงเดือนมิถุนายน เดือน Pride Month ช่วงเวลาที่ทั่วโลกเปิดรับความหลากหลายทางเพศที่ไร้ซึ่งข้อจำกัดเดิม ๆ อยากพาทุกคนมารู้จักกับ ‘เศรษฐกิจสีชมพู’ หรือ ‘Pink Economy’ อีกหนึ่งโอกาสของ ‘ประเทศไทย’ ที่จะใช้ความโดดเด่นของพื้นที่ที่เปิดกว้างและมอบอิสระให้ชาว LGBTQ+ ในการสร้างธุรกิจที่โดนใจกลุ่มคนเหล่านี้

โดยในปี 2566 ข้อมูลจาก LGBT Capital ระบุว่า ประเทศไทย ติดอันดับ 4 ของโลก ที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวกลุ่ม LGBT สูงที่สุด อีกทั้งแนวโน้มการจัดอันดับระดับสากล ในแง่ประเทศที่เป็นมิตรต่อ LGBTQ+ มากที่สุด ซึ่งไทยก็มีคะแนนไต่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนภาพดินแดนที่เปิดกว้างพร้อมโอบอุ้มความหลากหลายทางเพศ จนนี่อาจกลายมาเป็นจุดขายใหม่ทางเศรษฐกิจได้

บทความจาก สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) หรือ OKMD ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าในแต่ละปีของเทศกาลไพรด์ หรือ Pride Month ในเดือนมิถุนายน การจัดงานนี้ที่ประเทศไทยได้รับการกล่าวถึงในกลุ่ม LGBTQ+ ทั่วโลก เพราะมีสีสันและน่าตื่นตาตื่นใจมาก

และการรวมตัวหรือรวมกลุ่มของชาว LGBTQ+ นี่เอง ที่ทำให้เกิดโอกาสทางเศรษฐกิจ ที่สามารถสร้างเม็ดเงินมหาศาลของคนเหล่านั้นได้เช่นกัน ซึ่งภาษาในทางการตลาด เรียกว่า PINK ECONOMY หรือเศรษฐกิจสีชมพู ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในสหรัฐฯ ช่วงกลางทศวรรษ 1960 เมื่อบริษัทต่างๆ เริ่มมองเห็น ‘กำลังซื้อ’ และการใช้จ่ายที่หนักและหลากหลายของกลุ่ม LGBTQ+ ซึ่งมากกว่ากลุ่มเพศตรงข้าม และกลุ่มครอบครัวที่มีลูก แม้จะไม่ได้มีรายได้สูงกว่าก็ตาม

แต่ด้วยพฤติกรรมการบริโภคที่ต่างออกไป ไม่มีลูก ไม่มีภาระทางครอบครัวมากนัก จึงมีเงินในกระเป๋าเหลือสูงกว่า มีความต้องการสินค้าฟุ่มเฟือย และบริการระดับพรีเมียมเพิ่มขึ้น และมักจะเลือกซื้อด้วยราคาที่แพงกว่าผู้บริโภคกลุ่มครอบครัว

ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า อาหาร ของใช้ส่วนตัว แม้กระทั่งการท่องเที่ยวที่เน้นความหรูหรา และหากกลุ่ม LGBTQ+ เลือกใช้ชีวิตคู่ ก็ยิ่งมีกำลังซื้อสูงขึ้นแบบทวีคูณไปอีก เรียกว่า DINK หรือ Double Income, No Kids มีรายได้สองเท่า ไม่มีลูกเป็นเงื่อนไข และใช้จ่ายได้อิสระ

โดย PINK ECONOMY ในสหรัฐนั้น อาจสูงถึง 780,000 ล้านดอลลาร์จากการประเมินของ Witeck Communication บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ธุรกิจของสหรัฐ ขณะที่ประมาณการกำลังซื้อของคนกลุ่มนี้ทั่วโลกอาจจะสูงถึง 3.7 ล้านล้านดอลลาร์เลยทีเดียว

ขณะที่หนังสือพิมพ์ China Daily ของทางการจีน ได้เคยระบุถึงเม็ดเงิน Pink economy ในประเทศเมื่อหลายปีก่อนที่มีขนาดตลาดสูงถึง 300,000 ล้านดอลลาร์ จากจำนวน LGBTQ+ ที่มีอยู่ในจีนถึง 70 ล้านคน พูดง่าย ๆ แค่ตลาดคนกลุ่มนี้ในจีนประเทศเดียว ก็เท่ากับประชากรไทยทั้งประเทศแล้ว

ดังนั้น ด้วยโอกาสต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ ทำให้ประเทศไทยไม่ควรมองข้ามความน่าสนใจของ เศรษฐกิจสีชมพู หรือ PINK ECONOMY ด้วยประการทั้งปวง

สำหรับโอกาสของตลาด พลังซื้อของกลุ่มผู้บริโภค LGBTQ+ ภายใต้ข้อมูล กลุ่มเกย์ และเลสเบี้ยน มีรายได้เฉลี่ยต่อปีสูงกว่าเพศหญิงและชาย มูลค่าตลาดถูกคาดการณ์ว่าจะเติบโตอีกมาก โดยเฉพาะไทย ซึ่งกวาดเม็ดเงินจากคนกลุ่มนี้ได้เป็นอันดับ 1 ของเอเชีย

ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ประเทศไทยจะตั้งเป้า เป็นฮับ LGBTQ+ Destination และเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวกลุ่ม LGBTQ+ ระดับสากล เช่นเดียวกับ สหรัฐฯ ฝรั่งเศส อังกฤษ และออสเตรเลีย อีกด้วย โดยจะเดินหน้าพัฒนาการเดินทางมาเยือนให้เข้าถึงได้ง่าย สะดวก ปลอดภัย และมีที่พักโรงแรม ร้านอาหาร แหล่งท่องเที่ยว สถานบริการเฉพาะกลุ่ม ตลอดจนคลินิกสุขภาพเพศหลากหลายอย่างครบครัน ผลักดัน ซีรีส์วายไทยให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ไปในตัว

โดยล่าสุดได้มีการวิเคราะห์โอกาสทางการตลาดผ่าน เศรษฐกิจสีชมพู หรือ PINK ECNOMY ที่เกิดขึ้นจากพลังซื้อ กลุ่ม LGBTQ+ ทั้งนี้ โอกาสของธุรกิจ และกิจกรรมที่มีศักยภาพ ซึ่งรัฐและเอกชนต้องช่วยขับเคลื่อน มีดังนี้

1. ส่งเสริม เทศกาล Pride Month ต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่ และ ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ๆ สร้างความพร้อมของพื้นที่เพื่อเสนอตัว เป็นเจ้าภาพ จัด WorldPride เชิญชวนให้นักท่องเที่ยวมาร่วมงานมากขึ้น และสนับสนุนแบรนด์สินค้าให้ใช้ในเทศกาล ชูธงสีรุ้ง แสดงสัญลักษณ์ของการเป็นส่วนหนึ่งบนแพลตฟอร์มและสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม LGBTQ+ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย

2. ส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย อาศัยจุดแข็งของไทย ที่ติดอันดับประเทศน่าเที่ยวของชาว LGBTQ+ ดึงแหล่งท่องเที่ยวและเทศกาลท้องถิ่นมาเป็นจุดขาย ใช้โอกาสพัฒนาสินค้าชุมชนให้น่าสนใจ เพื่อทำให้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มาเที่ยวและใช้จ่ายมากขึ้น

3. ส่งเสริมธุรกิจด้านความบันเทิง คลับ บาร์ ราตรีสถาน หรือการประกวด LGBTQ+ เพื่อให้เป็นฮับของการมาผ่อนคลายและสนุกสนาน

4. ส่งเสริมธุรกิจด้านสุขภาวะและอสังหาริมทรัพย์สำหรับเพศหลากหลาย เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่ม LGBTQ+ ทั้งในด้านการดูแลสุขภาพเฉพาะ การผ่าตัดแปลงเพศ และการจัดสรรบ้านพักอาศัยสำหรับคู่รักเพศเดียวกัน

‘ไทย’ ขึ้นแท่น ‘ฐานการผลิตรถยนต์’ เบอร์ 1 ของอาเซียน ผลพวงจากการส่งเสริมของภาครัฐที่มีมาอย่างต่อเนื่อง

เมื่อวานนี้ (20 พ.ค.67) ดร.เกรียงศักดิ์ วงศ์พร้อมรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ กล่าวว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา ตลาดยานยนต์ในไทยมีมูลค่ารวมกว่า 3 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 18% ของ GDP ของประเทศ การส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ของภาครัฐที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์อันดับ 10 ของโลก อันดับ 5 ของเอเชีย และอันดับ 1 ของอาเซียน

โดยเฉพาะยานยนต์สันดาปภายใน ที่ไทยเป็นฐานการผลิตมายาวนานและภาครัฐให้ความสำคัญ โดยมุ่งเน้นการผลิตยานยนต์สันดาปภายในที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงสูงและมีอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับต่ำ พร้อมตั้งเป้าหมายภายในปี 2030 ไทยจะมีสัดส่วนการผลิตยานยนต์สันดาปภายใน 70% และจะเป็นฐานการผลิตยานยนต์สันดาปภายในแห่งสุดท้ายของโลก

สำหรับการส่งออก ประเทศไทยมีปริมาณการส่งออกรถยนต์ใน 3 ภูมิภาคหลัก คือ เอเชีย โอเชียเนีย และตะวันออกกลาง มากกว่าร้อยละ 70 ของปริมาณการส่งออกรวม สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศได้อย่างมาก โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา ไทยมีมูลค่าการส่งออกรถยนต์ถึง 19,776.19 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 688,531.24 ล้านบาท จากแนวโน้มการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของการส่งออกรถยนต์ของไทย ทำให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศที่มีมากกว่า 2,300 ราย มีการขยายตัวไปด้วยเช่นกัน

ปัจจุบันอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากการผลิตยานยนต์แบบดั้งเดิมมาเป็นการผลิตยานยนต์สมัยใหม่ที่เน้นด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยมลพิษและก๊าซเรือนกระจกสูง ภายใต้นโยบายของภาครัฐที่มุ่งเน้นและผลักดันให้ยานยนต์ที่ผลิตในประเทศเป็นยานยนต์ที่สะอาด ประหยัด และปลอดภัย เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ควบคู่ไปกับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน

จากมาตรการการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่ครอบคลุมตั้งแต่การผลิต การใช้งานและโครงสร้าง พื้นฐานเพื่อรองรับการใช้งานที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของไทยขยายตัวอย่างวรวดเร็ว โดยปัจจุบันมีค่ายรถยนต์ทั้งจากประเทศจีนและญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนและมีแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า BEV ในประเทศไทยในปี 2567 กว่า 9 ราย

นำโดย BYD, MG, Changan, NETA, GAC, Nissan ฯลฯ และมีกำลังการผลิตรวมกว่า 596,000 คันต่อปี ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 ไทยเริ่มมีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า BEV ในประเทศ โดยมีปริมาณการผลิตรวม 2,466 คัน นำโดย ค่าย GWM, MG และ Honda (ผลิตรถยนต์ BEV HRV-en1 จำนวน 30 คัน ในเดือน มกราคม 2567 ที่ผ่านมา)

ขณะเดียวกันตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2566 ที่ผ่านมาไทยมีปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า BEV ทั้งสิ้น 73,568 คัน อัตราการขยายตัว 694% ขณะที่ในช่วงไตรมาสแรกของ ปี 2567 มีปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า BEV กว่า 19,131 คัน ซึ่งหากพิจารณาตามข้อมูลสถิติปริมาณการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าสะสมในประเทศไทยพบว่า จนถึงปัจจุบันมีจำนวนรถไฟฟ้า BEV ที่จดทะเบียนแล้วกว่า 113,435 คัน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

กองทุนน้ำมันแบกหนี้อ่วม 'ทุกยุค-ทุกรัฐบาล' เพื่อช่วยคนไทย ทางแก้!! ต้องกล้าทำระบบ SPR สำรองเชื้อเพลิงให้ประเทศ

วิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิงที่เกิดขึ้นรอบนี้เกิดขึ้นเพราะสงครามรัสเซีย-ยูเครนตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2022 ต่อเนื่องมายาวนานกว่า 2 ปีแล้ว ประจวบกับการปะทะกันระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ปาเลสไตน์ ซ้ำบานปลายกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและอิสราเอลเพิ่มขึ้น 

เงื่อนไขปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้ราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบในตลาดโลกเมื่อปลายปี 2021 ที่เคยอยู่ที่บาร์เรลละ 75-78 ดอลลาร์ ขยับขึ้นมาเป็นบาร์เรลละ 90-122 ดอลลาร์ในปี 2022 และบาร์เรลละ 75-91 ดอลลาร์ในปี 2023 ส่วนในปัจจุบันราคาน้ำมันดิบของโลกเฉลี่ยอยู่ที่บาร์เรลละ 80-90 ดอลลาร์ 

จากวิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิงที่เกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานในครั้งนี้ทำให้ประเทศไทยต้องใช้เงินจาก ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ เพื่ออุดหนุนชดเชยเพื่อตรึงราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเฉพาะน้ำมันดีเซล ซึ่งถือเป็นน้ำมันเศรษฐกิจของประเทศ เพราะรถโดยสารและรถบรรทุกขนส่งส่วนใหญ่ใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงทั้งสิ้น

โดย ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ มาจาก 3 ส่วน คือ...
- ส่วนของภาษีสรรพสามิตที่กรมสรรพสามิตเรียกเก็บจากผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ
- ส่วนของภาษีศุลกากรที่กรมศุลกากรเรียกเก็บจากผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
- ส่วนของผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงและผู้รับสัมปทานที่ทำธุรกิจก๊าซ ซึ่งต้องนำส่งเงินให้แก่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ

‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ มีบทบาทและภารกิจที่สำคัญในการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศ ในช่วงสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกมีความผันผวน เกิดสภาวะวิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อรักษาระดับของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ให้สูงเกินไปจนเกิดผลกระทบต่อค่าครองชีพประชาชน และการเติบโตด้านเศรษฐกิจของประเทศ ภายใต้กรอบการดำเนินงานของแผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2563-2567 

โดย ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ ได้กำหนดแนวทางสำคัญในการใช้เงินกองทุนฯ ไว้ 3 ประการ เพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงดังนี้...

1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงมีการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกในประเทศสูงกว่า 30 บาท/ลิตร และราคาขายปลีก LPG เกิน 363 บาท/ถัง (15 กก.)

2. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงปรับตัวสูงขึ้นอย่างรุนแรง (1) ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นมากกว่า 5 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลใน 1 สัปดาห์ และส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกปรับขึ้นมากกว่า 1 บาท/ลิตร (2) ราคา LPG ตลาดโลกเปลี่ยนแปลงใน 2 สัปดาห์ เฉลี่ยมากกว่า 35 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน หรือ ราคา LPG ตลาดโลกเปลี่ยนแปลงใน 2 สัปดาห์ รวมกันมากกว่า 1 บาท/กก.

3. สถานการณ์น้ำมันเชื้อเพลิงขาดแคลนและไม่เพียงพอต่อการใช้ในประเทศ

ทั้งนี้ในการดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ จะมุ่งเน้นการอุดหนุนและชดเชยในระยะสั้นเพียงชั่วคราวโดยยึดถือระเบียบวินัยทางการเงินการคลังเป็นสำคัญ แต่ในปัจจุบันการณ์กลับกลายเป็นว่า ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ ติดลบมหาศาลมีภาระดอกเบี้ยจ่ายเดือนละ 200-250 ล้านบาท หมายความว่า ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ มียอดติดลบมากกว่า 100,000 ล้านบาทแล้ว นับแต่วิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิงจาดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ปี 2022 ไทยได้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการอุดหนุนน้ำมันดีเซล และ LPG มาโดยตลอด เพราะเชื้อเพลิงทั้งสองชนิดนี้เป็นเชื้อเพลิงที่มีความสำคัญอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม และมีผลกระทบโดยตรงต้องพี่น้องประชาชนคนไทยซึ่งต้องบริโภคใช้งานเชื้อเพลิงทั้งสองชนิดนี้ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม 

กรณีการติดลบมหาศาลของ ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ นี้ มีความพยายามที่จะป้ายความผิดให้กับ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ว่า การเข้ามารับผิดชอบดูแลกระทรวงพลังงานระยะเวลา 9 เดือนทำให้ ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ เกิดปัญหาใหญ่เช่นนี้ขึ้น หากแต่พิจารณาด้วยเหตุและผลอย่างเป็นธรรมและมีตรรกะแล้ว จะพบว่าที่ผ่านมาชั่วนาตาปี รัฐบาลทุกชุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานทุกคนต่างก็ใช้ ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ ซึ่งเป็นเครื่องมือในการกำกับดูแลราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และเป็นเครื่องมือที่สามารถทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่สุดเพียงเครื่องมือเดียวที่ภาครัฐมีอยู่ 

เพราะเครื่องมืออื่น ๆ ไม่ว่าจะ บทบาท อำนาจหน้าที่ และกฎหมาย ที่มีอยู่ไม่สามารถใช้งานแก้ไขปัญหาราคาเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพได้ รองฯ ‘พีระพันธุ์’ จึงต้องใช้ ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ ซึ่งเป็นเครื่องมือเดียวที่มีอยู่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าจากวิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อเป็นการลดทอนและบรรเทาความเดือดร้อนจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ LPG ของพี่น้องประชาชนคนไทยไปพลาง ๆ ก่อน พร้อมกับออกนโยบาย ‘รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง’ เพื่อแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศไทยทั้งในระยะสั้นและระยะยาวต่อไป

ทั้งนี้ นโยบาย ‘รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง’ เพื่อแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของ รองฯ ‘พีระพันธุ์’ ก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว มีทั้งที่ได้ดำเนินการไปแล้ว อยู่ระหว่างดำเนินการ และอยู่ระหว่างเตรียมการเพื่อดำเนินการ

ดังนั้นในส่วนของ ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ เมื่อวิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิงได้เบาคลายลงแล้ว สถานการณ์การติดลบก็จะกลับมาดีขึ้นเรื่อย ๆ จนกลับเข้าสู่สภาวะปกติ แล้วจะค่อย ๆ ลดบทบาทลง โดยจะมี SPR : Strategic Petroleum Reserve หรือ การสำรองเชื้อเพลิงปิโตรเลียมทางยุทธศาสตร์ ของรองฯ ‘พีระพันธุ์’ เข้ามามีบทบาททำหน้าแทนที่มากขึ้น 

พูดง่าย ๆ ก็คือ ในอนาคตเมื่อรัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานได้กลายเป็นผู้ถือครองปริมาณน้ำมันมากที่สุดในประเทศเพียงพอสำหรับการใช้งาน 50-90 วันแล้ว รัฐบาลย่อมสามารถนำปริมาณน้ำมันสำรองเข้าไปมีส่วนในการบริหารจัดการราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศได้ หลังจากที่ผ่านมาปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจากวิกฤตเชื้อเพลิงมีการใช้ ‘เงิน’ จาก ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ ในการแก้ไขปัญหา 

ทว่าเมื่อ SPR เกิดขึ้น ‘เงิน’ จากกองทุนน้ำมันก็จะถูกลดทอนบทบาทและต้องมาเป็นคำตอบหลักในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอีกไป เพราะในบางสถานการณ์ต่อให้มี ‘เงิน’ ก็อาจไม่สามารถหาซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงหรือไม่สามารถขนส่งมาประเทศไทยได้ 

ดังนั้น SPR ด้วยการถือครอง ‘น้ำเชื้อเพลิงสำรอง’ โดยรัฐที่มากพอ (สำหรับการใช้งาน 50-90 วัน) จนกระทั่งวิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิงคลายตัวลง จะเป็นการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุดในยามนี้

‘ศูนย์วิจัยกสิกรไทย’ ฟัน!! ศก.ไทย ปี 67 พ้นจุดต่ำสุดแล้ว คาด!! ‘งบรัฐฯ-ท่องเที่ยว-ส่งออก’ ดัน ศก. ครึ่งปีหลังขยายตัว

(21 พ.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘BTimes’ ได้โพสต์ข้อความ “ฟันธงเศรษฐกิจไทยไม่แย่ไปกว่านี้แล้ว เศรษฐกิจไทยปี 67 พ้นต่ำสุดแล้ว แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ลดเป้าคาดการณ์ปี 67 ลงเหลือ 2.6%” พร้อมระบุเนื้อหาเพิ่มเติมว่า…

ไม่มีแย่! กสิกรไทยฟันธงเศรษฐกิจไทยปี 67 พ้นต่ำสุดแล้ว เปิด 3 ปัจจัยดันเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง แต่ลดเป้าคาดการณ์ปี 67 ลงเหลือ 2.6%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/2567 ขยายตัวที่ 1.5% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีผ่านมา และหากเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าขยายตัวที่ 1.1% เมื่อเทียบช่วงไตรมาสก่อนหน้านี้ โดยแม้ว่าจะออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด แต่ก็ถือขยายตัวอยู่ในระดับต่ำ โดยปัจจัยกดดันหลักมาจากการลงทุนภาครัฐที่หดตัวลงอย่างมากเนื่องจากการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ที่ล่าช้าถึงเดือนเม.ย. 2567 ซึ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังภาคก่อสร้างและภาคอุตสาหกรรม โดยภาคการผลิตอุตสาหกรรมยังคงชะลอลงต่อเนื่อง

ขณะที่ผลผลิตทางการเกษตรออกสู่ตลาดน้อยกว่าช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้าจากผลกระทบของสภาพอากาศที่ร้อนจัดและภัยแล้ง ขณะที่การส่งออกไทยหดตัวจากปีก่อนหน้าเนื่องจากปัจจัยฐานสูง ประกอบกับการสูญเสียความสามารถทางการแข่งขันของสินค้าไทยที่ส่งผลให้การส่งออกไทยฟื้นตัวช้า 

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/2567 มาจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ขยายตัวดีต่อเนื่อง โดยส่วนหนึ่งได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ

ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและมีแนวโน้มทยอยขยายตัวในอัตราที่เร่งขึ้นเมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากการเบิกจ่ายงบประมาณจากทางภาครัฐที่มีทิศทางเร่งตัวขึ้นหลังจากงบประมาณปี 2567 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนเม.ย. 2567 นอกจากนี้ การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยวจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปีนี้

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยปีนี้ที่ 36 ล้านคน ขณะที่แม้ว่าการส่งออกมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า แต่เนื่องจากผลจากปัจจัยฐานที่อยู่ในระดับสูงของปีก่อนหน้าคงมีลดลง ส่งผลให้การส่งออกไทยมีแนวโน้มกลับมาขยายตัวได้ในไตรมาสที่เหลือของปีนี้

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2567 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีมุมมองต่อเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอลงกว่าที่ประเมิน โดยปรับลดคาดการณ์การขยายตัวเติบโตจาก 2.8% มาอยู่ที่ 2.6% จากปัจจัยดังต่อไปนี้ การลงทุนและการบริโภคภาครัฐมีแนวโน้มหดตัวมากกว่าที่เคยคาด จากตัวเลขในไตรมาส 1/2567 ที่หดตัวลึกกว่าคาด แม้จะมีการเร่งเบิกจ่ายในช่วงที่เหลือของปีนี้ แต่คาดว่าจะไม่เร่งตัวมากพอที่จะชดเชยการหดตัวในช่วงไตรมาส 1/2567 ได้

การส่งออกไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าที่เคยคาด ตามทิศทางการค้าโลก ท่ามกลางภาคการผลิตทั่วโลกที่ยังอ่อนแรง ประกอบกับมีความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ อีกทั้งการส่งออกไทยเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างจากความสามารถทางการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลกที่ลดลง ส่งผลให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับลดคาดการณ์ลงจาก 2.0% เป็น 1.5% ด้านภาคการผลิตยังมีแนวโน้มอ่อนแรงต่อเนื่อง จากอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอลงและอุปสงค์นอกประเทศที่ฟื้นตัวช้า ประกอบกับการเข้ามาตีตลาดของสินค้าราคาถูกจากจีน

ผลผลิตทางการเกษตรได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่รุนแรง สภาพอากาศที่ร้อนจัดได้ส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรในไตรมาส 1/2567 และคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางเกษตรบางส่วนในไตรมาส 2/2567 ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลังภาวะลานีญาอาจส่งผลให้เกิดฝนตกชุกและอุณหภูมิปรับลดลง แต่ก็มีความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดภาวะน้ำท่วมขังได้ในบางพื้นที่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรได้

ติดตามผลกระทบหากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาททั่วประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนของผู้ประกอบการ และอาจมีผลต่อไปยังการจ้างงานและการลงทุนในประเทศ ส่วนมาตรการกระตุ้นทางการคลังในประเทศยังมีความไม่แน่นอน โดยแม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่ภาครัฐอาจออกมาตรการกระตุ้นในช่วงปลายปีนี้ แต่ผลต่อเศรษฐกิจไทยยังคงมีความไม่แน่นอน ทั้งนี้ ประมาณการเศรษฐกิจไทยของศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้คำนึงถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของภาครัฐไปบางส่วนแล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top